โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
162) ศพฟื้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กน้อยทั้งสามถูกร่างที่ตายไปแล้วล้อมเอาไว้ พวกมันคือผู้คนในยุคก่อนที่ตายในสงคราม แต่ด้วยจิตที่หื่นกระหายในอำนาจวิญญาณจึงไม่ยอมเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร ต่างจองจำตนเองเอาไว้ในร่างที่แห้งกรังด้วยหวังจะคืนชีพในสักวันหนึ่ง กลิ่นเนื้อกลิ่นของเด็กน้อยทั้งสามปลุกพวกมันขึ้นมา จิตวิญญาณที่นิยมการเข่นฆ่าได้พาร่างเหล่านี้ตื่นขึ้น เพื่อลิ้มลองรสเลือดอีกครั้ง
“ ศพคืนชีพ ไหนว่าแพสทรูแลนด์มิใช่สุสานอย่างไรล่ะ เหตุใดมีศพคืนชีพ ”
โลธอร์ท้วง
“ ในตำราบอกว่าเป็นเมืองเก่าจะเรียกว่าสุสานได้อย่างไรล่ะ ”
สหายร่างผอมตอบ
“ ตำราของเจ้ามันเห่ย ”
“ ใครจะไปนึกล่ะว่าจะเอาศพมาทิ้งมากมายโดยไม่ทำพิธีส่งวิญญาณให้เรียบร้อย มันไม่เกี่ยวกับว่าที่นี่หรือที่ไหน แต่ถ้าเก็บศพไม่ดีเรื่องศพฟื้นก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ”
“ ข้าว่าเรื่องนั้นเอาไว้ทะเลาะกันวันหลังก็ยังไม่สาย ช่วงเวลานี้มาช่วยกันคิดหาทางแหวกออกไปจากวงล้อมผีดิบนี่ไม่ดีกว่าหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์เตือน
“ มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ดูสินอกจากจะเดินเชื่องช้าแล้วร่างกายยังใกล้ผุพังเต็มที อย่างนี้ไม่เรียกว่าผีดิบอย่างมากก็เป็นได้แค่ศพฟื้นชั้นต่ำ ในการขุดเหมืองมีบ้างที่บังเอิญไปโผล่กลางสุสานเรื่องเล่าของปู่ทวดสนุกจะตาย ”
เด็กร่างอ้วนกล่าว
เขาถีบผีตนหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้จนล้มลงร่างแตกกระจาย
“ แต่จำนวนมากขนาดนี้ล้มทับเราคนละทีถึงขั้นจุกตายได้เลยนะ ”
อีเลียสแย้ง
“ แล้วใครจะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นเล่า ”
ว่าแล้วเจ้าเด็กร่างอ้วนก็ฉุดสหายออกวิ่ง
โดยเขาเป็นคนเปิดทางและฟิโลโซเฟอร์รั้งท้าย
เหล่าผีลืมกลบหลุมต่างล้มไม่เป็นท่า
เมื่อเด็กชายทั้งสามผ่านไป
ในที่สุดพวกเขาก็แหวกกลุ่มผีกลับเข้ามาในอาคาร
หลบซากแห้งตายมายังห้องอีกห้องหนึ่ง
จากสภาพดูอย่างไรก็ห้องจักเลี้ยง
ทั้งถ้วยจานราคาแพง
และโต๊ะยาวที่หล่อมาจากทองคำ
“ อยากให้เหมืองแถวบ้านข้าเป็นแบบนี้จริงมีทั้งทองคำและสุรา ”
โลธอร์ว่า
“ รวมศพฟื้นพวกนั้นด้วยหรือเปล่ามีราคาเหมือนกันนะ ”
อีเลียสแทงเข้าให้ด้วยคำพูด
“ ย่อมได้พวกนั้นกำจัดง่ายจะตายว่าแต่ตอนนี้เอาอย่างไรต่อไปดี ”
เจ้าของร่างอ้วนกลมว่า
พลางหยิบช้อนทองคำขึ้นมาพิจารณา
“ วางเอาไว้ที่เดิม ”
อีเลียสสั่งเสียงเฉียบขาด
“ ทำไมล่ะ แพสทรูแลนด์ถูกทิ้งร้างก็เท่ากับสมบัติเหล่านี้ไม่มีเจ้าของและข้าไม่ได้ขโมย ”
“ แต่มันหนัก ”
คนผอมแห้งกว่ากัดฟันพูด
“ ในช่วงเวลาเป็นหรือตายยังจะหาอะไรมาถ่วงร่างบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ”
“ แค่ช้อนไม่กี่อันมันไม่หนักหรอกรู้ไหม ข้ากลัวว่าปีหน้าหากเกิดสงครามพวกเราจะไม่ได้เจอกันอีก นี่จะช่วยให้เรามีงานเลี้ยงที่หรูหรา ”
โลธอร์ว่า
“ ข้ามีปัญญาจ่ายถ้าเจ้าอยากได้งานเลี้ยงนักล่ะก็ข้าจ่ายเอง ”
อีเลียสบอก
“ ข้าก็มี แต่ข้าอยากจ่ายด้วยเงินของข้าเองไม่ใช่ขอพ่อแม่ ”
“ ด้วยการลักขโมยนี่นะ ”
“ ไม่มีเจ้าทุกข์เรียกว่าขโมยได้ด้วยหรือ ”
โลธอร์แย้ง
“ นั่นไงเจ้าทุกข์มาโน่นแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูประตูที่เปิดค้าง
ร่างผอมแห้งแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
กับดวงตาสีโปนๆ แทบถลนออกมานอกเบ้า
กำลังคืบคลานเข้ามา
“ เกรบ็อค ”
เด็กชายร่างผอมอุทานใบหน้าซีดเผือด
ความทรงจำสุดเลวร้ายในงานเลี้ยงแห่งโอรีเวีย
ตอนนั้นพวกเขามีนักสู้ยืนเคียงข้างมากมาย
แต่ตอนนี้มีแค่สาม
“ มันอีกแล้วหรือ ”
โลธอร์ส่งคบไฟให้เพื่อนรัก
พวกเขาพยายามยืนให้เงียบที่สุด
“ ยืนข้างหลังข้า ”
“ วันนั้นเจ้ายังห้าวอยู่เลยวันนี้เป็นอะไรไปล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
เพราะเขาเคยเห็นอีเลียสสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้
“ ก็ตอนนั้นมีดารีลด้วยนี่นาแล้วผู้ใช้เวทมนตร์คนอื่นก็อยู่ไม่ไกล ตอนนี้มีแค่เราแถมมาอยู่ในที่แบบนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าเกิดตายไปคงมีแต่คนประณามข้าที่อยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดหากต้องมาตายทั้งอย่างนี้ถูกต้องที่ไหน ขายหน้าวงศ์ตระกูลเป็นที่สุด ”
“ เจ้าไม่ตายหรอก ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยพุ่งเข้าไปตัดหัวเกรบ็อคตัวแรกที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด
แล้วใช้ดาบตัดผ้าม่านประดับผนังลงมาจุดเป็นกองไฟขวางประตูไว้
“ เจ้าเผาของล้ำค่าขนาดนั้นได้อย่างไรผ้าทอลายนั้นมีสัญลักษณ์แห่งเมืองแพสทรูแลนด์ ”
อีเลียสประท้วง
“ ตอนนี้มันเป็นแค่เศษผ้าจะมีราคามากไปกว่าเราทั้งสามได้อย่างไร อีกอย่างถ้าข้าสามารถเอาขาโต๊ะทองคำมาใช้แทนฟืนได้ข้าทำไปนานแล้ว ”
เด็กชายว่า
เขาดึงห่อกำยานออกมาจากกระเป๋า
แล้วเทลงในกองไฟ
“ นั่นดารีลให้เจ้ามาด้วยหรือ หมอนี่ลำเอียงสุดๆ ไม่ไหวเอาเสียเลย ”
โลธอร์ถาม
“ ข้าซื้อมาจากตลาดต่างหากล่ะ ดารีลเคยบอกว่าเกรบ็อคไม่ถูกกับกลิ่นฉุนรุนแรง ดังนั้นอะไรที่สร้างกลิ่นได้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ”
“ แต่เจ้าปิดทางรอดของเรานะห้องนี้มีประตูเดียว ”
อีเลียสเตือน
เด็กชายตัวน้อยๆ มองไปรอบๆ แล้วเห็นเป็นจริงดังนั้น
เขาลองกระชากผ้าทอฝืนยาว
และพบว่ามันมั่นคงดี
ฟิโลโซเฟอร์ใช้ผ้าต่างเชือกปีนขึ้นไปยังระเบียงชั้นบน
ส่วนโลธอร์แม้จะอวบอ้วนสมบูรณ์แต่เขากลับสามารถปีนป่ายได้อย่างคล่องแคล่ว
มีเพียงอีเลียสเท่านั้นที่ไม่กล้าปีน
เขาใช้ชายผ้าทอผูกร่างไว้แล้วให้เพื่อนๆ ช่วยดึง
จึงรอดพ้นจากกรงเล็บของเกรบ็อคที่เริ่มฝ่ากองไฟเข้ามาได้
มีหลายตัวพยายามปีนผ้าม่านตามขึ้นมา
โลธอร์จึงคว้าคบไฟไปจุดใส่ผ้าและมันก็ลุกลามไปติดสัตว์ปีศาจเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
พวกมันวิ่งพล่านไปชนกันและไฟก็ติดไปยังตัวที่เหลือ
เสียงกรีดร้องและเสียงตะกายเอาตัวรอดดังระงม
“ มิน่าหมอนั่นเตือนให้ระวังไฟพวกนี้ตัวอย่างกับทาน้ำมันติดไฟเร็วจนน่ากลัว ”
เด็กชายร่างอ้วนหมายถึงดารีล
“ เขาถูกขังในที่แบบนี้จริงหรือ ให้ตายสินี่มันฆ่ากันชัดๆ ใครจะอยู่ได้พวกนั้นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ”
อีเลียสว่าบ้าง
เด็กชายชาวซีนาร์ยไม่กล่าวอะไร
เขาเพียงส่องไฟไปรอบๆ
“ เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนที่จะโดนย่างสดดูสิไฟโหมแรงเกินไปแล้ว ”
อีเลียสเตือน
ดังนั้นเด็กๆ จึงหาทางไปต่อ
ด้านหน้านั้นคือระเบียงแคบๆ ที่มืดมิด
ความร้อนจากเปลวไฟที่พวกเขาทำขึ้นได้ปลุกให้ค้างคาวผีตื่นขึ้นมา
ไม่นานหลังจากนั้นมันก็พุ่งโจมตีเด็กๆ
จนพวกเขาต้องดึงหมวกฮู้ดลงมาปิดบังใบหน้า
ก้มตัวลงต่ำแล้ววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
และเป็นฟิโลโซเฟอร์ที่เกิดพลัดหลงกับเพื่อนๆ จนได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ