โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
31) เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในยามบ่ายของวันนั้นพวกเขาเดินไปด้วยกันบนท้องถนน คนหนึ่งสูงโปร่งเงียบขรึมสวมชุดคลุมยาวสีดำที่ประณีตและราคาแพง ส่วนอีกคนนั้นเป็นเด็กท่าทางซุกซนสดใสร่าเริง เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวเดิน เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นตามเนื้อตัวมีแผลถลอกปอกเปิก อันเป็นผลจากการเดินทางฝ่าอันตราย
สองคนแตกต่างกันราวรุ่งอรุณและรัตติกาล แต่ในยามนี้พวกเขาอยู่เคียงข้างกัน เป็นภาพที่ประหลาดมากสำหรับเมืองโอรีเวีย สายตาของคนมากมายจับจ้องมายังพวกเขาด้วยความคิดหลากหลาย เหตุใดสองคนนี้จึงมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นพ่อมดที่เงียบขรึมเข้าถึงยาก อีกคนเป็นเด็กที่ดูคล้ายคนจรจัดที่ชวนให้รังเกียจ แล้วจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือที่ใดกัน
พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่มีรั้วรอบขอบชิด ริมสองฝั่งของประตูต้นแตรนางฟ้าออกดอกสีม่วงบานสะพรั่ง คนเฝ้าประตูสวมหน้ากากสีขาวสังเกตเห็นพวกเขาก็วิ่งมาหา
“ นายน้อยเหตุใดเพิ่งมา มีคนมากมายคอยท่านอยู่ ”
ชายคนนั้นรายงาน
“ ข้าจำได้ว่าวันนี้ไม่มีธุระกับผู้ใด ”
ดารีลตอบเสียงเรียบเฉยพอๆ กับใบหน้า
“ แต่ผู้ที่มาหาท่านวันนี้เป็นบุคคลสำคัญมากเลยนะ ท่านควรไปพบเขาสักประเดี๋ยวก็ยังดี ”
ยามหน้าบ้านยังคงรบเร้า
“ ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการ หากคนผู้นั้นมีเรื่องสำคัญก็ให้รอเขาไป ก่อนพระอาทิตย์ตกดินข้าอาจกลับมา หรือหากรอไม่ได้ก็เชิญเขากลับไปเสีย ”
“ นายน้อยท่านกำลังทำข้าลำบาก คนเหล่านั้นหวังจะพบท่านให้ได้ ท่านกลับทำแบบนี้ว่าแต่ไม้เท้าของท่านล่ะ ”
“ ข้าไม่คิดจะออกไปนอกกำแพง ถือติดตัวไปก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องใช้ เอาล่ะไปประจำที่ของเจ้าเสีย ”
“ ท่านจะทำอะไรกันแน่แล้วเด็กนี่เป็นใคร สกปรกขนาดนี้ส่งมาให้ข้าเถอะเดี๋ยวจัดการให้เอง อย่าให้มือของท่านต้องเปื้อนเลย ”
ดารีลหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วว่า
“ ตอนนี้เขาเป็นแขกของข้า เรื่องระหว่างข้ากับเขาคนอื่นไม่อาจทำแทนได้ ไปกันเถอะ ”
แต่แทนที่ฟิโลโซเฟอร์จะเดินไปตามคำบอกกล่าวของดารีล
เขากลับวิ่งมาข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น
แล้วพูดขึ้นว่า
“ นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหมดารีล ไหนๆ เราก็มาถึงแล้วเหตุใดเจ้าไม่ชวนข้าเข้าบ้าน หาอะไรให้ข้ากินนิดหน่อย อย่างไรเสียเราก็ไม่มีเหตุให้ต้องรีบร้อนมิใช่หรือ ”
พ่อมดหนุ่มน้อยหันขวับไปจ้องเด็กชายเขม็ง
“ ข้า ข้าไม่เรื่องมากหรอกนะ อะไรข้าก็กินได้ทั้งนั้นน้ำเปล่าอย่างเดียวก็ยังได้ แล้ววันหลังถ้าเจ้าผ่านไปทางบ้านข้า ข้าก็จะเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทนอย่างไรล่ะ ”
เด็กชายกล่าวตะกุกตะกัก
ดารีลไม่ตอบแต่จ้องมองคนพูดไม่ละสายตาสีหน้าเรียบเฉย
“ หรือถ้าเจ้าคิดว่าข้าแต่งกายไม่สุภาพ ให้ข้านั่งตรงสนามหญ้าก็ไม่เป็นไรนะ ”
“ เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า รีบเดินไปเสีย ”
ดารีลเสียงเข้ม
“ ก็ได้ๆ ข้าเดินแล้ว ไม่เข้าใจเลยที่โอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้หรือไง ”
ฟิโลโซเฟอร์บ่นพึมพำแล้วเดินก้มหน้างุดด้วยความน้อยใจ
พวกเขาเดินด้วยกันเงียบๆ จนถึงถนนอีกสาย
ถนนเส้นนี้มีคนพลุกพล่านกว่าเมื่อครู่
ตึกรามบ้านช่องหนาแน่นขึ้นแต่ก็ล้วนโอ่อ่างดงาม
ที่แห่งนี้ไม่คุ้นตาสำหรับเด็กชายเขาจึงหันไปเพื่อจะถาม
แต่ก็ถูกผลักเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งเสียก่อน
มันเป็นโรงแรมใหญ่โตด้านล่างเปิดร้านอาหาร
ลูกค้าในร้านมีไม่มากนัก
แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้มีเงินและมีเกียรติ
การโผล่พรวดพลาดเข้ามาของฟิโลโซเฟอร์ทำให้คนในร้านตกตะลึง
เมื่อตั้งสติได้เด็กในร้านสี่ห้าคนก็เดินตรงเข้ามา
เพื่อจะกันเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมออกจากร้าน
แต่ก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไร
พวกเขาก็เห็นบุคคลผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
ซึ่งสร้างความตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก
เพราะเขาคือดารีลพ่อมดหนุ่มน้อยที่มีชื่อลือกระฉ่อนในโอรีเวีย
“ หาห้องสงบๆ ให้ข้าสักห้องสิ ”
เขาพูดเรียบๆ พลางวางมือบนบ่าเด็กชายอย่างลงน้ำหนัก
บริกรยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นครู่กว่าจะพาไปยังห้องๆ หนึ่ง
มันเป็นห้องที่มีผนังสามด้านส่วนด้านหลังเปิดโล่งไปสู่สวนสวย
บริกรคนหนึ่งยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ดารีลด้วยมืออันสั่นเทา
แล้วแนะนำว่าหากต้องการอะไรขอให้สั่นกระดิ่งทองเหลืองที่แขวนอยู่บนบนเสาโลหะต้นเล็กๆ ข้างโต๊ะ
ดารีลกล่าวขอบคุณแล้วบริกรก็เดินออกไป
ทิ้งพวกเขาไว้สองคน
ดารีลยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ฟิโลโซเฟอร์ที่นั่งตัวแข็งทื่อ
เด็กชายรู้สึกประหม่าเพราะยังไม่เคยเข้ามาอยู่ในที่หรูหราเช่นนี้
แถมอยู่ตามลำพังกับคนเพิ่งรู้จัก
“ ข้าไม่มีเงิน ”
เด็กชายพูดเสียงเร็วส่ายหน้ารัวๆ
“ แล้วข้าพูดเมื่อไหร่ว่าจะยืมเงินเจ้า ”
เขาว่าพลางวางสมุดลงเลื่อนไปจนชิดขอบโต๊ะ
เด็กชายก้มมองอย่างหวาดๆ
“ อันที่จริงข้าตั้งใจจะออกมาเดินเล่นเท่านั้น ตอนนี้จึงไม่มีเงินติดกระเป๋าสักเหรียญ เจ้าไม่คิดว่า ”
“ สั่งอาหารได้แล้ว เพ้อเจ้อไม่เลือกเวลาเสียจริง ”
ดารีลพูดสวนขึ้นพลางชำเลืองมองเด็กชายด้วยสายตาตำหนิ
ฟิโลโซเอร์จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วหยิบสมุดขึ้นมา
มันเป็นสมุดเนื้อเนียนสีน้ำตาลอ่อนเขียนด้วยหมึกสีทอง
เขาอ่านรายชื่ออาหารซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย
จึงสุ่มเลือกมาสามอย่าง
ส่วนพ่อมดหนุ่มน้อยนั้นสั่งเพียงชาสมุนไพรกับขนมหวานสามอย่างเช่นกัน
อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางบนโต๊ะในเวลาไม่นาน
ทุกอย่างล้วนสวยงามไม่เว้นแม้จานและช้อนส้อม
กลิ่นอาหารหอมยั่วยวน
แต่เทียบไม่ได้เลยกับกลิ่นกายของดารีล
ฟิโลโซเฟอร์คิด
กาน้ำชาของดารีลสีขาวแวววาวดังเปลือกมุกถ้วยชาก็เช่นกัน
ทางร้านมีเตาเล็กๆ ใส่ถ่านหินที่ร้อนแดงมาให้ด้วย
ส่วนใบชานั้นอยู่ในโหลแก้วเจียระไน
ดารีลเทชาส่วนหนึ่งใส่จานรองถ้วยชา
เขม้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
“ มีอะไรหรือ ”
เด็กชายถามอย่างอดไม่ได้
“ เปล่า ”
เขาว่าพลางเปิดกาเมื่อพบว่าเดือดดีแล้วก็เทชาลงไปในถ้วย
จากนั้นรินน้ำเดือดตามลงไปจนเกือบเต็ม
ฟิโลโซเฟอร์ลอบมองกิริยาเหล่านั้น
เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของดารีลล้วนแต่สง่างาม
“ เห็นตั้งชื่อชาเสียข้าคิดไปไกล ก็นึกว่าจะมีอะไร ”
เขาพูดหลังจากเงียบไปนาน
“ แล้ว ”
เด็กชายถามต่อ
“ ชาสมุนไพรธรรมดานี่แหละต้องโทษข้าที่คิดมากเอง ”
ฟิโลโซเฟอร์หัวเราะ
“ ขอโทษที ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้านะ ”
เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่ว่าอะไรเขาจึงพูดต่อ
“ ดารีล ข้าอยากจะถาม เจ้าชื่ออะไรนะ ”
ช้อนที่กำลังคนชาหยุดกึก
ใบหน้าขาวเนียนนิ่งเงียบราวถูกสะกด
ครู่ต่อมาจึงหันขวับมาทางเด็กชาย
“ ข้าว่าเจ้าก็เรียกชื่อข้ามาตลอดเหตุใดจึงถาม ”
“ จะทำไมล่ะ เจ้าบอกชื่อเจ้ามาส่วนข้าก็จะแนะนำชื่อของข้า ”
“ เพื่อ ”
“ คนเราจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องแนะนำตัวกันก่อนมิใช่หรือ ”
“ เพ้อเจ้อ ”
ดารีลว่าแล้วหันไปสนใจถ้วยชาต่อ
“ ทำไมล่ะอย่าบอกนะว่าโอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้ ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้ที่ตลาดยังมีคนถามชื่อข้า ”
“ แล้วเจ้าเป็นเพื่อนกับเขาหรือยัง ”
“ ก็ต้องเป็นอยู่แล้วสิ ”
ดารีลส่ายหน้าท่าทีเอือมระอา
“ กินอาหารของเจ้าปล่อยให้เย็นมันจะเสียรสนะ ”
เด็กชายจึงตักกินคำหนึ่งแล้วสำลักพรืด
รู้สึกแสบร้อนที่ริมฝีปากจนทนไม่ไหว
มองหาน้ำก็เห็นเพียงถ้วยชา
จึงคว้ามาอย่างรวดเร็ว
ดารีลถือช้อนค้างหันมามองเด็กชายช้าๆ สีหน้าแบบคนนึกคำพูดไม่ออก
“ ข้าไม่ได้จะเสียมารยาทนะ แต่ข้าไม่ค่อยถูกกับเครื่องเทศน่ะ ”
เด็กชายพูดอายๆ
ดารีลคว้าสมุดหนังลูกวัวขึ้นมาอีกครั้งฟิโลโซเฟอร์รีบฉวยไว้
“ อย่าเลยสิ้นเปลืองเปล่าๆ ”
“ เจ้ากำลังหิวมิใช่หรือ ”
“ เปล่านี่ ”
เด็กชายสั่นหัวสีหน้าจริงจัง
“ แล้วที่พูดกับข้าตอนอยู่บนถนน ”
“ ข้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เจ้านี่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย ”
ดังนั้นดารีลจึงวางสมุดลงแล้วเลื่อนชามขนมหวานไปตรงหน้าเด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์ก้มลงดูอย่างพินิจพิจารณา
“ ในนั้นไม่มีเครื่องเทศแต่อาจหนักนมเนยไปบ้างลองดูสิ ”
เด็กชายตักกินอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มสดใส
“ ขนมหวานของโอรีเวียข้ายกให้เป็นที่หนึ่ง ”
“ แล้วน้ำชาล่ะ ”
“ อ้อ ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งรู้ตัวว่ามือข้างหนึ่งยังกำถ้วยชาแน่น
เขาเลื่อนคืนไปให้ดารีลช้าๆ
“ เอาไปเถอะข้าแค่จะถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ”
“ ข้าไม่รู้หรอก ท่านแม่ยังไม่ยอมให้ข้าดื่มชา นางว่าเด็กๆ ดื่มชามันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าว่าชาถ้วยนี้ก็ไม่ได้แย่นะ เพียงแต่ข้าไม่เคยดื่มชาชนิดอื่นมาก่อนเลยเปรียบเทียบไม่ถูก ”
ดารีลไม่ว่าอะไรเขาหันไปหยิบถ้วยชาใบใหม่
แล้วจัดการชงให้ตัวเอง
ส่วนเด็กชายก็กินขนมต่อไป
สองคนแตกต่างกันราวรุ่งอรุณและรัตติกาล แต่ในยามนี้พวกเขาอยู่เคียงข้างกัน เป็นภาพที่ประหลาดมากสำหรับเมืองโอรีเวีย สายตาของคนมากมายจับจ้องมายังพวกเขาด้วยความคิดหลากหลาย เหตุใดสองคนนี้จึงมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นพ่อมดที่เงียบขรึมเข้าถึงยาก อีกคนเป็นเด็กที่ดูคล้ายคนจรจัดที่ชวนให้รังเกียจ แล้วจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือที่ใดกัน
พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่มีรั้วรอบขอบชิด ริมสองฝั่งของประตูต้นแตรนางฟ้าออกดอกสีม่วงบานสะพรั่ง คนเฝ้าประตูสวมหน้ากากสีขาวสังเกตเห็นพวกเขาก็วิ่งมาหา
“ นายน้อยเหตุใดเพิ่งมา มีคนมากมายคอยท่านอยู่ ”
ชายคนนั้นรายงาน
“ ข้าจำได้ว่าวันนี้ไม่มีธุระกับผู้ใด ”
ดารีลตอบเสียงเรียบเฉยพอๆ กับใบหน้า
“ แต่ผู้ที่มาหาท่านวันนี้เป็นบุคคลสำคัญมากเลยนะ ท่านควรไปพบเขาสักประเดี๋ยวก็ยังดี ”
ยามหน้าบ้านยังคงรบเร้า
“ ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการ หากคนผู้นั้นมีเรื่องสำคัญก็ให้รอเขาไป ก่อนพระอาทิตย์ตกดินข้าอาจกลับมา หรือหากรอไม่ได้ก็เชิญเขากลับไปเสีย ”
“ นายน้อยท่านกำลังทำข้าลำบาก คนเหล่านั้นหวังจะพบท่านให้ได้ ท่านกลับทำแบบนี้ว่าแต่ไม้เท้าของท่านล่ะ ”
“ ข้าไม่คิดจะออกไปนอกกำแพง ถือติดตัวไปก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องใช้ เอาล่ะไปประจำที่ของเจ้าเสีย ”
“ ท่านจะทำอะไรกันแน่แล้วเด็กนี่เป็นใคร สกปรกขนาดนี้ส่งมาให้ข้าเถอะเดี๋ยวจัดการให้เอง อย่าให้มือของท่านต้องเปื้อนเลย ”
ดารีลหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วว่า
“ ตอนนี้เขาเป็นแขกของข้า เรื่องระหว่างข้ากับเขาคนอื่นไม่อาจทำแทนได้ ไปกันเถอะ ”
แต่แทนที่ฟิโลโซเฟอร์จะเดินไปตามคำบอกกล่าวของดารีล
เขากลับวิ่งมาข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น
แล้วพูดขึ้นว่า
“ นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหมดารีล ไหนๆ เราก็มาถึงแล้วเหตุใดเจ้าไม่ชวนข้าเข้าบ้าน หาอะไรให้ข้ากินนิดหน่อย อย่างไรเสียเราก็ไม่มีเหตุให้ต้องรีบร้อนมิใช่หรือ ”
พ่อมดหนุ่มน้อยหันขวับไปจ้องเด็กชายเขม็ง
“ ข้า ข้าไม่เรื่องมากหรอกนะ อะไรข้าก็กินได้ทั้งนั้นน้ำเปล่าอย่างเดียวก็ยังได้ แล้ววันหลังถ้าเจ้าผ่านไปทางบ้านข้า ข้าก็จะเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทนอย่างไรล่ะ ”
เด็กชายกล่าวตะกุกตะกัก
ดารีลไม่ตอบแต่จ้องมองคนพูดไม่ละสายตาสีหน้าเรียบเฉย
“ หรือถ้าเจ้าคิดว่าข้าแต่งกายไม่สุภาพ ให้ข้านั่งตรงสนามหญ้าก็ไม่เป็นไรนะ ”
“ เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า รีบเดินไปเสีย ”
ดารีลเสียงเข้ม
“ ก็ได้ๆ ข้าเดินแล้ว ไม่เข้าใจเลยที่โอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้หรือไง ”
ฟิโลโซเฟอร์บ่นพึมพำแล้วเดินก้มหน้างุดด้วยความน้อยใจ
พวกเขาเดินด้วยกันเงียบๆ จนถึงถนนอีกสาย
ถนนเส้นนี้มีคนพลุกพล่านกว่าเมื่อครู่
ตึกรามบ้านช่องหนาแน่นขึ้นแต่ก็ล้วนโอ่อ่างดงาม
ที่แห่งนี้ไม่คุ้นตาสำหรับเด็กชายเขาจึงหันไปเพื่อจะถาม
แต่ก็ถูกผลักเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งเสียก่อน
มันเป็นโรงแรมใหญ่โตด้านล่างเปิดร้านอาหาร
ลูกค้าในร้านมีไม่มากนัก
แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้มีเงินและมีเกียรติ
การโผล่พรวดพลาดเข้ามาของฟิโลโซเฟอร์ทำให้คนในร้านตกตะลึง
เมื่อตั้งสติได้เด็กในร้านสี่ห้าคนก็เดินตรงเข้ามา
เพื่อจะกันเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมออกจากร้าน
แต่ก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไร
พวกเขาก็เห็นบุคคลผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
ซึ่งสร้างความตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก
เพราะเขาคือดารีลพ่อมดหนุ่มน้อยที่มีชื่อลือกระฉ่อนในโอรีเวีย
“ หาห้องสงบๆ ให้ข้าสักห้องสิ ”
เขาพูดเรียบๆ พลางวางมือบนบ่าเด็กชายอย่างลงน้ำหนัก
บริกรยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นครู่กว่าจะพาไปยังห้องๆ หนึ่ง
มันเป็นห้องที่มีผนังสามด้านส่วนด้านหลังเปิดโล่งไปสู่สวนสวย
บริกรคนหนึ่งยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ดารีลด้วยมืออันสั่นเทา
แล้วแนะนำว่าหากต้องการอะไรขอให้สั่นกระดิ่งทองเหลืองที่แขวนอยู่บนบนเสาโลหะต้นเล็กๆ ข้างโต๊ะ
ดารีลกล่าวขอบคุณแล้วบริกรก็เดินออกไป
ทิ้งพวกเขาไว้สองคน
ดารีลยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ฟิโลโซเฟอร์ที่นั่งตัวแข็งทื่อ
เด็กชายรู้สึกประหม่าเพราะยังไม่เคยเข้ามาอยู่ในที่หรูหราเช่นนี้
แถมอยู่ตามลำพังกับคนเพิ่งรู้จัก
“ ข้าไม่มีเงิน ”
เด็กชายพูดเสียงเร็วส่ายหน้ารัวๆ
“ แล้วข้าพูดเมื่อไหร่ว่าจะยืมเงินเจ้า ”
เขาว่าพลางวางสมุดลงเลื่อนไปจนชิดขอบโต๊ะ
เด็กชายก้มมองอย่างหวาดๆ
“ อันที่จริงข้าตั้งใจจะออกมาเดินเล่นเท่านั้น ตอนนี้จึงไม่มีเงินติดกระเป๋าสักเหรียญ เจ้าไม่คิดว่า ”
“ สั่งอาหารได้แล้ว เพ้อเจ้อไม่เลือกเวลาเสียจริง ”
ดารีลพูดสวนขึ้นพลางชำเลืองมองเด็กชายด้วยสายตาตำหนิ
ฟิโลโซเอร์จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วหยิบสมุดขึ้นมา
มันเป็นสมุดเนื้อเนียนสีน้ำตาลอ่อนเขียนด้วยหมึกสีทอง
เขาอ่านรายชื่ออาหารซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย
จึงสุ่มเลือกมาสามอย่าง
ส่วนพ่อมดหนุ่มน้อยนั้นสั่งเพียงชาสมุนไพรกับขนมหวานสามอย่างเช่นกัน
อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางบนโต๊ะในเวลาไม่นาน
ทุกอย่างล้วนสวยงามไม่เว้นแม้จานและช้อนส้อม
กลิ่นอาหารหอมยั่วยวน
แต่เทียบไม่ได้เลยกับกลิ่นกายของดารีล
ฟิโลโซเฟอร์คิด
กาน้ำชาของดารีลสีขาวแวววาวดังเปลือกมุกถ้วยชาก็เช่นกัน
ทางร้านมีเตาเล็กๆ ใส่ถ่านหินที่ร้อนแดงมาให้ด้วย
ส่วนใบชานั้นอยู่ในโหลแก้วเจียระไน
ดารีลเทชาส่วนหนึ่งใส่จานรองถ้วยชา
เขม้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
“ มีอะไรหรือ ”
เด็กชายถามอย่างอดไม่ได้
“ เปล่า ”
เขาว่าพลางเปิดกาเมื่อพบว่าเดือดดีแล้วก็เทชาลงไปในถ้วย
จากนั้นรินน้ำเดือดตามลงไปจนเกือบเต็ม
ฟิโลโซเฟอร์ลอบมองกิริยาเหล่านั้น
เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของดารีลล้วนแต่สง่างาม
“ เห็นตั้งชื่อชาเสียข้าคิดไปไกล ก็นึกว่าจะมีอะไร ”
เขาพูดหลังจากเงียบไปนาน
“ แล้ว ”
เด็กชายถามต่อ
“ ชาสมุนไพรธรรมดานี่แหละต้องโทษข้าที่คิดมากเอง ”
ฟิโลโซเฟอร์หัวเราะ
“ ขอโทษที ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้านะ ”
เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่ว่าอะไรเขาจึงพูดต่อ
“ ดารีล ข้าอยากจะถาม เจ้าชื่ออะไรนะ ”
ช้อนที่กำลังคนชาหยุดกึก
ใบหน้าขาวเนียนนิ่งเงียบราวถูกสะกด
ครู่ต่อมาจึงหันขวับมาทางเด็กชาย
“ ข้าว่าเจ้าก็เรียกชื่อข้ามาตลอดเหตุใดจึงถาม ”
“ จะทำไมล่ะ เจ้าบอกชื่อเจ้ามาส่วนข้าก็จะแนะนำชื่อของข้า ”
“ เพื่อ ”
“ คนเราจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องแนะนำตัวกันก่อนมิใช่หรือ ”
“ เพ้อเจ้อ ”
ดารีลว่าแล้วหันไปสนใจถ้วยชาต่อ
“ ทำไมล่ะอย่าบอกนะว่าโอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้ ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้ที่ตลาดยังมีคนถามชื่อข้า ”
“ แล้วเจ้าเป็นเพื่อนกับเขาหรือยัง ”
“ ก็ต้องเป็นอยู่แล้วสิ ”
ดารีลส่ายหน้าท่าทีเอือมระอา
“ กินอาหารของเจ้าปล่อยให้เย็นมันจะเสียรสนะ ”
เด็กชายจึงตักกินคำหนึ่งแล้วสำลักพรืด
รู้สึกแสบร้อนที่ริมฝีปากจนทนไม่ไหว
มองหาน้ำก็เห็นเพียงถ้วยชา
จึงคว้ามาอย่างรวดเร็ว
ดารีลถือช้อนค้างหันมามองเด็กชายช้าๆ สีหน้าแบบคนนึกคำพูดไม่ออก
“ ข้าไม่ได้จะเสียมารยาทนะ แต่ข้าไม่ค่อยถูกกับเครื่องเทศน่ะ ”
เด็กชายพูดอายๆ
ดารีลคว้าสมุดหนังลูกวัวขึ้นมาอีกครั้งฟิโลโซเฟอร์รีบฉวยไว้
“ อย่าเลยสิ้นเปลืองเปล่าๆ ”
“ เจ้ากำลังหิวมิใช่หรือ ”
“ เปล่านี่ ”
เด็กชายสั่นหัวสีหน้าจริงจัง
“ แล้วที่พูดกับข้าตอนอยู่บนถนน ”
“ ข้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เจ้านี่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย ”
ดังนั้นดารีลจึงวางสมุดลงแล้วเลื่อนชามขนมหวานไปตรงหน้าเด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์ก้มลงดูอย่างพินิจพิจารณา
“ ในนั้นไม่มีเครื่องเทศแต่อาจหนักนมเนยไปบ้างลองดูสิ ”
เด็กชายตักกินอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มสดใส
“ ขนมหวานของโอรีเวียข้ายกให้เป็นที่หนึ่ง ”
“ แล้วน้ำชาล่ะ ”
“ อ้อ ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งรู้ตัวว่ามือข้างหนึ่งยังกำถ้วยชาแน่น
เขาเลื่อนคืนไปให้ดารีลช้าๆ
“ เอาไปเถอะข้าแค่จะถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ”
“ ข้าไม่รู้หรอก ท่านแม่ยังไม่ยอมให้ข้าดื่มชา นางว่าเด็กๆ ดื่มชามันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าว่าชาถ้วยนี้ก็ไม่ได้แย่นะ เพียงแต่ข้าไม่เคยดื่มชาชนิดอื่นมาก่อนเลยเปรียบเทียบไม่ถูก ”
ดารีลไม่ว่าอะไรเขาหันไปหยิบถ้วยชาใบใหม่
แล้วจัดการชงให้ตัวเอง
ส่วนเด็กชายก็กินขนมต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ