โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) คำถาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ ขอดูขลุ่ยของเจ้าหน่อย ”
ดารีลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
เด็กชายยื่นให้อย่างไวพลางยิ้มหวาน
“ สวยใช่ไหมล่ะ ”
เด็กหนุ่มไม่ตอบเขารับมาหมุนไปมาระหว่างนิ้วเพื่อชั่งน้ำหนัก
จากนั้นจึงทดลองเป่า
เพียงโน้ตไม่กี่ตัวก็ทำให้ผู้ฟังตกอยู่ในมนต์สะกด
พิโลโซเฟอร์ถึงกับนั่งอึ้งตาค้าง
เขายื่นขลุ่ยกลับไปให้เด็กชายที่ยังอยู่ในอาการมึนๆ
“ ใช้ได้น้ำหนักดีฝีมือละเอียด เจ้าซื้อที่ไหน ”
“ เจ้าชอบหรือแต่มันไม่มีขายหรอก โรเซนทำให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว และเขาก็ได้กระเป๋าหนังกวางเป็นสิ่งตอบแทน น่าเสียดายนะที่เขาไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาต้องทำขลุ่ยอีกอัน ข้าเชื่อว่าเมื่อพวกเจ้าพบกันต้องเข้ากันได้ดีแน่ ส่วนขลุ่ยอันนี้ข้าคงยกให้เจ้าไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยสีหน้าสลดหดหู่
“ ไม่เป็นไรนี่ ข้าเองมีขลุ่ยหลายอัน ส่วนอันนี้ข้าแค่เห็นว่าแปลก เมื่อมันสำคัญกับเจ้าก็แล้วไป ไม่เห็นจำเป็นต้องเศร้าโศก ”
ดารีลว่าพลางหยิบผลไม้แห้งขึ้นมากัด
“ เอาอย่างนี้ดีกว่าไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดโพล่งขึ้นมาจนดารีลประหลาดใจ
“ เจ้ายกของใช้บางอย่างให้ข้า แล้วข้าจะให้ของบางอย่างกับเจ้า ”
“ เพ้อเจ้ออะไรอีกล่ะ ”
“ ก็ทำอย่างที่ข้าเคยทำกับโรเซนไงล่ะ หลังจากนั้นเราก็จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ตกลงไหม ”
ดารีลส่ายหน้า
“ ฟังดูยุ่งยากนะการเป็นมิตรกับเจ้านี่ เด็กน้อยเจ้าช่างไม่รู้อะไร ข้าน่ะแตกต่างจากโรเซนของเจ้ายิ่งนัก ”
“ อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิ อาจเหมือนข้าอยากได้ของๆ เจ้า แต่ความจริงแล้วของที่ว่าไม่จำเป็นต้องสำคัญอะไรเลย ขอเพียงเป็นสิ่งของของเจ้า ที่เจ้าไม่ต้องการแล้ว และข้ามีของบางอย่างที่อยากมอบให้เจ้าจริงๆ และมีเพียงเจ้าที่สมควรได้มัน ”
“ ถ้าดื่มชาเสร็จแล้วข้าขอถ้วยชา ”
อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง
ฟิโลโซเฟอร์จึงยื่นให้แบบงงๆ
ดารีลรับถ้วยชามาคว่ำลงบนจานรอง
เขาวาดนิ้วเป็นวงรอบก้นถ้วยอย่างเบามือ
จากนั้นจึงหยิบของบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม
มันเป็นห่อกระดาษเล็กๆ สีขาวสะอาดตา
ดารีลวางห่อนั้นลงในถ้วยชาแล้วเติมน้ำร้อน
“ ชานี่ข้าปรุงเองเหมาะสำหรับคนป่วย รับรองว่าจะไม่แสลงท้อง ”
เขาว่าพลางเลื่อนถ้วยชาไปให้เด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์รับมาจิบเขารับรู้ถึงกลิ่นหอมละมุนรสชาติละเมียดละไม
เลือดในกายของเขาอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลและนอนไม่ค่อยหลับก็ละลายหายไป
เด็กชายรู้สึกดีจนไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่กล่าวขอบคุณ
ดารีลก้มมองกากชาที่เขาเทไว้บนจานรองแล้วขมวดคิ้ว
“ มีอะไรผิดปรกติหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
ดารีลไม่ตอบแต่เลื่อนจานรองนั้นไปตรงหน้าเด็กชาย
“ คิดว่าอย่างไรล่ะ ”
“ อะไรยังไง ”
เด็กน้อยยิ่งงงหนัก
“ ดูในจานนั่นเจ้าคิดว่าเป็นนกหรือตัวอะไร ”
ดารีลว่าพลางใช้นิ้วชี้ขยับจานไปมา
ในตอนแรกฟิโลโซเฟอร์เห็นเป็นเพียงกองชาสีน้ำตาลเข้ม
แต่ดูไปดูมาก็เห็นบางอย่างคล้ายปีก
ครั้นเพ่งดูอีกทีมันก็แค่เศษใบชา
เขาจึงส่ายหน้า
ดารีลมีสีหน้าผิดหวังแล้วดึงจานกลับ
“ เจ้านี่ไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย ”
“ แล้วเราจะมานั่งมองกองเศษชาเพื่ออะไรกันล่ะ ”
เด็กชายสงสัย
“ ขอโทษทีข้าก็ไร้สาระแบบนี้แหละ ”
ดารีลว่าแต่สายตาไม่ละไปจากจานเสียที
คิ้วยังคงขมวดมุ่น ปากเม้มบางเฉียบ
และช้อนเงินกำแน่นในมือข้างหนึ่ง
ทันใดเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อยด้วยสีหน้าสุดหยั่งคะเน
“ ต้องมีอะไรแน่ๆ ”
เด็กชายกล่าว
“ เจ้าพูดมาเถอะ ”
หนุ่มน้อยพ่อมดถอนหายใจ
“ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ”
“ เจ้านี่นะ ข้าได้ยินมาว่าพวกผู้ใช้เวทมนตร์ชอบทำตัวเข้าใจยาก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์บ่น
“ ถ้าอย่างนั้นข้ามีหนึ่งคำถาม หากเจ้าตอบก็ขอให้ตอบตามจริง แต่ถ้าไม่อาจตอบได้ก็จงอย่าพูดอะไร แล้วข้าจะไม่ถามอีก ”
“ บอกตามตรงข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังเจ้า สิ่งที่ถามถ้าข้ารู้ ไม่มีทางที่จะไม่ตอบ ”
“ ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยว่าพวกเจ้าเข้าไปทำอะไรในหุบเขานั่น ”
“ อ้อ เรื่องนั้น มันเป็นความจริงพ่อกับแม่ข้าไม่ได้โกหก พวกเราหลงทาง ”
ดารีลไม่ว่าอะไร
เขายกชาของตัวเองขึ้นจิบสีหน้าเรียบเฉย
แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายรู้สึกร้อนรน
“ เรื่องนี้คงอธิบายยาก ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อ แต่ตอนนั้นพวกเราสับสนวุ่นวายมาก มีเหตุผิดปรกติเกิดขึ้นพวกเราก็แค่อยากเดินทางให้เร็วที่สุด เพราะหากช้าไปกว่านี่ก็เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายซ้ำซ้อนขึ้นอีก ถ้าไปทางเมืองกัลป์ทีลอทฝ่าดงมังกรไฟมันก็คือความตายที่พอคาดเดาได้ล่วงหน้า แต่หากข้ามเทือกเขาเงาอสูรเราไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะพบกับอะไร หรืออาจไม่พบอะไรเลยเมื่อคิดแบบนี้หนทางที่สองจึงนับว่าพอมีลุ้น โชคยังดีที่พวกเราข้ามมาได้อย่างปรอดภัย และข้าคิดว่าครั้งเดียวก็เกินพอ ต่อให้มีทองมากองท่วมหัวข้าก็ไม่คิดย้อนเข้าไปอีก ”
“ ใครเป็นคนเสนอความคิด ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ”
ดารีลถาม
“ ท่านชาร์โคล พวกเราบังเอิญพบเขาระหว่างทาง น่าเสียดายที่เขาไม่ตามมาด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า คำแนะนำของเขาเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ”
“ ผู้เฒ่าชาร์โคลอย่างนั้นหรือ เจ้าแน่ใจว่าเป็นเขา ”
“ แน่อยู่แล้ว พวกเรายังนอนค้างที่บ้านของท่านชาร์โคลตั้งคืนหนึ่ง ทำไมล่ะหรือพวกเจ้ารู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยหากได้พบกับเขา เจ้าก็สามารถถามความจริงเรื่องนี้ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยสีหน้ายินดี
“ ช่างเถอะ ข้าเชื่อเจ้า ส่วนผู้เฒ่าชาร์โคลนั่นน่ะข้าแค่เคยได้ยินชื่อ และข้ามีเรื่องต้องเตือนเอาไว้ พวกเจ้าน่ะเชื่อคนง่ายเกินไปจงระวังจะเป็นภัยเพราะสิ่งนี้ ”
ดารีลว่า
“ ทำไมล่ะผู้เฒ่าชาร์โคลเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นหรือ ”
“ ข้าบอกว่าอย่าเชื่อคนง่าย ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น ส่วนผู้เฒ่าคนนั้นเจ้าตัดสินเองเถอะ ”
“ ถ้าอย่างนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์จ้องหน้าคู่สนทนาอย่างท้าทาย
“ คำพูดของดารีลข้าต้องเชื่อหรือไม่ ”
“ แล้วแต่เจ้าสิ ”
หนุ่มน้อยหน้ามลตอบเรื่อยเปื่อย
สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด
“ ว้า เจ้านี่ล้อเล่นไม่ได้เลย ”
เด็กชายทำหน้ามุ่ยแต่ครู่ต่อมาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ ตกลงเจ้าเห็นอะไรในกากชา ”
“ ข้าคิดว่าเจ้าเจอสิ่งอัปมงคลในหุบเขานั่น ”
คำตอบนั้นทำเด็กชายชะงัก
ดารีลเอาช้อนคนเศษชาอย่างใจลอย
“ แต่มาพูดเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็หัดระวังตัวหน่อย เจ้าอาจไม่โชคดีได้ตลอดรอดฝั่ง บางทีเรื่องเล็กน้อยอาจพาปัญหาใหญ่มาได้ ”
“ เจ้ารู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ”
ฟิโลโซเฟอร์ประหลาดใจ
“ ข้าไม่รู้หรอกแค่เดาเอาหน่ะ บอกสิว่าข้าเดาผิด ”
“ ข้าไม่พูดหรอก ก็ข้าบอกแล้วนี่ ว่าจะไม่มีวันพูดปดกับเจ้า ”
ดารีลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
เด็กชายยื่นให้อย่างไวพลางยิ้มหวาน
“ สวยใช่ไหมล่ะ ”
เด็กหนุ่มไม่ตอบเขารับมาหมุนไปมาระหว่างนิ้วเพื่อชั่งน้ำหนัก
จากนั้นจึงทดลองเป่า
เพียงโน้ตไม่กี่ตัวก็ทำให้ผู้ฟังตกอยู่ในมนต์สะกด
พิโลโซเฟอร์ถึงกับนั่งอึ้งตาค้าง
เขายื่นขลุ่ยกลับไปให้เด็กชายที่ยังอยู่ในอาการมึนๆ
“ ใช้ได้น้ำหนักดีฝีมือละเอียด เจ้าซื้อที่ไหน ”
“ เจ้าชอบหรือแต่มันไม่มีขายหรอก โรเซนทำให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว และเขาก็ได้กระเป๋าหนังกวางเป็นสิ่งตอบแทน น่าเสียดายนะที่เขาไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาต้องทำขลุ่ยอีกอัน ข้าเชื่อว่าเมื่อพวกเจ้าพบกันต้องเข้ากันได้ดีแน่ ส่วนขลุ่ยอันนี้ข้าคงยกให้เจ้าไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยสีหน้าสลดหดหู่
“ ไม่เป็นไรนี่ ข้าเองมีขลุ่ยหลายอัน ส่วนอันนี้ข้าแค่เห็นว่าแปลก เมื่อมันสำคัญกับเจ้าก็แล้วไป ไม่เห็นจำเป็นต้องเศร้าโศก ”
ดารีลว่าพลางหยิบผลไม้แห้งขึ้นมากัด
“ เอาอย่างนี้ดีกว่าไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดโพล่งขึ้นมาจนดารีลประหลาดใจ
“ เจ้ายกของใช้บางอย่างให้ข้า แล้วข้าจะให้ของบางอย่างกับเจ้า ”
“ เพ้อเจ้ออะไรอีกล่ะ ”
“ ก็ทำอย่างที่ข้าเคยทำกับโรเซนไงล่ะ หลังจากนั้นเราก็จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ตกลงไหม ”
ดารีลส่ายหน้า
“ ฟังดูยุ่งยากนะการเป็นมิตรกับเจ้านี่ เด็กน้อยเจ้าช่างไม่รู้อะไร ข้าน่ะแตกต่างจากโรเซนของเจ้ายิ่งนัก ”
“ อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิ อาจเหมือนข้าอยากได้ของๆ เจ้า แต่ความจริงแล้วของที่ว่าไม่จำเป็นต้องสำคัญอะไรเลย ขอเพียงเป็นสิ่งของของเจ้า ที่เจ้าไม่ต้องการแล้ว และข้ามีของบางอย่างที่อยากมอบให้เจ้าจริงๆ และมีเพียงเจ้าที่สมควรได้มัน ”
“ ถ้าดื่มชาเสร็จแล้วข้าขอถ้วยชา ”
อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง
ฟิโลโซเฟอร์จึงยื่นให้แบบงงๆ
ดารีลรับถ้วยชามาคว่ำลงบนจานรอง
เขาวาดนิ้วเป็นวงรอบก้นถ้วยอย่างเบามือ
จากนั้นจึงหยิบของบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม
มันเป็นห่อกระดาษเล็กๆ สีขาวสะอาดตา
ดารีลวางห่อนั้นลงในถ้วยชาแล้วเติมน้ำร้อน
“ ชานี่ข้าปรุงเองเหมาะสำหรับคนป่วย รับรองว่าจะไม่แสลงท้อง ”
เขาว่าพลางเลื่อนถ้วยชาไปให้เด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์รับมาจิบเขารับรู้ถึงกลิ่นหอมละมุนรสชาติละเมียดละไม
เลือดในกายของเขาอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลและนอนไม่ค่อยหลับก็ละลายหายไป
เด็กชายรู้สึกดีจนไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่กล่าวขอบคุณ
ดารีลก้มมองกากชาที่เขาเทไว้บนจานรองแล้วขมวดคิ้ว
“ มีอะไรผิดปรกติหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
ดารีลไม่ตอบแต่เลื่อนจานรองนั้นไปตรงหน้าเด็กชาย
“ คิดว่าอย่างไรล่ะ ”
“ อะไรยังไง ”
เด็กน้อยยิ่งงงหนัก
“ ดูในจานนั่นเจ้าคิดว่าเป็นนกหรือตัวอะไร ”
ดารีลว่าพลางใช้นิ้วชี้ขยับจานไปมา
ในตอนแรกฟิโลโซเฟอร์เห็นเป็นเพียงกองชาสีน้ำตาลเข้ม
แต่ดูไปดูมาก็เห็นบางอย่างคล้ายปีก
ครั้นเพ่งดูอีกทีมันก็แค่เศษใบชา
เขาจึงส่ายหน้า
ดารีลมีสีหน้าผิดหวังแล้วดึงจานกลับ
“ เจ้านี่ไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย ”
“ แล้วเราจะมานั่งมองกองเศษชาเพื่ออะไรกันล่ะ ”
เด็กชายสงสัย
“ ขอโทษทีข้าก็ไร้สาระแบบนี้แหละ ”
ดารีลว่าแต่สายตาไม่ละไปจากจานเสียที
คิ้วยังคงขมวดมุ่น ปากเม้มบางเฉียบ
และช้อนเงินกำแน่นในมือข้างหนึ่ง
ทันใดเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อยด้วยสีหน้าสุดหยั่งคะเน
“ ต้องมีอะไรแน่ๆ ”
เด็กชายกล่าว
“ เจ้าพูดมาเถอะ ”
หนุ่มน้อยพ่อมดถอนหายใจ
“ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ”
“ เจ้านี่นะ ข้าได้ยินมาว่าพวกผู้ใช้เวทมนตร์ชอบทำตัวเข้าใจยาก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์บ่น
“ ถ้าอย่างนั้นข้ามีหนึ่งคำถาม หากเจ้าตอบก็ขอให้ตอบตามจริง แต่ถ้าไม่อาจตอบได้ก็จงอย่าพูดอะไร แล้วข้าจะไม่ถามอีก ”
“ บอกตามตรงข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังเจ้า สิ่งที่ถามถ้าข้ารู้ ไม่มีทางที่จะไม่ตอบ ”
“ ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยว่าพวกเจ้าเข้าไปทำอะไรในหุบเขานั่น ”
“ อ้อ เรื่องนั้น มันเป็นความจริงพ่อกับแม่ข้าไม่ได้โกหก พวกเราหลงทาง ”
ดารีลไม่ว่าอะไร
เขายกชาของตัวเองขึ้นจิบสีหน้าเรียบเฉย
แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายรู้สึกร้อนรน
“ เรื่องนี้คงอธิบายยาก ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อ แต่ตอนนั้นพวกเราสับสนวุ่นวายมาก มีเหตุผิดปรกติเกิดขึ้นพวกเราก็แค่อยากเดินทางให้เร็วที่สุด เพราะหากช้าไปกว่านี่ก็เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายซ้ำซ้อนขึ้นอีก ถ้าไปทางเมืองกัลป์ทีลอทฝ่าดงมังกรไฟมันก็คือความตายที่พอคาดเดาได้ล่วงหน้า แต่หากข้ามเทือกเขาเงาอสูรเราไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะพบกับอะไร หรืออาจไม่พบอะไรเลยเมื่อคิดแบบนี้หนทางที่สองจึงนับว่าพอมีลุ้น โชคยังดีที่พวกเราข้ามมาได้อย่างปรอดภัย และข้าคิดว่าครั้งเดียวก็เกินพอ ต่อให้มีทองมากองท่วมหัวข้าก็ไม่คิดย้อนเข้าไปอีก ”
“ ใครเป็นคนเสนอความคิด ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ”
ดารีลถาม
“ ท่านชาร์โคล พวกเราบังเอิญพบเขาระหว่างทาง น่าเสียดายที่เขาไม่ตามมาด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า คำแนะนำของเขาเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ”
“ ผู้เฒ่าชาร์โคลอย่างนั้นหรือ เจ้าแน่ใจว่าเป็นเขา ”
“ แน่อยู่แล้ว พวกเรายังนอนค้างที่บ้านของท่านชาร์โคลตั้งคืนหนึ่ง ทำไมล่ะหรือพวกเจ้ารู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยหากได้พบกับเขา เจ้าก็สามารถถามความจริงเรื่องนี้ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยสีหน้ายินดี
“ ช่างเถอะ ข้าเชื่อเจ้า ส่วนผู้เฒ่าชาร์โคลนั่นน่ะข้าแค่เคยได้ยินชื่อ และข้ามีเรื่องต้องเตือนเอาไว้ พวกเจ้าน่ะเชื่อคนง่ายเกินไปจงระวังจะเป็นภัยเพราะสิ่งนี้ ”
ดารีลว่า
“ ทำไมล่ะผู้เฒ่าชาร์โคลเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นหรือ ”
“ ข้าบอกว่าอย่าเชื่อคนง่าย ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น ส่วนผู้เฒ่าคนนั้นเจ้าตัดสินเองเถอะ ”
“ ถ้าอย่างนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์จ้องหน้าคู่สนทนาอย่างท้าทาย
“ คำพูดของดารีลข้าต้องเชื่อหรือไม่ ”
“ แล้วแต่เจ้าสิ ”
หนุ่มน้อยหน้ามลตอบเรื่อยเปื่อย
สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด
“ ว้า เจ้านี่ล้อเล่นไม่ได้เลย ”
เด็กชายทำหน้ามุ่ยแต่ครู่ต่อมาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ ตกลงเจ้าเห็นอะไรในกากชา ”
“ ข้าคิดว่าเจ้าเจอสิ่งอัปมงคลในหุบเขานั่น ”
คำตอบนั้นทำเด็กชายชะงัก
ดารีลเอาช้อนคนเศษชาอย่างใจลอย
“ แต่มาพูดเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็หัดระวังตัวหน่อย เจ้าอาจไม่โชคดีได้ตลอดรอดฝั่ง บางทีเรื่องเล็กน้อยอาจพาปัญหาใหญ่มาได้ ”
“ เจ้ารู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ”
ฟิโลโซเฟอร์ประหลาดใจ
“ ข้าไม่รู้หรอกแค่เดาเอาหน่ะ บอกสิว่าข้าเดาผิด ”
“ ข้าไม่พูดหรอก ก็ข้าบอกแล้วนี่ ว่าจะไม่มีวันพูดปดกับเจ้า ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ