โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) สู่ประตูเมือง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความม้าทั้งห้าทะยานไปบนทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็วรางกับลูกธนู แต่ม้าสีขาวตัวนั้นกลับพานายน้อยผู้งามสง่ารั้งท้ายมาอย่างจงใจ เป็นเหตุให้เหล่าทหารองครักษ์ ต่างต้องเหลียวหลังไปมองด้วยความกังวล
ฟิโลโซเฟอร์หมอบอยู่ด้านหน้าทหารม้าคนหนึ่ง มือแข็งแรงโอบรัดร่างเขาไว้ ลมปะทะใบหน้าจนผมสีน้ำตาลแดงปลิวกระจาย เด็กชายรู้สึกเป็นอิสระและเบิกบานใจ เขานึกอยากให้เป็นว่าเขากำลังขี่ม้าโดยลำพัง โดยไม่มีใครคอยประคองอยู่ด้านหลัง เด็กน้อยลูกชาวไร่ชาวนาคนนี้ยังไม่เคยฝึกขี่ม้า มารดาของเขามักอ้างเรื่องอายุอยู่เสมอ แต่เจ้าตัวมั่นใจว่าสักวันหนึ่งถ้าได้ลองเขาต้องทำได้ดี
ถัดออกไปไกลลิบ กำแพงเมืองเห็นเป็นเงาดำทอดยาวอยู่เหนือทุ่งหญ้า พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากท้องฟ้าทาทับด้วยสีแดงที่คล้ำลงเรื่อยๆ เสียงนกประหลาดส่งเสียงแกรกกรากอยู่เหนือหัว ราวกับจะเตือนถึงลางร้าย
ม้าศึกสีขาวที่เคยอยู่รั้งท้ายแยกตัวออกมาด้านข้าง มันเร่งฝีเท้าขึ้นพุ่งทะยานราวกับลมพายุผ่านหน้าม้าทั้งห้าไป ด้วยความเร็วจนน่าประหลาดทั้งคนทั้งม้าก็ผ่านประตูเมืองลับจากสายตาของผู้ตามหลัง
กำแพงเมืองเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดตรงเบื้องหน้า ตัวกำแพงทำมาจากก้อนหินขนาดใหญ่ สกัดเป็นแท่งแล้วนำมาวางเรียงซ้อนกัน ประตูทางเข้าเป็นช่องขนาดใหญ่บานประตูหล่อขึ้นจากเหล็กกล้าสีดำชั้นดี
ที่หน้าประตูเมือง ทหารยามกำลังก่อกองไฟ อีกไม่นานประตูบานนี้ก็จะถูกปิดลง ทหารยามสองสามนายเดินเตร็ดเตร่อย่างเกียจคร้านแถวหน้าประตูที่เปิดกว้าง ภารกิจวันนี้ใกล้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เมื่อทหารยามกะกลางคืนมาเปลี่ยนเวน ก็จะได้เวลากลับบ้านเพื่อพักผ่อน
เมื่อพวกเขาเห็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ทรวดทรงสง่างามวิ่งตรงเข้ามา ทหารยามคนหนึ่งจึงทำสัญญาณให้หยุด แต่ม้าตัวนั้นหาได้หยุดไม่ มันพุ่งทะยานผ่านไปดื้อๆ จนกลุ่มทหารเฝ้าประตูต้องกระโดดหลบกันกระเจิดกระเจิง
“ นั่นดารีลนี่นา ”
ทหารยามคนหนึ่งพูด
“ ต้องใช่เจ้านั่นแน่ๆ คนอะไร บทจะดีก็ดี บทจะบ้าก็บ้าเหลือเชื่อ ”
กลุ่มม้าที่อาเธอร์อาศัยมานั้นหยุดลงแค่ตรงหน้าประตู
ฟรานซิส โบกมือทักทายทหารเฝ้ายามหน้าประตู
พวกเขาบอกกล่าวกันแต่เพียงว่าพาคนจรจัดมาส่งเท่านั้น
แล้วก็รีบรุดจากไป
“ พวกเจ้าเป็นใครกัน ”
ทหารยามคนหนึ่งถามขึ้น
สายตากวาดดูสารรูปของพวกเขาทีละคนแล้วย่นจมูก
“ เมืองนี้ชักจะมีคนจรมาขอเศษทานมากเกินไปแล้ว บอกไว้ก่อนว่าเมืองนี้ไม่อนุญาตให้ขอทานจรจัดนอนตามข้างถนนหรือสวนหย่อมหรอกนะ ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนก็รีบไสหัวไปซะ ”
“ พวกเราแค่ต้องการเข้าไปข้างใน ไม่ได้มีเจตนาจะขออะไรจากพวกท่าน ”
อาเธอร์ตอบ
“ ไม่ได้ ไม่เห็นหรือไงว่าตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ”
“ แต่ยังไม่ใช่เวลาที่จะปิดกำแพงเมืองมิใช่หรือ ”
อาเธอแย้ง
เขาพยายามทำใจให้เย็นเพราะไม่อยากตอบโต้คนพวกนี้ให้มากความ
“ ถูก แต่คนเช่นพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พักแรมในเมือง ฟังแค่นี้ไม่เข้าใจหรือย่างไร ถ้าอยากจะพักโน่นหมู่บ้านนอกกำแพงโน่น ”
ทหารยามคนนั้นเริ่มเสียงดัง
“ เฮ้! อาเธอร์นั่นเจ้ารึเปล่า ”
ทหารยามแก่ๆ คนหนึ่งถามขึ้น
เขาได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินมาดู
เมื่อเห็นดังนั้นคนเฝ้าประตูที่อ่อนวัยกว่าจึงก้มหัวแล้วถอยออกไป
“ ใช่เจ้าจริงๆ ด้วย จากไปนานเหลือเกิน งานศพก็เสร็จสิ้นไปนานแล้วเช่นกัน ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ”
ชายชราคนนั้นจ้องอาเธอร์อย่างสำรวจตรวจตรา
“ อย่ากล่าวเช่นนั้นท่านเนเมน ข้ายังคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองนี้ ท่านคงสบายดีนะ ”
อาเธอร์พูด
เขาเข้าไปสวมกอดหัวหน้ายามที่อดีตคุ้นเคยกันดี
“ ในที่สุดท่านก็ได้เป็นหัวหน้ายามซะที ”
อาเธอร์ชี้ที่เครื่องหมายตรงหัวเข็มขัด
“ ข้าก็เป็นได้แค่นี้แหละ แค่ยามแก่ๆ คนหนึ่ง นั่นคงจะเป็นครอบครัวของเจ้าสินะ ข้าได้ยินข่าวมาบ้างเหมือนกันไม่นึกว่าจะได้เจอ ดูเจ้าสิเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ”
เนเมนหันไปทางคาโลไรน์แล้วก้มมองเด็กๆ
“ ถูกแล้ว นั่นคาโลไรน์ส่วนเด็กๆคือฟอโลโซเฟอร์กับคาโอเรีย และนี่คือทั้งหมดที่ข้ามี ”
“ ข้าเคยเห็นเจ้าตั้งแต่ตัวเจ้ายังเป็นเด็ก จนเจ้ากลายเป็นพ่อคนแล้ว ตอนนี้ข้าคงแก่มากสินะ ”
หลังจากทักทายกันจนครบถ้วนดีแล้ว
หัวหน้ายามเฝ้าประตูก็เชิญพวกเขาเข้าไปในเต็นท์ขนาดใหญ่
“ ที่นี่เป็นที่พักของพวกเรา บางครั้งก็ใช้เป็นที่รับรองแขกแบบชั่วคราว ข้าวของเครื่องใช้ก็ออกจะครบถ้วนอยู่ พวกเจ้าก็พักเสียก่อน พรุ่งนี้อยากไปไหนก็ค่อยไปแล้วกัน ”
เนเมนว่า
“ แบบนี้จะดีหรือ ข้าเกรงว่าจะรบกวนท่านเปล่าๆ ”
“ โธ่! จะเป็นไรไปล่ะจากไปเสียนานต้องมีเรื่องคุยกันอยู่แล้ว เจ้ามีธุระเร่งรีบหรืออย่างไร อีกอย่างในเมืองตอนนี้ผู้คนมากมาย ค่ำมืดแบบนี้หาที่พักลำบากแน่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่มีเชือกพ่วงอีกสาม ”
อาเธอร์จึงนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
ส่วนครอบครัวของเขาต่างก้มหน้านิ่ง
การต้อนรับที่หน้าประตูเมืองไม่สู้ดีเอาเสียเลย
“ ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเมืองซีนาร์ย คงจริงสินะเรื่องร้ายแรงทีเดียว ”
เนเมนถามขึ้นในตอนหนึ่ง
“ อาจจะเลวร้ายกว่าที่ท่านได้ยินมา แล้วทางสภาว่าอย่างไรบ้าง ”
“ ข้าไม่รู้หรอก ตอนนี้หลายๆ เมืองต่างเกิดเรื่อง ทุกๆ ที่ก็หวังจะแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดแต่คนมีฝีมือมีจำกัด ปัญหาเดิมยังแก้ไม่ตก ข้าบอกได้แค่อย่าหวังให้มาก ”
เนเมนว่า
เขายังจ้องเด็กๆด้วยความเอ็นดู
ยามคนหนึ่งแกะห่อกาแฟเทลงหม้อ
ไก่ย่างส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่บนกองไฟ
คนนั่งเฝ้าเขี่ยถ่านเร่งให้ไฟแรงขึ้น
“ ข้าได้ยินพวกนั้นพูดถึงหมู่บ้านนอกกำแพง มันหมายถึงอะไรหรือ ”
อาเธอร์ถาม
ชายชราผู้เป็นหัวหน้ายามถอนหายใจ
“ ทุกวันนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนต่างหวาดกลัวและหลายๆ คนก็ทำเช่นเดียวกับพวกเจ้า คือหวังมาหลบภัยที่โอรีเวีย แต่ดูเอาเถิดเมืองเล็กๆ เมืองเดียวจะรองรับผู้คนมากมายได้อย่างไร เจ้าผู้ครองนครจึงสั่งให้คนไร้ที่อยู่อาศัยในโอรีเวีย ออกไปสร้างบ้านริมกำแพงทางทิศตะวันตก ”
“ แล้วพวกเขาจะปลอดภัยหรือ ”
คาโลไรน์เสียงตระหนก
“ ให้อยู่นอกกำแพงแบบนั้น ”
“ ไม่เคยมีอันตรายใด กรายเข้ามาใกล้เขตดินแดนของโอรีเวีย ”
เนเมนว่า
“ แต่เมื่อครู่ พวกเราถูกมังกรดำสองตัวโจมตีใกล้ๆ โอรีเวียนี่เอง ”
อาเธอร์ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ
“ เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อย่ากังวลไปว่าแต่พวกเจ้ารอดพ้นจากมังกรได้อย่างไร หรือเจ้าคนเดียวล้มมังกรพร้อมกันสองตัว ”
ชายชราว่าเรื่อยๆ ราวกับนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา
“ พอดีว่ามีพ่อมดคนหนึ่งช่วยพวกเราไว้ ข้ายังไม่รู้ชื่อของเขาเลย แต่เหมือนมีใครบางคนเรียกเขาว่าดารีล ”
“ คงใช่เขานั่นแหละ พ่อมดอายุน้อยแห่งโอรีเวีย มิน่าพวกเจ้าจึงมาพร้อมกับองครักษ์ของเขา ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ