โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ข่าวจากแดนไกล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพ่อมดดีมีนใช้เวลาทั้งวันอยู่ร่วมกับครอบครัวของอาเธอร์ เขาถามไถ่ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปรกติหรือเรื่องราวแปลกใหม่ ซึ่งอาเธอร์ก็ยินดีเล่าให้ฟังโดยละเอียด
“ ตลอดหลายปีมานี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ”
อาเธอร์กล่าวขึ้นในตอนหนึ่ง
“ เมืองซีนาร์ยเคยสงบสุขแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ข้ารู้สึกถึงมันเงาแห่งความเกรี้ยวกราดที่มองไม่เห็น นี่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรกันแน่ ภายหลังจากโอรีเวียชนะสงครามแทนที่บ้านเมืองจะสงบสุขแต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม คนเถื่อนเพิ่มขึ้นทุกวันเราแทบจะไว้ใจคนเดินทางไม่ได้ข่าวลือแปลกๆ นั่นอีกท่านดีมีน ชาวเมืองหวาดกลัวกันนัก ข้าอยากรู้ว่าชาวเมืองโอรีเวียมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ”
“ อ้า ข้าเองก็จนใจพันธมิตรแต่ละเมืองเริ่มมิท่าทีแปลกไป พวกเขาคงเสียความเชื่อมั่นที่ทางสภายังไร้หนทางถอนคำสาป เมื่อความแข็งแกร่งของโอรีเวียถูกสั่นคลอนก็ไม่แปลกที่บางคนอยากจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ บางทีโอรีเวียอาจจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จมานานเกินไปจนมองไม่เห็นเค้าลางของความแข็งกระด้างจากพันธมิตรที่ก่อตัวอยู่ แล้วข่าวลือแปลกๆ ของเจ้ามันคืออะไรกันหรือ เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ ”
พ่อมดถามบ้าง
“ ท่านเดินทางมามากท่านไม่ได้ยินอะไรระหว่างทางบ้างหรือ ”
อาร์เธอว่า
“ มากมายทีเดียวแต่เราจะเชื่อว่าจริงได้สักกี่เรื่องกันล่ะและข้าอยากฟังข่าวลือของเจ้า ”
“ ในเมืองนี้ก็มีข่าวลือมากมายเหลือเกินแต่เรื่องที่ทำให้ข้ากังวลนั้นอาจจะฟังดูประหลาด ข้าได้ยินมาว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอีกฝั่งแม่น้ำบริเวณชายป่าต้องห้ามนั่น ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าร่างนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากควอซาร์จอมราชาปีศาจ ”
พ่อมดเฒ่าเอนกายไปด้านหลังสายตามีแววตระหนกแต่แค่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น
“ โอ้! น่าสนใจทีเดียวถึงแม้ข้าจะเชื่อมั่นว่าเขาได้จากไปตลอดกาลแล้วและออกจะมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเขา แต่การที่จะมีผู้ใดไปปรากฏกายบนพื้นดินฝั่งนั้นย่อมไม่ปรกติแน่ ว่าแต่มีคนเห็นเขาจริงๆ น่ะหรือแล้วเจ้าได้เห็นบ้างหรือเปล่า ”
เขายังพูดด้วยน้ำเสียงปรกติ
“ ข้าเองก็บอกไม่ได้ว่าใช่เขาแน่หรือเปล่า แต่เด็กชายสองคนยืนยันว่าพบร่างในชุดคลุมดำยืนอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ พวกเขาทั้งคู่ออกไปตกปลาในคืนพระจันทร์เต็มดวง เด็กๆ หวาดกลัวสิ่งที่เห็นมากเพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าดินแดนฝั่งนั้นถูกทิ้งร้างไร้ผู้คนและเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย ”
“ แล้วข้าจะพบเด็กๆ เหล่านั้นได้ที่ไหน ”
“ ท่านคงจะไม่เห็นพวกเขาแล้วล่ะ ในคืนนั้นพวกเขาวิ่งกลับบ้านพร้อมด้วยอาการไข้สูง ชาวเมืองพยายามหาทางรักษาแล้วแต่เด็กก็เสียชีวิตและร้ายกว่านั้นโรคนี้ติดต่อได้ น่าแปลกที่โรคนี้ติดต่อเฉพาะกับเด็กๆ คำสาปก็มุ่งผลต่อเด็ก ท่านดีมีนท่านคิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ”
“ ข้าเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน จนกว่าเราจะรู้ว่าใครข้ามไปที่ดินแดนแห่งนั้นด้วยจุดประสงค์อันใด ช่างน่าเศร้านักที่เราต้องเสียเด็กๆ ไปอีกแล้ว ข้าไม่รู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วพวกเจ้าแจ้งเรื่องไปยังโอรีเวียหรือยัง ”
“ แม่มดขาวประจำเมืองได้แจ้งไปแล้วข้าก็รออยู่ว่าใครจะมา ตอนแรกข้านึกว่าท่านได้รับคำสั่งไห้มาดูแลที่นี่เสียอีก นี่มันก็นานมากแล้วแล้วท่านไม่รู้เลยหรือว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของใคร ”
“ อันที่จริงข้ามีภาระอย่างอื่นต้องทำจนแทบไม่มีเวลากลับไปโอรีเวียเลย ถ้าไม่มีอะไรสำคัญน่ะนะข้าคงไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ประตูเมือง แต่เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้เห็นทีข้าต้องกลับเข้าเมืองอีกครั้งแล้ว ”
ในระหว่างที่คุยกันนั้นอาเธอร์ก็คิดย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เขาต้องละทิ้งบ้านเกิด แท้จริงแล้วเขาก็เป็นชาวเมืองโอรีเวียคนหนึ่ง เขาเกิดที่นั่นเติบโตที่นั่นและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตลอดมาจนกระทั่งวันหนึ่งเขาวิวาทกับบิดาของเขาอย่างรุนแรงจนถึงขั้นตัดขาดกัน หลังจากวันนั้นอาเธอร์ได้หันหลังให้โอรีเวียทิ้งอดีตและอนาคตอันรุ่งเรืองไว้ที่นั่น แล้วออกเดินทางเร่ร่อนเรื่อยมาจนกระทั่งถึงซีนาร์ยเมืองเล็กๆ อันสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ อาเธอร์ได้สร้างครอบครัวใหม่อันอบอุ่นขึ้นที่นี่โดยที่ญาติจากโอรีเวียไม่เคยแม้แต่จะติดต่อมาตลอดเวลากว่าสิบปี ชีวิตของเขาแทบจะตัดขาดจากโอรีเวียโดยสิ้นเชิง
พ่อมดยกน้ำชาขึ้นจิบ
คาโลไรน์เสนอจะยกขนมมาเพิ่มให้เขาแต่พ่อมดบอกปฏิเสธ
“ อย่าดีกว่า ถ้าขืนยังกินต่อไปม้าของข้าคงไม่ยอมให้ข้าขี่หลัง ”
แล้วเขาก็หันมาทางอาเธอร์สีหน้าจริงจัง
“ ข้าคิดอยู่นานว่าจะบอกกับเจ้ายังไงดี เพราะไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไรก็คงเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้แม้มันอาจไม่น่ารื่นเริงนักหรืออาจจะขมขื่นไปเลยแต่นั่นหาใช่ประเด็นไม่ สุดท้ายแล้ววันเวลาเหล่านั้นก็จะผ่านไปอาเธอร์ ”
พ่อมดล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมเก่าขาดเขากำบางสิ่งบางอย่างไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
อาเธอร์จับจ้องดูเขาโดยไม่เอ่ยอะไรเพราะเขารู้ว่าในไม่ช้าเขาจะได้พบกับเรื่องราวทั้งหมด
เขาเป็นคนเยือกเย็นเสมอแม้อยู่ต่อหน้าความตายบิดาของเขาเคยบอกเช่นนั้น
“ ข้ามีของสองสิ่งจะให้เจ้าสหายรักเจ้าบอกข้าสิว่าเจ้าต้องการอะไรเป็นอย่างแรก ระหว่างข่าวฝากกับของฝากแน่นอนมันถูกส่งมาจากโอรีเวียโดยบิดาของเจ้า แต่สหายรักเจ้ามีสิทธิจะไม่ยอมรับมันและข้าจะนำมันกลับไปโดยไม่เผยให้เจ้าได้เห็นแม้แต่น้อย หากแต่เมื่อเจ้าได้รู้ได้เห็นมันแล้วเจ้าต้องรับมันไว้โดยไม่มีข้อยกเว้น ”
“ บิดาของข้าฝากมาอย่างนั้นหรือ ท่านพูดเรื่องจริงหรือเขาตัดขาดข้าไปแล้วท่านก็รู้ดี ”
อาเธอร์ประหลาดใจ
“ นี่แหละจิตใจคนเจ้าจะไปรู้อะไรสิ่งที่พูดกันอยู่ทุกวันบางครั้งก็หาได้ออกมาจากใจจริงไม่ จะว่าอย่างไรละตกลงเจ้าอยากได้ของฝากหรือไม่ บิดาเจ้าไม่สิ้นเยื่อใยอย่างที่เจ้าคิดเว้นแต่เป็นเจ้าเองที่ต้องการละทิ้งเขา ”
“ ของฝาก ”
อาเธอร์ตอบโดยทันที
ชายหนุ่มหวาดกลัวคำพูดจากปากบิดาของเขายิ่งนักชายแก่ผู้หยิ่งยโสมักจะมีคำพูดกรีดแทงชนชั้นล่างเสมอ
เขายังไม่พร้อมจะฟังข่าวใดๆ จากบิดาเพราะนั่นอาจจะเป็นแค่คำเยาะเย้ยถากถางให้ต้องเจ็บปวดเท่านั้น
“ ของฝาก ”
พ่อมดทวนคำ
“ ใช่แล้วเจ้าเลือกได้ดี มันง่ายสำหรับข้าเพราะแค่หยิบมันออกมาแล้วก็ส่งมันให้เจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เอาแต่จ้องมองพ่อมดวีดา ภายใต้เสื้อคลุมขาดวิ่นปิดซ่อนหลายสิ่งไว้ มันลึกลับเหมือนดงหญ้าสูงชันภายในนั้นจะมีอะไรบ้างนะบางทีอาจมีดาบวิเศษเก่าแก่หรือม้ามีปีกบินได้ แต่เด็กชายต้องรู้สึกผิดหวังนิดๆ เมื่อเห็นพ่อมดหยิบม้วนกระดาษสีน้ำตาลออกมา เขาสงสัยว่ากระดาษนี้มีความพิเศษอย่างไรเมื่อมันมาจากโอรีเวียมันจะต่างจากกระดาษทั่วไปอย่างไร แต่อาเธอร์ดูเหมือนจะเห็นความสำคัญของมันเพราะเขาจ้องมันอย่างตระหนกตัวแข็งทื่อ
“ พินัยกรรม ทำไมเพราะอะไรจึงส่งให้ข้า ”
“ อาเธอร์มันคือความจริงบิดาของเจ้าจากไปแล้ว ”
พ่อมดกล่าวอย่างอ่อนโยน
แคโลไรน์เอื้อมมือไปบีบมือเขาอย่างปลอบประโลม
“ เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ ”
“ ข้าจะเล่าให้ฟังทีหลังแต่ตอนนี้เมื่อเจ้ายอมรับของฝากแล้วก็จงลงชื่อในกระดาษแผ่นนี้เสีย ”
เขาคลี่แผ่นกระดาษออกแล้วส่งให้อาเธอร์
“ เขายกที่ดินรกร้างนอกเมืองและตึกเก่าๆ หลังหนึ่งให้ข้านี่เจตนาจะดูถูกข้าจนวินาทีสุดท้ายหรืออย่างไร ”
อาเธอร์กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่บิดายังไม่ยอมรับในตัวเขา
“ ผิดแล้วความจริงเขาเข้าใจเจ้าที่ดินแปลงนั้นเขาซื้อไว้เพราะเห็นว่ามีทำเลที่เหมาะจะทำฟาร์ม เขาปฏิเสธราคาที่มีคนเสนอให้สูงลิ่วแล้วก็ปล่อยให้ที่ดินรกร้างอย่างนั้นโดยไม่ทำอะไร เพราะเขาขลาดเกินกว่าจะเรียกเจ้ากลับไป ”
อาเธอร์มองสบตาคาโลไรน์นิ่งนาน
“ ข้าคงรับไว้ไม่ได้ท่านวีดา โอรีเวียอยู่ไกลเหลือเกินข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปและพวกเรามีความสุขมากในเมืองนี้ แน่นอนว่าสักวันข้าต้องไปเยี่ยมหลุมศพของเขา ”
“ เจ้าต้องรับไว้อาเธอร์เพราะมันเป็นของเจ้า บิดาของเจ้าประสงค์เช่นนั้นนี่เจ้าจะทำร้ายจิตใจแม้แต่คนที่สิ้นลมไปแล้วอย่างนั้นหรือ อีกอย่างเจ้ารับปากข้าแล้ว ”
อาเธอร์ถอนหายใจเขาถอดแหวนที่เคยอยู่ติดนิ้วของเขามาตั้งแต่ก่อนเดินทางจากโอรีเวีย เขายังคงสวมมันเสมอมาจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มมองมันอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะส่งให้พ่อมดวีดาเพื่อป้ายมึกสีแดงลงบนหัวแหวน และเมื่อประทับมันลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาลก็ปรากฏเป็นรูปร่างของมังกรสีแดงกำลังขดอยู่ในไข่ อาเธอร์ลงชื่อใต้สัญลักษณ์นั้นพ่อมดฉวยมันม้วนกลับลงในเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว
“ เสร็จไปหนึ่งอย่าง ”
ดีมีนพูดอย่างโล่งใจพลางดึงพวงกุญแจทองเหลืองออกมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับถุงผ้าอ้วนๆ ถุงหนึ่ง
“ ข้ากลัวนักกลัวหนาว่าความหวังของบิดาเจ้าจะสูญเปล่า กุญแจบ้านกับเหรียญทองคำนี่จะช่วยให้เจ้าไปโอรีเวียได้ง่ายขึ้น แน่นอนข้าหมายถึงหากถึงเวลาที่เจ้าอยากกลับไปจริงๆ ”
เมื่อเห็นว่าอาเธอร์มองสิ่งเหล่านี้แค่ผ่านๆ เขาจึงกล่าวต่อ
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ฟังนะตั้งแต่เจ้าหนีมาบิดาของเจ้าก็ไม่เป็นอันกินอันนอนเฝ้าถามข่าวถึงเจ้าตลอด ครั้งหลังนี่พอเขารู้ข่าวว่าแอสเธอลาสน้องชายเจ้าหายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมกับข่าวลือว่าเขาเดินทางเข้าสู่สงครามบิดาของเจ้าก็ล้มป่วยลงเขาไม่พูดกับใครอีกเลย ในเวลานั้นข้าไม่ได้อยู่ที่โอรีเวียจึงทำได้เพียงถามข่าวคราวจากทหารที่มีหน้าที่เดินข่าว พวกเขามีแต่เรื่องเล่าที่ทำให้ข้าหวั่นใจจนสุดท้ายข้าต้องละทิ้งหน้าที่เพื่อเดินทางไปพบบิดาของเจ้า ข้าเฝ้าดูแลเขาจนสงครามจบลงแต่อาการของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ข้ารู้ว่าคงไม่มีทางใดที่จะเยียวยาเขาได้หากว่าแอสเธอลาสไม่กลับมา เมื่อทหารกองสุดท้ายกลับสู่ประตูโอรีเวียโดยไร้เงาของแอสเธอลาสข้าก็ออกเดินทางทันที ข้าเที่ยวตามหาแอสเธอลาสไปทั่วในใจได้แต่หวังว่าเขาอาจจะยังเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้าเดินทางเรื่อยไปจนถึงสถานที่ที่ข้าไม่อยากเข้าใกล้ ”
เสียงของพ่อมดแผ่วลง
“ ข้าตัดสินใจเข้าไปในนั้นเมืองที่ล่มสลายเมืองที่ถูกตราหน้าว่าเป็นความดำมืด ที่นั่นเองภายใต้ซากปรักหักพังข้าพบร่างของเขาที่นั่นแต่ด้วยระยะทางและเส้นทางที่กันดารข้าจึงไม่อาจพาร่างที่เน่าเปื่อยของเขากลับมาด้วย แต่ข้านำหน้ากากทองของเขาไปส่งจนถึงมือบิดาของเจ้า อาเธอร์ข้าเชื่อว่าบิดาของเจ้าก็เสียใจไม่น้อยที่เจ้าจากโอรีเวียมา ก่อนที่เขาจะสิ้นลมเขายังเรียกหาเจ้าอยู่เลย ”
“ ข้าเสียใจ ”
พ่อมดเอ่ยขึ้นอีก
“ เราห่างหายกันไปนานเมื่อพบกันอีกครั้งข้ากลับนำเรื่องน่าเศร้ามาด้วย แต่ขอให้เชื่อว่าข้าไม่ปรารถนาเช่นนั้นข้าคิดถึงพวกเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์และมุ่งหวังจะมาเยี่ยมพวกเจ้าให้บ่อยครั้งกว่าที่เป็น แม้อยู่ท่ามกลางวุ่นวายข้ายังอยากมาหาเจ้า มาบอกเล่าข่าวบิดาเจ้าให้ให้รับรู้ก่อนที่เขาจะสิ้นลม ด้วยภาระอันหนักอึ้งที่ประดังเข้ามาเป็นเรื่องยากที่ข้าจะปลีกตัวมาได้แต่ในที่สุดข้าก็มาแม้จะไม่ใช่ในแบบที่ข้าต้องการ ”
“ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองทั้งๆ ที่รู้ว่าแอสเธอลาสเขายืนอยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอดแม้ในยามที่ข้าทะเยอทะยานอย่างบ้าคลั่ง แต่ข้าก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง ท้ายสุดเป็นข้าเองที่ขี้ขลาดเป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหนข้าเป็นคนทำให้เขาตาย ”
อาเธอร์เสียงสั่น
“ จงอย่าโทษตัวเองอาเธอร์ ความตายนั้นยากที่ใครจะกำหนดถ้าวันนั้นเจ้าไม่จากมาตระกูลของเจ้าอาจไม่เหลือใคร ทุกสิ่งที่ลงมือทำย่อมมีความสำคัญในตัวของมันเองเจ้าอย่าได้ทำตัวอ่อนแอ คำสาปนั้นมุ่งร้ายต่อเด็กข้าเกรงว่ามันจะไม่จบเพียงเท่านี้ ลูกๆ ของเจ้าต้องการการปกป้องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่ข้างพวกเขาดูแลเด็กๆ ให้เติบใหญ่ ”
“ ข้ามีคำถามหนึ่งท่านแน่ใจแล้วหรือว่าร่างที่ท่านเห็นในเมืองคาเลนั่นคือแอสเธอลาส ”
อาเธอร์ถาม
“ อาเธอร์ข้าเห็นเขามาตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกต่อให้ร่างเน่าเปื่อยเหลือเพียงกระดูกข้าก็ย่อมรู้ และเจ้ารู้จักหน้ากากของผู้พิทักษ์หน้ากากทองดี สิ่งนั้นจะบ่งบอกตัวตนของร่างแม้จะถูกทำลายจนไม่เหลือซาก เว้นแต่ผู้มีอำนาจเวทมนตร์สูงจะทำอะไรบางอย่างจึงจะทำให้สิ่งนี้ผิดเพี้ยนไป ”
“ ไม่รู้สิ ข้าไม่อยากเชื่อเขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ”
“ จริงอยู่ด้วยตำแหน่งเขาต้องประจำอยู่ในโอรีเวียแต่ยังมีหลายสาเหตุที่อาจทำให้เขาละทิ้งหน้าที่ เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด จะว่าไปหน้าที่ๆ แท้จริงของผู้พิทักษ์หน้ากากทองนั้นเป็นความลับยิ่งแม้คนในอย่างข้ายังไม่รู้แจ้งไฉนเลยคนนอกจะรู้จริง ”
“ ข้าเข้าใจเรื่องนั้นแต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีเพราะอะไรเหตุใดเขาจึงอยู่ที่นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า….แต่เพื่ออะไรล่ะ ”
เสียงของอาเธอร์เต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่นใจความทรงจำมากมายประดังเข้ามาดังเงามืดที่โถมซัดเข้าใส่
“ ทำไมล่ะหรือเจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้ายังมีสิ่งใดที่ไม่ได้พูดออกมา ”
สายตาของพ่อมดนั้นคมกริบดังใบมีดที่คอยเฉือนหาคำตอบ
“ ไม่มีหรอกเพียงแต่เรื่องนี้มันยากเกินไป ”
“ พวกเจ้าสองคนสนิทกันมากเรื่องแบบนี้คงทำเจ้าเจ็บปวดอาเธอร์ แต่การเผชิญหน้ากับความจริงย่อมดีกว่าวิ่งหนีไป เจ้าจำเป็นต้องรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นและยอมรับมัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะตามติดเจ้าจนถึงวันตาย ”
พ่อมดปลอบ
“ ในกลุ่มผู้กล้าย่อมรู้ดีมิตรภาพและความสูญเสียเกิดขึ้นอยู่เสมอข้าเรียนรู้สิ่งนี้มาโดยตลอด แต่มีบางเรื่องที่ทำใจยากเหลือเกินแม้จะรู้ดีวันหนึ่งมันอาจต้องมาถึง ”
อาเธอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ ชั่วชีวิตหนึ่งต้องมีสักเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คนที่รู้จักปล่อยวางจึงนับว่าฉลาด สำหรับข้าในเวลานี้คงต้องกล่าวคำอำลาเสียทีเวลาของข้านั้นสั้นนัก ”
อยู่ๆ พ่อมดดีมีนก็ตัดบทไปเสียอย่างนั้น
“ ท่านจะไปแล้วหรือข้านึกว่าท่านจะพักอยู่กับเราสักคืนสองคืนเพราะท่านเองก็เดินทางมาไกลมาก ”
อาเธอร์ท้วงขึ้นมาทันทีเพราะเห็นว่าเวลานี้บ่ายคล้อยไปมากแล้วอีกไม่นานแสงอาทิตย์คงลับขอบฟ้า
“ จากนี้ท่านจะไปแห่งใดเหตุใดจึงรีบร้อนนักขอเชิญท่านพักอยู่กับเราก่อนเถิด ”
คาโลไรน์ว่าบ้าง
“ สภาพ่อมดมีมติให้ข้าสืบเรื่องสายสร้อยแห่งมนตราข้าจึงต้องเดินทางไปเมืองอันดอร์รีส เนื่องจากมีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของมัน องค์ประทานสภาเกรงว่ามันอาจเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามขึ้นอีก ”
“ แล้วสร้อยคอมันไปเกี่ยวกับสงครามได้อย่างไรข้าไม่ยักกะรู้สึกว่ามันมีค่าพอให้แย่งชิงกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตั้งคำถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาเป็นแค่เด็กชายคนตัวเล็กๆ จึงเข้าใจเพียงแต่ว่ามันเป็นแค่สร้อยเส้นหนึ่ง ต่อให้ทำจากทองคำหากขายก็คงได้ราคาไม่พอเลี้ยงคนทั้งเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้จะฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงกันไปทำไมเมื่อมันไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไป
“ นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ลูก ”
คาโลไรน์เตือนเบาๆ
“ เพราะพวกเขาเป็นคนโง่อย่างไรล่ะ สายสร้อยนั้นถูกกล่าวถึงอยู่ในตำนานเก่าแก่เป็นที่ล่ำลือกันว่าแรกเริ่มเดิมทีสายสร้อยนั้นกำเนิดบนดินแดนอันดอรีส เป็นของวิเศษที่มีพลังสูงจนเชื่อว่าจะสามารถถอนคำสาปของควอซาได้ แต่ชาวอันดอรีสกลับไม่รู้เรื่องนี้พูดตามจริงคือยังไม่มีใครเคยพบมันด้วยซ้ำ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ร่ำร้องให้ตามหาทั้งที่ยังไม่รู้แน่ว่ามันมีอยู่จริงและข้าก็โง่ตามๆ เขามาเท่านั้นเอง ”
พ่อมดตอบเด็กชายพลางหัวเราะ
“ ถ้ามีอยู่จริงก็ดีแล้วนี่นาเรื่องร้ายๆ จะได้จบเสียทีไม่เห็นต้องกังวลอันใดเลย ”
เด็กชายว่า
“ โอ้เด็กน้อยมันดีก็จริงแต่ของที่เลอเลิศมักนำมาซึ่งพิษภัยเสมอมีใครบ้างไม่อยากได้ มีกี่คนที่จะอ้างสิทธิ์และที่สำคัญมันมีอยู่จริงหรือเปล่า แม้ในตอนนี้ข้ายังเชื่อว่าหากข่าวลือนี้แพร่งพรายออกไปคงมีคนโง่อีกไม่น้อยมุ่งตรงมายังอันดอรีสและถึงตอนนั้นความวุ่นวายย่อมบังเกิดเพราะในเวลานี้ผู้คนกำลังสิ้นหวัง คำสาปนั้นกัดกินจิตใจจนมืดบอดหากมีสิ่งใดที่พอเป็นแสงสว่างพวกเขาก็จะพุ่งเข้าหาโดยไม่สนใจศีลธรรม ”
“ ตลอดหลายปีมานี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ”
อาเธอร์กล่าวขึ้นในตอนหนึ่ง
“ เมืองซีนาร์ยเคยสงบสุขแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ข้ารู้สึกถึงมันเงาแห่งความเกรี้ยวกราดที่มองไม่เห็น นี่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรกันแน่ ภายหลังจากโอรีเวียชนะสงครามแทนที่บ้านเมืองจะสงบสุขแต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม คนเถื่อนเพิ่มขึ้นทุกวันเราแทบจะไว้ใจคนเดินทางไม่ได้ข่าวลือแปลกๆ นั่นอีกท่านดีมีน ชาวเมืองหวาดกลัวกันนัก ข้าอยากรู้ว่าชาวเมืองโอรีเวียมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ”
“ อ้า ข้าเองก็จนใจพันธมิตรแต่ละเมืองเริ่มมิท่าทีแปลกไป พวกเขาคงเสียความเชื่อมั่นที่ทางสภายังไร้หนทางถอนคำสาป เมื่อความแข็งแกร่งของโอรีเวียถูกสั่นคลอนก็ไม่แปลกที่บางคนอยากจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ บางทีโอรีเวียอาจจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จมานานเกินไปจนมองไม่เห็นเค้าลางของความแข็งกระด้างจากพันธมิตรที่ก่อตัวอยู่ แล้วข่าวลือแปลกๆ ของเจ้ามันคืออะไรกันหรือ เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ ”
พ่อมดถามบ้าง
“ ท่านเดินทางมามากท่านไม่ได้ยินอะไรระหว่างทางบ้างหรือ ”
อาร์เธอว่า
“ มากมายทีเดียวแต่เราจะเชื่อว่าจริงได้สักกี่เรื่องกันล่ะและข้าอยากฟังข่าวลือของเจ้า ”
“ ในเมืองนี้ก็มีข่าวลือมากมายเหลือเกินแต่เรื่องที่ทำให้ข้ากังวลนั้นอาจจะฟังดูประหลาด ข้าได้ยินมาว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอีกฝั่งแม่น้ำบริเวณชายป่าต้องห้ามนั่น ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าร่างนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากควอซาร์จอมราชาปีศาจ ”
พ่อมดเฒ่าเอนกายไปด้านหลังสายตามีแววตระหนกแต่แค่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น
“ โอ้! น่าสนใจทีเดียวถึงแม้ข้าจะเชื่อมั่นว่าเขาได้จากไปตลอดกาลแล้วและออกจะมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเขา แต่การที่จะมีผู้ใดไปปรากฏกายบนพื้นดินฝั่งนั้นย่อมไม่ปรกติแน่ ว่าแต่มีคนเห็นเขาจริงๆ น่ะหรือแล้วเจ้าได้เห็นบ้างหรือเปล่า ”
เขายังพูดด้วยน้ำเสียงปรกติ
“ ข้าเองก็บอกไม่ได้ว่าใช่เขาแน่หรือเปล่า แต่เด็กชายสองคนยืนยันว่าพบร่างในชุดคลุมดำยืนอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ พวกเขาทั้งคู่ออกไปตกปลาในคืนพระจันทร์เต็มดวง เด็กๆ หวาดกลัวสิ่งที่เห็นมากเพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าดินแดนฝั่งนั้นถูกทิ้งร้างไร้ผู้คนและเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย ”
“ แล้วข้าจะพบเด็กๆ เหล่านั้นได้ที่ไหน ”
“ ท่านคงจะไม่เห็นพวกเขาแล้วล่ะ ในคืนนั้นพวกเขาวิ่งกลับบ้านพร้อมด้วยอาการไข้สูง ชาวเมืองพยายามหาทางรักษาแล้วแต่เด็กก็เสียชีวิตและร้ายกว่านั้นโรคนี้ติดต่อได้ น่าแปลกที่โรคนี้ติดต่อเฉพาะกับเด็กๆ คำสาปก็มุ่งผลต่อเด็ก ท่านดีมีนท่านคิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ”
“ ข้าเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน จนกว่าเราจะรู้ว่าใครข้ามไปที่ดินแดนแห่งนั้นด้วยจุดประสงค์อันใด ช่างน่าเศร้านักที่เราต้องเสียเด็กๆ ไปอีกแล้ว ข้าไม่รู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วพวกเจ้าแจ้งเรื่องไปยังโอรีเวียหรือยัง ”
“ แม่มดขาวประจำเมืองได้แจ้งไปแล้วข้าก็รออยู่ว่าใครจะมา ตอนแรกข้านึกว่าท่านได้รับคำสั่งไห้มาดูแลที่นี่เสียอีก นี่มันก็นานมากแล้วแล้วท่านไม่รู้เลยหรือว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของใคร ”
“ อันที่จริงข้ามีภาระอย่างอื่นต้องทำจนแทบไม่มีเวลากลับไปโอรีเวียเลย ถ้าไม่มีอะไรสำคัญน่ะนะข้าคงไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ประตูเมือง แต่เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้เห็นทีข้าต้องกลับเข้าเมืองอีกครั้งแล้ว ”
ในระหว่างที่คุยกันนั้นอาเธอร์ก็คิดย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เขาต้องละทิ้งบ้านเกิด แท้จริงแล้วเขาก็เป็นชาวเมืองโอรีเวียคนหนึ่ง เขาเกิดที่นั่นเติบโตที่นั่นและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตลอดมาจนกระทั่งวันหนึ่งเขาวิวาทกับบิดาของเขาอย่างรุนแรงจนถึงขั้นตัดขาดกัน หลังจากวันนั้นอาเธอร์ได้หันหลังให้โอรีเวียทิ้งอดีตและอนาคตอันรุ่งเรืองไว้ที่นั่น แล้วออกเดินทางเร่ร่อนเรื่อยมาจนกระทั่งถึงซีนาร์ยเมืองเล็กๆ อันสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ อาเธอร์ได้สร้างครอบครัวใหม่อันอบอุ่นขึ้นที่นี่โดยที่ญาติจากโอรีเวียไม่เคยแม้แต่จะติดต่อมาตลอดเวลากว่าสิบปี ชีวิตของเขาแทบจะตัดขาดจากโอรีเวียโดยสิ้นเชิง
พ่อมดยกน้ำชาขึ้นจิบ
คาโลไรน์เสนอจะยกขนมมาเพิ่มให้เขาแต่พ่อมดบอกปฏิเสธ
“ อย่าดีกว่า ถ้าขืนยังกินต่อไปม้าของข้าคงไม่ยอมให้ข้าขี่หลัง ”
แล้วเขาก็หันมาทางอาเธอร์สีหน้าจริงจัง
“ ข้าคิดอยู่นานว่าจะบอกกับเจ้ายังไงดี เพราะไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไรก็คงเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้แม้มันอาจไม่น่ารื่นเริงนักหรืออาจจะขมขื่นไปเลยแต่นั่นหาใช่ประเด็นไม่ สุดท้ายแล้ววันเวลาเหล่านั้นก็จะผ่านไปอาเธอร์ ”
พ่อมดล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมเก่าขาดเขากำบางสิ่งบางอย่างไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
อาเธอร์จับจ้องดูเขาโดยไม่เอ่ยอะไรเพราะเขารู้ว่าในไม่ช้าเขาจะได้พบกับเรื่องราวทั้งหมด
เขาเป็นคนเยือกเย็นเสมอแม้อยู่ต่อหน้าความตายบิดาของเขาเคยบอกเช่นนั้น
“ ข้ามีของสองสิ่งจะให้เจ้าสหายรักเจ้าบอกข้าสิว่าเจ้าต้องการอะไรเป็นอย่างแรก ระหว่างข่าวฝากกับของฝากแน่นอนมันถูกส่งมาจากโอรีเวียโดยบิดาของเจ้า แต่สหายรักเจ้ามีสิทธิจะไม่ยอมรับมันและข้าจะนำมันกลับไปโดยไม่เผยให้เจ้าได้เห็นแม้แต่น้อย หากแต่เมื่อเจ้าได้รู้ได้เห็นมันแล้วเจ้าต้องรับมันไว้โดยไม่มีข้อยกเว้น ”
“ บิดาของข้าฝากมาอย่างนั้นหรือ ท่านพูดเรื่องจริงหรือเขาตัดขาดข้าไปแล้วท่านก็รู้ดี ”
อาเธอร์ประหลาดใจ
“ นี่แหละจิตใจคนเจ้าจะไปรู้อะไรสิ่งที่พูดกันอยู่ทุกวันบางครั้งก็หาได้ออกมาจากใจจริงไม่ จะว่าอย่างไรละตกลงเจ้าอยากได้ของฝากหรือไม่ บิดาเจ้าไม่สิ้นเยื่อใยอย่างที่เจ้าคิดเว้นแต่เป็นเจ้าเองที่ต้องการละทิ้งเขา ”
“ ของฝาก ”
อาเธอร์ตอบโดยทันที
ชายหนุ่มหวาดกลัวคำพูดจากปากบิดาของเขายิ่งนักชายแก่ผู้หยิ่งยโสมักจะมีคำพูดกรีดแทงชนชั้นล่างเสมอ
เขายังไม่พร้อมจะฟังข่าวใดๆ จากบิดาเพราะนั่นอาจจะเป็นแค่คำเยาะเย้ยถากถางให้ต้องเจ็บปวดเท่านั้น
“ ของฝาก ”
พ่อมดทวนคำ
“ ใช่แล้วเจ้าเลือกได้ดี มันง่ายสำหรับข้าเพราะแค่หยิบมันออกมาแล้วก็ส่งมันให้เจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เอาแต่จ้องมองพ่อมดวีดา ภายใต้เสื้อคลุมขาดวิ่นปิดซ่อนหลายสิ่งไว้ มันลึกลับเหมือนดงหญ้าสูงชันภายในนั้นจะมีอะไรบ้างนะบางทีอาจมีดาบวิเศษเก่าแก่หรือม้ามีปีกบินได้ แต่เด็กชายต้องรู้สึกผิดหวังนิดๆ เมื่อเห็นพ่อมดหยิบม้วนกระดาษสีน้ำตาลออกมา เขาสงสัยว่ากระดาษนี้มีความพิเศษอย่างไรเมื่อมันมาจากโอรีเวียมันจะต่างจากกระดาษทั่วไปอย่างไร แต่อาเธอร์ดูเหมือนจะเห็นความสำคัญของมันเพราะเขาจ้องมันอย่างตระหนกตัวแข็งทื่อ
“ พินัยกรรม ทำไมเพราะอะไรจึงส่งให้ข้า ”
“ อาเธอร์มันคือความจริงบิดาของเจ้าจากไปแล้ว ”
พ่อมดกล่าวอย่างอ่อนโยน
แคโลไรน์เอื้อมมือไปบีบมือเขาอย่างปลอบประโลม
“ เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ ”
“ ข้าจะเล่าให้ฟังทีหลังแต่ตอนนี้เมื่อเจ้ายอมรับของฝากแล้วก็จงลงชื่อในกระดาษแผ่นนี้เสีย ”
เขาคลี่แผ่นกระดาษออกแล้วส่งให้อาเธอร์
“ เขายกที่ดินรกร้างนอกเมืองและตึกเก่าๆ หลังหนึ่งให้ข้านี่เจตนาจะดูถูกข้าจนวินาทีสุดท้ายหรืออย่างไร ”
อาเธอร์กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่บิดายังไม่ยอมรับในตัวเขา
“ ผิดแล้วความจริงเขาเข้าใจเจ้าที่ดินแปลงนั้นเขาซื้อไว้เพราะเห็นว่ามีทำเลที่เหมาะจะทำฟาร์ม เขาปฏิเสธราคาที่มีคนเสนอให้สูงลิ่วแล้วก็ปล่อยให้ที่ดินรกร้างอย่างนั้นโดยไม่ทำอะไร เพราะเขาขลาดเกินกว่าจะเรียกเจ้ากลับไป ”
อาเธอร์มองสบตาคาโลไรน์นิ่งนาน
“ ข้าคงรับไว้ไม่ได้ท่านวีดา โอรีเวียอยู่ไกลเหลือเกินข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปและพวกเรามีความสุขมากในเมืองนี้ แน่นอนว่าสักวันข้าต้องไปเยี่ยมหลุมศพของเขา ”
“ เจ้าต้องรับไว้อาเธอร์เพราะมันเป็นของเจ้า บิดาของเจ้าประสงค์เช่นนั้นนี่เจ้าจะทำร้ายจิตใจแม้แต่คนที่สิ้นลมไปแล้วอย่างนั้นหรือ อีกอย่างเจ้ารับปากข้าแล้ว ”
อาเธอร์ถอนหายใจเขาถอดแหวนที่เคยอยู่ติดนิ้วของเขามาตั้งแต่ก่อนเดินทางจากโอรีเวีย เขายังคงสวมมันเสมอมาจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มมองมันอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะส่งให้พ่อมดวีดาเพื่อป้ายมึกสีแดงลงบนหัวแหวน และเมื่อประทับมันลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาลก็ปรากฏเป็นรูปร่างของมังกรสีแดงกำลังขดอยู่ในไข่ อาเธอร์ลงชื่อใต้สัญลักษณ์นั้นพ่อมดฉวยมันม้วนกลับลงในเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว
“ เสร็จไปหนึ่งอย่าง ”
ดีมีนพูดอย่างโล่งใจพลางดึงพวงกุญแจทองเหลืองออกมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับถุงผ้าอ้วนๆ ถุงหนึ่ง
“ ข้ากลัวนักกลัวหนาว่าความหวังของบิดาเจ้าจะสูญเปล่า กุญแจบ้านกับเหรียญทองคำนี่จะช่วยให้เจ้าไปโอรีเวียได้ง่ายขึ้น แน่นอนข้าหมายถึงหากถึงเวลาที่เจ้าอยากกลับไปจริงๆ ”
เมื่อเห็นว่าอาเธอร์มองสิ่งเหล่านี้แค่ผ่านๆ เขาจึงกล่าวต่อ
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ฟังนะตั้งแต่เจ้าหนีมาบิดาของเจ้าก็ไม่เป็นอันกินอันนอนเฝ้าถามข่าวถึงเจ้าตลอด ครั้งหลังนี่พอเขารู้ข่าวว่าแอสเธอลาสน้องชายเจ้าหายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมกับข่าวลือว่าเขาเดินทางเข้าสู่สงครามบิดาของเจ้าก็ล้มป่วยลงเขาไม่พูดกับใครอีกเลย ในเวลานั้นข้าไม่ได้อยู่ที่โอรีเวียจึงทำได้เพียงถามข่าวคราวจากทหารที่มีหน้าที่เดินข่าว พวกเขามีแต่เรื่องเล่าที่ทำให้ข้าหวั่นใจจนสุดท้ายข้าต้องละทิ้งหน้าที่เพื่อเดินทางไปพบบิดาของเจ้า ข้าเฝ้าดูแลเขาจนสงครามจบลงแต่อาการของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ข้ารู้ว่าคงไม่มีทางใดที่จะเยียวยาเขาได้หากว่าแอสเธอลาสไม่กลับมา เมื่อทหารกองสุดท้ายกลับสู่ประตูโอรีเวียโดยไร้เงาของแอสเธอลาสข้าก็ออกเดินทางทันที ข้าเที่ยวตามหาแอสเธอลาสไปทั่วในใจได้แต่หวังว่าเขาอาจจะยังเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้าเดินทางเรื่อยไปจนถึงสถานที่ที่ข้าไม่อยากเข้าใกล้ ”
เสียงของพ่อมดแผ่วลง
“ ข้าตัดสินใจเข้าไปในนั้นเมืองที่ล่มสลายเมืองที่ถูกตราหน้าว่าเป็นความดำมืด ที่นั่นเองภายใต้ซากปรักหักพังข้าพบร่างของเขาที่นั่นแต่ด้วยระยะทางและเส้นทางที่กันดารข้าจึงไม่อาจพาร่างที่เน่าเปื่อยของเขากลับมาด้วย แต่ข้านำหน้ากากทองของเขาไปส่งจนถึงมือบิดาของเจ้า อาเธอร์ข้าเชื่อว่าบิดาของเจ้าก็เสียใจไม่น้อยที่เจ้าจากโอรีเวียมา ก่อนที่เขาจะสิ้นลมเขายังเรียกหาเจ้าอยู่เลย ”
“ ข้าเสียใจ ”
พ่อมดเอ่ยขึ้นอีก
“ เราห่างหายกันไปนานเมื่อพบกันอีกครั้งข้ากลับนำเรื่องน่าเศร้ามาด้วย แต่ขอให้เชื่อว่าข้าไม่ปรารถนาเช่นนั้นข้าคิดถึงพวกเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์และมุ่งหวังจะมาเยี่ยมพวกเจ้าให้บ่อยครั้งกว่าที่เป็น แม้อยู่ท่ามกลางวุ่นวายข้ายังอยากมาหาเจ้า มาบอกเล่าข่าวบิดาเจ้าให้ให้รับรู้ก่อนที่เขาจะสิ้นลม ด้วยภาระอันหนักอึ้งที่ประดังเข้ามาเป็นเรื่องยากที่ข้าจะปลีกตัวมาได้แต่ในที่สุดข้าก็มาแม้จะไม่ใช่ในแบบที่ข้าต้องการ ”
“ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองทั้งๆ ที่รู้ว่าแอสเธอลาสเขายืนอยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอดแม้ในยามที่ข้าทะเยอทะยานอย่างบ้าคลั่ง แต่ข้าก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง ท้ายสุดเป็นข้าเองที่ขี้ขลาดเป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหนข้าเป็นคนทำให้เขาตาย ”
อาเธอร์เสียงสั่น
“ จงอย่าโทษตัวเองอาเธอร์ ความตายนั้นยากที่ใครจะกำหนดถ้าวันนั้นเจ้าไม่จากมาตระกูลของเจ้าอาจไม่เหลือใคร ทุกสิ่งที่ลงมือทำย่อมมีความสำคัญในตัวของมันเองเจ้าอย่าได้ทำตัวอ่อนแอ คำสาปนั้นมุ่งร้ายต่อเด็กข้าเกรงว่ามันจะไม่จบเพียงเท่านี้ ลูกๆ ของเจ้าต้องการการปกป้องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่ข้างพวกเขาดูแลเด็กๆ ให้เติบใหญ่ ”
“ ข้ามีคำถามหนึ่งท่านแน่ใจแล้วหรือว่าร่างที่ท่านเห็นในเมืองคาเลนั่นคือแอสเธอลาส ”
อาเธอร์ถาม
“ อาเธอร์ข้าเห็นเขามาตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกต่อให้ร่างเน่าเปื่อยเหลือเพียงกระดูกข้าก็ย่อมรู้ และเจ้ารู้จักหน้ากากของผู้พิทักษ์หน้ากากทองดี สิ่งนั้นจะบ่งบอกตัวตนของร่างแม้จะถูกทำลายจนไม่เหลือซาก เว้นแต่ผู้มีอำนาจเวทมนตร์สูงจะทำอะไรบางอย่างจึงจะทำให้สิ่งนี้ผิดเพี้ยนไป ”
“ ไม่รู้สิ ข้าไม่อยากเชื่อเขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ”
“ จริงอยู่ด้วยตำแหน่งเขาต้องประจำอยู่ในโอรีเวียแต่ยังมีหลายสาเหตุที่อาจทำให้เขาละทิ้งหน้าที่ เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด จะว่าไปหน้าที่ๆ แท้จริงของผู้พิทักษ์หน้ากากทองนั้นเป็นความลับยิ่งแม้คนในอย่างข้ายังไม่รู้แจ้งไฉนเลยคนนอกจะรู้จริง ”
“ ข้าเข้าใจเรื่องนั้นแต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีเพราะอะไรเหตุใดเขาจึงอยู่ที่นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า….แต่เพื่ออะไรล่ะ ”
เสียงของอาเธอร์เต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่นใจความทรงจำมากมายประดังเข้ามาดังเงามืดที่โถมซัดเข้าใส่
“ ทำไมล่ะหรือเจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้ายังมีสิ่งใดที่ไม่ได้พูดออกมา ”
สายตาของพ่อมดนั้นคมกริบดังใบมีดที่คอยเฉือนหาคำตอบ
“ ไม่มีหรอกเพียงแต่เรื่องนี้มันยากเกินไป ”
“ พวกเจ้าสองคนสนิทกันมากเรื่องแบบนี้คงทำเจ้าเจ็บปวดอาเธอร์ แต่การเผชิญหน้ากับความจริงย่อมดีกว่าวิ่งหนีไป เจ้าจำเป็นต้องรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นและยอมรับมัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะตามติดเจ้าจนถึงวันตาย ”
พ่อมดปลอบ
“ ในกลุ่มผู้กล้าย่อมรู้ดีมิตรภาพและความสูญเสียเกิดขึ้นอยู่เสมอข้าเรียนรู้สิ่งนี้มาโดยตลอด แต่มีบางเรื่องที่ทำใจยากเหลือเกินแม้จะรู้ดีวันหนึ่งมันอาจต้องมาถึง ”
อาเธอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ ชั่วชีวิตหนึ่งต้องมีสักเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คนที่รู้จักปล่อยวางจึงนับว่าฉลาด สำหรับข้าในเวลานี้คงต้องกล่าวคำอำลาเสียทีเวลาของข้านั้นสั้นนัก ”
อยู่ๆ พ่อมดดีมีนก็ตัดบทไปเสียอย่างนั้น
“ ท่านจะไปแล้วหรือข้านึกว่าท่านจะพักอยู่กับเราสักคืนสองคืนเพราะท่านเองก็เดินทางมาไกลมาก ”
อาเธอร์ท้วงขึ้นมาทันทีเพราะเห็นว่าเวลานี้บ่ายคล้อยไปมากแล้วอีกไม่นานแสงอาทิตย์คงลับขอบฟ้า
“ จากนี้ท่านจะไปแห่งใดเหตุใดจึงรีบร้อนนักขอเชิญท่านพักอยู่กับเราก่อนเถิด ”
คาโลไรน์ว่าบ้าง
“ สภาพ่อมดมีมติให้ข้าสืบเรื่องสายสร้อยแห่งมนตราข้าจึงต้องเดินทางไปเมืองอันดอร์รีส เนื่องจากมีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของมัน องค์ประทานสภาเกรงว่ามันอาจเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามขึ้นอีก ”
“ แล้วสร้อยคอมันไปเกี่ยวกับสงครามได้อย่างไรข้าไม่ยักกะรู้สึกว่ามันมีค่าพอให้แย่งชิงกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตั้งคำถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาเป็นแค่เด็กชายคนตัวเล็กๆ จึงเข้าใจเพียงแต่ว่ามันเป็นแค่สร้อยเส้นหนึ่ง ต่อให้ทำจากทองคำหากขายก็คงได้ราคาไม่พอเลี้ยงคนทั้งเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้จะฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงกันไปทำไมเมื่อมันไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไป
“ นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ลูก ”
คาโลไรน์เตือนเบาๆ
“ เพราะพวกเขาเป็นคนโง่อย่างไรล่ะ สายสร้อยนั้นถูกกล่าวถึงอยู่ในตำนานเก่าแก่เป็นที่ล่ำลือกันว่าแรกเริ่มเดิมทีสายสร้อยนั้นกำเนิดบนดินแดนอันดอรีส เป็นของวิเศษที่มีพลังสูงจนเชื่อว่าจะสามารถถอนคำสาปของควอซาได้ แต่ชาวอันดอรีสกลับไม่รู้เรื่องนี้พูดตามจริงคือยังไม่มีใครเคยพบมันด้วยซ้ำ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ร่ำร้องให้ตามหาทั้งที่ยังไม่รู้แน่ว่ามันมีอยู่จริงและข้าก็โง่ตามๆ เขามาเท่านั้นเอง ”
พ่อมดตอบเด็กชายพลางหัวเราะ
“ ถ้ามีอยู่จริงก็ดีแล้วนี่นาเรื่องร้ายๆ จะได้จบเสียทีไม่เห็นต้องกังวลอันใดเลย ”
เด็กชายว่า
“ โอ้เด็กน้อยมันดีก็จริงแต่ของที่เลอเลิศมักนำมาซึ่งพิษภัยเสมอมีใครบ้างไม่อยากได้ มีกี่คนที่จะอ้างสิทธิ์และที่สำคัญมันมีอยู่จริงหรือเปล่า แม้ในตอนนี้ข้ายังเชื่อว่าหากข่าวลือนี้แพร่งพรายออกไปคงมีคนโง่อีกไม่น้อยมุ่งตรงมายังอันดอรีสและถึงตอนนั้นความวุ่นวายย่อมบังเกิดเพราะในเวลานี้ผู้คนกำลังสิ้นหวัง คำสาปนั้นกัดกินจิตใจจนมืดบอดหากมีสิ่งใดที่พอเป็นแสงสว่างพวกเขาก็จะพุ่งเข้าหาโดยไม่สนใจศีลธรรม ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ