โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) บ้านเก่าหลังใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
แสงแดดยามเช้าทอดเป็นลำยาวเข้ามาในตัวบ้าน   ส่องให้เห็นฝุ่นเกาะหนาเตอะเต็มพื้น   รวมทั้งหลังตู้และบนโต๊ะ   พวกเขาก้าวเข้าไปข้างในช้าๆ ย่ำลงไปบนพรมสึกกร่อน   กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้ง   ผ้าม่านเก่าแก่แกว่งน้อยๆ ตามแรงลม   คาโลไรน์พยายามเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ   ส่วนฟิโลโซเฟอร์ไม่รอช้าเขาวิ่งขึ้นไปสำรวจบนชั้นสอง
 
“ วันนี้ท่าจะงานหนัก ”
 
คาโลไรน์ว่า
สายตาจับจ้องไปที่หยากไย่เต็มเพดาน
 
พวกเขาค้นพบวิธีที่จะลดความอึดอัดที่ต้องอยู่ต่างเมืองท่ามกลางคนแปลกหน้า  
เมื่อพวกเขาเอาแต่หมกมุ่นในการปรับปรุงบ้านใหม่จนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหน  
ถุงทองที่พ่อมดดีมีนให้ช่วยพวกเขาได้มาก
อาเธอร์จัดการกับกระจกหน้าต่างจนดูเหมือนใหม่ประตูหน้าได้รับการขัดถูจนเงาวับ  
 
คาโลไรน์อยากจะเปลี่ยนผ้าม่านผืนใหม่แต่ยังไม่มีเวลา
ส่วนพรมนั้นนางและเด็กๆ ช่วยกันลากออกไปตากหลังบ้าน
เพราะมันยังพอใช้การได้อยู่
 
อาเธอร์พบเครื่องมือเกษตรเก่าๆ กองสุมอยู่ในคอกม้า
คงเป็นของอดีดผู้เช่าคนใดคนหนึ่งทิ้งเอาไว้  
เขาจะตรวจดูอีกทีว่าพอจะซ่อมได้ไหม 
ส่วนคาโคโลไรน์นางรู้สึกพอใจกับห้องครัวมากมันทั้งกว้างใหญ่และสะดวกสบาย
 
“ อยู่ที่นี่ก็ดีหรอกแต่ของสดใหม่นี่หาได้ยาก ”
 
คาโลไรน์บอก
นางวางถาดขนมลงตรงหน้าเด็กๆ
 
“ รอให้พ้นหน้าหนาวนี่ไปก่อนเถอะ   เราจะเริ่มทำฟาร์มกันอีกครั้ง   คราวนี้เราจะได้มีของสดๆ กินกันอย่างเหลือเฟือ ”
 
อาเธอร์พูด
เขาหยิบขนมไปชิ้นหนึ่ง
 
“ อืม  อร่อยเหมือนตอนอยู่ซีนาร์ยเลย ”
 
“ อาเธอร์คะ   เรายังต้องหาเสื้อผ้าให้ลูกๆ เพิ่มอีก   แล้วเรื่องโรงเรียนจะว่าอย่างไร ”
 
“ โรงเรียนยังไม่เปิดเทอมตอนนี้หรอก   ว่าแต่เด็กๆ อยากออกไปเดินเล่นกันไหม   จะได้ไปซื้อของใช้ที่ยังขาดด้วย ”
 
“ ให้ข้าไปด้วยจริงหรือ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ดีใจ
 
“ ใช่  ไปกันทุกคนเลย ”
 
อาเธอร์ตอบ
           
บ่ายๆ วันนั้นพวกเขาก็ออกมาอยู่บนท้องถนนกลางใจเมืองอีกครั้ง  
อาเธอร์แวะที่ร้านเครื่องเหล็กเป็นอันดับแรกแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร   
ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยดาบและมีดนาๆ ชนิดรวมทั้งชุดเกราะด้วย
 
“ สงสัยจะแวะผิดร้าน ”
 
อาเธอร์พึมพำหลังจากกลับออกมา
ถัดจากร้านเครื่องเหล็กก็เป็นร้านขายผ้าที่นี่มีทั้งผ้าพับและเสื้อผ้าสำเร็จรูป   
ภายในร้านมีคนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่หลายคน
เมื่อลูกจ้างของร้านมองเห็นพวกเขาก็ตรงดิ่งเข้ามาแสดงท่าทีขับไล่
เนื่องจากว่าพวกเขานั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกและขาดรุ่งริ่ง   
แต่เจ้าของร้านที่เป็นหญิงร่างท้วมผิวคล้ำกลับตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มเปิดกว้าง
 
“ สวัสดียามบ่าย   ข้าจะรับใช้อะไรท่านได้บ้างในวันอันสดใสเช่นนี้ ”
 
“ ขอดูผ้าสักสองสามพับสิ ”
 
คาโลไรน์บอก
 
“ ดีเลยเชิญทางนี้ค่ะ   เรามีผ้าเนื้อดีหลากหลายสีให้เลือก ”
 
หญิงเจ้าของร้านเดินนำไปทางชั้นวางผ้า
 
“ เดี๋ยวก่อน   ท่านมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปใช่หรือไม่   เราต้องการคนละชุด ”
 
“ แน่นอนอยู่แล้ว   ธาร่า! ช่วยพาเด็กๆ ที่น่ารักไปเลือกชุดที   เอาล่ะคุณผู้หญิงเรามาดูผ้าของเรากัน ”
 
นางพาคาโลไรน์มาอีกฝั่ง
 
“ ต้องขออภัยสำหรับกิริยาของคนงานข้าด้วย   ผู้คนมากมายยากแก่การแยกแยะ   แต่คนเรามักมองคนที่เปลือกนอกเป็นอันดับแรก   ท่านอย่าถือสาเลยนะ ”
 
“ ไม่เป็นไรข้าชินแล้ว   ต้องยอมรับว่าข้าเดินทางมาไกล   แถมยังทำทรัพย์สินสูญหายระหว่างทาง   สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น   ถ้าใครจะมองแปลกๆ ก็พอเข้าใจได้อยู่ ”
 
  หญิงเจ้าของร้านดึงผ้าออกมาทีละพับส่งให้แคโลไรน์ได้เลือก
 
“ บุตรสาวของท่านมีผมที่งดงามมาก   เส้นละเอียดราวกับเส้นไหมเลยทีเดียว ”
 
นางจัดผ้าพลางชมคาโอเรียไปพลาง
 
“ ขอบคุณ ”
 
คาโลไรน์ตอบ
นางไล้มือไปตามผ้าผ้ายสีน้ำตาล
 
“ นั่นเป็นผ้าคัดพิเศษจากเอเดน   ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอ   และสมุนไพรจากป่า ”
 
“ โอ   ผ้าผืนนี้มาไกลถึงเพียงนี้เลยหรือ ”
 
“ ใช่แล้ว   ร้านของข้าขายสินค้าคุณภาพดีจากทั่วสารทิศ   ท่านไม่ลองดูผืนอื่นบ้างหรือ ”
 
นางบอกพลางดึงผ้าขนสัตว์ออกมา
 
“ นี่เป็นผ้าทอจากไอโอเนีย   ดูสิเนื้อผ้าขาวนุ่มดุจหิมะและนี่ก็เป็นไหมทองของเอเดน   อา...เส้นผมของบุตรสาวท่านทำให้ไหมทองพวกนี้หมองไปเลย   บางทีท่านน่าจะเลือกสีม่วงให้นางนะข้าเชื่อว่าต้องโดดเด่นแน่ ”
 
หญิงเจ้าของร้านเสนอ
สายตาของนางจับจ้องคาโอเรียด้วยความชื่นชม
 
หญิงเจ้าของร้านห่อผ้าทุกชิ้นด้วยกระดาษสาสีน้ำตาล  
นางแถมผ้าคลุมไหล่ให้คาโอเรียอีกหนึ่งผืน   
อาเธอร์จ่ายทั้งหมดด้วยเหรียญทองซึ่งทำให้นางพอใจมาก
 
“ ดีจริงนี่เป็นค่าเงินที่ยอมรับกับกันได้   ทุกวันนี้ค่าเงินผันผวนมาก   ข้าแทบไม่กล้ารับเงินต่างสกุลเลย ”
 
“ นั่นเป็นมาตรตาการกีดกันทางการค้าหรืออย่างไร ”
 
อาเธอร์ถามยิ้มๆ
 
“ ข้าคิดว่าเป็นเพราะข่าวลือเรื่องสงครามมากกว่า   เท่าที่ได้ยินมาน่ะนะ   ข่าวว่าดินแดนรอบนอกเริ่มซ่องสุมกำลังแม้ทางสภาจะไม่ยืนยันเรื่องนี้   แต่ข่าวก็มีมูลอยู่มาก   สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเป็นกังวลและส่งผลไปสู่สังคมเป็นทอดๆ ”
           
 
คาโลไรน์แวะซื้อน้ำตาลปั้นตามร้านเล็กๆ ที่ตั้งโต๊ะเรียงรายอยู่สองข้างทาง   
ร้านนั้นเจ้าของร้านเป็นชายชราร่างผอมสูงเคราสีขาวยาวระถึงหว่างอก  
เขาปั้นน้ำตาลในแบบพิมพ์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ แล้วตกแต่งด้วยสีที่สดใส   
อาเธอร์เลือกน้ำตาลปั้นรูปมังกรสีชมพูตัวเล็กๆ ให้คาโอเรีย  
นางมองดูอย่างแหยงๆ ตัวจริงไม่เห็นจะน่ากินสักเท่าไหร่เลย
 
“ อาเธอร์ลูกเรามีเสื้อผ้าใหม่แต่ยังไม่มีรองเท้า   เราคงจะปล่อยไห้ลูกใส่รองเท้าขาดๆ เดินไปทั่วเมืองไม่ได้ ”
 
  คาโลไรน์บอก
อาเธอร์ก้มมองนิ้วทั้งห้าของฟิโลโซเฟอร์ที่พยายามจะเบียดเสียดออกมาจากรองเท้าน้อยๆ
 
“ นั่นสิ   ระยะทางจากซีนาร์ยทำให้รองเท้าพวกนี้อายุสั้นลง   เอาละเพื่อเป็นรางวัลแห่งความมุมานะของทุกคน   ข้าว่าเราต้องหารองเท้าดีๆ ใส่กัน ”
 
ร้านทำรองเท้าตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ มันมีทางสั้นๆ เชื่อมกับถนนสายหลัก   
สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกเก่าทรุดโทรมถนนเส้นนี้แทบจะว่างเปล่าไร้ผู้คน   
เสียงตอกไม้ดังทึบๆ มาเป็นระยะ
คาโอเรียมองชายร่างกำยำสองคนที่กำลังช่วยกันแกะสลักไม้อยู่ภายในห้องที่เปิดโล่ง   
ชายที่ดูแก่กว่าเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจับตามองเขาเงยหน้าขึ้นทันที 
เมื่อสายตาของเขาพบเข้ากับคาโอเรียเขาก็ยิ้มกริ่ม
 
“ ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย ”
 
คาโอเรียบ่นอุบ
 
“ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยช่างฝีมือดี   ลูกไม่เห็นหรือนั่นน่ะงานชั้นยอดทั้งนั้น ”
 
ฟิโลโซเฟอร์มองช่างตีเหล็กที่บรรจงฟาดค้อนลงบนแท่งเหล็กร้อนแดง 
ความรู้สึกปรารถนาดาบดีๆ สักเล่มเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายในจิตใจ  
แต่พอนึกถึงธนูเขาก็พูดขึ้นว่า
 
“ ข้าอยากมีธนูสักอันแทนอันที่เสียไป ”
 
“ ได้สิพ่อจะหาธนูดีๆ ให้แต่เจ้าคงยังไม่ต้องใช้เดียวนี้หรอกนะ ”
 
อาเธอร์พูดจบเขาก็เลี้ยวเข้าไปในร้านทำรองเท้าทันที   ช่างทำรองเท้าร้านนี้เป็นนายช่างเก่าแก่เขาทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย   รองเท้าที่เขาทำเป็นรองเท้าหนังวัว   ชุดที่เขาสวมก็ทำจากหนังสัตว์เย็บต่อกันทั้งผืน   เขามักจะมีค้อนเหล็กอันเล็กถือไว้ไม่ห่างมือ  
 
แม้ร่างกายของเขาจะดูเทอะทะแต่เขากลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว   เขาวัดเท้าทุกคนแล้วเขียนแบบร่างคล่าวๆ ลงบนแผ่นไม้บางๆ ในระหว่างนั้นเขาก็สรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง   ครู่ใหญ่ๆ พวกเขาก็ออกจากร้านเย็บรองเท้า   
 
ช่างทำรองเท้ารับรองว่า   อีกสามวันรองเท้าทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์   นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องทนใส่รองเท้าเก่าขาดไปอีกสองสามวัน
 
“ นี่เป็นร้านเดียวกับที่มาใช่บริการตลอดมาสมัยที่พ่อยังเป็นนักเรียนอยู่   ไม่น่าเชื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ”
 
“ วันเวลาผันผ่าน   แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ”
 
คาโลไรน์พูด
 
“ แต่ข้าก็อยากให้บางสิ่งบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาเหลือเกิน”
 
อาเธอร์บอก
 
 
ชายหนุ่มหนีบห่อของไว้ใต้วงแขน   เขามองขึ้นไปบนฟากฟ้า   พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปมากแล้วแต่อากาศก็ยังอุ่นสบาย   เขาจึงเสนอให้นั่งชมบรรยากาศยามเย็นในสวนหย่อมริมทางที่สร้างไว้ประปรายตามริมถนนสายหลัก   พื้นหญ้าภายในสนามหนานุ่มและสะอาด   เด็กๆ นอนกลิ้งไปบนพื้นหญ้าอย่างมีความสุข   
 
คาโลไรน์แกะห่อขนมออกมาแจกจ่าย   พวกเขามีเหยือกดินเผาที่เต็มปริ่มไปด้วยน้ำมะนาวเย็นชื่นใจ   สวนหย่อมแห่งนี้มีผู้คนค่อนข้างจะหนาตา   อาเธอร์มองไปรอบๆ ความทรงจำในอดีตก็ถาโถมเข้ามา   เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กหลังโรงเรียนเลิกเขาและเพื่อนๆ มักจะแวะเวียนมาที่สวนแห่งนี้เป็นประจำ   รอบๆ ลานน้ำพุจะมีหญิงสาวนำเด็กอ่อนมาเลี้ยง   แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นเด็กที่มีวัยไล่เลี่ยกับคาโอเรีย   หรือไม่ก็แก่กว่า   ส่วนเด็กแรกเกิดนั้นไม่มีให้เห็นมานานแล้ว   ซึ่งสาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมานึกสงสัย
 
            ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นนั้น   เขาเคยพบหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งป้อนนมลูกน้อยอย่างมีความสุข   เขามักจะแอบมองนางทีละนานๆ เพราะนางทำให้เขาคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับ   แต่ตอนนี้ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นเดิม   มีเพียงหญิงชราคนหนึ่งนั่งเหม่อมองไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังเล่นซนด้วยสายตาอันเศร้าโศก   ใบเมเปิ้ลแดงร่วงกราวลงมาเป็นสายตามแรงแกว่งของสายลม   หญิงชราหันปุบปับมาทางอาเธอร์สายตาของพวกเขาพบกันชั่วครู่   นางมองเลยไปทางเด็กทั้งสองแล้วก็เมินหน้าหนี   อาเธอร์แทบจะรู้สึกได้เลยว่านางกำลังร้องให้
 
            ผู้คนมากมายในสวนหย่อมต่างแต่งกายด้วยชุดที่สวยงาม   บ่อยครั้งที่สายตาคนเหล่านี้จับจ้องมาทางครอบครัวของอาเธอร์ด้วยอาการแปลกๆ  นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าของพวกเขาที่เก่าและสกปรก   แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ความสุขกำลังคืนมา   เรื่องบางอย่างสามารถรอไปก่อนได้   แม้จะรู้สึกอึดอัดกับสภาพที่แปลกแยกแปลกถิ่นอยู่บ้าง   แต่นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องปรับตัว   อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างคนจนกรอบในเมืองที่หรูหราแห่งนี้   แม้แต่ลูเองก็ยังดูมีความสุข   มันไม่สนใจขนมที่คาโอเรียแบ่งไห้   แต่ตั้งหน้าตั้งตาแทะหญ้าภายในสวนอย่างสบายอารมณ์ 
 
 
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเกร็งๆ อยู่บ้างกับการที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย   เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ที่ซีนาร์ยเขาต้องเข้าไปเรียนในเมืองก็จริง   แต่ที่นั่นไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากับโอลีเวีย
 
“ ท่านแม่คะ   คนที่ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในโอลีเวีย   พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ”
 
“ พวกเขาต้องถอยร่นไปตะวันตกน่ะ   ไปให้ไกลได้ยิ่งดี   เพื่อว่าจะได้ห่างไกลจากเมืองคาเลเข้าไว้ ”
 
อาเธอร์ให้คำตอบ
 
“ ข้าเป็นห่วงอันดอรีสอยู่เหมือนกัน   พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้   ชายแดนของพวกเขาอยู่ติดกับป่ามรณะเสียด้วยสิ ”
 
 คาโลไรน์พูด
 
“ กษัตยริย์แห่งอันดอร์รีสคงรับมือได้หรอกน่า   พวกเขายืนหยัดอยู่ได้ตลอดมาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น   ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ของพวกเขาทรงอำนาจมาก   ไม่มีอะไรที่พระองค์จะจัดการไม่ได้ ”
 
“ น่ากลัวนะ ”
 
แคโลไรน์รำพึงหลังจากเงียบไปนาน  
นางไม่ได้เจาะจงต่อสิ่งใดแต่นางก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
 
“ มันก็ไม่แน่หรอกบางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังคิดถึงก็ได้ ”
 
อีกฟากหนึ่งของสนาม   หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งถักผ้าอย่างตั้งใจปากของนางเม้มแน่น   กลุ่มด้ายสีขาวกลิ้งไปมาบนพื้น   นางสวมชุดสีน้ำตาลทองผมสีเข้มเปียคู่ทิ้งลงกลางหลัง
 
“ ผู้คนหนาแน่นกว่าแต่ก่อนมาก ”
 
อาเธอร์บอก
 
นั่นอาจเป็นเพราะภายนอกเต็มไปด้วยอันตราย  
ผู้คนจึงอพยพเข้ามาอยู่ในโอรีเวีย  
เมืองที่ได้รับความคุ้มครองจากมนต์วิเศษ
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา