โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
138.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
163) คุกใต้ดิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายตัวน้อยวิ่งไปมือก็ป่ายปัดไป ค้างคาวผีพวกนี้แม้ไม่มีอันตรายอะไร แต่ด้วยปริมาณที่มากกับกรงเล็บเล็กๆ ที่แหลมคมและกลิ่นสาบสางรุนแรงนั้นชวนให้อยากวิ่งหนีให้ไกล
ฟิโลโซเฟอร์ฟาดพวกมันด้วยคบไฟ แต่นั้นไม่ช่วยอะไรเลยสุดท้ายเขาต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ จนไฟมอดลงความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อาจหยิบคบไฟอันใหม่จากกระเป๋าได้ เด็กน้อยต้องหนีไปในความมืด ล้มลุกคลุกคลาน ตกบันไดไม่รู้กี่ชั้นพวกมันก็ยังตามติดไม่ลดละ
ในที่สุดเขาก็คลำไปจนพบประตูอีกบาน เขาถอดกลอนออกแล้วใช้หลังดันเข้าไปหวังจะซ่อนตัวในนั้น แต่เมื่อประตูเปิดออกเขาก็หงายลงบันไดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่สูงชันนัก เสียงประตูปิดกลับดังปังแล้วทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบและมืดมิด
ฟิโลโซเฟอร์ควานหาคบไฟในกระเป๋าแต่ก่อนที่จะได้จุดเขาก็ได้ยินเสียงดีดนิ้วดังขึ้นครั้งหนึ่ง ไฟสีฟ้าก็ลุกพรึบขึ้นเริ่มจากใกล้ๆ ตัวของเขาแล้วไล่เรียงกันออกไป แล้วทั้งห้องก็สว่างขึ้น
ที่นี่คือห้องที่เต็มไปด้วยกรงเหล็กแคบมีทางเดินแคบๆ ผ่านตรงกลาง และแสงไฟก็เกิดจากตะเกียงที่แขวนหน้ากรงนั่นเอง
เด็กชายตัวน้อยลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบผู้ใด
เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงเดินลึกเข้าไปอีก
มือข้างหนึ่งกำมั่ยบนด้ามดาบ
ที่ตอนนี้เปล่งประกายเจิดจ้า
แล้วในกรงเหล็กกรงหนึ่ง
มีร่างในชุดคลุมยาวสีดำยืนกอดอกนิ่งอยู่
เพียงมองเห็นแว็บเดียว
ฟิโลโซเฟอร์ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
“ ดารีล ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้าไปหาด้วยความยินดี
แต่เจ้าของร่างนั้นกลับยืนหลังพิงผนังเฉยอยู่
พร้อมกับส่งสายตาลึกสุดหยั่งคะเนมาให้
“ ข้ามาหาเจ้า ไม่ดีใจสักหน่อยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์อดไม่ได้ที่จะยั่วโมโหคนตรงหน้า
การพบกับคนผู้นี้ทำให้ความหวาดกลัวและวิตกกังวลของเขามลายไป
“ เหตุใดจึงงี่เง่านักเจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ”
เสียงตอบกลับมานั้นมีวี่แววแห่งความผิดหวังอย่างเปิดเผย
“ แหม่คำทักทายของชาวโอรีเวียนี่เจ็บจี๊ดดีจัง รู้สิข้ามิได้ละเมอ ดารีลเจ้าอย่าอยู่ที่นี่เลยนะข้างนอกมีแต่ปีศาจร้าย ”
“ ก่อนเจ้ามาถึงข้ายังสุขสบายดีอยู่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เกิดกลุ้มใจขึ้นมาเสียแล้ว เจ้าเด็กนรกจะขยันหาเรื่องวุ่นวายไปถึงเมื่อไหร่กัน ข้าเตือนอยู่เสมอมิใช่หรือว่าอย่าเข้าใกล้สตรีชุดแดงแล้วเจ้าทำอะไรลงไป ”
“ ทำไมล่ะเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาหรืออย่างไร ”
เด็กชายตัวน้อยยิ้มเจ้าเล่ห์
เขาเดินเข้ามาจนชิดลูกกรงเหล็ก
“ เหลวไหล รสนิยมของข้าไม่ได้ใกล้เคียงกับสตรีชุดแดงแม้แต่น้อย ”
ดารีลกระแทกเสียง
“ ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้าชอบแบบไหนโดนแหย่แค่นี้จำเป็นต้องโกรธด้วยหรือไม่สมกับที่เป็นเจ้าเลยนะ ”
คนอายุน้อยกว่าว่า
เขาตั้งท่าจะชักดาบออกจากฝัก
อยากลองฟันกรงเหล็กดูสักครั้งว่าผลจะเป็นอย่างไร
“ อย่าขยับ ”
ดารีลบอกเสียงเย็น
ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะบอกว่าเขาแค่คิด
ไม่ได้จะทำจริงๆ
แต่เมื่อเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นค่อยๆ ดึงมีดพกสีดำออกมาเด็กชายจึงเงียบเสียง
พวกเขาสบตากันในความนิ่งงัน
แล้วทันใดนั้นโดยไร้สัญญาณเตือน
ดารีลได้ปามีดออกไปรวดเร็วยิ่งกว่างูฉก
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกถึงลมที่ผ่านเหนือเส้นผม
และเสียงของหนักๆ หล่นลงทางด้านหลัง
เมื่อหันกลับไปมองเขาก็เห็นตัวประหลาดที่มีใบหน้าใหญ่กว่าลำตัว
นอนล้มกลิ้งอยู่
โดยที่มีดยังปักคาตรงกลางหน้าผาก
เด็กชายก้มลงจะดึงมีดออกร่างของมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป
“ อย่าทำบาดมืออีกล่ะโชคดีไม่มีถึงสองครั้งหรอกจำไว้ ”
เจ้าของร่างงามเตือน
“ ข้ารู้น่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางส่งมีดคืน
โดยหันทางด้ามจับให้
เมื่อดารีลยื่นมือมารับ
เด็กชายตัวน้อยจึงสังเกตเห็นว่า
นิ้วที่เคยสวมใส่แหวนรูปงูได้เปลี่ยนแปลงไป
ขณะนี้มันเป็นแหวนอีกวง
มีลักษณะเป็นเถาวัลย์เลื้อยพันไปตามความยาวของนิ้ว
ด้วยฝีมือช่างอันประณีตงดงาม
“ พวกเขายึดแหวนไปด้วยหรือทำไมมันถึง ”
เด็กชายทักขึ้น
“ อ้อสิ่งนี้หรือ ”
หนุ่มน้อยว่าพลางยื่นมือผ่านลูกกรงออกไปให้ดูใกล้ๆ
แหวนที่เห็นเป็นเถาวัลย์ค่อยๆ กลายร่างกลับเป็นงูสีดำอีกครั้ง
“ ที่เห็นเมื่อครู่คือรูปลักษณ์เดิมของมัน แหวนนี่เป็นสมบัติเดียวที่มารดาของข้ามอบให้ก่อนจากกัน ”
“ ในเมื่อมันมีค่าขนาดนั้นใยเจ้าเปลี่ยนมันเป็นงูล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ มันเป็นเครื่องประดับของสตรี อย่างไรเสียงูตัวนี้ก็เหมาะสมกับข้าแล้วและมันก็ยังเลื้อยพันได้ไม่ต่างจากเถาวัลย์อันเดิม ”
หนุ่มน้อยตอบ
“ ไม่จริงหรอกเจ้าแตกต่างจากงูพิษมากนัก ”
เขาแย้ง
“ เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบแหวนนี้ให้กับคนที่ข้าจะอยู่เคียงข้างไปจนชั่วชีวิต แต่ดูเหมือนความฝันนั้นไม่อาจเป็นจริงเสียแล้ว ข้าไม่มีวันเป็นสุขได้ไม่ว่าทางใดก็ตาม ”
ใบหน้างดงามนั้นฉาบด้วยความอ้างว้างอย่างสุดซึ้ง
“ มันต้องมีทางแก้ไขสิ เจ้าหญิงลูเซียน่าพระทัยกว้างขวางไม่มีทางถือสาเรื่องเพียงเท่านี้หรอก อย่าเพิ่งหมดหวังเลยนะข้าจะหาทางช่วยเอง ”
“ ห่วงชีวิตของเจ้าเองไม่ดีกว่าหรือ คิดหรือเปล่าว่าจะหาทางกลับขึ้นไปได้อย่างไร ในยามกลางคืนอากาศที่นี่หนาวเย็นมันปลุกความตายให้ลุกขึ้นได้ เจ้าต้องรีบกลับก่อนตะวันตกดินเข้าใจไหม ”
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ยังคงเป็นกังวล
“ ข้ายังเดินไม่ทั่วเมืองเลยอาจจะอีกสิบวันหรือมากกว่านั้นเจ้าเองก็ระวังอย่าก่อเรื่องระหว่างที่ข้าไม่อยู่ล่ะ ”
คนอายุมากกว่าว่า
“ เดี๋ยวนะ ที่เจ้าต้องมาอยู่ตรงนี้หรือจะเป็นแผน แท้จริงแล้วเจ้าตั้งใจลงมาที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าอย่างนั้นบอกมาความผิดใดบ้างที่จะส่งข้ามาที่นี่ ”
“ เมืองใต้ดินนี่มีทางลับมากมาย รวมทั้งทางที่จะพาออกไปนอกเมืองได้ ถ้าข้าเห็นเจ้าทำเรื่องโง่ๆ ล่ะก็ข้าจะออกไปทางนั้นแล้วทิ้งเจ้าเน่าตายคนเดียว ”
“ ข้าไม่เชื่อ เจ้าไม่กล้าหรอกอ้อจริงสิข้าเห็นร่างใครสักคนถูกตรึงกับต้นไม้ที่กลางสวน เขาเป็นใครเจ้ารู้หรือเปล่าเหตุใดจึงถูกทิ้งไว้ไม่เหลียวแล ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งนึกขึ้นได้
“ นั่นเป็นตัวอย่างของคนที่หลงลมปากสตรีชุดแดง ในอดีตเขาคือพ่อมดขาวผู้ยิ่งใหญ่แต่ในตอนนี้เป็นแค่เศษกระดูกแห้งๆ ไร้ความหมายไร้คนจดจำ แล้วเจ้าล่ะเป็นผู้ใดกัน ข้าจึงเตือนเจ้าอยู่ตลอด การเชื่อใจนางคือการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ นางรู้จุดอ่อนของคนทุกคน ”
“ มันไม่เหมือนกันหรอกเพราะข้ารู้จุดอ่อนของนางเช่นกัน ”
เด็กชายตัวน้อยกล่าวสวนขึ้น
ดารีลถึงกับเลิกคิ้ว
สุดท้ายก็ยิ้มอ่อนออกมา
“ กล้าพูดนะ ”
เขาว่า
“ มีกี่คนกันที่พูดแบบนี้ข้าไม่เห็นจบดีสักรายว่าแต่นางบอกอะไรกับเจ้า ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยส่งแผนที่ของสตรีชุดแดงให้ดารีล
“ นางบอกอะไรมันไม่สำคัญหรอกเพราะข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ”
หนุ่มน้อยคนนั้นรับแผนที่มาดูแล้วกล่าวว่า
“ เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าอยากเห็นสีหน้าเจ้านัก ลูกไม้ของนางเด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าหาใช่คู่มือของนางไม่ ”
“ รอไปเถอะ ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่เว้นแต่นางจะเข้าสิงข้า นั่นเป็นทางเดียวและข้าไม่นับ ไม่ว่าอย่างไรหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงถ้านางบังคับใช้ร่างข้า เจ้าจงสังหารข้าโดยไม่ต้องลังเลเพราะนั่นไม่ใช่ข้าอีกต่อไปแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
ฟิโลโซเฟอร์ฟาดพวกมันด้วยคบไฟ แต่นั้นไม่ช่วยอะไรเลยสุดท้ายเขาต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ จนไฟมอดลงความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อาจหยิบคบไฟอันใหม่จากกระเป๋าได้ เด็กน้อยต้องหนีไปในความมืด ล้มลุกคลุกคลาน ตกบันไดไม่รู้กี่ชั้นพวกมันก็ยังตามติดไม่ลดละ
ในที่สุดเขาก็คลำไปจนพบประตูอีกบาน เขาถอดกลอนออกแล้วใช้หลังดันเข้าไปหวังจะซ่อนตัวในนั้น แต่เมื่อประตูเปิดออกเขาก็หงายลงบันไดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่สูงชันนัก เสียงประตูปิดกลับดังปังแล้วทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบและมืดมิด
ฟิโลโซเฟอร์ควานหาคบไฟในกระเป๋าแต่ก่อนที่จะได้จุดเขาก็ได้ยินเสียงดีดนิ้วดังขึ้นครั้งหนึ่ง ไฟสีฟ้าก็ลุกพรึบขึ้นเริ่มจากใกล้ๆ ตัวของเขาแล้วไล่เรียงกันออกไป แล้วทั้งห้องก็สว่างขึ้น
ที่นี่คือห้องที่เต็มไปด้วยกรงเหล็กแคบมีทางเดินแคบๆ ผ่านตรงกลาง และแสงไฟก็เกิดจากตะเกียงที่แขวนหน้ากรงนั่นเอง
เด็กชายตัวน้อยลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบผู้ใด
เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงเดินลึกเข้าไปอีก
มือข้างหนึ่งกำมั่ยบนด้ามดาบ
ที่ตอนนี้เปล่งประกายเจิดจ้า
แล้วในกรงเหล็กกรงหนึ่ง
มีร่างในชุดคลุมยาวสีดำยืนกอดอกนิ่งอยู่
เพียงมองเห็นแว็บเดียว
ฟิโลโซเฟอร์ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
“ ดารีล ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้าไปหาด้วยความยินดี
แต่เจ้าของร่างนั้นกลับยืนหลังพิงผนังเฉยอยู่
พร้อมกับส่งสายตาลึกสุดหยั่งคะเนมาให้
“ ข้ามาหาเจ้า ไม่ดีใจสักหน่อยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์อดไม่ได้ที่จะยั่วโมโหคนตรงหน้า
การพบกับคนผู้นี้ทำให้ความหวาดกลัวและวิตกกังวลของเขามลายไป
“ เหตุใดจึงงี่เง่านักเจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ”
เสียงตอบกลับมานั้นมีวี่แววแห่งความผิดหวังอย่างเปิดเผย
“ แหม่คำทักทายของชาวโอรีเวียนี่เจ็บจี๊ดดีจัง รู้สิข้ามิได้ละเมอ ดารีลเจ้าอย่าอยู่ที่นี่เลยนะข้างนอกมีแต่ปีศาจร้าย ”
“ ก่อนเจ้ามาถึงข้ายังสุขสบายดีอยู่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เกิดกลุ้มใจขึ้นมาเสียแล้ว เจ้าเด็กนรกจะขยันหาเรื่องวุ่นวายไปถึงเมื่อไหร่กัน ข้าเตือนอยู่เสมอมิใช่หรือว่าอย่าเข้าใกล้สตรีชุดแดงแล้วเจ้าทำอะไรลงไป ”
“ ทำไมล่ะเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาหรืออย่างไร ”
เด็กชายตัวน้อยยิ้มเจ้าเล่ห์
เขาเดินเข้ามาจนชิดลูกกรงเหล็ก
“ เหลวไหล รสนิยมของข้าไม่ได้ใกล้เคียงกับสตรีชุดแดงแม้แต่น้อย ”
ดารีลกระแทกเสียง
“ ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้าชอบแบบไหนโดนแหย่แค่นี้จำเป็นต้องโกรธด้วยหรือไม่สมกับที่เป็นเจ้าเลยนะ ”
คนอายุน้อยกว่าว่า
เขาตั้งท่าจะชักดาบออกจากฝัก
อยากลองฟันกรงเหล็กดูสักครั้งว่าผลจะเป็นอย่างไร
“ อย่าขยับ ”
ดารีลบอกเสียงเย็น
ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะบอกว่าเขาแค่คิด
ไม่ได้จะทำจริงๆ
แต่เมื่อเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นค่อยๆ ดึงมีดพกสีดำออกมาเด็กชายจึงเงียบเสียง
พวกเขาสบตากันในความนิ่งงัน
แล้วทันใดนั้นโดยไร้สัญญาณเตือน
ดารีลได้ปามีดออกไปรวดเร็วยิ่งกว่างูฉก
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกถึงลมที่ผ่านเหนือเส้นผม
และเสียงของหนักๆ หล่นลงทางด้านหลัง
เมื่อหันกลับไปมองเขาก็เห็นตัวประหลาดที่มีใบหน้าใหญ่กว่าลำตัว
นอนล้มกลิ้งอยู่
โดยที่มีดยังปักคาตรงกลางหน้าผาก
เด็กชายก้มลงจะดึงมีดออกร่างของมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป
“ อย่าทำบาดมืออีกล่ะโชคดีไม่มีถึงสองครั้งหรอกจำไว้ ”
เจ้าของร่างงามเตือน
“ ข้ารู้น่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางส่งมีดคืน
โดยหันทางด้ามจับให้
เมื่อดารีลยื่นมือมารับ
เด็กชายตัวน้อยจึงสังเกตเห็นว่า
นิ้วที่เคยสวมใส่แหวนรูปงูได้เปลี่ยนแปลงไป
ขณะนี้มันเป็นแหวนอีกวง
มีลักษณะเป็นเถาวัลย์เลื้อยพันไปตามความยาวของนิ้ว
ด้วยฝีมือช่างอันประณีตงดงาม
“ พวกเขายึดแหวนไปด้วยหรือทำไมมันถึง ”
เด็กชายทักขึ้น
“ อ้อสิ่งนี้หรือ ”
หนุ่มน้อยว่าพลางยื่นมือผ่านลูกกรงออกไปให้ดูใกล้ๆ
แหวนที่เห็นเป็นเถาวัลย์ค่อยๆ กลายร่างกลับเป็นงูสีดำอีกครั้ง
“ ที่เห็นเมื่อครู่คือรูปลักษณ์เดิมของมัน แหวนนี่เป็นสมบัติเดียวที่มารดาของข้ามอบให้ก่อนจากกัน ”
“ ในเมื่อมันมีค่าขนาดนั้นใยเจ้าเปลี่ยนมันเป็นงูล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ มันเป็นเครื่องประดับของสตรี อย่างไรเสียงูตัวนี้ก็เหมาะสมกับข้าแล้วและมันก็ยังเลื้อยพันได้ไม่ต่างจากเถาวัลย์อันเดิม ”
หนุ่มน้อยตอบ
“ ไม่จริงหรอกเจ้าแตกต่างจากงูพิษมากนัก ”
เขาแย้ง
“ เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบแหวนนี้ให้กับคนที่ข้าจะอยู่เคียงข้างไปจนชั่วชีวิต แต่ดูเหมือนความฝันนั้นไม่อาจเป็นจริงเสียแล้ว ข้าไม่มีวันเป็นสุขได้ไม่ว่าทางใดก็ตาม ”
ใบหน้างดงามนั้นฉาบด้วยความอ้างว้างอย่างสุดซึ้ง
“ มันต้องมีทางแก้ไขสิ เจ้าหญิงลูเซียน่าพระทัยกว้างขวางไม่มีทางถือสาเรื่องเพียงเท่านี้หรอก อย่าเพิ่งหมดหวังเลยนะข้าจะหาทางช่วยเอง ”
“ ห่วงชีวิตของเจ้าเองไม่ดีกว่าหรือ คิดหรือเปล่าว่าจะหาทางกลับขึ้นไปได้อย่างไร ในยามกลางคืนอากาศที่นี่หนาวเย็นมันปลุกความตายให้ลุกขึ้นได้ เจ้าต้องรีบกลับก่อนตะวันตกดินเข้าใจไหม ”
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ยังคงเป็นกังวล
“ ข้ายังเดินไม่ทั่วเมืองเลยอาจจะอีกสิบวันหรือมากกว่านั้นเจ้าเองก็ระวังอย่าก่อเรื่องระหว่างที่ข้าไม่อยู่ล่ะ ”
คนอายุมากกว่าว่า
“ เดี๋ยวนะ ที่เจ้าต้องมาอยู่ตรงนี้หรือจะเป็นแผน แท้จริงแล้วเจ้าตั้งใจลงมาที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าอย่างนั้นบอกมาความผิดใดบ้างที่จะส่งข้ามาที่นี่ ”
“ เมืองใต้ดินนี่มีทางลับมากมาย รวมทั้งทางที่จะพาออกไปนอกเมืองได้ ถ้าข้าเห็นเจ้าทำเรื่องโง่ๆ ล่ะก็ข้าจะออกไปทางนั้นแล้วทิ้งเจ้าเน่าตายคนเดียว ”
“ ข้าไม่เชื่อ เจ้าไม่กล้าหรอกอ้อจริงสิข้าเห็นร่างใครสักคนถูกตรึงกับต้นไม้ที่กลางสวน เขาเป็นใครเจ้ารู้หรือเปล่าเหตุใดจึงถูกทิ้งไว้ไม่เหลียวแล ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งนึกขึ้นได้
“ นั่นเป็นตัวอย่างของคนที่หลงลมปากสตรีชุดแดง ในอดีตเขาคือพ่อมดขาวผู้ยิ่งใหญ่แต่ในตอนนี้เป็นแค่เศษกระดูกแห้งๆ ไร้ความหมายไร้คนจดจำ แล้วเจ้าล่ะเป็นผู้ใดกัน ข้าจึงเตือนเจ้าอยู่ตลอด การเชื่อใจนางคือการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ นางรู้จุดอ่อนของคนทุกคน ”
“ มันไม่เหมือนกันหรอกเพราะข้ารู้จุดอ่อนของนางเช่นกัน ”
เด็กชายตัวน้อยกล่าวสวนขึ้น
ดารีลถึงกับเลิกคิ้ว
สุดท้ายก็ยิ้มอ่อนออกมา
“ กล้าพูดนะ ”
เขาว่า
“ มีกี่คนกันที่พูดแบบนี้ข้าไม่เห็นจบดีสักรายว่าแต่นางบอกอะไรกับเจ้า ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยส่งแผนที่ของสตรีชุดแดงให้ดารีล
“ นางบอกอะไรมันไม่สำคัญหรอกเพราะข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ”
หนุ่มน้อยคนนั้นรับแผนที่มาดูแล้วกล่าวว่า
“ เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าอยากเห็นสีหน้าเจ้านัก ลูกไม้ของนางเด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าหาใช่คู่มือของนางไม่ ”
“ รอไปเถอะ ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่เว้นแต่นางจะเข้าสิงข้า นั่นเป็นทางเดียวและข้าไม่นับ ไม่ว่าอย่างไรหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงถ้านางบังคับใช้ร่างข้า เจ้าจงสังหารข้าโดยไม่ต้องลังเลเพราะนั่นไม่ใช่ข้าอีกต่อไปแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ