โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.74K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
178) หัวใจของเจ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความด้านบน เมืองโอรีเวียยังคงวุ่นวายไม่หยุดหย่อน แต่ทั้งสองก็ยังเรื่อยเปื่อยในเมืองใต้ดินเพราะพวกเขามั่นใจเหลือเกินว่าสภาผู้ใช้เวทมนตร์จะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ดารีลนั้นอยากกลับไปที่คุก เพื่อมองหาคนที่เด็กน้อยได้พบเห็นแต่ฟิโลโซเฟอร์คัดค้านอย่างเด็ดขาด
“ กลับขึ้นไปข้างบนเถอะนะ ”
เด็กชายขอร้อง
“ ยังไม่ครบสิบวันเลย คนพวกนั้นคงมีเรื่องเสียดสีข้าอีกแน่ไม่ละต่อให้ไฟไม้ที่นี่ข้าก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น ”
ดารีลบอก
“ แต่ว่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ยังดึงดัน
“ อย่าห่วงเลย ตอนนี้จอมเวทวาลานอยู่ที่นี่คำสาปอะไรก็ไม่น่ากลัวทั้งนั้น ถ้าหากแม้แต่ท่านจอมเวทวาลานยังแก้ไขไม่ได้ หวังพึ่งข้าก็จะไม่หนักหนาไปใหญ่หรือ ”
“ ข้าคิดว่าเจ้าพ้นข้อกล่าวหาแล้วเสียอีก และแผนการที่จะค้นหาความจริงบางอย่างของเจ้าก็จบลงไปแล้ว แม้จะเหลวไม่เป็นท่า แล้วเจ้ารออะไรอยู่ ”
“ ข้าแค่ติดใจที่นี่มันสงบเงียบ และอีกอย่างมันเป็นที่ที่ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องห่วงกังวลว่าใครจะมองอย่างไรหรือใครจะตำหนิ ข้าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง เจ้ากลับไปเถอะข้าไม่เป็นไรหรอก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ในนี้มีคนปริศนาคอยสะกดรอยตามเจ้าและบุรุษหน้ากากเหล็กนั่นอีก แล้วจะให้เชื่อว่ามีอะไรน่าห่วง ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ ”
เด็กชายท้วง
“ จริงสิ คนสวมหน้ากากนั่นบางทีอาจไม่ใช่เรื่องลึกลับ แท้จริงเจ้าอาจรู้จักเขาเป็นอย่างดีถึงได้คุ้นเคยนัก ลองนึกดูบางทีคำตอบอาจอยู่ไม่ไกล ”
ดารีลแนะนำ
“ ผู้ใช้เวทมนตร์ข้ารู้จักเพียงสองคนคือท่านดีมีนกับเจ้า ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้และอีกหนึ่งสตรีชุดแดงนางใช้มนต์ดำแต่…แต่ ไม่ใช่นางหรอกไม่รู้ทำไมแต่ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่นางแน่ๆ ”
เด็กชายอ้ำอึ้ง
รู้สึกวุ่นวายสับสนจนต้องกุมขมับ
“ แล้วผู้ใช้เวทมนตร์ที่แสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาล่ะ ”
หนุ่มน้อยถามต่อ
“ มีคนแบบนั้นด้วยหรือ ”
นั่นเป็นคำถามที่ชวนประหลาดใจ
เพราะว่าผู้ใช้เวทมนตร์นั้นถือตัวนัก
เรื่องจะมาแสร้งทำเป็นคนเดินดิน
ก็คงประหลาดเกินไป
“ ไม่รู้ ข้าก็แค่สงสัยเรื่อยเปื่อย ”
ดารีลหัวเราะ
ที่เห็นฟิโลโซเฟอร์จริงจังมากเกินไป
เด็กชายส่ายหน้า
ผู้คนในโอรีเวียเขานั้นรู้จักไม่มากนัก
และคนสวมหน้ากากประหลาดนั่นแม้รู้สึกคุ้นเคยก็จริง
แต่ถ้าให้เลือกจากคนที่เขารู้จัก
มันก็ห่างไกลเหลือเกิน
ในที่สุดก็ย้อนกลับมายังความเชื่อเรื่องปีศาจความฝัน
เป็นเพราะพบกันเวลาหลับ
จึงเกิดความคุ้นเคย
“ แต่ข้ามีข้อสันนิษฐานข้อสุดท้าย ”
ดารีลว่า
พลางหันมาจ้องเด็กชายตรงๆ
“ เจ้าเคยถูกสะกดรอยหรือไม่ ”
“ ไม่นะ ”
เขาตอบ
“ ติดตามข้าแล้วจะได้อะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
เขาไม่ได้มีความสำคัญอันใดจนสมควรแก่การจับตามอง
“ ก็เจ้าน่ะน่าสนใจ ใบหน้าคมคายขนาดนี้หัวใจก็แข็งแกร่งปานนั้นใครจะห้ามใจไม่ให้ตามติดเจ้าไปได้ล่ะ คงมีใครสักคน ปรารถนาหัวใจเจ้าอยู่อย่างจริงแท้แน่นอน ”
หนุ่มน้อยคนนั้นคล้องคอเด็กชาย
แล้วกระชากเข้ามาใกล้ๆ
จนใบหน้าเกือบจะแนบชิดกัน
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับตะลึงตาค้าง
ยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด
“ ข้าล้อเล่นหรอกน่าตกใจอะไรขนาดนั้น ”
ดารีลว่า
เขาคลายมือที่รัดแน่นออก
“ คงไม่คิดจะมีคนอยากควักหัวใจเจ้าออกมาจริงๆ หรอกนะ เจ้าไม่สำคัญไม่มีใครอยากใส่ใจจริงหรือ แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังอยากได้ของที่เจ้าครอบครองอยู่ ”
เด็กชายคิดถึงดาบโบราณเล่มนั้นแล้วใจหายวาบ
“ ข้าจึงได้ถาม ถ้ามีคนตามติดเจ้าทั้งวันทั้งคืนเจ้าจะรู้ตัวหรือไม่ คนที่เจ้าพบเห็นบ่อยๆ ตามที่ต่างๆ แต่เจ้าไม่รู้จักเขา สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เจ้าคุ้นตาโดยไม่รู้ตัว เหมือนรู้จักทั้งที่ไม่เคยพูดคุย เช่นนั้นช่วยบอกข้าทีว่าเจ้าจะรู้หากมีผู้คิดตามติดเจ้าอยู่จริงๆ ”
ฟิโลโซเฟอร์สั่นหัว
รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาถ้ามีคนตามติดเขาดังว่าจริงๆ
เขาจะต้องทำอย่างไร
“ เจ้าไม่รู้ ”
ดารีลพูดเสียงกระซิบ
“ ไม่รู้สึกระแวงหรือสังหรณ์ใจบ้างสักนิดเลย ”
“ ก็ข้าไม่ได้ถูกฝึกมาให้ไล่ล่านี่นา ”
ฟิโลโซเฟอร์ขึ้นเสียง
“ เจ้าเอาดาบไปเก็บไว้ไม่ได้หรือไง ”
เด็กชายตัวน้อยร้องขอ
“ ข้ารักสงบไม่มีเวลาหาเรื่องใส่ตัวหรอก ในเมื่อเจ้ากล้าแบกออกมาก็ต้องกล้าถือไว้ อย่าโยนภาระมาให้คนอื่นสิแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ”
“ แต่ ”
เด็กน้อยเป็นกังวลอย่างมาก
“ อันที่จริง มันง่ายมากที่ใครจะไปชิงมาจากมือของเจ้า แต่นี่ก็เนิ่นนานมากแล้วทั้งดาบเล่มนั้นและครอบครัวของเจ้าก็ยังอยู่ดี บางทีปัญหานี้ข้าอาจคิดมากไปเอง ”
ดารีลว่า
แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงดาบโบราณแห่งหุบเขาต้องสาป
เขาก็คิดถึงเจ้าหญิงลูเซียน่าขึ้นมา
เด็กชายจึงล้วงมือหยิบถุงผ้าปัก
ลวดลายไหมทอง
ส่งให้กับดารีล
สำหรับพ่อมดน้อยคนนี้แล้ว
ถุงผ้าดังกล่าวเป็นที่คุ้นเคยยิ่งนัก
จนไม่ต้องถามหาที่มาเลย
“ เจ้าไปเอาสิ่งนี้มาจากไหนกัน ”
นี่คือคำถามที่หลุดออกมาจากปากของเขา
“ กลับขึ้นไปข้างบนเถอะนะ ”
เด็กชายขอร้อง
“ ยังไม่ครบสิบวันเลย คนพวกนั้นคงมีเรื่องเสียดสีข้าอีกแน่ไม่ละต่อให้ไฟไม้ที่นี่ข้าก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น ”
ดารีลบอก
“ แต่ว่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ยังดึงดัน
“ อย่าห่วงเลย ตอนนี้จอมเวทวาลานอยู่ที่นี่คำสาปอะไรก็ไม่น่ากลัวทั้งนั้น ถ้าหากแม้แต่ท่านจอมเวทวาลานยังแก้ไขไม่ได้ หวังพึ่งข้าก็จะไม่หนักหนาไปใหญ่หรือ ”
“ ข้าคิดว่าเจ้าพ้นข้อกล่าวหาแล้วเสียอีก และแผนการที่จะค้นหาความจริงบางอย่างของเจ้าก็จบลงไปแล้ว แม้จะเหลวไม่เป็นท่า แล้วเจ้ารออะไรอยู่ ”
“ ข้าแค่ติดใจที่นี่มันสงบเงียบ และอีกอย่างมันเป็นที่ที่ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องห่วงกังวลว่าใครจะมองอย่างไรหรือใครจะตำหนิ ข้าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง เจ้ากลับไปเถอะข้าไม่เป็นไรหรอก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ในนี้มีคนปริศนาคอยสะกดรอยตามเจ้าและบุรุษหน้ากากเหล็กนั่นอีก แล้วจะให้เชื่อว่ามีอะไรน่าห่วง ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ ”
เด็กชายท้วง
“ จริงสิ คนสวมหน้ากากนั่นบางทีอาจไม่ใช่เรื่องลึกลับ แท้จริงเจ้าอาจรู้จักเขาเป็นอย่างดีถึงได้คุ้นเคยนัก ลองนึกดูบางทีคำตอบอาจอยู่ไม่ไกล ”
ดารีลแนะนำ
“ ผู้ใช้เวทมนตร์ข้ารู้จักเพียงสองคนคือท่านดีมีนกับเจ้า ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้และอีกหนึ่งสตรีชุดแดงนางใช้มนต์ดำแต่…แต่ ไม่ใช่นางหรอกไม่รู้ทำไมแต่ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่นางแน่ๆ ”
เด็กชายอ้ำอึ้ง
รู้สึกวุ่นวายสับสนจนต้องกุมขมับ
“ แล้วผู้ใช้เวทมนตร์ที่แสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาล่ะ ”
หนุ่มน้อยถามต่อ
“ มีคนแบบนั้นด้วยหรือ ”
นั่นเป็นคำถามที่ชวนประหลาดใจ
เพราะว่าผู้ใช้เวทมนตร์นั้นถือตัวนัก
เรื่องจะมาแสร้งทำเป็นคนเดินดิน
ก็คงประหลาดเกินไป
“ ไม่รู้ ข้าก็แค่สงสัยเรื่อยเปื่อย ”
ดารีลหัวเราะ
ที่เห็นฟิโลโซเฟอร์จริงจังมากเกินไป
เด็กชายส่ายหน้า
ผู้คนในโอรีเวียเขานั้นรู้จักไม่มากนัก
และคนสวมหน้ากากประหลาดนั่นแม้รู้สึกคุ้นเคยก็จริง
แต่ถ้าให้เลือกจากคนที่เขารู้จัก
มันก็ห่างไกลเหลือเกิน
ในที่สุดก็ย้อนกลับมายังความเชื่อเรื่องปีศาจความฝัน
เป็นเพราะพบกันเวลาหลับ
จึงเกิดความคุ้นเคย
“ แต่ข้ามีข้อสันนิษฐานข้อสุดท้าย ”
ดารีลว่า
พลางหันมาจ้องเด็กชายตรงๆ
“ เจ้าเคยถูกสะกดรอยหรือไม่ ”
“ ไม่นะ ”
เขาตอบ
“ ติดตามข้าแล้วจะได้อะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
เขาไม่ได้มีความสำคัญอันใดจนสมควรแก่การจับตามอง
“ ก็เจ้าน่ะน่าสนใจ ใบหน้าคมคายขนาดนี้หัวใจก็แข็งแกร่งปานนั้นใครจะห้ามใจไม่ให้ตามติดเจ้าไปได้ล่ะ คงมีใครสักคน ปรารถนาหัวใจเจ้าอยู่อย่างจริงแท้แน่นอน ”
หนุ่มน้อยคนนั้นคล้องคอเด็กชาย
แล้วกระชากเข้ามาใกล้ๆ
จนใบหน้าเกือบจะแนบชิดกัน
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับตะลึงตาค้าง
ยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด
“ ข้าล้อเล่นหรอกน่าตกใจอะไรขนาดนั้น ”
ดารีลว่า
เขาคลายมือที่รัดแน่นออก
“ คงไม่คิดจะมีคนอยากควักหัวใจเจ้าออกมาจริงๆ หรอกนะ เจ้าไม่สำคัญไม่มีใครอยากใส่ใจจริงหรือ แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังอยากได้ของที่เจ้าครอบครองอยู่ ”
เด็กชายคิดถึงดาบโบราณเล่มนั้นแล้วใจหายวาบ
“ ข้าจึงได้ถาม ถ้ามีคนตามติดเจ้าทั้งวันทั้งคืนเจ้าจะรู้ตัวหรือไม่ คนที่เจ้าพบเห็นบ่อยๆ ตามที่ต่างๆ แต่เจ้าไม่รู้จักเขา สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เจ้าคุ้นตาโดยไม่รู้ตัว เหมือนรู้จักทั้งที่ไม่เคยพูดคุย เช่นนั้นช่วยบอกข้าทีว่าเจ้าจะรู้หากมีผู้คิดตามติดเจ้าอยู่จริงๆ ”
ฟิโลโซเฟอร์สั่นหัว
รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาถ้ามีคนตามติดเขาดังว่าจริงๆ
เขาจะต้องทำอย่างไร
“ เจ้าไม่รู้ ”
ดารีลพูดเสียงกระซิบ
“ ไม่รู้สึกระแวงหรือสังหรณ์ใจบ้างสักนิดเลย ”
“ ก็ข้าไม่ได้ถูกฝึกมาให้ไล่ล่านี่นา ”
ฟิโลโซเฟอร์ขึ้นเสียง
“ เจ้าเอาดาบไปเก็บไว้ไม่ได้หรือไง ”
เด็กชายตัวน้อยร้องขอ
“ ข้ารักสงบไม่มีเวลาหาเรื่องใส่ตัวหรอก ในเมื่อเจ้ากล้าแบกออกมาก็ต้องกล้าถือไว้ อย่าโยนภาระมาให้คนอื่นสิแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ”
“ แต่ ”
เด็กน้อยเป็นกังวลอย่างมาก
“ อันที่จริง มันง่ายมากที่ใครจะไปชิงมาจากมือของเจ้า แต่นี่ก็เนิ่นนานมากแล้วทั้งดาบเล่มนั้นและครอบครัวของเจ้าก็ยังอยู่ดี บางทีปัญหานี้ข้าอาจคิดมากไปเอง ”
ดารีลว่า
แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงดาบโบราณแห่งหุบเขาต้องสาป
เขาก็คิดถึงเจ้าหญิงลูเซียน่าขึ้นมา
เด็กชายจึงล้วงมือหยิบถุงผ้าปัก
ลวดลายไหมทอง
ส่งให้กับดารีล
สำหรับพ่อมดน้อยคนนี้แล้ว
ถุงผ้าดังกล่าวเป็นที่คุ้นเคยยิ่งนัก
จนไม่ต้องถามหาที่มาเลย
“ เจ้าไปเอาสิ่งนี้มาจากไหนกัน ”
นี่คือคำถามที่หลุดออกมาจากปากของเขา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ