โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) สุสานแห่งโอรีเวีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท้องฟ้าเริ่มมืดเมื่ออาเธอร์รวบรวมข้าวของแล้วลุกขึ้น พวกเขาช่วยกันเก็บกวาดขยะที่นำมาจนเรียบร้อยแล้วจึงพากันเดินกลับบ้าน เมื่อประตูบ้านปิดลงมันกั้นความจอแจไว้ด้านนอก
คาโลไรน์ทำอาหารง่ายๆ ขึ้นโต๊ะแต่แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาพยายามทำตัวตามปรกติอย่างที่เคยทำที่ซีนาร์ย หลังจากกินเสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บกวาด คาโอเรียตามไปช่วยเช็ดจาน ของใช้ต่างๆ ภายในบ้านล้วนเป็นของเก่าที่หลงเหลืออยู่ในบ้านนำมาขัดล้างซ่อมแซมจนใช้ได้อีกครั้ง ส่วนของใช้ที่นำมาจากซีนาร์ยเกือบทั้งหมดอยู่ในเกวียนที่ทิ้งไว้กับผู้เฒ่าชาโคล
เสร็จจากงานในครัวแล้วคาโลไรน์จึงแกะห่อของที่ซื้อมา
“ ความจริงโอลีเวียมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามากมาย แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหงาเลยหาอะไรให้ทำบ้าง อีกอย่างฝีมือการตัดเย็บของเจ้าก็ไม่ได้เป็นรองใคร ”
คาโลไรน์ยิ้มกริ่ม
“ ผ้าเนื้อดีทั้งนั้น ที่ซีนาร์ยข้าไม่เคยได้เห็นผ้าแบบนี้ แล้วนี่ข้าจะกล้าตัดมันหรือ ”
“ เจ้าทำได้แน่ๆ ”
อาเธอร์ยืนยัน
เทียนเล่มหนึ่งถูกปักไว้กลางโต๊ะ อากาศเริ่มเย็นลงแต่ไม่หนาวเย็นจนถึงขั้นต้องก่อไฟในเตาผิง คาโลไรน์นั่งเย็บผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งดังติกๆ อย่างต่อเนื่องฟิโลโซเฟอร์เคยพบนาฬิกาแบบนี้ที่โรงเรียนเท่านั้น แต่เรือนนี้คนเช่าคนเก่าทิ้งไว้ให้ แต่มันมีฝุ่นจับหนาและเป็นสนิมอาเธอร์ต้องนำลงมาทำความสะอาด หยอดน้ำมันแล้วจึงนำกลับไปแขวนไว้เหนือประตูที่เดิม
ชั้นสองอาเธอร์จัดให้เป็นห้องนอนของเขาและคาโลไรน์ คาโอเรียนอนชั้นสามนางตื่นเต้นมากที่ได้มีห้องกว้างๆ เป็นของตัวเองแต่ฟิโลโซเฟอร์ไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่ เขายึดห้องใต้หลังคาเช่นเดียวกับตอนอยู่ที่ซีนาร์ยแม้บ้านตึกหลังนี้จะมีสี่ชั้น แต่พวกเขาก็ปล่อยชั้นนั้นว่างเพราะเด็กชายตัวน้อยชอบห้องใต้หลังคา
ครั้งก่อนห้องนี้คงใช้เก็บหนังสือเก่าๆ ฟิโลโซเฟอร์พบหนังสือเป็นตั้งๆ เขาผลักมันเข้าไปไว้มุมห้อง บางทีถ้ารู้สึกว่ามันทำให้รกเกินไป เขาอาจนำไปเผาทิ้ง
คาโลไรน์นำผ้าม่านผืนเดิมที่เก่าซีดแต่ยังพอใช้การได้มาซักจนสะอาด มีเพียงชั้นหนึ่งเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ ถึงจะพอมีทองอยู่บ้างพวกเขาก็ไม่อยากทำตัวฟุ่มเฟือย
แม้จะดึกมากแล้วก็ยังมีคนเดินผ่านหน้าบ้านอยู่เป็นระยะ เสียงจากท้องถนนดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ราวกับว่าเมืองนี้จะไม่รู้จักการหลับนอน คืนนั้นฟิโลโซเฟอร์นั่งนิ่งอยู่ในห้องใหม่ของเขา ดาบวางพาดบนตักแสงจันทร์ส่องลอดช่องกระจกเข้ามามันกระทบเข้ากับทับทิมสีแดงจนเกิดประกายเรื่อเรือง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้ามจับมีรูปสลักของใบไม้เล็กๆติดอยู่เด็กชายคิดถึงดารีล
จนวันนี้เด็กชายยังค้างคาใจ เขาจำเหตุการณ์ตอนที่ดารีลจ้องมองดาบ รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ส่งพลังตราตรึงไปถึงพ่อมดน้อยอย่างโหยหา ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองมันมาแล้ว แต่นั่นเขาอาจคิดไปเองก็ได้หรือไม่เขาก็คงเข้าใจอะไรผิดพลาดไป
นอกหน้าต่างบานเล็กของห้องไต้หลังคา แสงจันทร์สาดผ่านบานกระจกเข้ามาพอเกิดภาพสลัว ฟิโลโซเฟอร์สังเกตเห็นบางสิ่ง มีร่างของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังคาตึกฝั่งตรงข้าม กำลังเป่าขลุ่ยอันเล็กๆแต่เสียงนั้นเบามากจนฟังไม่รู้ว่าเพลงอะไร เด็กน้อยเฝ้ามองอย่างสงสัยร่างนั้นเด่นสง่าตัดกับแสงจันทร์ เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดแต่ก็นึกไม่ออกว่านั่นคือผู้ใด ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้นนานแสนนานไม่เบื่อหน่าย
ฟิโลโซเฟอร์ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงดังกุกกักอยู่ข้างล่าง
คาโลไรน์กำลังวุ่นอยู่ในครัว
เขาลงบันใดไปช่วยงานอย่างงัวเงีย
“ ท่านพ่อล่ะฮะ ”
“ กำลังซ่อมคอกม้าอยู่ ลูกจะไปดูก็ได้แต่อย่าลืมล้างหน้าล่ะ ”
คาโลไรน์ตอบ
เด็กชายเดินโซเซออกประตูหลังรู้สึกว่าเช้านี้ร่างกายยังไม่ตื่นดี
พวกเขามีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆ กับคอกม้า
เขาเดินตรงไปที่นั่นใช้กว้านชักน้ำขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้า
น้ำเย็นๆ ทำให้หูของเด็กน้อยเป็นสีชมพู
อาเธอร์กำลังตีไม้ฝากระดานที่ดีดออกให้แน่นเข้าไปดังเดิม
เขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียง
“ เป็นไงกับห้องใหม่เมื่อคืนหลับดีไหม ”
เขาขยี้ผมบุตรชาย
“ ก็ดีฮะกว้างดี ”
เด็กชายมองไปรอบๆ คอกม้าที่ว่างเปล่า
“ ถ้าเบตตี้กับเบตเตอร์มาด้วยได้ก็คงดี ”
“ เบตตี้กับเบตเตอร์คงสุขสบายดีแล้ว แต่เราจะมีม้าคู่ใหม่ ”
“ จริงนะ แล้วท่านพ่อจะให้ข้าขี่มันไหม ”
เด็กชายมีความหวัง
อาเธอร์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
คาโลไรน์คงไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้
“ เอาไว้ให้ขาเจ้ายาวกว่านี้สักหน่อย คงอีกไม่นานหรอก นี่เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม ข้าว่าได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ”
ที่โต๊ะอาหารคาโอเรียนั่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
คาโลไรน์วางจานลงบนโต๊ะแล้วหันมาหาฟิโลโซเฟอร์
“ ล้างมือกันหรือยัง ”
อาเธอร์เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
“ นึกแล้วว่าต้องเป็นเนื้อตุ๋นข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลเลย ”
“ ข้าแทบรอไม่ไหว มีผ้าหลายชิ้นต้องตัดเย็บ กะว่าพอพ้นฤดูหนาวนี้ไปงานทุกชิ้นต้องเสร็จ ”
นางบอกอย่างตื่นเต้น
“ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้น วันนี้ข้าจะพาไปสุสาน เจ้าคงต้องพักเรื่องเย็บปักถักร้อยไว้ก่อน ”
อาเธอร์บอกพลางตักน้ำเกรวี่ราดบนขนมปัง
“ จริงสิข้าลืมไปเลย นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราควรทำ ตั้งแต่เพิ่งมาถึงเสียด้วยซ้ำ ”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อชุดใหม่ คาโลไรน์มองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจ ใบหน้านางยังโซมอยู่นางเด็ดดอกหญ้าเล็กๆ ที่ขึ้นตามหลังบ้านมาแซมผมเพียงเท่านี้นางก็ดูสดใสขึ้นแล้ว อาเธอร์ออกไปยืนหน้าบ้านรอฟังเสียงกระพรวนจากรถม้า
“ ที่นี่มีรถโดยสารเหมือนกับซีนาร์ย แต่ที่นี่เป็นที่นิยมมากกว่า เพราะที่ซีนาร์ยทุกคนมีม้าอยู่แล้ว ”
อาเธอร์เล่า
พวกเขานั่งปะปนไปกับชาวเมือง
บางคนหอบของพะรุงพะรังเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะไปจ่ายตลาดมา
มีคนขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดทางบนรถม้าคันนี้
พอรถม้าวิ่งมาถึงเนินทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งอาเธอร์ก็สั่นกระดิ่ง
รถม้าหยุดอีกครั้งอาเธอร์เดินไปจ่ายค่าโดยสารด้านหน้าคนขับ
แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวจากไป
ทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นั่น
ฟิโลโซเฟอร์มองต้นสนที่ยืนเรียงแถวเป็นแนวกำแพง ถัดออกไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวสดที่ได้รับการดูแลอย่างดี อาเธอร์เดินผ่านประตูหลักเข้าไป บรรยากาศในนั้นเงียบสงบสองข้างทางปลูกต้นไม้ใหญ่ประดับไว้เป็นหย่อมๆ ทางเดินปูด้วยหินอ่อนสลับกับหินแกรนิต ระหว่างช่องว่างของหินมีหญ้าเส้นเล็กๆ โผล่ขึ้นมาเป็นฝอยนุ่มๆ
พวกเขายังคงเดินกันเงียบๆ ตลอดสองแนวข้างทางบนสนามหญ้านุ่มๆ มีแผ่นหินสีดำวางเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ หินเหล่านั้นสลักชื่อผู้วายชนเอาไว้ อาเธอร์เดินไปเรื่อยๆ เขารู้ว่าจุดหมายของเขาอยู่ที่ไหน แต่บางครั้งเขาก็ก้มหัวให้กับบางศพบางหลุม แน่นอนเขารู้จักกับคนเหล่านั้นและมีบางคนที่เขาได้เห็นนาทีการเสียชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว เบื้องหลังสงครามทิ้งไว้เพียงร่างที่เน่าเปื่อยกับความเศร้าเสียใจ
หลุมศพบางอันมีดอกไม้วางอยู่ อาเธอร์ก้มลงเด็ดดอกไม้ริมทางมาถือไว้ในมือ หลุมศพตรงนั้นตั้งอยู่บนเนินดินตัวหนังสือสีทองสลักบนแผ่นหินที่ราบเรียบ ศพของต้นตระกูลเขาเรียงรายกันอยู่ที่นี่มาตราบตั้งแต่ก่อตั้งเมืองมาจนถึงรุ่นของเขา
เหนือแผ่นหินมีกุหลาบสีขาววางอยู่ก่อนแล้ว ใครบางคนคงวางได้ไว้เมื่อไม่นานมา นี้กลิ่นหอมของมันโรยริน อาเธอร์ใช้มือปัดฝุ่นบนแผ่นหินทั้งๆ ที่มันสะอาดสะอ้านแล้ว เขาบรรจงวางดอกไม้ที่เก็บมาข้างดอกกุหลาบสีขาวนั้นทุกคนก็วางลงตามเขา
อาเธอร์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พยายามคิดถึงความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีต่อกัน ในที่สุดมารดาของเขาที่ต้องทนนอนอย่างเดียวดายมาหลายสิบปีก็คงจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป หลุมศพของน้องชายวางอยู่เคียงข้างผู้เป็นบิดาหลุมที่มีเพียงหน้ากากสีทองนอนนิ่งอยู่
อาเธอร์เอามือวางลงไปเหนือหลุมศพอย่างอ่อนโยน เขากลับมาที่นี่และพบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่เหลือใคร เขาพยายามจะไม่นึกว่าสงครามมันโหดร้ายต่อเขาเพียงใด
สายลมพัดเอื่อยๆ ในบรรยากาศที่สงบ ใบไม้แห้งเริ่มร่วงและปลิวไปตามสายลม ราวกับจะแสดงความอาดูรต่อความสูญเสียเขาลุกขึ้นอีกครั้ง ฟากหนึ่งของสุสานมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ซึ่งอาเธอร์ไม่เคยพบมาก่อนเขาเดินตรงไปที่นั่น มันเป็นรูปปั้นนายทหารมือข้างหนึ่งถือดาบอีกข้างถือโล่เหล็กฐานตรงเท้าเหยียบตัวหนังสือสลักลงในเนื้อหินเป็นเวลานับสิบปีเขียนว่า อนุสาวรีย์ผู้ชนะสงคราม รอบๆ มีแท่งปูนสี่เหลี่ยมวางเรียงกันเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นภายใต้แท่งปูนเหล่านั้น วีรบุรุษผู้พลีชีพในสงครามนอนสงบอยู่ เหนือแท่นหินได้สลักเรื่องราวความกล้าหาญของพวกเขาไว้
นี่คงเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกจากสงครามครั้งล่าสุด อาเธอร์ไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์แบบนี้มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของสงคราม ทั้งที่ท้ายที่สุดแล้วหลังจบสงครามเราก็ต้องรอทำสงครามรอบใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม คนเหล่านี้กล้าหาญในสงครามแต่หาใช่คนที่ยุติสงครามไม่ ภายในปราสาทศิลาขาวที่เป็นที่ตั้งของสภาพ่อมดที่นั่นก็มีอนุสาวรีย์แบบนี้เช่นกัน แต่มันตั้งมั่นมาพร้อมกับการสร้างปราสาทมีอายุนับพันปีมาแล้ว พวกเขาที่ถูกฝังไว้ที่นั่นล้วนเป็นนักรบที่เคยต่อกรกับซาเหวจหลอดกันมาทั้งสิ้น และนั่นก็เป็นแรงบัลดาลใจของเหล่าชายผู้กล้ามาหลายรุ่นนัก รวมทั้งเขาในอดีตอีกด้วย
คาโลไรน์ทำอาหารง่ายๆ ขึ้นโต๊ะแต่แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาพยายามทำตัวตามปรกติอย่างที่เคยทำที่ซีนาร์ย หลังจากกินเสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บกวาด คาโอเรียตามไปช่วยเช็ดจาน ของใช้ต่างๆ ภายในบ้านล้วนเป็นของเก่าที่หลงเหลืออยู่ในบ้านนำมาขัดล้างซ่อมแซมจนใช้ได้อีกครั้ง ส่วนของใช้ที่นำมาจากซีนาร์ยเกือบทั้งหมดอยู่ในเกวียนที่ทิ้งไว้กับผู้เฒ่าชาโคล
เสร็จจากงานในครัวแล้วคาโลไรน์จึงแกะห่อของที่ซื้อมา
“ ความจริงโอลีเวียมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามากมาย แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหงาเลยหาอะไรให้ทำบ้าง อีกอย่างฝีมือการตัดเย็บของเจ้าก็ไม่ได้เป็นรองใคร ”
คาโลไรน์ยิ้มกริ่ม
“ ผ้าเนื้อดีทั้งนั้น ที่ซีนาร์ยข้าไม่เคยได้เห็นผ้าแบบนี้ แล้วนี่ข้าจะกล้าตัดมันหรือ ”
“ เจ้าทำได้แน่ๆ ”
อาเธอร์ยืนยัน
เทียนเล่มหนึ่งถูกปักไว้กลางโต๊ะ อากาศเริ่มเย็นลงแต่ไม่หนาวเย็นจนถึงขั้นต้องก่อไฟในเตาผิง คาโลไรน์นั่งเย็บผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งดังติกๆ อย่างต่อเนื่องฟิโลโซเฟอร์เคยพบนาฬิกาแบบนี้ที่โรงเรียนเท่านั้น แต่เรือนนี้คนเช่าคนเก่าทิ้งไว้ให้ แต่มันมีฝุ่นจับหนาและเป็นสนิมอาเธอร์ต้องนำลงมาทำความสะอาด หยอดน้ำมันแล้วจึงนำกลับไปแขวนไว้เหนือประตูที่เดิม
ชั้นสองอาเธอร์จัดให้เป็นห้องนอนของเขาและคาโลไรน์ คาโอเรียนอนชั้นสามนางตื่นเต้นมากที่ได้มีห้องกว้างๆ เป็นของตัวเองแต่ฟิโลโซเฟอร์ไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่ เขายึดห้องใต้หลังคาเช่นเดียวกับตอนอยู่ที่ซีนาร์ยแม้บ้านตึกหลังนี้จะมีสี่ชั้น แต่พวกเขาก็ปล่อยชั้นนั้นว่างเพราะเด็กชายตัวน้อยชอบห้องใต้หลังคา
ครั้งก่อนห้องนี้คงใช้เก็บหนังสือเก่าๆ ฟิโลโซเฟอร์พบหนังสือเป็นตั้งๆ เขาผลักมันเข้าไปไว้มุมห้อง บางทีถ้ารู้สึกว่ามันทำให้รกเกินไป เขาอาจนำไปเผาทิ้ง
คาโลไรน์นำผ้าม่านผืนเดิมที่เก่าซีดแต่ยังพอใช้การได้มาซักจนสะอาด มีเพียงชั้นหนึ่งเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ ถึงจะพอมีทองอยู่บ้างพวกเขาก็ไม่อยากทำตัวฟุ่มเฟือย
แม้จะดึกมากแล้วก็ยังมีคนเดินผ่านหน้าบ้านอยู่เป็นระยะ เสียงจากท้องถนนดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ราวกับว่าเมืองนี้จะไม่รู้จักการหลับนอน คืนนั้นฟิโลโซเฟอร์นั่งนิ่งอยู่ในห้องใหม่ของเขา ดาบวางพาดบนตักแสงจันทร์ส่องลอดช่องกระจกเข้ามามันกระทบเข้ากับทับทิมสีแดงจนเกิดประกายเรื่อเรือง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้ามจับมีรูปสลักของใบไม้เล็กๆติดอยู่เด็กชายคิดถึงดารีล
จนวันนี้เด็กชายยังค้างคาใจ เขาจำเหตุการณ์ตอนที่ดารีลจ้องมองดาบ รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ส่งพลังตราตรึงไปถึงพ่อมดน้อยอย่างโหยหา ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองมันมาแล้ว แต่นั่นเขาอาจคิดไปเองก็ได้หรือไม่เขาก็คงเข้าใจอะไรผิดพลาดไป
นอกหน้าต่างบานเล็กของห้องไต้หลังคา แสงจันทร์สาดผ่านบานกระจกเข้ามาพอเกิดภาพสลัว ฟิโลโซเฟอร์สังเกตเห็นบางสิ่ง มีร่างของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังคาตึกฝั่งตรงข้าม กำลังเป่าขลุ่ยอันเล็กๆแต่เสียงนั้นเบามากจนฟังไม่รู้ว่าเพลงอะไร เด็กน้อยเฝ้ามองอย่างสงสัยร่างนั้นเด่นสง่าตัดกับแสงจันทร์ เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดแต่ก็นึกไม่ออกว่านั่นคือผู้ใด ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้นนานแสนนานไม่เบื่อหน่าย
ฟิโลโซเฟอร์ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงดังกุกกักอยู่ข้างล่าง
คาโลไรน์กำลังวุ่นอยู่ในครัว
เขาลงบันใดไปช่วยงานอย่างงัวเงีย
“ ท่านพ่อล่ะฮะ ”
“ กำลังซ่อมคอกม้าอยู่ ลูกจะไปดูก็ได้แต่อย่าลืมล้างหน้าล่ะ ”
คาโลไรน์ตอบ
เด็กชายเดินโซเซออกประตูหลังรู้สึกว่าเช้านี้ร่างกายยังไม่ตื่นดี
พวกเขามีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆ กับคอกม้า
เขาเดินตรงไปที่นั่นใช้กว้านชักน้ำขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้า
น้ำเย็นๆ ทำให้หูของเด็กน้อยเป็นสีชมพู
อาเธอร์กำลังตีไม้ฝากระดานที่ดีดออกให้แน่นเข้าไปดังเดิม
เขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียง
“ เป็นไงกับห้องใหม่เมื่อคืนหลับดีไหม ”
เขาขยี้ผมบุตรชาย
“ ก็ดีฮะกว้างดี ”
เด็กชายมองไปรอบๆ คอกม้าที่ว่างเปล่า
“ ถ้าเบตตี้กับเบตเตอร์มาด้วยได้ก็คงดี ”
“ เบตตี้กับเบตเตอร์คงสุขสบายดีแล้ว แต่เราจะมีม้าคู่ใหม่ ”
“ จริงนะ แล้วท่านพ่อจะให้ข้าขี่มันไหม ”
เด็กชายมีความหวัง
อาเธอร์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
คาโลไรน์คงไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้
“ เอาไว้ให้ขาเจ้ายาวกว่านี้สักหน่อย คงอีกไม่นานหรอก นี่เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม ข้าว่าได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ”
ที่โต๊ะอาหารคาโอเรียนั่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
คาโลไรน์วางจานลงบนโต๊ะแล้วหันมาหาฟิโลโซเฟอร์
“ ล้างมือกันหรือยัง ”
อาเธอร์เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
“ นึกแล้วว่าต้องเป็นเนื้อตุ๋นข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลเลย ”
“ ข้าแทบรอไม่ไหว มีผ้าหลายชิ้นต้องตัดเย็บ กะว่าพอพ้นฤดูหนาวนี้ไปงานทุกชิ้นต้องเสร็จ ”
นางบอกอย่างตื่นเต้น
“ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้น วันนี้ข้าจะพาไปสุสาน เจ้าคงต้องพักเรื่องเย็บปักถักร้อยไว้ก่อน ”
อาเธอร์บอกพลางตักน้ำเกรวี่ราดบนขนมปัง
“ จริงสิข้าลืมไปเลย นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราควรทำ ตั้งแต่เพิ่งมาถึงเสียด้วยซ้ำ ”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อชุดใหม่ คาโลไรน์มองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจ ใบหน้านางยังโซมอยู่นางเด็ดดอกหญ้าเล็กๆ ที่ขึ้นตามหลังบ้านมาแซมผมเพียงเท่านี้นางก็ดูสดใสขึ้นแล้ว อาเธอร์ออกไปยืนหน้าบ้านรอฟังเสียงกระพรวนจากรถม้า
“ ที่นี่มีรถโดยสารเหมือนกับซีนาร์ย แต่ที่นี่เป็นที่นิยมมากกว่า เพราะที่ซีนาร์ยทุกคนมีม้าอยู่แล้ว ”
อาเธอร์เล่า
พวกเขานั่งปะปนไปกับชาวเมือง
บางคนหอบของพะรุงพะรังเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะไปจ่ายตลาดมา
มีคนขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดทางบนรถม้าคันนี้
พอรถม้าวิ่งมาถึงเนินทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งอาเธอร์ก็สั่นกระดิ่ง
รถม้าหยุดอีกครั้งอาเธอร์เดินไปจ่ายค่าโดยสารด้านหน้าคนขับ
แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวจากไป
ทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นั่น
ฟิโลโซเฟอร์มองต้นสนที่ยืนเรียงแถวเป็นแนวกำแพง ถัดออกไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวสดที่ได้รับการดูแลอย่างดี อาเธอร์เดินผ่านประตูหลักเข้าไป บรรยากาศในนั้นเงียบสงบสองข้างทางปลูกต้นไม้ใหญ่ประดับไว้เป็นหย่อมๆ ทางเดินปูด้วยหินอ่อนสลับกับหินแกรนิต ระหว่างช่องว่างของหินมีหญ้าเส้นเล็กๆ โผล่ขึ้นมาเป็นฝอยนุ่มๆ
พวกเขายังคงเดินกันเงียบๆ ตลอดสองแนวข้างทางบนสนามหญ้านุ่มๆ มีแผ่นหินสีดำวางเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ หินเหล่านั้นสลักชื่อผู้วายชนเอาไว้ อาเธอร์เดินไปเรื่อยๆ เขารู้ว่าจุดหมายของเขาอยู่ที่ไหน แต่บางครั้งเขาก็ก้มหัวให้กับบางศพบางหลุม แน่นอนเขารู้จักกับคนเหล่านั้นและมีบางคนที่เขาได้เห็นนาทีการเสียชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว เบื้องหลังสงครามทิ้งไว้เพียงร่างที่เน่าเปื่อยกับความเศร้าเสียใจ
หลุมศพบางอันมีดอกไม้วางอยู่ อาเธอร์ก้มลงเด็ดดอกไม้ริมทางมาถือไว้ในมือ หลุมศพตรงนั้นตั้งอยู่บนเนินดินตัวหนังสือสีทองสลักบนแผ่นหินที่ราบเรียบ ศพของต้นตระกูลเขาเรียงรายกันอยู่ที่นี่มาตราบตั้งแต่ก่อตั้งเมืองมาจนถึงรุ่นของเขา
เหนือแผ่นหินมีกุหลาบสีขาววางอยู่ก่อนแล้ว ใครบางคนคงวางได้ไว้เมื่อไม่นานมา นี้กลิ่นหอมของมันโรยริน อาเธอร์ใช้มือปัดฝุ่นบนแผ่นหินทั้งๆ ที่มันสะอาดสะอ้านแล้ว เขาบรรจงวางดอกไม้ที่เก็บมาข้างดอกกุหลาบสีขาวนั้นทุกคนก็วางลงตามเขา
อาเธอร์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พยายามคิดถึงความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีต่อกัน ในที่สุดมารดาของเขาที่ต้องทนนอนอย่างเดียวดายมาหลายสิบปีก็คงจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป หลุมศพของน้องชายวางอยู่เคียงข้างผู้เป็นบิดาหลุมที่มีเพียงหน้ากากสีทองนอนนิ่งอยู่
อาเธอร์เอามือวางลงไปเหนือหลุมศพอย่างอ่อนโยน เขากลับมาที่นี่และพบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่เหลือใคร เขาพยายามจะไม่นึกว่าสงครามมันโหดร้ายต่อเขาเพียงใด
สายลมพัดเอื่อยๆ ในบรรยากาศที่สงบ ใบไม้แห้งเริ่มร่วงและปลิวไปตามสายลม ราวกับจะแสดงความอาดูรต่อความสูญเสียเขาลุกขึ้นอีกครั้ง ฟากหนึ่งของสุสานมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ซึ่งอาเธอร์ไม่เคยพบมาก่อนเขาเดินตรงไปที่นั่น มันเป็นรูปปั้นนายทหารมือข้างหนึ่งถือดาบอีกข้างถือโล่เหล็กฐานตรงเท้าเหยียบตัวหนังสือสลักลงในเนื้อหินเป็นเวลานับสิบปีเขียนว่า อนุสาวรีย์ผู้ชนะสงคราม รอบๆ มีแท่งปูนสี่เหลี่ยมวางเรียงกันเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นภายใต้แท่งปูนเหล่านั้น วีรบุรุษผู้พลีชีพในสงครามนอนสงบอยู่ เหนือแท่นหินได้สลักเรื่องราวความกล้าหาญของพวกเขาไว้
นี่คงเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกจากสงครามครั้งล่าสุด อาเธอร์ไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์แบบนี้มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของสงคราม ทั้งที่ท้ายที่สุดแล้วหลังจบสงครามเราก็ต้องรอทำสงครามรอบใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม คนเหล่านี้กล้าหาญในสงครามแต่หาใช่คนที่ยุติสงครามไม่ ภายในปราสาทศิลาขาวที่เป็นที่ตั้งของสภาพ่อมดที่นั่นก็มีอนุสาวรีย์แบบนี้เช่นกัน แต่มันตั้งมั่นมาพร้อมกับการสร้างปราสาทมีอายุนับพันปีมาแล้ว พวกเขาที่ถูกฝังไว้ที่นั่นล้วนเป็นนักรบที่เคยต่อกรกับซาเหวจหลอดกันมาทั้งสิ้น และนั่นก็เป็นแรงบัลดาลใจของเหล่าชายผู้กล้ามาหลายรุ่นนัก รวมทั้งเขาในอดีตอีกด้วย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ