โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.60K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) บ้านเก่าหลังใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแสงแดดยามเช้าทอดเป็นลำยาวเข้ามาในตัวบ้าน ส่องให้เห็นฝุ่นเกาะหนาเตอะเต็มพื้น รวมทั้งหลังตู้และบนโต๊ะ พวกเขาก้าวเข้าไปข้างในช้าๆ ย่ำลงไปบนพรมสึกกร่อน กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้ง ผ้าม่านเก่าแก่แกว่งน้อยๆ ตามแรงลม คาโลไรน์พยายามเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ส่วนฟิโลโซเฟอร์ไม่รอช้าเขาวิ่งขึ้นไปสำรวจบนชั้นสอง
“ วันนี้ท่าจะงานหนัก ”
คาโลไรน์ว่า
สายตาจับจ้องไปที่หยากไย่เต็มเพดาน
พวกเขาค้นพบวิธีที่จะลดความอึดอัดที่ต้องอยู่ต่างเมืองท่ามกลางคนแปลกหน้า
เมื่อพวกเขาเอาแต่หมกมุ่นในการปรับปรุงบ้านใหม่จนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ถุงทองที่พ่อมดดีมีนให้ช่วยพวกเขาได้มาก
อาเธอร์จัดการกับกระจกหน้าต่างจนดูเหมือนใหม่ประตูหน้าได้รับการขัดถูจนเงาวับ
คาโลไรน์อยากจะเปลี่ยนผ้าม่านผืนใหม่แต่ยังไม่มีเวลา
ส่วนพรมนั้นนางและเด็กๆ ช่วยกันลากออกไปตากหลังบ้าน
เพราะมันยังพอใช้การได้อยู่
อาเธอร์พบเครื่องมือเกษตรเก่าๆ กองสุมอยู่ในคอกม้า
คงเป็นของอดีดผู้เช่าคนใดคนหนึ่งทิ้งเอาไว้
เขาจะตรวจดูอีกทีว่าพอจะซ่อมได้ไหม
ส่วนคาโคโลไรน์นางรู้สึกพอใจกับห้องครัวมากมันทั้งกว้างใหญ่และสะดวกสบาย
“ อยู่ที่นี่ก็ดีหรอกแต่ของสดใหม่นี่หาได้ยาก ”
คาโลไรน์บอก
นางวางถาดขนมลงตรงหน้าเด็กๆ
“ รอให้พ้นหน้าหนาวนี่ไปก่อนเถอะ เราจะเริ่มทำฟาร์มกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะได้มีของสดๆ กินกันอย่างเหลือเฟือ ”
อาเธอร์พูด
เขาหยิบขนมไปชิ้นหนึ่ง
“ อืม อร่อยเหมือนตอนอยู่ซีนาร์ยเลย ”
“ อาเธอร์คะ เรายังต้องหาเสื้อผ้าให้ลูกๆ เพิ่มอีก แล้วเรื่องโรงเรียนจะว่าอย่างไร ”
“ โรงเรียนยังไม่เปิดเทอมตอนนี้หรอก ว่าแต่เด็กๆ อยากออกไปเดินเล่นกันไหม จะได้ไปซื้อของใช้ที่ยังขาดด้วย ”
“ ให้ข้าไปด้วยจริงหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ดีใจ
“ ใช่ ไปกันทุกคนเลย ”
อาเธอร์ตอบ
บ่ายๆ วันนั้นพวกเขาก็ออกมาอยู่บนท้องถนนกลางใจเมืองอีกครั้ง
อาเธอร์แวะที่ร้านเครื่องเหล็กเป็นอันดับแรกแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร
ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยดาบและมีดนาๆ ชนิดรวมทั้งชุดเกราะด้วย
“ สงสัยจะแวะผิดร้าน ”
อาเธอร์พึมพำหลังจากกลับออกมา
ถัดจากร้านเครื่องเหล็กก็เป็นร้านขายผ้าที่นี่มีทั้งผ้าพับและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ภายในร้านมีคนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่หลายคน
เมื่อลูกจ้างของร้านมองเห็นพวกเขาก็ตรงดิ่งเข้ามาแสดงท่าทีขับไล่
เนื่องจากว่าพวกเขานั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกและขาดรุ่งริ่ง
แต่เจ้าของร้านที่เป็นหญิงร่างท้วมผิวคล้ำกลับตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มเปิดกว้าง
“ สวัสดียามบ่าย ข้าจะรับใช้อะไรท่านได้บ้างในวันอันสดใสเช่นนี้ ”
“ ขอดูผ้าสักสองสามพับสิ ”
คาโลไรน์บอก
“ ดีเลยเชิญทางนี้ค่ะ เรามีผ้าเนื้อดีหลากหลายสีให้เลือก ”
หญิงเจ้าของร้านเดินนำไปทางชั้นวางผ้า
“ เดี๋ยวก่อน ท่านมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปใช่หรือไม่ เราต้องการคนละชุด ”
“ แน่นอนอยู่แล้ว ธาร่า! ช่วยพาเด็กๆ ที่น่ารักไปเลือกชุดที เอาล่ะคุณผู้หญิงเรามาดูผ้าของเรากัน ”
นางพาคาโลไรน์มาอีกฝั่ง
“ ต้องขออภัยสำหรับกิริยาของคนงานข้าด้วย ผู้คนมากมายยากแก่การแยกแยะ แต่คนเรามักมองคนที่เปลือกนอกเป็นอันดับแรก ท่านอย่าถือสาเลยนะ ”
“ ไม่เป็นไรข้าชินแล้ว ต้องยอมรับว่าข้าเดินทางมาไกล แถมยังทำทรัพย์สินสูญหายระหว่างทาง สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น ถ้าใครจะมองแปลกๆ ก็พอเข้าใจได้อยู่ ”
หญิงเจ้าของร้านดึงผ้าออกมาทีละพับส่งให้แคโลไรน์ได้เลือก
“ บุตรสาวของท่านมีผมที่งดงามมาก เส้นละเอียดราวกับเส้นไหมเลยทีเดียว ”
นางจัดผ้าพลางชมคาโอเรียไปพลาง
“ ขอบคุณ ”
คาโลไรน์ตอบ
นางไล้มือไปตามผ้าผ้ายสีน้ำตาล
“ นั่นเป็นผ้าคัดพิเศษจากเอเดน ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอ และสมุนไพรจากป่า ”
“ โอ ผ้าผืนนี้มาไกลถึงเพียงนี้เลยหรือ ”
“ ใช่แล้ว ร้านของข้าขายสินค้าคุณภาพดีจากทั่วสารทิศ ท่านไม่ลองดูผืนอื่นบ้างหรือ ”
นางบอกพลางดึงผ้าขนสัตว์ออกมา
“ นี่เป็นผ้าทอจากไอโอเนีย ดูสิเนื้อผ้าขาวนุ่มดุจหิมะและนี่ก็เป็นไหมทองของเอเดน อา...เส้นผมของบุตรสาวท่านทำให้ไหมทองพวกนี้หมองไปเลย บางทีท่านน่าจะเลือกสีม่วงให้นางนะข้าเชื่อว่าต้องโดดเด่นแน่ ”
หญิงเจ้าของร้านเสนอ
สายตาของนางจับจ้องคาโอเรียด้วยความชื่นชม
หญิงเจ้าของร้านห่อผ้าทุกชิ้นด้วยกระดาษสาสีน้ำตาล
นางแถมผ้าคลุมไหล่ให้คาโอเรียอีกหนึ่งผืน
อาเธอร์จ่ายทั้งหมดด้วยเหรียญทองซึ่งทำให้นางพอใจมาก
“ ดีจริงนี่เป็นค่าเงินที่ยอมรับกับกันได้ ทุกวันนี้ค่าเงินผันผวนมาก ข้าแทบไม่กล้ารับเงินต่างสกุลเลย ”
“ นั่นเป็นมาตรตาการกีดกันทางการค้าหรืออย่างไร ”
อาเธอร์ถามยิ้มๆ
“ ข้าคิดว่าเป็นเพราะข่าวลือเรื่องสงครามมากกว่า เท่าที่ได้ยินมาน่ะนะ ข่าวว่าดินแดนรอบนอกเริ่มซ่องสุมกำลังแม้ทางสภาจะไม่ยืนยันเรื่องนี้ แต่ข่าวก็มีมูลอยู่มาก สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเป็นกังวลและส่งผลไปสู่สังคมเป็นทอดๆ ”
คาโลไรน์แวะซื้อน้ำตาลปั้นตามร้านเล็กๆ ที่ตั้งโต๊ะเรียงรายอยู่สองข้างทาง
ร้านนั้นเจ้าของร้านเป็นชายชราร่างผอมสูงเคราสีขาวยาวระถึงหว่างอก
เขาปั้นน้ำตาลในแบบพิมพ์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ แล้วตกแต่งด้วยสีที่สดใส
อาเธอร์เลือกน้ำตาลปั้นรูปมังกรสีชมพูตัวเล็กๆ ให้คาโอเรีย
นางมองดูอย่างแหยงๆ ตัวจริงไม่เห็นจะน่ากินสักเท่าไหร่เลย
“ อาเธอร์ลูกเรามีเสื้อผ้าใหม่แต่ยังไม่มีรองเท้า เราคงจะปล่อยไห้ลูกใส่รองเท้าขาดๆ เดินไปทั่วเมืองไม่ได้ ”
คาโลไรน์บอก
อาเธอร์ก้มมองนิ้วทั้งห้าของฟิโลโซเฟอร์ที่พยายามจะเบียดเสียดออกมาจากรองเท้าน้อยๆ
“ นั่นสิ ระยะทางจากซีนาร์ยทำให้รองเท้าพวกนี้อายุสั้นลง เอาละเพื่อเป็นรางวัลแห่งความมุมานะของทุกคน ข้าว่าเราต้องหารองเท้าดีๆ ใส่กัน ”
ร้านทำรองเท้าตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ มันมีทางสั้นๆ เชื่อมกับถนนสายหลัก
สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกเก่าทรุดโทรมถนนเส้นนี้แทบจะว่างเปล่าไร้ผู้คน
เสียงตอกไม้ดังทึบๆ มาเป็นระยะ
คาโอเรียมองชายร่างกำยำสองคนที่กำลังช่วยกันแกะสลักไม้อยู่ภายในห้องที่เปิดโล่ง
ชายที่ดูแก่กว่าเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจับตามองเขาเงยหน้าขึ้นทันที
เมื่อสายตาของเขาพบเข้ากับคาโอเรียเขาก็ยิ้มกริ่ม
“ ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย ”
คาโอเรียบ่นอุบ
“ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยช่างฝีมือดี ลูกไม่เห็นหรือนั่นน่ะงานชั้นยอดทั้งนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์มองช่างตีเหล็กที่บรรจงฟาดค้อนลงบนแท่งเหล็กร้อนแดง
ความรู้สึกปรารถนาดาบดีๆ สักเล่มเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายในจิตใจ
แต่พอนึกถึงธนูเขาก็พูดขึ้นว่า
“ ข้าอยากมีธนูสักอันแทนอันที่เสียไป ”
“ ได้สิพ่อจะหาธนูดีๆ ให้แต่เจ้าคงยังไม่ต้องใช้เดียวนี้หรอกนะ ”
อาเธอร์พูดจบเขาก็เลี้ยวเข้าไปในร้านทำรองเท้าทันที ช่างทำรองเท้าร้านนี้เป็นนายช่างเก่าแก่เขาทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย รองเท้าที่เขาทำเป็นรองเท้าหนังวัว ชุดที่เขาสวมก็ทำจากหนังสัตว์เย็บต่อกันทั้งผืน เขามักจะมีค้อนเหล็กอันเล็กถือไว้ไม่ห่างมือ
แม้ร่างกายของเขาจะดูเทอะทะแต่เขากลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เขาวัดเท้าทุกคนแล้วเขียนแบบร่างคล่าวๆ ลงบนแผ่นไม้บางๆ ในระหว่างนั้นเขาก็สรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง ครู่ใหญ่ๆ พวกเขาก็ออกจากร้านเย็บรองเท้า
ช่างทำรองเท้ารับรองว่า อีกสามวันรองเท้าทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องทนใส่รองเท้าเก่าขาดไปอีกสองสามวัน
“ นี่เป็นร้านเดียวกับที่มาใช่บริการตลอดมาสมัยที่พ่อยังเป็นนักเรียนอยู่ ไม่น่าเชื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ”
“ วันเวลาผันผ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ”
คาโลไรน์พูด
“ แต่ข้าก็อยากให้บางสิ่งบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาเหลือเกิน”
อาเธอร์บอก
ชายหนุ่มหนีบห่อของไว้ใต้วงแขน เขามองขึ้นไปบนฟากฟ้า พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปมากแล้วแต่อากาศก็ยังอุ่นสบาย เขาจึงเสนอให้นั่งชมบรรยากาศยามเย็นในสวนหย่อมริมทางที่สร้างไว้ประปรายตามริมถนนสายหลัก พื้นหญ้าภายในสนามหนานุ่มและสะอาด เด็กๆ นอนกลิ้งไปบนพื้นหญ้าอย่างมีความสุข
คาโลไรน์แกะห่อขนมออกมาแจกจ่าย พวกเขามีเหยือกดินเผาที่เต็มปริ่มไปด้วยน้ำมะนาวเย็นชื่นใจ สวนหย่อมแห่งนี้มีผู้คนค่อนข้างจะหนาตา อาเธอร์มองไปรอบๆ ความทรงจำในอดีตก็ถาโถมเข้ามา เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กหลังโรงเรียนเลิกเขาและเพื่อนๆ มักจะแวะเวียนมาที่สวนแห่งนี้เป็นประจำ รอบๆ ลานน้ำพุจะมีหญิงสาวนำเด็กอ่อนมาเลี้ยง แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นเด็กที่มีวัยไล่เลี่ยกับคาโอเรีย หรือไม่ก็แก่กว่า ส่วนเด็กแรกเกิดนั้นไม่มีให้เห็นมานานแล้ว ซึ่งสาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมานึกสงสัย
ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นนั้น เขาเคยพบหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งป้อนนมลูกน้อยอย่างมีความสุข เขามักจะแอบมองนางทีละนานๆ เพราะนางทำให้เขาคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับ แต่ตอนนี้ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นเดิม มีเพียงหญิงชราคนหนึ่งนั่งเหม่อมองไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังเล่นซนด้วยสายตาอันเศร้าโศก ใบเมเปิ้ลแดงร่วงกราวลงมาเป็นสายตามแรงแกว่งของสายลม หญิงชราหันปุบปับมาทางอาเธอร์สายตาของพวกเขาพบกันชั่วครู่ นางมองเลยไปทางเด็กทั้งสองแล้วก็เมินหน้าหนี อาเธอร์แทบจะรู้สึกได้เลยว่านางกำลังร้องให้
ผู้คนมากมายในสวนหย่อมต่างแต่งกายด้วยชุดที่สวยงาม บ่อยครั้งที่สายตาคนเหล่านี้จับจ้องมาทางครอบครัวของอาเธอร์ด้วยอาการแปลกๆ นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าของพวกเขาที่เก่าและสกปรก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ความสุขกำลังคืนมา เรื่องบางอย่างสามารถรอไปก่อนได้ แม้จะรู้สึกอึดอัดกับสภาพที่แปลกแยกแปลกถิ่นอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องปรับตัว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างคนจนกรอบในเมืองที่หรูหราแห่งนี้ แม้แต่ลูเองก็ยังดูมีความสุข มันไม่สนใจขนมที่คาโอเรียแบ่งไห้ แต่ตั้งหน้าตั้งตาแทะหญ้าภายในสวนอย่างสบายอารมณ์
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเกร็งๆ อยู่บ้างกับการที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ที่ซีนาร์ยเขาต้องเข้าไปเรียนในเมืองก็จริง แต่ที่นั่นไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากับโอลีเวีย
“ ท่านแม่คะ คนที่ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในโอลีเวีย พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ”
“ พวกเขาต้องถอยร่นไปตะวันตกน่ะ ไปให้ไกลได้ยิ่งดี เพื่อว่าจะได้ห่างไกลจากเมืองคาเลเข้าไว้ ”
อาเธอร์ให้คำตอบ
“ ข้าเป็นห่วงอันดอรีสอยู่เหมือนกัน พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ ชายแดนของพวกเขาอยู่ติดกับป่ามรณะเสียด้วยสิ ”
คาโลไรน์พูด
“ กษัตยริย์แห่งอันดอร์รีสคงรับมือได้หรอกน่า พวกเขายืนหยัดอยู่ได้ตลอดมาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ของพวกเขาทรงอำนาจมาก ไม่มีอะไรที่พระองค์จะจัดการไม่ได้ ”
“ น่ากลัวนะ ”
แคโลไรน์รำพึงหลังจากเงียบไปนาน
นางไม่ได้เจาะจงต่อสิ่งใดแต่นางก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ มันก็ไม่แน่หรอกบางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังคิดถึงก็ได้ ”
อีกฟากหนึ่งของสนาม หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งถักผ้าอย่างตั้งใจปากของนางเม้มแน่น กลุ่มด้ายสีขาวกลิ้งไปมาบนพื้น นางสวมชุดสีน้ำตาลทองผมสีเข้มเปียคู่ทิ้งลงกลางหลัง
“ ผู้คนหนาแน่นกว่าแต่ก่อนมาก ”
อาเธอร์บอก
นั่นอาจเป็นเพราะภายนอกเต็มไปด้วยอันตราย
ผู้คนจึงอพยพเข้ามาอยู่ในโอรีเวีย
เมืองที่ได้รับความคุ้มครองจากมนต์วิเศษ
“ วันนี้ท่าจะงานหนัก ”
คาโลไรน์ว่า
สายตาจับจ้องไปที่หยากไย่เต็มเพดาน
พวกเขาค้นพบวิธีที่จะลดความอึดอัดที่ต้องอยู่ต่างเมืองท่ามกลางคนแปลกหน้า
เมื่อพวกเขาเอาแต่หมกมุ่นในการปรับปรุงบ้านใหม่จนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ถุงทองที่พ่อมดดีมีนให้ช่วยพวกเขาได้มาก
อาเธอร์จัดการกับกระจกหน้าต่างจนดูเหมือนใหม่ประตูหน้าได้รับการขัดถูจนเงาวับ
คาโลไรน์อยากจะเปลี่ยนผ้าม่านผืนใหม่แต่ยังไม่มีเวลา
ส่วนพรมนั้นนางและเด็กๆ ช่วยกันลากออกไปตากหลังบ้าน
เพราะมันยังพอใช้การได้อยู่
อาเธอร์พบเครื่องมือเกษตรเก่าๆ กองสุมอยู่ในคอกม้า
คงเป็นของอดีดผู้เช่าคนใดคนหนึ่งทิ้งเอาไว้
เขาจะตรวจดูอีกทีว่าพอจะซ่อมได้ไหม
ส่วนคาโคโลไรน์นางรู้สึกพอใจกับห้องครัวมากมันทั้งกว้างใหญ่และสะดวกสบาย
“ อยู่ที่นี่ก็ดีหรอกแต่ของสดใหม่นี่หาได้ยาก ”
คาโลไรน์บอก
นางวางถาดขนมลงตรงหน้าเด็กๆ
“ รอให้พ้นหน้าหนาวนี่ไปก่อนเถอะ เราจะเริ่มทำฟาร์มกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะได้มีของสดๆ กินกันอย่างเหลือเฟือ ”
อาเธอร์พูด
เขาหยิบขนมไปชิ้นหนึ่ง
“ อืม อร่อยเหมือนตอนอยู่ซีนาร์ยเลย ”
“ อาเธอร์คะ เรายังต้องหาเสื้อผ้าให้ลูกๆ เพิ่มอีก แล้วเรื่องโรงเรียนจะว่าอย่างไร ”
“ โรงเรียนยังไม่เปิดเทอมตอนนี้หรอก ว่าแต่เด็กๆ อยากออกไปเดินเล่นกันไหม จะได้ไปซื้อของใช้ที่ยังขาดด้วย ”
“ ให้ข้าไปด้วยจริงหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ดีใจ
“ ใช่ ไปกันทุกคนเลย ”
อาเธอร์ตอบ
บ่ายๆ วันนั้นพวกเขาก็ออกมาอยู่บนท้องถนนกลางใจเมืองอีกครั้ง
อาเธอร์แวะที่ร้านเครื่องเหล็กเป็นอันดับแรกแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร
ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยดาบและมีดนาๆ ชนิดรวมทั้งชุดเกราะด้วย
“ สงสัยจะแวะผิดร้าน ”
อาเธอร์พึมพำหลังจากกลับออกมา
ถัดจากร้านเครื่องเหล็กก็เป็นร้านขายผ้าที่นี่มีทั้งผ้าพับและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ภายในร้านมีคนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่หลายคน
เมื่อลูกจ้างของร้านมองเห็นพวกเขาก็ตรงดิ่งเข้ามาแสดงท่าทีขับไล่
เนื่องจากว่าพวกเขานั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกและขาดรุ่งริ่ง
แต่เจ้าของร้านที่เป็นหญิงร่างท้วมผิวคล้ำกลับตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มเปิดกว้าง
“ สวัสดียามบ่าย ข้าจะรับใช้อะไรท่านได้บ้างในวันอันสดใสเช่นนี้ ”
“ ขอดูผ้าสักสองสามพับสิ ”
คาโลไรน์บอก
“ ดีเลยเชิญทางนี้ค่ะ เรามีผ้าเนื้อดีหลากหลายสีให้เลือก ”
หญิงเจ้าของร้านเดินนำไปทางชั้นวางผ้า
“ เดี๋ยวก่อน ท่านมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปใช่หรือไม่ เราต้องการคนละชุด ”
“ แน่นอนอยู่แล้ว ธาร่า! ช่วยพาเด็กๆ ที่น่ารักไปเลือกชุดที เอาล่ะคุณผู้หญิงเรามาดูผ้าของเรากัน ”
นางพาคาโลไรน์มาอีกฝั่ง
“ ต้องขออภัยสำหรับกิริยาของคนงานข้าด้วย ผู้คนมากมายยากแก่การแยกแยะ แต่คนเรามักมองคนที่เปลือกนอกเป็นอันดับแรก ท่านอย่าถือสาเลยนะ ”
“ ไม่เป็นไรข้าชินแล้ว ต้องยอมรับว่าข้าเดินทางมาไกล แถมยังทำทรัพย์สินสูญหายระหว่างทาง สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น ถ้าใครจะมองแปลกๆ ก็พอเข้าใจได้อยู่ ”
หญิงเจ้าของร้านดึงผ้าออกมาทีละพับส่งให้แคโลไรน์ได้เลือก
“ บุตรสาวของท่านมีผมที่งดงามมาก เส้นละเอียดราวกับเส้นไหมเลยทีเดียว ”
นางจัดผ้าพลางชมคาโอเรียไปพลาง
“ ขอบคุณ ”
คาโลไรน์ตอบ
นางไล้มือไปตามผ้าผ้ายสีน้ำตาล
“ นั่นเป็นผ้าคัดพิเศษจากเอเดน ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอ และสมุนไพรจากป่า ”
“ โอ ผ้าผืนนี้มาไกลถึงเพียงนี้เลยหรือ ”
“ ใช่แล้ว ร้านของข้าขายสินค้าคุณภาพดีจากทั่วสารทิศ ท่านไม่ลองดูผืนอื่นบ้างหรือ ”
นางบอกพลางดึงผ้าขนสัตว์ออกมา
“ นี่เป็นผ้าทอจากไอโอเนีย ดูสิเนื้อผ้าขาวนุ่มดุจหิมะและนี่ก็เป็นไหมทองของเอเดน อา...เส้นผมของบุตรสาวท่านทำให้ไหมทองพวกนี้หมองไปเลย บางทีท่านน่าจะเลือกสีม่วงให้นางนะข้าเชื่อว่าต้องโดดเด่นแน่ ”
หญิงเจ้าของร้านเสนอ
สายตาของนางจับจ้องคาโอเรียด้วยความชื่นชม
หญิงเจ้าของร้านห่อผ้าทุกชิ้นด้วยกระดาษสาสีน้ำตาล
นางแถมผ้าคลุมไหล่ให้คาโอเรียอีกหนึ่งผืน
อาเธอร์จ่ายทั้งหมดด้วยเหรียญทองซึ่งทำให้นางพอใจมาก
“ ดีจริงนี่เป็นค่าเงินที่ยอมรับกับกันได้ ทุกวันนี้ค่าเงินผันผวนมาก ข้าแทบไม่กล้ารับเงินต่างสกุลเลย ”
“ นั่นเป็นมาตรตาการกีดกันทางการค้าหรืออย่างไร ”
อาเธอร์ถามยิ้มๆ
“ ข้าคิดว่าเป็นเพราะข่าวลือเรื่องสงครามมากกว่า เท่าที่ได้ยินมาน่ะนะ ข่าวว่าดินแดนรอบนอกเริ่มซ่องสุมกำลังแม้ทางสภาจะไม่ยืนยันเรื่องนี้ แต่ข่าวก็มีมูลอยู่มาก สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเป็นกังวลและส่งผลไปสู่สังคมเป็นทอดๆ ”
คาโลไรน์แวะซื้อน้ำตาลปั้นตามร้านเล็กๆ ที่ตั้งโต๊ะเรียงรายอยู่สองข้างทาง
ร้านนั้นเจ้าของร้านเป็นชายชราร่างผอมสูงเคราสีขาวยาวระถึงหว่างอก
เขาปั้นน้ำตาลในแบบพิมพ์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ แล้วตกแต่งด้วยสีที่สดใส
อาเธอร์เลือกน้ำตาลปั้นรูปมังกรสีชมพูตัวเล็กๆ ให้คาโอเรีย
นางมองดูอย่างแหยงๆ ตัวจริงไม่เห็นจะน่ากินสักเท่าไหร่เลย
“ อาเธอร์ลูกเรามีเสื้อผ้าใหม่แต่ยังไม่มีรองเท้า เราคงจะปล่อยไห้ลูกใส่รองเท้าขาดๆ เดินไปทั่วเมืองไม่ได้ ”
คาโลไรน์บอก
อาเธอร์ก้มมองนิ้วทั้งห้าของฟิโลโซเฟอร์ที่พยายามจะเบียดเสียดออกมาจากรองเท้าน้อยๆ
“ นั่นสิ ระยะทางจากซีนาร์ยทำให้รองเท้าพวกนี้อายุสั้นลง เอาละเพื่อเป็นรางวัลแห่งความมุมานะของทุกคน ข้าว่าเราต้องหารองเท้าดีๆ ใส่กัน ”
ร้านทำรองเท้าตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ มันมีทางสั้นๆ เชื่อมกับถนนสายหลัก
สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกเก่าทรุดโทรมถนนเส้นนี้แทบจะว่างเปล่าไร้ผู้คน
เสียงตอกไม้ดังทึบๆ มาเป็นระยะ
คาโอเรียมองชายร่างกำยำสองคนที่กำลังช่วยกันแกะสลักไม้อยู่ภายในห้องที่เปิดโล่ง
ชายที่ดูแก่กว่าเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจับตามองเขาเงยหน้าขึ้นทันที
เมื่อสายตาของเขาพบเข้ากับคาโอเรียเขาก็ยิ้มกริ่ม
“ ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย ”
คาโอเรียบ่นอุบ
“ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยช่างฝีมือดี ลูกไม่เห็นหรือนั่นน่ะงานชั้นยอดทั้งนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์มองช่างตีเหล็กที่บรรจงฟาดค้อนลงบนแท่งเหล็กร้อนแดง
ความรู้สึกปรารถนาดาบดีๆ สักเล่มเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายในจิตใจ
แต่พอนึกถึงธนูเขาก็พูดขึ้นว่า
“ ข้าอยากมีธนูสักอันแทนอันที่เสียไป ”
“ ได้สิพ่อจะหาธนูดีๆ ให้แต่เจ้าคงยังไม่ต้องใช้เดียวนี้หรอกนะ ”
อาเธอร์พูดจบเขาก็เลี้ยวเข้าไปในร้านทำรองเท้าทันที ช่างทำรองเท้าร้านนี้เป็นนายช่างเก่าแก่เขาทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย รองเท้าที่เขาทำเป็นรองเท้าหนังวัว ชุดที่เขาสวมก็ทำจากหนังสัตว์เย็บต่อกันทั้งผืน เขามักจะมีค้อนเหล็กอันเล็กถือไว้ไม่ห่างมือ
แม้ร่างกายของเขาจะดูเทอะทะแต่เขากลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เขาวัดเท้าทุกคนแล้วเขียนแบบร่างคล่าวๆ ลงบนแผ่นไม้บางๆ ในระหว่างนั้นเขาก็สรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง ครู่ใหญ่ๆ พวกเขาก็ออกจากร้านเย็บรองเท้า
ช่างทำรองเท้ารับรองว่า อีกสามวันรองเท้าทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องทนใส่รองเท้าเก่าขาดไปอีกสองสามวัน
“ นี่เป็นร้านเดียวกับที่มาใช่บริการตลอดมาสมัยที่พ่อยังเป็นนักเรียนอยู่ ไม่น่าเชื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ”
“ วันเวลาผันผ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ”
คาโลไรน์พูด
“ แต่ข้าก็อยากให้บางสิ่งบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาเหลือเกิน”
อาเธอร์บอก
ชายหนุ่มหนีบห่อของไว้ใต้วงแขน เขามองขึ้นไปบนฟากฟ้า พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปมากแล้วแต่อากาศก็ยังอุ่นสบาย เขาจึงเสนอให้นั่งชมบรรยากาศยามเย็นในสวนหย่อมริมทางที่สร้างไว้ประปรายตามริมถนนสายหลัก พื้นหญ้าภายในสนามหนานุ่มและสะอาด เด็กๆ นอนกลิ้งไปบนพื้นหญ้าอย่างมีความสุข
คาโลไรน์แกะห่อขนมออกมาแจกจ่าย พวกเขามีเหยือกดินเผาที่เต็มปริ่มไปด้วยน้ำมะนาวเย็นชื่นใจ สวนหย่อมแห่งนี้มีผู้คนค่อนข้างจะหนาตา อาเธอร์มองไปรอบๆ ความทรงจำในอดีตก็ถาโถมเข้ามา เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กหลังโรงเรียนเลิกเขาและเพื่อนๆ มักจะแวะเวียนมาที่สวนแห่งนี้เป็นประจำ รอบๆ ลานน้ำพุจะมีหญิงสาวนำเด็กอ่อนมาเลี้ยง แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นเด็กที่มีวัยไล่เลี่ยกับคาโอเรีย หรือไม่ก็แก่กว่า ส่วนเด็กแรกเกิดนั้นไม่มีให้เห็นมานานแล้ว ซึ่งสาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมานึกสงสัย
ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นนั้น เขาเคยพบหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งป้อนนมลูกน้อยอย่างมีความสุข เขามักจะแอบมองนางทีละนานๆ เพราะนางทำให้เขาคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับ แต่ตอนนี้ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นเดิม มีเพียงหญิงชราคนหนึ่งนั่งเหม่อมองไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังเล่นซนด้วยสายตาอันเศร้าโศก ใบเมเปิ้ลแดงร่วงกราวลงมาเป็นสายตามแรงแกว่งของสายลม หญิงชราหันปุบปับมาทางอาเธอร์สายตาของพวกเขาพบกันชั่วครู่ นางมองเลยไปทางเด็กทั้งสองแล้วก็เมินหน้าหนี อาเธอร์แทบจะรู้สึกได้เลยว่านางกำลังร้องให้
ผู้คนมากมายในสวนหย่อมต่างแต่งกายด้วยชุดที่สวยงาม บ่อยครั้งที่สายตาคนเหล่านี้จับจ้องมาทางครอบครัวของอาเธอร์ด้วยอาการแปลกๆ นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าของพวกเขาที่เก่าและสกปรก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ความสุขกำลังคืนมา เรื่องบางอย่างสามารถรอไปก่อนได้ แม้จะรู้สึกอึดอัดกับสภาพที่แปลกแยกแปลกถิ่นอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องปรับตัว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างคนจนกรอบในเมืองที่หรูหราแห่งนี้ แม้แต่ลูเองก็ยังดูมีความสุข มันไม่สนใจขนมที่คาโอเรียแบ่งไห้ แต่ตั้งหน้าตั้งตาแทะหญ้าภายในสวนอย่างสบายอารมณ์
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเกร็งๆ อยู่บ้างกับการที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ที่ซีนาร์ยเขาต้องเข้าไปเรียนในเมืองก็จริง แต่ที่นั่นไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากับโอลีเวีย
“ ท่านแม่คะ คนที่ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในโอลีเวีย พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ”
“ พวกเขาต้องถอยร่นไปตะวันตกน่ะ ไปให้ไกลได้ยิ่งดี เพื่อว่าจะได้ห่างไกลจากเมืองคาเลเข้าไว้ ”
อาเธอร์ให้คำตอบ
“ ข้าเป็นห่วงอันดอรีสอยู่เหมือนกัน พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ ชายแดนของพวกเขาอยู่ติดกับป่ามรณะเสียด้วยสิ ”
คาโลไรน์พูด
“ กษัตยริย์แห่งอันดอร์รีสคงรับมือได้หรอกน่า พวกเขายืนหยัดอยู่ได้ตลอดมาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ของพวกเขาทรงอำนาจมาก ไม่มีอะไรที่พระองค์จะจัดการไม่ได้ ”
“ น่ากลัวนะ ”
แคโลไรน์รำพึงหลังจากเงียบไปนาน
นางไม่ได้เจาะจงต่อสิ่งใดแต่นางก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ มันก็ไม่แน่หรอกบางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังคิดถึงก็ได้ ”
อีกฟากหนึ่งของสนาม หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งถักผ้าอย่างตั้งใจปากของนางเม้มแน่น กลุ่มด้ายสีขาวกลิ้งไปมาบนพื้น นางสวมชุดสีน้ำตาลทองผมสีเข้มเปียคู่ทิ้งลงกลางหลัง
“ ผู้คนหนาแน่นกว่าแต่ก่อนมาก ”
อาเธอร์บอก
นั่นอาจเป็นเพราะภายนอกเต็มไปด้วยอันตราย
ผู้คนจึงอพยพเข้ามาอยู่ในโอรีเวีย
เมืองที่ได้รับความคุ้มครองจากมนต์วิเศษ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ