โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

163) คุกใต้ดิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เด็กชายตัวน้อยวิ่งไปมือก็ป่ายปัดไป   ค้างคาวผีพวกนี้แม้ไม่มีอันตรายอะไร   แต่ด้วยปริมาณที่มากกับกรงเล็บเล็กๆ ที่แหลมคมและกลิ่นสาบสางรุนแรงนั้นชวนให้อยากวิ่งหนีให้ไกล

 

ฟิโลโซเฟอร์ฟาดพวกมันด้วยคบไฟ   แต่นั้นไม่ช่วยอะไรเลยสุดท้ายเขาต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ จนไฟมอดลงความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อาจหยิบคบไฟอันใหม่จากกระเป๋าได้   เด็กน้อยต้องหนีไปในความมืด   ล้มลุกคลุกคลาน   ตกบันไดไม่รู้กี่ชั้นพวกมันก็ยังตามติดไม่ลดละ

 

ในที่สุดเขาก็คลำไปจนพบประตูอีกบาน   เขาถอดกลอนออกแล้วใช้หลังดันเข้าไปหวังจะซ่อนตัวในนั้น   แต่เมื่อประตูเปิดออกเขาก็หงายลงบันไดอีกครั้ง   แต่ครั้งนี้ไม่สูงชันนัก   เสียงประตูปิดกลับดังปังแล้วทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบและมืดมิด

 

ฟิโลโซเฟอร์ควานหาคบไฟในกระเป๋าแต่ก่อนที่จะได้จุดเขาก็ได้ยินเสียงดีดนิ้วดังขึ้นครั้งหนึ่ง   ไฟสีฟ้าก็ลุกพรึบขึ้นเริ่มจากใกล้ๆ ตัวของเขาแล้วไล่เรียงกันออกไป   แล้วทั้งห้องก็สว่างขึ้น

 

ที่นี่คือห้องที่เต็มไปด้วยกรงเหล็กแคบมีทางเดินแคบๆ ผ่านตรงกลาง   และแสงไฟก็เกิดจากตะเกียงที่แขวนหน้ากรงนั่นเอง

 

เด็กชายตัวน้อยลุกขึ้น   เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบผู้ใด

เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงเดินลึกเข้าไปอีก

มือข้างหนึ่งกำมั่ยบนด้ามดาบ

ที่ตอนนี้เปล่งประกายเจิดจ้า

 

แล้วในกรงเหล็กกรงหนึ่ง

มีร่างในชุดคลุมยาวสีดำยืนกอดอกนิ่งอยู่

เพียงมองเห็นแว็บเดียว

ฟิโลโซเฟอร์ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

 

“ ดารีล ”

 

เด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้าไปหาด้วยความยินดี

แต่เจ้าของร่างนั้นกลับยืนหลังพิงผนังเฉยอยู่

พร้อมกับส่งสายตาลึกสุดหยั่งคะเนมาให้

 

“ ข้ามาหาเจ้า   ไม่ดีใจสักหน่อยหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์อดไม่ได้ที่จะยั่วโมโหคนตรงหน้า

การพบกับคนผู้นี้ทำให้ความหวาดกลัวและวิตกกังวลของเขามลายไป

 

“ เหตุใดจึงงี่เง่านักเจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ”

 

เสียงตอบกลับมานั้นมีวี่แววแห่งความผิดหวังอย่างเปิดเผย

 

 

“ แหม่คำทักทายของชาวโอรีเวียนี่เจ็บจี๊ดดีจัง   รู้สิข้ามิได้ละเมอ   ดารีลเจ้าอย่าอยู่ที่นี่เลยนะข้างนอกมีแต่ปีศาจร้าย ”

 

“ ก่อนเจ้ามาถึงข้ายังสุขสบายดีอยู่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เกิดกลุ้มใจขึ้นมาเสียแล้ว   เจ้าเด็กนรกจะขยันหาเรื่องวุ่นวายไปถึงเมื่อไหร่กัน   ข้าเตือนอยู่เสมอมิใช่หรือว่าอย่าเข้าใกล้สตรีชุดแดงแล้วเจ้าทำอะไรลงไป ”

 

“ ทำไมล่ะเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาหรืออย่างไร ”

 

เด็กชายตัวน้อยยิ้มเจ้าเล่ห์

เขาเดินเข้ามาจนชิดลูกกรงเหล็ก

 

“ เหลวไหล   รสนิยมของข้าไม่ได้ใกล้เคียงกับสตรีชุดแดงแม้แต่น้อย ”

 

ดารีลกระแทกเสียง

 

“ ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้าชอบแบบไหนโดนแหย่แค่นี้จำเป็นต้องโกรธด้วยหรือไม่สมกับที่เป็นเจ้าเลยนะ ”

 

คนอายุน้อยกว่าว่า

เขาตั้งท่าจะชักดาบออกจากฝัก

อยากลองฟันกรงเหล็กดูสักครั้งว่าผลจะเป็นอย่างไร

 

“ อย่าขยับ ”

 

ดารีลบอกเสียงเย็น

ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะบอกว่าเขาแค่คิด

ไม่ได้จะทำจริงๆ

 

แต่เมื่อเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นค่อยๆ ดึงมีดพกสีดำออกมาเด็กชายจึงเงียบเสียง

พวกเขาสบตากันในความนิ่งงัน

แล้วทันใดนั้นโดยไร้สัญญาณเตือน

 

ดารีลได้ปามีดออกไปรวดเร็วยิ่งกว่างูฉก

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกถึงลมที่ผ่านเหนือเส้นผม

และเสียงของหนักๆ หล่นลงทางด้านหลัง

 

เมื่อหันกลับไปมองเขาก็เห็นตัวประหลาดที่มีใบหน้าใหญ่กว่าลำตัว

นอนล้มกลิ้งอยู่

โดยที่มีดยังปักคาตรงกลางหน้าผาก

 

เด็กชายก้มลงจะดึงมีดออกร่างของมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป

 

“ อย่าทำบาดมืออีกล่ะโชคดีไม่มีถึงสองครั้งหรอกจำไว้ ”  

 

เจ้าของร่างงามเตือน

 

“ ข้ารู้น่า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางส่งมีดคืน

โดยหันทางด้ามจับให้

 

เมื่อดารีลยื่นมือมารับ

เด็กชายตัวน้อยจึงสังเกตเห็นว่า

นิ้วที่เคยสวมใส่แหวนรูปงูได้เปลี่ยนแปลงไป

 

ขณะนี้มันเป็นแหวนอีกวง

มีลักษณะเป็นเถาวัลย์เลื้อยพันไปตามความยาวของนิ้ว

ด้วยฝีมือช่างอันประณีตงดงาม

 

“ พวกเขายึดแหวนไปด้วยหรือทำไมมันถึง ”

 

เด็กชายทักขึ้น

 

“ อ้อสิ่งนี้หรือ ”

 

หนุ่มน้อยว่าพลางยื่นมือผ่านลูกกรงออกไปให้ดูใกล้ๆ

แหวนที่เห็นเป็นเถาวัลย์ค่อยๆ กลายร่างกลับเป็นงูสีดำอีกครั้ง

 

“ ที่เห็นเมื่อครู่คือรูปลักษณ์เดิมของมัน   แหวนนี่เป็นสมบัติเดียวที่มารดาของข้ามอบให้ก่อนจากกัน ”

 

“ ในเมื่อมันมีค่าขนาดนั้นใยเจ้าเปลี่ยนมันเป็นงูล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ มันเป็นเครื่องประดับของสตรี   อย่างไรเสียงูตัวนี้ก็เหมาะสมกับข้าแล้วและมันก็ยังเลื้อยพันได้ไม่ต่างจากเถาวัลย์อันเดิม ”

 

หนุ่มน้อยตอบ

 

“ ไม่จริงหรอกเจ้าแตกต่างจากงูพิษมากนัก ”

 

เขาแย้ง

 

“ เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบแหวนนี้ให้กับคนที่ข้าจะอยู่เคียงข้างไปจนชั่วชีวิต   แต่ดูเหมือนความฝันนั้นไม่อาจเป็นจริงเสียแล้ว   ข้าไม่มีวันเป็นสุขได้ไม่ว่าทางใดก็ตาม ”

 

ใบหน้างดงามนั้นฉาบด้วยความอ้างว้างอย่างสุดซึ้ง

 

“ มันต้องมีทางแก้ไขสิ   เจ้าหญิงลูเซียน่าพระทัยกว้างขวางไม่มีทางถือสาเรื่องเพียงเท่านี้หรอก   อย่าเพิ่งหมดหวังเลยนะข้าจะหาทางช่วยเอง ” 

 

“ ห่วงชีวิตของเจ้าเองไม่ดีกว่าหรือ   คิดหรือเปล่าว่าจะหาทางกลับขึ้นไปได้อย่างไร   ในยามกลางคืนอากาศที่นี่หนาวเย็นมันปลุกความตายให้ลุกขึ้นได้   เจ้าต้องรีบกลับก่อนตะวันตกดินเข้าใจไหม ”

 

“ แล้วเจ้าล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ยังคงเป็นกังวล

 

“ ข้ายังเดินไม่ทั่วเมืองเลยอาจจะอีกสิบวันหรือมากกว่านั้นเจ้าเองก็ระวังอย่าก่อเรื่องระหว่างที่ข้าไม่อยู่ล่ะ ”

 

คนอายุมากกว่าว่า

 

“ เดี๋ยวนะ   ที่เจ้าต้องมาอยู่ตรงนี้หรือจะเป็นแผน   แท้จริงแล้วเจ้าตั้งใจลงมาที่นี่ตั้งแต่แรก   ถ้าอย่างนั้นบอกมาความผิดใดบ้างที่จะส่งข้ามาที่นี่ ”

 

“ เมืองใต้ดินนี่มีทางลับมากมาย   รวมทั้งทางที่จะพาออกไปนอกเมืองได้   ถ้าข้าเห็นเจ้าทำเรื่องโง่ๆ ล่ะก็ข้าจะออกไปทางนั้นแล้วทิ้งเจ้าเน่าตายคนเดียว ”

 

“ ข้าไม่เชื่อ   เจ้าไม่กล้าหรอกอ้อจริงสิข้าเห็นร่างใครสักคนถูกตรึงกับต้นไม้ที่กลางสวน   เขาเป็นใครเจ้ารู้หรือเปล่าเหตุใดจึงถูกทิ้งไว้ไม่เหลียวแล ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งนึกขึ้นได้

 

“ นั่นเป็นตัวอย่างของคนที่หลงลมปากสตรีชุดแดง   ในอดีตเขาคือพ่อมดขาวผู้ยิ่งใหญ่แต่ในตอนนี้เป็นแค่เศษกระดูกแห้งๆ ไร้ความหมายไร้คนจดจำ   แล้วเจ้าล่ะเป็นผู้ใดกัน   ข้าจึงเตือนเจ้าอยู่ตลอด   การเชื่อใจนางคือการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ นางรู้จุดอ่อนของคนทุกคน ”

 

“ มันไม่เหมือนกันหรอกเพราะข้ารู้จุดอ่อนของนางเช่นกัน ”

 

เด็กชายตัวน้อยกล่าวสวนขึ้น

 

ดารีลถึงกับเลิกคิ้ว

สุดท้ายก็ยิ้มอ่อนออกมา

 

“ กล้าพูดนะ ”

 

เขาว่า

 

“ มีกี่คนกันที่พูดแบบนี้ข้าไม่เห็นจบดีสักรายว่าแต่นางบอกอะไรกับเจ้า ”

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยส่งแผนที่ของสตรีชุดแดงให้ดารีล

 

“ นางบอกอะไรมันไม่สำคัญหรอกเพราะข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นรับแผนที่มาดูแล้วกล่าวว่า

 

“ เมื่อวันนั้นมาถึง   ข้าอยากเห็นสีหน้าเจ้านัก   ลูกไม้ของนางเด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าหาใช่คู่มือของนางไม่ ”

 

“ รอไปเถอะ   ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่เว้นแต่นางจะเข้าสิงข้า   นั่นเป็นทางเดียวและข้าไม่นับ   ไม่ว่าอย่างไรหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงถ้านางบังคับใช้ร่างข้า   เจ้าจงสังหารข้าโดยไม่ต้องลังเลเพราะนั่นไม่ใช่ข้าอีกต่อไปแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา