โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) สุสานแห่งโอรีเวีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ท้องฟ้าเริ่มมืดเมื่ออาเธอร์รวบรวมข้าวของแล้วลุกขึ้น   พวกเขาช่วยกันเก็บกวาดขยะที่นำมาจนเรียบร้อยแล้วจึงพากันเดินกลับบ้าน   เมื่อประตูบ้านปิดลงมันกั้นความจอแจไว้ด้านนอก   

 

คาโลไรน์ทำอาหารง่ายๆ ขึ้นโต๊ะแต่แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอร็ดอร่อย   พวกเขาพยายามทำตัวตามปรกติอย่างที่เคยทำที่ซีนาร์ย   หลังจากกินเสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บกวาด   คาโอเรียตามไปช่วยเช็ดจาน   ของใช้ต่างๆ ภายในบ้านล้วนเป็นของเก่าที่หลงเหลืออยู่ในบ้านนำมาขัดล้างซ่อมแซมจนใช้ได้อีกครั้ง   ส่วนของใช้ที่นำมาจากซีนาร์ยเกือบทั้งหมดอยู่ในเกวียนที่ทิ้งไว้กับผู้เฒ่าชาโคล   

 

เสร็จจากงานในครัวแล้วคาโลไรน์จึงแกะห่อของที่ซื้อมา

 

“ ความจริงโอลีเวียมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามากมาย   แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหงาเลยหาอะไรให้ทำบ้าง   อีกอย่างฝีมือการตัดเย็บของเจ้าก็ไม่ได้เป็นรองใคร ”

 

คาโลไรน์ยิ้มกริ่ม

 

“ ผ้าเนื้อดีทั้งนั้น   ที่ซีนาร์ยข้าไม่เคยได้เห็นผ้าแบบนี้   แล้วนี่ข้าจะกล้าตัดมันหรือ ”

 

“ เจ้าทำได้แน่ๆ ”

 

อาเธอร์ยืนยัน

 

 

            เทียนเล่มหนึ่งถูกปักไว้กลางโต๊ะ   อากาศเริ่มเย็นลงแต่ไม่หนาวเย็นจนถึงขั้นต้องก่อไฟในเตาผิง   คาโลไรน์นั่งเย็บผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ   เสียงลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งดังติกๆ อย่างต่อเนื่องฟิโลโซเฟอร์เคยพบนาฬิกาแบบนี้ที่โรงเรียนเท่านั้น   แต่เรือนนี้คนเช่าคนเก่าทิ้งไว้ให้   แต่มันมีฝุ่นจับหนาและเป็นสนิมอาเธอร์ต้องนำลงมาทำความสะอาด   หยอดน้ำมันแล้วจึงนำกลับไปแขวนไว้เหนือประตูที่เดิม 

 

ชั้นสองอาเธอร์จัดให้เป็นห้องนอนของเขาและคาโลไรน์   คาโอเรียนอนชั้นสามนางตื่นเต้นมากที่ได้มีห้องกว้างๆ เป็นของตัวเองแต่ฟิโลโซเฟอร์ไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่   เขายึดห้องใต้หลังคาเช่นเดียวกับตอนอยู่ที่ซีนาร์ยแม้บ้านตึกหลังนี้จะมีสี่ชั้น   แต่พวกเขาก็ปล่อยชั้นนั้นว่างเพราะเด็กชายตัวน้อยชอบห้องใต้หลังคา     

 

ครั้งก่อนห้องนี้คงใช้เก็บหนังสือเก่าๆ  ฟิโลโซเฟอร์พบหนังสือเป็นตั้งๆ เขาผลักมันเข้าไปไว้มุมห้อง   บางทีถ้ารู้สึกว่ามันทำให้รกเกินไป   เขาอาจนำไปเผาทิ้ง

 

            คาโลไรน์นำผ้าม่านผืนเดิมที่เก่าซีดแต่ยังพอใช้การได้มาซักจนสะอาด   มีเพียงชั้นหนึ่งเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนผ้าม่านใหม่   ถึงจะพอมีทองอยู่บ้างพวกเขาก็ไม่อยากทำตัวฟุ่มเฟือย  

 

แม้จะดึกมากแล้วก็ยังมีคนเดินผ่านหน้าบ้านอยู่เป็นระยะ   เสียงจากท้องถนนดังขึ้นมาไม่ขาดสาย   ราวกับว่าเมืองนี้จะไม่รู้จักการหลับนอน   คืนนั้นฟิโลโซเฟอร์นั่งนิ่งอยู่ในห้องใหม่ของเขา   ดาบวางพาดบนตักแสงจันทร์ส่องลอดช่องกระจกเข้ามามันกระทบเข้ากับทับทิมสีแดงจนเกิดประกายเรื่อเรือง   เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้ามจับมีรูปสลักของใบไม้เล็กๆติดอยู่เด็กชายคิดถึงดารีล   

 

จนวันนี้เด็กชายยังค้างคาใจ    เขาจำเหตุการณ์ตอนที่ดารีลจ้องมองดาบ   รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ส่งพลังตราตรึงไปถึงพ่อมดน้อยอย่างโหยหา   ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองมันมาแล้ว   แต่นั่นเขาอาจคิดไปเองก็ได้หรือไม่เขาก็คงเข้าใจอะไรผิดพลาดไป

 

นอกหน้าต่างบานเล็กของห้องไต้หลังคา   แสงจันทร์สาดผ่านบานกระจกเข้ามาพอเกิดภาพสลัว   ฟิโลโซเฟอร์สังเกตเห็นบางสิ่ง   มีร่างของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังคาตึกฝั่งตรงข้าม   กำลังเป่าขลุ่ยอันเล็กๆแต่เสียงนั้นเบามากจนฟังไม่รู้ว่าเพลงอะไร   เด็กน้อยเฝ้ามองอย่างสงสัยร่างนั้นเด่นสง่าตัดกับแสงจันทร์   เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดแต่ก็นึกไม่ออกว่านั่นคือผู้ใด   ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้นนานแสนนานไม่เบื่อหน่าย

 

 

            ฟิโลโซเฟอร์ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงดังกุกกักอยู่ข้างล่าง  

คาโลไรน์กำลังวุ่นอยู่ในครัว  

เขาลงบันใดไปช่วยงานอย่างงัวเงีย

 

“ ท่านพ่อล่ะฮะ ”

 

“ กำลังซ่อมคอกม้าอยู่   ลูกจะไปดูก็ได้แต่อย่าลืมล้างหน้าล่ะ ”

 

คาโลไรน์ตอบ

 

เด็กชายเดินโซเซออกประตูหลังรู้สึกว่าเช้านี้ร่างกายยังไม่ตื่นดี 

พวกเขามีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆ กับคอกม้า

เขาเดินตรงไปที่นั่นใช้กว้านชักน้ำขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้า

น้ำเย็นๆ ทำให้หูของเด็กน้อยเป็นสีชมพู

อาเธอร์กำลังตีไม้ฝากระดานที่ดีดออกให้แน่นเข้าไปดังเดิม

เขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียง

 

“ เป็นไงกับห้องใหม่เมื่อคืนหลับดีไหม ”

 

เขาขยี้ผมบุตรชาย

 

“ ก็ดีฮะกว้างดี ”

 

เด็กชายมองไปรอบๆ คอกม้าที่ว่างเปล่า

 

“ ถ้าเบตตี้กับเบตเตอร์มาด้วยได้ก็คงดี ”

 

“ เบตตี้กับเบตเตอร์คงสุขสบายดีแล้ว   แต่เราจะมีม้าคู่ใหม่ ”

 

“ จริงนะ   แล้วท่านพ่อจะให้ข้าขี่มันไหม ”

 

เด็กชายมีความหวัง

 

อาเธอร์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

คาโลไรน์คงไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้

 

“ เอาไว้ให้ขาเจ้ายาวกว่านี้สักหน่อย   คงอีกไม่นานหรอก   นี่เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม   ข้าว่าได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ”

 

ที่โต๊ะอาหารคาโอเรียนั่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

คาโลไรน์วางจานลงบนโต๊ะแล้วหันมาหาฟิโลโซเฟอร์

 

“ ล้างมือกันหรือยัง ”

 

อาเธอร์เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง

 

“ นึกแล้วว่าต้องเป็นเนื้อตุ๋นข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลเลย ”

 

“ ข้าแทบรอไม่ไหว   มีผ้าหลายชิ้นต้องตัดเย็บ   กะว่าพอพ้นฤดูหนาวนี้ไปงานทุกชิ้นต้องเสร็จ ”

 

นางบอกอย่างตื่นเต้น

 

“ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้น   วันนี้ข้าจะพาไปสุสาน   เจ้าคงต้องพักเรื่องเย็บปักถักร้อยไว้ก่อน ”

 

อาเธอร์บอกพลางตักน้ำเกรวี่ราดบนขนมปัง

 

“ จริงสิข้าลืมไปเลย   นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราควรทำ   ตั้งแต่เพิ่งมาถึงเสียด้วยซ้ำ ”

 

            หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อชุดใหม่   คาโลไรน์มองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจ   ใบหน้านางยังโซมอยู่นางเด็ดดอกหญ้าเล็กๆ ที่ขึ้นตามหลังบ้านมาแซมผมเพียงเท่านี้นางก็ดูสดใสขึ้นแล้ว   อาเธอร์ออกไปยืนหน้าบ้านรอฟังเสียงกระพรวนจากรถม้า

 

“ ที่นี่มีรถโดยสารเหมือนกับซีนาร์ย   แต่ที่นี่เป็นที่นิยมมากกว่า   เพราะที่ซีนาร์ยทุกคนมีม้าอยู่แล้ว ”

 

อาเธอร์เล่า

 

พวกเขานั่งปะปนไปกับชาวเมือง

บางคนหอบของพะรุงพะรังเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะไปจ่ายตลาดมา  

มีคนขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดทางบนรถม้าคันนี้  

พอรถม้าวิ่งมาถึงเนินทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งอาเธอร์ก็สั่นกระดิ่ง   

รถม้าหยุดอีกครั้งอาเธอร์เดินไปจ่ายค่าโดยสารด้านหน้าคนขับ

แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวจากไป  

ทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นั่น

 

 

            ฟิโลโซเฟอร์มองต้นสนที่ยืนเรียงแถวเป็นแนวกำแพง   ถัดออกไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวสดที่ได้รับการดูแลอย่างดี   อาเธอร์เดินผ่านประตูหลักเข้าไป   บรรยากาศในนั้นเงียบสงบสองข้างทางปลูกต้นไม้ใหญ่ประดับไว้เป็นหย่อมๆ   ทางเดินปูด้วยหินอ่อนสลับกับหินแกรนิต   ระหว่างช่องว่างของหินมีหญ้าเส้นเล็กๆ โผล่ขึ้นมาเป็นฝอยนุ่มๆ

 

พวกเขายังคงเดินกันเงียบๆ ตลอดสองแนวข้างทางบนสนามหญ้านุ่มๆ มีแผ่นหินสีดำวางเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ   หินเหล่านั้นสลักชื่อผู้วายชนเอาไว้   อาเธอร์เดินไปเรื่อยๆ เขารู้ว่าจุดหมายของเขาอยู่ที่ไหน   แต่บางครั้งเขาก็ก้มหัวให้กับบางศพบางหลุม   แน่นอนเขารู้จักกับคนเหล่านั้นและมีบางคนที่เขาได้เห็นนาทีการเสียชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว   เบื้องหลังสงครามทิ้งไว้เพียงร่างที่เน่าเปื่อยกับความเศร้าเสียใจ   

 

หลุมศพบางอันมีดอกไม้วางอยู่   อาเธอร์ก้มลงเด็ดดอกไม้ริมทางมาถือไว้ในมือ   หลุมศพตรงนั้นตั้งอยู่บนเนินดินตัวหนังสือสีทองสลักบนแผ่นหินที่ราบเรียบ   ศพของต้นตระกูลเขาเรียงรายกันอยู่ที่นี่มาตราบตั้งแต่ก่อตั้งเมืองมาจนถึงรุ่นของเขา 

 

 

            เหนือแผ่นหินมีกุหลาบสีขาววางอยู่ก่อนแล้ว   ใครบางคนคงวางได้ไว้เมื่อไม่นานมา   นี้กลิ่นหอมของมันโรยริน   อาเธอร์ใช้มือปัดฝุ่นบนแผ่นหินทั้งๆ ที่มันสะอาดสะอ้านแล้ว   เขาบรรจงวางดอกไม้ที่เก็บมาข้างดอกกุหลาบสีขาวนั้นทุกคนก็วางลงตามเขา   

 

อาเธอร์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น   ไม่พยายามคิดถึงความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีต่อกัน   ในที่สุดมารดาของเขาที่ต้องทนนอนอย่างเดียวดายมาหลายสิบปีก็คงจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป   หลุมศพของน้องชายวางอยู่เคียงข้างผู้เป็นบิดาหลุมที่มีเพียงหน้ากากสีทองนอนนิ่งอยู่   

 

อาเธอร์เอามือวางลงไปเหนือหลุมศพอย่างอ่อนโยน   เขากลับมาที่นี่และพบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่เหลือใคร   เขาพยายามจะไม่นึกว่าสงครามมันโหดร้ายต่อเขาเพียงใด

 

สายลมพัดเอื่อยๆ ในบรรยากาศที่สงบ   ใบไม้แห้งเริ่มร่วงและปลิวไปตามสายลม   ราวกับจะแสดงความอาดูรต่อความสูญเสียเขาลุกขึ้นอีกครั้ง   ฟากหนึ่งของสุสานมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ซึ่งอาเธอร์ไม่เคยพบมาก่อนเขาเดินตรงไปที่นั่น   มันเป็นรูปปั้นนายทหารมือข้างหนึ่งถือดาบอีกข้างถือโล่เหล็กฐานตรงเท้าเหยียบตัวหนังสือสลักลงในเนื้อหินเป็นเวลานับสิบปีเขียนว่า   อนุสาวรีย์ผู้ชนะสงคราม   รอบๆ มีแท่งปูนสี่เหลี่ยมวางเรียงกันเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นภายใต้แท่งปูนเหล่านั้น   วีรบุรุษผู้พลีชีพในสงครามนอนสงบอยู่   เหนือแท่นหินได้สลักเรื่องราวความกล้าหาญของพวกเขาไว้

 

นี่คงเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกจากสงครามครั้งล่าสุด   อาเธอร์ไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์แบบนี้มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของสงคราม   ทั้งที่ท้ายที่สุดแล้วหลังจบสงครามเราก็ต้องรอทำสงครามรอบใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม   คนเหล่านี้กล้าหาญในสงครามแต่หาใช่คนที่ยุติสงครามไม่   ภายในปราสาทศิลาขาวที่เป็นที่ตั้งของสภาพ่อมดที่นั่นก็มีอนุสาวรีย์แบบนี้เช่นกัน   แต่มันตั้งมั่นมาพร้อมกับการสร้างปราสาทมีอายุนับพันปีมาแล้ว   พวกเขาที่ถูกฝังไว้ที่นั่นล้วนเป็นนักรบที่เคยต่อกรกับซาเหวจหลอดกันมาทั้งสิ้น   และนั่นก็เป็นแรงบัลดาลใจของเหล่าชายผู้กล้ามาหลายรุ่นนัก   รวมทั้งเขาในอดีตอีกด้วย

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา