โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
138.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
183) อย่าเอ่ยคำลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในความมืดมิดแห่งโอรีเวีย แม้ดวงอาทิตย์ยังคงสาดแสงแต่ไอชั่วร้ายได้เข้าครอบงำเมืองแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว โดยไม่มีผู้ใดรู้ตัว ทุกคนต่างใช้ชีวิตเป็นปรกติผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในขณะที่สิ่งหนึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และคอยกัดกินพวกเขาไปทีละน้อย
ดารีลล่วงรู้ถึงความดำมืดที่กำลังก่อตัวขึ้น แต่เขาเย็นชาเกินกว่าจะใส่ใจสิ่งเหล่านั้น เฝ้ามองและปล่อยให้มันเป็นไป เพราะเขาเป็นดังเงามืดที่ไร้ตัวตน
การมาถึงของเจ้าหญิงลูเซียน่าเป็นดังแสงสว่างที่ส่องลงมา ให้เขามีชีวิตและความหวัง พระนางสร้างตัวตนใหม่ให้กับเขาเหมือนกองไฟเล็กๆ ในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว
บัดนี้ความสว่างเดียวของเขาได้ดับลง ตลอดกาล หัวใจที่เคยโลดโผนกลับมาสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ใบหน้านิ่งขรึมดังฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง
ดารีลอุ้มร่างเจ้าหญิงไปวางไว้ในที่เหมาะสม เกลี่ยไรผมออกจากใบหน้างดงามด้วยปลายนิ้ว ริมฝีปากของนางยังคงอาบยิ้มบางๆ ราวกับว่าอยู่ในห้วงฝันที่แสนหวาน เขาหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมามันประดับด้วยอัญมณีสีแดง สวมคืนให้กับพระนางด้วยอาการอันสงบมือไม่สั่นแม้สักน้อย จ้องมองเจ้าหญิงอยู่เป็นครู่ราวกับจะสลักภาพนี้ในความทรงจำให้แน่นนานเท่าที่จะทำได้ จูบลาอย่างอ้อยอิงและสุดอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วถอยห่างออกมา
หนุ่มน้อยคนนั้นก้มลงเก็บดาบแล้วเดินออกไป ไม่สนใจผู้ใดราวกับคนทั้งหลายในห้องนั้นเป็นเพียงอากาศ เหมือนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เดินอยู่ลำพังในสุสานอันเปล่าเปลี่ยว
“ ตกลงทีนี้เราลงไปที่สนามได้หรือยัง ”
อีเลียสถามอย่างมีความหวัง
แต่ไม่มีเสียงตอบจากผู้ใด
และดารีลก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะโกน
แต่ไร้การตอบสนองใดจากหนุ่มน้อยคนนั้น
ไม่แม้จะหยุดชะงักหรือชำเลืองตามอง
เด็กชายตัวน้อยจึงวิ่งไปคว้าแขนไว้
ปากก็พร่ำเรียกเขาอยู่อย่างนั้น
“ ข้าไม่เป็นไร ”
ดารีลกล่าวคำนั้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
ดังว่ากำลังเอ่ยเตือนสติตนเอง
“ เป็นสิเจ้าเป็นแน่ๆ อย่าไปไหนเลยนะอยู่กับข้าให้ข้าได้ปลอบใจเจ้า ”
เด็กชายว่า
“ ข้าไม่เป็นไร ”
หนุ่มน้อยย้ำอีกครั้ง
ด้วยประกายตาที่ว่างเปล่า
ดึงมือเด็กชายออกช้าๆ
จนในที่สุดก็เป็นอิสระ
เขาสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
เผยอปากจะเอ่ยคำพูด
แต่เด็กชายชิงปิดมันไว้เสียก่อน
“ อย่าเอ่ยคำลากับข้าเพราะข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเข้าใจหรือเปล่า ”
ดารีลพยักหน้า
เด็กน้อยคนนั้นจึงคลายมือ
“ เจ้าไม่ได้โดดเดี่ยวดารีล ข้ายืนอยู่ข้างเจ้าและจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ”
ดารีลเบือนหน้าหนีไปจากความไร้เดียงสา
และแววตาที่มุ่งมั่นของเด็กชายคนนั้น
สู่ทิศทางที่เสียงคำรามของปีศาจร้ายดังแว่วมา
แล้วผละออกไปทันที
ฟิโลโซเฟอร์ตั้งท่าจะตามไป
แต่ถูกเพื่อนคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน
“ อย่าห้ามข้าสิ ”
เด็กชายท้วง
“ เจ้าเองก็ไม่ได้โดดเดี่ยวฟิโลโซเฟอร์ ”
อีเลียสเตือน
“ ใช่เจ้าไปไหนเราไปด้วย ”
โลธอร์สนับสนุนคำพูดของคู่หูร่างผอม
เมื่อเป็นเช่นนั้น
เด็กๆ ทั้งหลายจึงวิ่งตามกันไป
แต่ดารีลนั้นว่องไวกว่ามาก
เพียงเวลาไม่นานเขาก็ทิ้งห่างจนลับไปจากสายตา
“ หมอนี่วิ่งเร็วชะมัด ”
เด็กชายร่างอ้วนถึงกับบ่นออกมา
แต่เขาก็กัดฟันวิ่งตามไปไม่ลดละ
เสียงอึกทึกโครมครามดังหนักหน่วงขึ้น
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่หวังว่า
เมื่อดารีลไปถึงปีศาจร้ายตนนั้นจะตายแล้วด้วยน้ำมือใครสักคน
เขากลัวว่าดารีลที่ขาดสติ
จะรับมือการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้
พวกเขาวิ่งขึ้นไปตามบันไดวน
สู่ห้องโถงที่มีการต่อสู้รุนแรง
เมื่อไปถึงก็ทันได้เห็น
หมาป่าปีศาจมีเขาสะบัดหาง
ปัดเอาสิ่งของปลิวกระจายว่อน
เด็กๆ หมอบหลบกันพัลวัน
ฟิโลโซเฟอร์ชักดาบออกมาอีกครั้ง
กวาดสายตามองหาดารีลไปทั่ว
แล้วจึงได้เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นม้วนตัวไปกับพื้น
ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสงบจนน่ากลัว
เด็กชายรู้สึกโล่งใจที่เขายังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ปีศาจร้ายตัวนั้นยืนจังก้าขู่คำรามก้อง
แทบเท้าของมันล้วนแล้วแต่ร่างคนตาย
สภาพแหลกเหลว
ดวงตาสีส้มของมันจ้องมองเด็กๆ ทั้งหลาย
ราวกับจะกลืนกินเสียเดี๋ยวนี้
“ ข้าสาบานตรงนี้เลยว่า จะไม่มาเจอมันอีกเป็นครั้งที่สาม ”
อีเลียสกัดฟันพูด
ด้วยอารมณ์หัวเสียพอสมควร
ดารีลล่วงรู้ถึงความดำมืดที่กำลังก่อตัวขึ้น แต่เขาเย็นชาเกินกว่าจะใส่ใจสิ่งเหล่านั้น เฝ้ามองและปล่อยให้มันเป็นไป เพราะเขาเป็นดังเงามืดที่ไร้ตัวตน
การมาถึงของเจ้าหญิงลูเซียน่าเป็นดังแสงสว่างที่ส่องลงมา ให้เขามีชีวิตและความหวัง พระนางสร้างตัวตนใหม่ให้กับเขาเหมือนกองไฟเล็กๆ ในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว
บัดนี้ความสว่างเดียวของเขาได้ดับลง ตลอดกาล หัวใจที่เคยโลดโผนกลับมาสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ใบหน้านิ่งขรึมดังฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง
ดารีลอุ้มร่างเจ้าหญิงไปวางไว้ในที่เหมาะสม เกลี่ยไรผมออกจากใบหน้างดงามด้วยปลายนิ้ว ริมฝีปากของนางยังคงอาบยิ้มบางๆ ราวกับว่าอยู่ในห้วงฝันที่แสนหวาน เขาหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมามันประดับด้วยอัญมณีสีแดง สวมคืนให้กับพระนางด้วยอาการอันสงบมือไม่สั่นแม้สักน้อย จ้องมองเจ้าหญิงอยู่เป็นครู่ราวกับจะสลักภาพนี้ในความทรงจำให้แน่นนานเท่าที่จะทำได้ จูบลาอย่างอ้อยอิงและสุดอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วถอยห่างออกมา
หนุ่มน้อยคนนั้นก้มลงเก็บดาบแล้วเดินออกไป ไม่สนใจผู้ใดราวกับคนทั้งหลายในห้องนั้นเป็นเพียงอากาศ เหมือนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เดินอยู่ลำพังในสุสานอันเปล่าเปลี่ยว
“ ตกลงทีนี้เราลงไปที่สนามได้หรือยัง ”
อีเลียสถามอย่างมีความหวัง
แต่ไม่มีเสียงตอบจากผู้ใด
และดารีลก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะโกน
แต่ไร้การตอบสนองใดจากหนุ่มน้อยคนนั้น
ไม่แม้จะหยุดชะงักหรือชำเลืองตามอง
เด็กชายตัวน้อยจึงวิ่งไปคว้าแขนไว้
ปากก็พร่ำเรียกเขาอยู่อย่างนั้น
“ ข้าไม่เป็นไร ”
ดารีลกล่าวคำนั้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
ดังว่ากำลังเอ่ยเตือนสติตนเอง
“ เป็นสิเจ้าเป็นแน่ๆ อย่าไปไหนเลยนะอยู่กับข้าให้ข้าได้ปลอบใจเจ้า ”
เด็กชายว่า
“ ข้าไม่เป็นไร ”
หนุ่มน้อยย้ำอีกครั้ง
ด้วยประกายตาที่ว่างเปล่า
ดึงมือเด็กชายออกช้าๆ
จนในที่สุดก็เป็นอิสระ
เขาสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
เผยอปากจะเอ่ยคำพูด
แต่เด็กชายชิงปิดมันไว้เสียก่อน
“ อย่าเอ่ยคำลากับข้าเพราะข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเข้าใจหรือเปล่า ”
ดารีลพยักหน้า
เด็กน้อยคนนั้นจึงคลายมือ
“ เจ้าไม่ได้โดดเดี่ยวดารีล ข้ายืนอยู่ข้างเจ้าและจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ”
ดารีลเบือนหน้าหนีไปจากความไร้เดียงสา
และแววตาที่มุ่งมั่นของเด็กชายคนนั้น
สู่ทิศทางที่เสียงคำรามของปีศาจร้ายดังแว่วมา
แล้วผละออกไปทันที
ฟิโลโซเฟอร์ตั้งท่าจะตามไป
แต่ถูกเพื่อนคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน
“ อย่าห้ามข้าสิ ”
เด็กชายท้วง
“ เจ้าเองก็ไม่ได้โดดเดี่ยวฟิโลโซเฟอร์ ”
อีเลียสเตือน
“ ใช่เจ้าไปไหนเราไปด้วย ”
โลธอร์สนับสนุนคำพูดของคู่หูร่างผอม
เมื่อเป็นเช่นนั้น
เด็กๆ ทั้งหลายจึงวิ่งตามกันไป
แต่ดารีลนั้นว่องไวกว่ามาก
เพียงเวลาไม่นานเขาก็ทิ้งห่างจนลับไปจากสายตา
“ หมอนี่วิ่งเร็วชะมัด ”
เด็กชายร่างอ้วนถึงกับบ่นออกมา
แต่เขาก็กัดฟันวิ่งตามไปไม่ลดละ
เสียงอึกทึกโครมครามดังหนักหน่วงขึ้น
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่หวังว่า
เมื่อดารีลไปถึงปีศาจร้ายตนนั้นจะตายแล้วด้วยน้ำมือใครสักคน
เขากลัวว่าดารีลที่ขาดสติ
จะรับมือการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้
พวกเขาวิ่งขึ้นไปตามบันไดวน
สู่ห้องโถงที่มีการต่อสู้รุนแรง
เมื่อไปถึงก็ทันได้เห็น
หมาป่าปีศาจมีเขาสะบัดหาง
ปัดเอาสิ่งของปลิวกระจายว่อน
เด็กๆ หมอบหลบกันพัลวัน
ฟิโลโซเฟอร์ชักดาบออกมาอีกครั้ง
กวาดสายตามองหาดารีลไปทั่ว
แล้วจึงได้เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นม้วนตัวไปกับพื้น
ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสงบจนน่ากลัว
เด็กชายรู้สึกโล่งใจที่เขายังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ปีศาจร้ายตัวนั้นยืนจังก้าขู่คำรามก้อง
แทบเท้าของมันล้วนแล้วแต่ร่างคนตาย
สภาพแหลกเหลว
ดวงตาสีส้มของมันจ้องมองเด็กๆ ทั้งหลาย
ราวกับจะกลืนกินเสียเดี๋ยวนี้
“ ข้าสาบานตรงนี้เลยว่า จะไม่มาเจอมันอีกเป็นครั้งที่สาม ”
อีเลียสกัดฟันพูด
ด้วยอารมณ์หัวเสียพอสมควร
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ