โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) เด็กหญิงผมสีเงิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์พยายามจะช่วยงานเย็บ แต่เขากลับทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้น เขาจึงเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดทำงานแล้วเดินออกไปที่บ่อหลังบ้าน บ่อน้ำนี้ขุดมาตั้งแต่ปีไหนเขาก็ไม่อาจรู้ได้ ด้านบนมันก่อด้วยอิฐสีแดงล้อมเป็นวง มีกว้านชักที่เก่าแก่แต่ยังแข็งแรง เขาหมุนกว้านชักน้ำขึ้นมาเทใส่โอ่งจนเต็มครบทุกโอ่งแล้วจึงกลับเข้ามาข้างใน บ้านหลังนี้ใหญ่แต่ดูคับแคบเมื่อเทียบกับทุ่งโล่งของซีนาร์ย จึงมีเรื่องให้ทำไม่มากนัก
“ ท่านแม่ข้าจะออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ”
เขาบอก
“ ก็ได้แต่อย่าออกไปไกลนักล่ะ ”
คาโลไรน์พูดโดยไม่หันมา
นางกำลังง่วนกับการเย็บผ้าอยู่
“ แล้วก็กลับมาให้ทันอาหารเย็นด้วย ”
นางย้ำ
เด็กชายพยักหน้ารับคำ
“ เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่ ”
เขาหันมาทางน้องสาว
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล
นางยินดีนั่งเย็บผ้าทั้งวันดีกว่าไปเดินเบียดเสียดบนถนน
ฟิโลโซเฟอร์กลับขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาตั้งใจจะเปลี่ยนชุดทำงานที่เก่าขาดออก
แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขลุ่ยไม้อันหนึ่ง
เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างใจลอย
“ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่โรเซน แต่อย่ากังวลไปเลยข้าไม่มีวันลืมเจ้า เอาอย่างนี้เดี๋ยวเราออกเที่ยวด้วยกัน ข้าว่าวันนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษแน่ ”
เขาพูดกับขลุ่ย
มันเป็นของที่ระลึกที่โรเซนมอบให้แก่เขา
และเขาก็มอบกระเป๋าหนังกวางทำเองกับมือ
ตอบแทนในวันที่พวกเขาตกลงเป็นเพื่อนรักกัน
ประตูหน้าบ้านเปิดออกอีกครั้ง ฟิโลโซเฟอร์เดินออกมาด้วยชุดทำงานชุดเดิมที่ลืมเปลี่ยน
มารดาของเขาก็วุ่นวายจนไม่ทันสังเกต เขาเหน็บขลุ่ยไม้ไว้ที่เข็มขัดแล้วก้าวลงบนถนน ผู้คนมากมายเดินผ่านหน้าเขาไป เด็กชายรู้สึกประหม่าไม่แน่ใจว่าควรเดินไปทางใด ด้วยความตื่นเต้นเขาจึงไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ ทันใดเขาก็มองเห็นสตรีผู้เลอโฉมคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาก็ก้าวขาตามทันที ด้วยความคิดง่ายๆ แบบไร้เดียงสา
ฟิโลโซเฟอร์มาหยุดตรงร้านค้าแห่งหนึ่ง มันจอแจไปด้วยเด็กๆ เขาจึงมองเข้าไปในร้านด้วยความสงสัย ว่าคนเหล่านั้นมาทำอะไรที่นี่ อดไม่ได้ที่จะเตร่เข้าไปยืนใกล้ๆ เด็กบางคนหิ้วหนังสือออกมาเป็นตั้งๆ
“ เฮ๊ย! เด็กนอกกำแพงมาทำอะไรแถวนี้ ”
เสียงเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น
เด็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต่างหันมามองด้วยความสนใจ
เด็กชายคนนั้นอายุสิบสามปีเท่ากันกับฟิโลโซเฟอร์แต่สูงสง่ามาก
เขามีผมสีทองอมน้ำตาลและสวมมงกุฎทองแผ่นบางๆ
“ พวกยามหน้าประตูนี่หละหลวมจริง ปล่อยเข้ามาได้อย่างไร บิดาข้าต้องไม่ชอบใจเรื่องนี้แน่ ”
“ ไป! เลยไปไกลๆ เลยที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า คนโสโครก เจ้ากำลังทำให้เมืองนี้แปดเปื้อน ”
เขาว่าแล้วผลักฟิโลโซเฟอร์ล้มลง
เด็กชายรู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้นมือของเขาก็เอื้อมไปกำรอบขลุ่ยไม้อย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่เกรงใจว่าตัวเองเพิ่งย้ายมาไม่ควรสร้างปัญหา
เขาคงลุกขึ้นไปฟาดสั่งสอนแล้ว
“ หยุดทีเถอะน่าเอลานอส ”
เด็กหญิงผมสีเงินเดินเข้ามาขวางด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ เจ้าจะทำไมฟีไลร่าเจ้ารู้หรือไม่ ”
“ ข้ารู้เจ้าคือรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเมืองโอลีออน พวกเราทุกคนฟังมาเป็นร้อยรอบแล้วไม่จำเป็นต้องย้ำอีก แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าที่นี่คือโอรีเวียหาใช่เมืองของเจ้าไม่ ตอนนี้เจ้ามีค่าเท่ากันกับคนอื่นๆ คือเป็นผู้อาศัย และเมืองนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าชายพลัดถิ่นเหยียบย่ำใครตามอำเภอใจ อ้อ! ข้าขอเตือนเรื่องหนึ่ง ตอนนี้โดนคาดโทษอยู่มิใช่หรืออย่าก่อเรื่องดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องไปอยู่นอกกำแพงอาจกลายเป็นเจ้า ทายาทแห่งบัลลังทอง ”
ฟีไลร่าว่าพลางจิ้มนิ้วที่กลางอกเจ้าชาย
เจ้าชายเอลานอสมองนางอย่างมาดร้าย
แต่เด็กหญิงผิวเข้มที่ยืนประกบอยู่ทำให้เขาลังเล
“ สักวันหนึ่งพวกเจ้าทุกคนต้องก้มหัวให้ข้า ”
“ รวมถึงท่านจอมเวทวาลานด้วยหรือไม่เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก ”
ฟีไลร่าสวนทันควัน
เจ้าชายอ้าปากค้างเหมือนนึกคำพูดไม่ออกสุดท้ายเขาก็เอ่ย
“ ปากของเจ้านี่ จำเอาไว้เลย ข้าต้องคิดบัญชีแน่ ”
แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับผู้ติดตามด้วยอาการฉุนเฉียว
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ ”
ฟีไลร่าหันมาทางเด็กชายที่ยังนั่งนิ่งกับพื้นถนน
นางยื่นมือให้เขา
ฟิโลโซเฟอร์พบว่ามือของนางนั้นเนียนนุ่มยิ่งกว่าแป้งขนมปัง
ผิวกายขาวกระจ่าง
“ รู้สึกเมืองนี้จะไม่ต้อนรับข้า ”
ฟิโลโซเฟอร์พูด
เขารู้สึกแก้มร้อนผ่าวเมื่อเห็นนางส่งยิ้มมาให้
“ เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป เมืองนี้ต้อนรับทุกคน มีแต่ผู้คนเท่านั้นแหละที่สร้างปัญหาให้กันไม่จบไม่สิ้น จริงสิข้าชื่อฟีไลร่า ส่วนนี่เลโอน่า นางเป็นญาติห่างๆ ของข้าแล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร ”
“ ข้าฟิโลโซเฟอร์ ”
เขาตอบตะกุกตะกัก
“ อย่างนั้นหรือยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคงหลงทางสินะ คืนนี้ถ้าเจ้ายังอยู่ในกำแพง เกิดพวกทหารยามมาเห็นเข้าต้องลำบากแน่ บางทีพวกเขาก็ทำรุนแรงเกินไป ”
“ ยัง ตอนนี้ข้ายังไม่หลง บ้านข้าอยู่บนถนนเส้นโน้น แต่จะว่าไปเมืองนี้ผู้คนมากมาย บ้านเรือนเบียดเสียด ให้เดินต่ออีกสักพักข้าอาจจะหลงทางจริงๆ ก็ได้ ”
“ อะไรนะเจ้าจะบอกว่าเจ้ามีบ้านอยู่ในเมืองนี้อย่างนั้นหรือ บ้านเจ้าเองหรือเช่าเขาล่ะ ”
เลโอน่าถาม
สีหน้าแสดงออกว่าไม่ค่อยเชื่อถือนัก
“ เป็นบ้านตึกสี่ชั้นมรดกของท่านปู่น่ะ ดังนั้นถ้าใครจะว่าข้าเป็นคนต่างเมืองก็ไม่ผิดนักหรอก ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เจ้าคงจะมาเรียนหนังสือที่นี่ล่ะสิ ”
ฟีไลร่าถาม
“ คิดว่านะ ”
เด็กชายตอบ
เด็กผิวสีคนนั้นสะกิดฟีไลร่าเบาๆ แต่สายตามองมาที่ฟิโลโซเฟอร์
“ เราควรจะไปกันได้แล้ว นี่ถ้าบิดาเจ้ารู้คงไม่พอใจแน่ ที่เจ้าออกมาเถลไถล ”
“ เขาไม่มีทางรู้หรอกถ้าเจ้าไม่ไปฟ้อง ”
“ ไม่เอาน่าฟีไลร่าเราตกลงกันแล้ว เจ้าจะเป็นเด็กดีมิใช่หรือ ของก็ได้ครบแล้วเจ้ายังรออะไรล่ะ ”
“ ก็ได้ๆ ”
ฟีไลร่าพูดน้ำเสียงมีแววรำคาน
“ หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะ ”
ประโยคหลังนางหันมาทางฟิโลโซเฟอร์
“ เราต้องพบกันอีกแน่ๆ ”
เด็กชายโพลงออกมา
เขามองเด็กหญิงสองคนเดินคล้องแขนกันไปจนลับหัวมุมถนน
“ ท่านแม่ข้าจะออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ”
เขาบอก
“ ก็ได้แต่อย่าออกไปไกลนักล่ะ ”
คาโลไรน์พูดโดยไม่หันมา
นางกำลังง่วนกับการเย็บผ้าอยู่
“ แล้วก็กลับมาให้ทันอาหารเย็นด้วย ”
นางย้ำ
เด็กชายพยักหน้ารับคำ
“ เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่ ”
เขาหันมาทางน้องสาว
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล
นางยินดีนั่งเย็บผ้าทั้งวันดีกว่าไปเดินเบียดเสียดบนถนน
ฟิโลโซเฟอร์กลับขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาตั้งใจจะเปลี่ยนชุดทำงานที่เก่าขาดออก
แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขลุ่ยไม้อันหนึ่ง
เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างใจลอย
“ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่โรเซน แต่อย่ากังวลไปเลยข้าไม่มีวันลืมเจ้า เอาอย่างนี้เดี๋ยวเราออกเที่ยวด้วยกัน ข้าว่าวันนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษแน่ ”
เขาพูดกับขลุ่ย
มันเป็นของที่ระลึกที่โรเซนมอบให้แก่เขา
และเขาก็มอบกระเป๋าหนังกวางทำเองกับมือ
ตอบแทนในวันที่พวกเขาตกลงเป็นเพื่อนรักกัน
ประตูหน้าบ้านเปิดออกอีกครั้ง ฟิโลโซเฟอร์เดินออกมาด้วยชุดทำงานชุดเดิมที่ลืมเปลี่ยน
มารดาของเขาก็วุ่นวายจนไม่ทันสังเกต เขาเหน็บขลุ่ยไม้ไว้ที่เข็มขัดแล้วก้าวลงบนถนน ผู้คนมากมายเดินผ่านหน้าเขาไป เด็กชายรู้สึกประหม่าไม่แน่ใจว่าควรเดินไปทางใด ด้วยความตื่นเต้นเขาจึงไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ ทันใดเขาก็มองเห็นสตรีผู้เลอโฉมคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาก็ก้าวขาตามทันที ด้วยความคิดง่ายๆ แบบไร้เดียงสา
ฟิโลโซเฟอร์มาหยุดตรงร้านค้าแห่งหนึ่ง มันจอแจไปด้วยเด็กๆ เขาจึงมองเข้าไปในร้านด้วยความสงสัย ว่าคนเหล่านั้นมาทำอะไรที่นี่ อดไม่ได้ที่จะเตร่เข้าไปยืนใกล้ๆ เด็กบางคนหิ้วหนังสือออกมาเป็นตั้งๆ
“ เฮ๊ย! เด็กนอกกำแพงมาทำอะไรแถวนี้ ”
เสียงเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น
เด็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต่างหันมามองด้วยความสนใจ
เด็กชายคนนั้นอายุสิบสามปีเท่ากันกับฟิโลโซเฟอร์แต่สูงสง่ามาก
เขามีผมสีทองอมน้ำตาลและสวมมงกุฎทองแผ่นบางๆ
“ พวกยามหน้าประตูนี่หละหลวมจริง ปล่อยเข้ามาได้อย่างไร บิดาข้าต้องไม่ชอบใจเรื่องนี้แน่ ”
“ ไป! เลยไปไกลๆ เลยที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า คนโสโครก เจ้ากำลังทำให้เมืองนี้แปดเปื้อน ”
เขาว่าแล้วผลักฟิโลโซเฟอร์ล้มลง
เด็กชายรู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้นมือของเขาก็เอื้อมไปกำรอบขลุ่ยไม้อย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่เกรงใจว่าตัวเองเพิ่งย้ายมาไม่ควรสร้างปัญหา
เขาคงลุกขึ้นไปฟาดสั่งสอนแล้ว
“ หยุดทีเถอะน่าเอลานอส ”
เด็กหญิงผมสีเงินเดินเข้ามาขวางด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ เจ้าจะทำไมฟีไลร่าเจ้ารู้หรือไม่ ”
“ ข้ารู้เจ้าคือรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเมืองโอลีออน พวกเราทุกคนฟังมาเป็นร้อยรอบแล้วไม่จำเป็นต้องย้ำอีก แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าที่นี่คือโอรีเวียหาใช่เมืองของเจ้าไม่ ตอนนี้เจ้ามีค่าเท่ากันกับคนอื่นๆ คือเป็นผู้อาศัย และเมืองนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าชายพลัดถิ่นเหยียบย่ำใครตามอำเภอใจ อ้อ! ข้าขอเตือนเรื่องหนึ่ง ตอนนี้โดนคาดโทษอยู่มิใช่หรืออย่าก่อเรื่องดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องไปอยู่นอกกำแพงอาจกลายเป็นเจ้า ทายาทแห่งบัลลังทอง ”
ฟีไลร่าว่าพลางจิ้มนิ้วที่กลางอกเจ้าชาย
เจ้าชายเอลานอสมองนางอย่างมาดร้าย
แต่เด็กหญิงผิวเข้มที่ยืนประกบอยู่ทำให้เขาลังเล
“ สักวันหนึ่งพวกเจ้าทุกคนต้องก้มหัวให้ข้า ”
“ รวมถึงท่านจอมเวทวาลานด้วยหรือไม่เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก ”
ฟีไลร่าสวนทันควัน
เจ้าชายอ้าปากค้างเหมือนนึกคำพูดไม่ออกสุดท้ายเขาก็เอ่ย
“ ปากของเจ้านี่ จำเอาไว้เลย ข้าต้องคิดบัญชีแน่ ”
แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับผู้ติดตามด้วยอาการฉุนเฉียว
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ ”
ฟีไลร่าหันมาทางเด็กชายที่ยังนั่งนิ่งกับพื้นถนน
นางยื่นมือให้เขา
ฟิโลโซเฟอร์พบว่ามือของนางนั้นเนียนนุ่มยิ่งกว่าแป้งขนมปัง
ผิวกายขาวกระจ่าง
“ รู้สึกเมืองนี้จะไม่ต้อนรับข้า ”
ฟิโลโซเฟอร์พูด
เขารู้สึกแก้มร้อนผ่าวเมื่อเห็นนางส่งยิ้มมาให้
“ เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป เมืองนี้ต้อนรับทุกคน มีแต่ผู้คนเท่านั้นแหละที่สร้างปัญหาให้กันไม่จบไม่สิ้น จริงสิข้าชื่อฟีไลร่า ส่วนนี่เลโอน่า นางเป็นญาติห่างๆ ของข้าแล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร ”
“ ข้าฟิโลโซเฟอร์ ”
เขาตอบตะกุกตะกัก
“ อย่างนั้นหรือยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคงหลงทางสินะ คืนนี้ถ้าเจ้ายังอยู่ในกำแพง เกิดพวกทหารยามมาเห็นเข้าต้องลำบากแน่ บางทีพวกเขาก็ทำรุนแรงเกินไป ”
“ ยัง ตอนนี้ข้ายังไม่หลง บ้านข้าอยู่บนถนนเส้นโน้น แต่จะว่าไปเมืองนี้ผู้คนมากมาย บ้านเรือนเบียดเสียด ให้เดินต่ออีกสักพักข้าอาจจะหลงทางจริงๆ ก็ได้ ”
“ อะไรนะเจ้าจะบอกว่าเจ้ามีบ้านอยู่ในเมืองนี้อย่างนั้นหรือ บ้านเจ้าเองหรือเช่าเขาล่ะ ”
เลโอน่าถาม
สีหน้าแสดงออกว่าไม่ค่อยเชื่อถือนัก
“ เป็นบ้านตึกสี่ชั้นมรดกของท่านปู่น่ะ ดังนั้นถ้าใครจะว่าข้าเป็นคนต่างเมืองก็ไม่ผิดนักหรอก ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เจ้าคงจะมาเรียนหนังสือที่นี่ล่ะสิ ”
ฟีไลร่าถาม
“ คิดว่านะ ”
เด็กชายตอบ
เด็กผิวสีคนนั้นสะกิดฟีไลร่าเบาๆ แต่สายตามองมาที่ฟิโลโซเฟอร์
“ เราควรจะไปกันได้แล้ว นี่ถ้าบิดาเจ้ารู้คงไม่พอใจแน่ ที่เจ้าออกมาเถลไถล ”
“ เขาไม่มีทางรู้หรอกถ้าเจ้าไม่ไปฟ้อง ”
“ ไม่เอาน่าฟีไลร่าเราตกลงกันแล้ว เจ้าจะเป็นเด็กดีมิใช่หรือ ของก็ได้ครบแล้วเจ้ายังรออะไรล่ะ ”
“ ก็ได้ๆ ”
ฟีไลร่าพูดน้ำเสียงมีแววรำคาน
“ หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะ ”
ประโยคหลังนางหันมาทางฟิโลโซเฟอร์
“ เราต้องพบกันอีกแน่ๆ ”
เด็กชายโพลงออกมา
เขามองเด็กหญิงสองคนเดินคล้องแขนกันไปจนลับหัวมุมถนน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ