โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
160) ม่านทับทิม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพวกเขาเดินไปตามโถงยาวที่กว้างใหญ่ เหนือเพดานคือภาพเขียนสีที่วาดเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามและการฆ่าฟัน สองข้างทางเดินล้วนแล้วแต่เป็นรูปสลักของเทพเจ้าที่ดูน่าเกรงขาม แต่ทั้งหมดปกคลุมด้วยฝุ่นผงและใยแมงมุม แม้จะผ่านกาลเวลามานานแสนนานข้าวของเครื่องใช้กลับยังคงอยู่ดีเพียงแต่มีบางอย่างที่เน่าเสียไปตามสภาพ
“ คงไม่มีกับดักนะ ”
อยู่ๆ โลธอร์ก็โพล่งขึ้นมา
“ นี่เป็นเมืองเก่าไม่ใช่สุสานหรือที่ซ่อนสมบัติเสียหน่อยถึงแม้ตอนนี้จะถูกฝังดินก็ตาม สร้างกับดักในบ้านตัวเองคือการฆ่าตัวตายทางอ้อม ”
อีเลียสว่า
“ ข้าได้ยินมาว่าเมืองแพสทรูแลนด์โดนฝังไปพร้อมกับความชั่วร้าย ต่อให้ไม่มีกับดักก็ควรระวังตัวไว้บ้างเพราะปีศาจร้ายก็ฆ่าเราได้เหมือนกัน ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยเตือน
แล้วเขาก็เอ่ยต่ออีกว่า
“ ดูสิปราสาทนี้ตกแต่งด้วยของล้ำค่ามากมายครั้งหนึ่งแพสทรูแลนด์คงร่ำรวยมาก ใยไม่นำสมบัติเหล่านี้ขึ้นไปไว้ในโอรีเวีย ทิ้งไว้แบบนี้น่าเสียดายออกอย่างกับของไร้ประโยชน์ ”
“ จริงด้วย แบบนี้เสียของจริงๆ เมืองใต้ดินนี่ถูกปิดตายมานาน จอมเทวาลานเองก็ใช่ว่าจะไม่นิยมของแบบนี้หรือนี่จะเป็นแผนของเขา แกล้งส่งดารีลลงมาสำรวจแล้วแอบย่องมาขนไปคนเดียว ”
เจ้าของร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ว่า
“ อย่ากล่าวหาวาลานแบบนั้นใครมาได้ยินเข้ามันไม่ดี เรื่องของเมืองแพสทรูแลนด์มันผ่านมานานมากจนกลายเป็นแค่ตำนาน ใครจะรู้ว่ามีอยู่จริงและใครจะเชื่อว่าสมบัติทั้งหมดยังอยู่ที่เดิมไม่ถูกปล้นไปเสียก่อน ลองคิดดูตามตำนานในยุคนั้นเป็นยุคที่ยากลำบาก ผู้คนป่าเถื่อนโหดร้ายเมืองแพสทรูแลนด์สามารถรุ่งเรืองได้ขนาดนี้ทรัพย์สมบัติที่ได้มาสะสมไว้คงไม่สะอาดนัก ข้าได้ยินมาว่าผู้สร้างโอรีเวียนั้นเป็นดังนักบุญ สมบัติเปื้อนเลือดจึงเป็นสิ่งแรกที่เขาจะโยนทิ้ง ”
อีเลียสบอก
“ ดูเหมือนผู้คนในยุคนั้นจะยังบูชาเทพเจ้ากันอยู่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูภาพวาดและรูปสลัก
ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าองค์ต่างๆ
“ หรือ แต่จากประวัติศาสตร์นองเลือดที่ผ่านมาถ้าบอกว่าพวกเขาบูชาซาตานข้าก็เชื่อนะ ”
โอธอร์ทำเสียงประชด
“ ในยุคนั้นมนุษย์เราเพิ่งก้าวผ่านการเป็นผู้รับใช้ของเทพและซาตาน การเป็นอิสระโดยฉับพลันทำให้ไม่มีผู้จัดระเบียบการปกครอง มนุษย์ล้วนคิดว่าตนเองสามารถยิ่งใหญ่ได้ ผู้แข็งแกร่งจึงเหยียบย่ำผู้อ่อนแออยู่ตลอด ”
เด็กชายร่างผอมจอมรอบรู้บอก
“ เหมือนมนุษย์ทุกคนพร้อมจะเป็นซาตานอยู่ก่อนแล้ว เช่นนั้นซาเหวจลอร์ดก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ”
โลธอร์ว่า
“ ไม่หรอกแท้จริงแล้วมนุษย์เลือกได้ว่าจะไปสวรรค์หรือนรก ต่างจากเทพและซาตานที่ถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่แรกเกิดแม้แต่ผู้ใช้เวทมนตร์เองก็ถูกเลือกแล้วเช่นกัน การที่ตัดสินว่ามนุษย์ทั้งหมดควรลงนรกไปอยู่กับซาตานจึงไม่ถูกต้องนัก อีกทั้งมนุษย์ที่หลงผิดยังสามารถกลับตัวได้การตัดสินที่เร็วเกินไปก็คือการดับโอกาส บางทีมนุษย์ก็อ่อนด้อยแต่เมื่อได้เรียนรู้ทุกคนต่างก็ปรับตัวได้ มาในยุคของเราผู้คนก็มิได้ดุร้ายเช่นในอดีตมิใช่หรือ ถ้าตอนนั้นเหล่ามนุษย์ถูกฆ่าตายหมด คงไม่มีเรายืนอยู่ตรงนี้ ”
อีเลียสแย้งไปตามที่ร่ำเรียนมา
เด็กน้อยทั้งสามเดินมาด้วยกันจนถึงโถงแยก
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
มันคือโถงทางเดินที่แยกออกไปเป็นสี่ทาง
เพื่อเชื่อมไปยังส่วนอื่นๆ ของปราสาท
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นตาก็คือ
ม่านลูกปัดสีต่างๆ
มันห้อยระย้าปิดเต็มช่องประตู
แน่นอนเขาเคยเห็นม่านแบบนี้มาก่อน
เมื่อนานมาแล้ว
ในช่วงเวลาที่แสนหวาดกลัว
ในถ้ำแห่งหนึ่ง ณ เทือกเขาเงาปีศาจ
ที่ๆ คาโอเรียวิ่งผ่านมันไป
จนเขาได้พบกับดาบโบราณเล่มหนึ่ง
เด็กชายตัวน้อยเดินเข้าไปสัมผัสม่านลูกปัดสีแดง
ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นประหลาด
“ ซาเหวจลอร์ดนี่เป็นสตรีใช่หรือไม่ ”
คำถามนั้นผ่านมาทางความคิด
และหลุดปากออกมาอย่างงงงวย
“ เรื่องนี้ไม่ได้ระบุในตำราแน่ชัด อาจมีบางเล่มกล่าวว่าเขาคือพ่อมดจากความมืดที่ชั่วร้าย แต่ส่วนใหญ่จะบอกเพียงแค่เขานั้นสวมชุดเกราะเหล็กกล้าสีดำ ปรากฏตัวในคืนเดือนดับแสงพร้อมกับสัตว์เลี้ยงคู่กาย แน่นอนชื่อของมันคือเคอร์คารอล ”
ชื่อของสัตว์ปีศาจตัวนั้นทำเขาสะดุ้ง
ภาพที่มันพุ่งเข้าใส่ดารีลยังติดตาไม่หาย
แต่เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นหรือจะยอมเชื่องให้กับใคร
ต่อให้เป็นผู้ใช้มนต์ดำก็ตามที
“ เจ้ามีปัญหากับลูกปัดสีแดงนั่นหรือเปล่าเห็นกำแน่นจนจะแหลกคามือแล้ว ”
เสียงของโลธอร์ท้วงขึ้น
“ เปล่านี่ ”
เด็กชายตัวน้อยรีบปล่อย
แล้วทำเป็นลูบคลำกรอบประตู
“ อันที่จริงมันก็สวยดีอยู่หรอกเด็กผู้หญิงอย่างคาโอเรียต้องชอบแน่ เจ้าไม่คิดอยากเอาไปติดไว้ที่บ้านกลางทุ่งบ้างหรือ โดนแสงแดดคงส่องประกายระยิบระยับ แค่ทำความสะอาดเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้วฝุ่นผงพวกนี้ล้างออกไม่ยากเลย ”
โลธอร์ยังคงยุต่อ
“ ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น ”
“ ไม่เป็นไรน่า คนกันเองทั้งนั้นข้าไม่บอกใครหรอก อีกอย่างสมบัตินี่ไม่มีเจ้าของหยิบออกไปก็ใช่จะมีความผิด เอาไปแขวนไว้ที่บ้านแล้วใครจะรู้ ”
“ บ้าสิ ”
อีเลียสท้วง
“ นี่เป็นทับทิม เจียระไนโดยช่างฝีมือดีเลือกสีได้ใกล้เคียงร้อยเป็นพวงขนาดนี้จัดเป็นของล้ำค่าคู่เมือง ทะลึ่งเอาไปแขวนในกระท่อมไม้กลางทุ่ง เกิดมีใครมาเห็นเข้าจะคิดอย่างไร ”
“ เป็นเจ้าจะคิดอย่างไรล่ะ ”
โลธอร์ถามแบบใสซื่อ
“ ก็ต้องคิดว่าหมอนี่เป็นเจ้าชายปลอมตัวมาน่ะสิ อยู่กลางทุ่งโล่งโดดเดี่ยวอย่างนั้นยังจะหาเรื่องโดนปล้นอีกหรือ ข้าว่าไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย ”
“ แสดงว่าของแบบนี้มิได้มีอยู่โดยทั่วไป ”
ฟิโลโซเฟอร์กำลังสงสัยว่าของแบบนี้มีในหุบเขาต้องสาปได้อย่างไร
คนใจร้ายอย่างซาเหวจลอร์ดรู้จักความอ่อนช้อยงดงามด้วยหรือ
ในเมื่อเขาคือซาตานที่ชั่วร้ายนิยมการเข่นฆ่าอย่างทรมาน
อาศัยในถ้ำดำมืดพร้อมสมุนปีศาจ
ของประดับตกแต่งราคาแพงแบบนี้
อยู่ในความสนใจด้วยหรือ
เป็นไปได้หรือเปล่าที่เรื้องเก่าเล่ามา
จะผิดเพี้ยนไปจากเดิมเสียแล้ว
“ ทับทิมนั้นส่วนใหญ่แล้วจะใช้ทำเครื่องประดับ แต่ถ้าถึงกับคัดคุณภาพชั้นดีจำนวนมากมาย เพื่อจะทำม่านลูกปัด ในความเห็นของข้านี่คือการข่มผู้อื่นด้วยความมั่งคั่ง ”
อีเลียสบอก
“ หรือไม่ก็พวกหลงใหลในทับทิมจนแทบจะกลืนลงท้อง ”
โลธอร์เสริม
“ ข้าว่าเราเสียเวลาตรงนี้มานานพอแล้ว มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราควรจะทำอย่างไรกับสี่แยกตรงนี้ดี ก่อนที่อะไรไม่ดีจะตามมาจนพบเราเข้า ”
อีเลียสเสนอ
เด็กชายชาวซีนาร์ยย้อนคิดถึงอดีต
ที่น้องสาวพุ่งผ่านซุ้มประตูโค้งแบบนี้ไป
ม่านลูกปัดที่นั่นเป็นสีแดงทับทิม
เขาจึงเลือกเดินผ่านเข้าไป
หวังจะได้พบอะไรบางอย่าง
ที่จุดประกายความกล้า
ดังเช่นในหุบเขานั่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ