โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ดวงดาวแห่งสนธยา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสายน้ำไหลเอื่อยๆ ผ่านพวกเขาไป ในที่สุดก็เดินทางมาถึงปลายอุโมงค์ที่เชื่อมกันเป็นโถงใหญ่ รอบห้องมีประตูอีกหลายบาน เหนือประตูมีตัวอักษรลึกลับสลักลงในเนื้อหิน อาเธอร์คิดว่าคงเป็นป้ายที่จะบอกให้รู้ว่าประตูเหล่านั้นจะนำพาไปยังที่แห่งใด แต่ตัวหนังสือเหล่านั้นเป็นภาษาเก่าแก่ที่เขาอ่านไม่ออก เสียงน้ำแตกซ่าๆ ไหลมาจากซอกหินด้านหนึ่งน้ำที่ท่วมเจิ่งอยู่คงมีที่มาจากตรงนี้ ริมผนังด้านหนึ่งพวกเขาพบโต๊ะหินตั้งอยู่โดดเดี่ยวโดยไร้เก้าอี้ขาโต๊ะมีเพียงขาเดียวแต่อ้วนกลม โต๊ะตัวนี้ใหญ่โตมากพอที่คนสิบคนขึ้นไปนั่งได้สบาย อาเธอร์อุ้มคาโอเรียขึ้นไปบนนั้น
“ ดูนี่สิฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูรูปหนึ่งที่เขียนไว้บนโต๊ะมันมีรูปร่างเหมือนหงส์
แต่อาเธอร์ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นนกฟีนิกซ์เพราะซาเหวจหลอดชื่นชอบนกฟีนิกซ์มาก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวก็ตาม
พวกเขานั่งพักกันเงียบๆ กระต่ายลูทำตาแป๋วจ้องมองคาโอเรียที่กำลังเขี่ยก้อนหินของพ่อมดอย่างใจลอย
“ น่าทึ่งนะฮะ ”
เด็กชายพูด
“ อะไรหรือ ”
“ จนป่านนี้คาโอเรียยังหาวิธีจัดการกับหินที่ท่านดีมีนมอบให้ไม่ได้เลย ”
คาโอเรียค้อนขวับ
นางเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าใส่พี่ชายโดยลืมไปว่ามีลูขวางอยู่
ทำให้กระต่ายตัวน้อยถอยหลบจนร่วงหล่นลงจากโต๊ะ
คาโลไรน์คว้ามันกลับขึ้นมาเหมือนเดิม
ลูสะบัดน้ำออกจากขนด้วยอารมณ์บูด
ไม่มีใครรู้บ้างหรือไงว่ามันไม่ชอบน้ำ
อาเธอร์รู้สึกทึ่งกับตัวเองว่าเขาหลุดเข้ามายังสถานที่แห่งประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างไร
ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีใครหลายคนพยายามค้นหาแต่ไม่พบ
“ ท่านพ่อบอกว่าเคยข้ามเขาลูกนี้มาก่อน เรื่องราวตอนนั้นเป็นอย่างไรหรือฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นในขณะที่คาโลไรน์เริ่มแบ่งอาหารอีกครั้ง
น่าเสียดายที่อาหารของพวกเขาส่วนใหญ่เปียกน้ำ
แต่ก็ยังพอรับประทานได้
“ เรื่องมันนานมาแล้ว ข้าจำรายละเอียดไม่ได้การเดินทางมาที่นี่เป็นหนึ่งในภารกิจของสภา พวกเราเข้ามาค้นหาหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับตำนานในอดีต แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ”
อาเธอร์ผายมือสองข้างออกรอบตัว
“ เรื่องตลกร้ายคือตอนนี้เราเข้ามาในเส้นทางที่หลายคนอยากค้นหาแล้วทั้งที่ไม่ตั้งใจเลย ”
“ แต่เราไม่ใช่นักสำรวจ ”
คาโลไรน์ว่า
“ ตำนานของซาเหวจหลอดข้าได้ยินมาเพียงน้อยนิด พ่อของข้าเล่าให้ฟังเหมือนนิทานก่อนนอน แต่ถึงกระนั้นข้ายังรู้สึกว่าเขายิ่งใหญ่และน่ากลัวมาก ถ้าหากที่นี่คือสถานที่ๆ เขาสร้างจริงเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทางที่ดีเราควรหาทางออกจากตรงนี้ให้เร็วจะดีกว่า ”
“ ซาเหวจหลอดนั้นโด่งดังในโอรีเวียเรื่องราวของเขาถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย ถึงขั้นทำเป็นตำราจัดเป็นวิชาเรียนโดยเฉพาะแต่ซีนาร์ยนั้นรักสงบ พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับความชั่วร้ายใดๆ และจะไม่พูดถึงมันด้วย นี่เป็นความแตกต่างของวิถีการคิดรวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิต ”
อาเธอร์ว่าบ้าง
“ ข้าอยากเห็นโอรีเวียเร็วๆ เสียแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดขึ้น
“ ข้าก็เช่นกัน ”
คาโอเรียเห็นด้วยแต่คนละความหมายกับพี่ชาย
อาเธอร์เดินสำรวจซุ้มประตู มีประตูเพียงสามบานเท่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยการสลักเสลาอย่างวิจิตร ส่วนที่เหลือเป็นการทุบหินหยาบๆให้เกิดช่องประตู เขาไล้ฝ่ามือไปตามรูปสลักเหล่านั้น ในใจนึกสงสัยว่าซาเหวจหลอดที่ใครๆ กล่าวขานกันว่ามีจิตใจอำมหิตชอบการเข่นฆ่าเขามีอารมณ์ศิลป์ด้วยหรือ
อาเธอร์เลือกประตูช่องหนึ่งที่มีสายลมพัดเข้ามาเบาๆ เพราะหากมีทางให้ลมเข้ามาได้ก็ย่อมมีทางให้พวกเขาออกไปได้ เขาหันกลับไปมองโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง นานมาแล้วจอมมารแห่งอดีตกาลอาจจะเคยใช้โต๊ะตัวนี้เพื่อวางแผนอะไรบางอย่าง ก่อนจะถูกทิ้งอย่างว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
เส้นทางนี้เป็นอุโมงค์เพดานโค้งใหญ่โตโอ่อ่าลึกเข้าไปมีแต่ความมืดมิด น้ำที่เจิ่งบนพื้นหายไปแล้วเสียงฝีเท้ากระทบหินดังก้องทึบๆ เบาๆ ความเงียบปกคลุมรายรอบจนพวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง บางครั้งเผลอคิดไปว่ามีเสียงลมหายใจของคนอื่นหรือสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วย พวกเขาเดินตามทางมาเรื่อยๆ จนถึงบันไดหิน มันทอดลึกลงไปสู่ความมืดแสงไฟจากคบเพลิงสะท้อนแวววาวกับผลึกแร่ตามขั้นบันได สายลมเย็นยังพัดมาพอรู้สึกซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีพวกเขาไต่ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยไม่นับขั้นบันได ยิ่งลงลึกอากาศยิ่งเย็นและทึบในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบันไดขั้นสุดท้าย พื้นข้างล่างนี้ชื้นเฉาะหินงอกห้อยลงมาจากเพดานสูงเหมือนเขี้ยวขนาดใหญ่เสียงน้ำหยดจากที่ใกล้ๆ ดังก้องในความเงียบ
“ นี่คงเป็นถ้ำธรรมชาติ ”
อาเธอร์พูดขึ้น เสียงของเขาสะท้อนกลับไปกลับมาเหมือนอาเธอร์อีกร้อยคนพูดช้ำแล้วช้ำเล่า ในเสียงที่สับสนปนเปนั้นพวกเขาต้องสะดุ้งตกใจ เพราะมีเสียงอะไรบางอย่างครางครืดคราดแล้วเงียบหายไป เมื่อตั้งสติได้ก็เดินรุดหน้าต่อไปพวกเขาเดินลัดเลาะไปตามแท่งหินงอกมีบางแท่งที่ยาวลงมาจนจรดพื้น
อาเธอร์พยายามเดินเป็นเส้นตรง เพื่อจะได้ไม่หลงเดินวกไปวนมาในดงหินงอกหินย้อยเหล่านี้ เสียงของพวกเขาเดินย่ำในน้ำดังอย่างสับสน แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังตามพวกเขามาช้าๆ แม้อาเธอร์จะพยายามหนีให้เร็วขึ้นเท่าใดมันก็ยังใกล้เข้ามาๆ จนได้ยินเสียงลมหายใจของพวกมัน
ถ้ำนี้ยาวเชื่อมไปถึงห้องโถงใหญ่อีกห้องหนึ่ง ภายในห้องนี้เรียงรายไปด้วยโต๊ะหินมากมายแต่ไม่มีเก้าอี้ โต๊ะแต่ละตัวฝังอันมณีล้ำค่าลงไปในเนื้อหิน นี่ถ้าเป็นพวกล่าสมบัติมาพบเข้าคงได้ตาลุกวาวแต่พวกเขาก็ได้แต่รีบเดินผ่านมันไปไม่มีแม้เวลาจะชื่นชม ตรงสุดผนังหินด้านหนึ่งเจาะประตูไว้สามบาน บานแรกมีม่านทำจากแก้วคริสตัล บานที่สองมรกตและบานสุดท้ายร้อยมาจากทับทิมสีแดงเลือด อาเธอร์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าประตูบานไหนดี เสียงขู่คำรามก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มชักดาบออกจากฝักแล้วหันไปเผชิญหน้ากับมัน
“ ถอยไปชิดกำแพงเร็วเข้า ”
เขาตะโกน
มือแห้งเหี่ยวเกาะขึ้นมาตามโต๊ะ
ใบหน้าเหมือนกิ้งก่ายักษ์ขาดสารอาหารจ้องมองพวกเขาอย่างหิวกระหาย
พวกมันตัวหนึ่งไต่ลงมาตามซอกหินมันกางปีกออกแล้วเหินมาทางอาเธอร์
ชายหนุ่มตวัดดาบเพียงครั้งเดียวหัวมันก็ขาดกระเด็น
“ นี่พวกเกรบ๊อกนี่ ”
อาเธอร์อุทาน
“ เหรอข้ากำลังอยากรู้ชื่อของมันอยู่พอดีเลย ”
คาโลไรน์เสียงเครียดพวกมันมีมากเหลือเกิน
ฟิโลโซเฟอร์ก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้างบิดาของเขา
“ ฟิโลโซเฟอร์ถอยไป ”
“ ถ้าให้ถอยไปอีกข้าก็ยิงไม่ถนัดน่ะสิ ”
เด็กชายตอบเรียบๆ
เขาขึ้นศรแล้วยิงเกรบ๊อกตัวที่คลานเข้ามาใกล้ที่สุด
“ ไม่ต้องกลัวคาโลไรน์เจ้าพวกนี้เกิดและอาศัยอยู่ในที่มืดทำให้สายตาไม่ดี ”
อาเธอร์ร้องบอก
เขาฟาดฟันร่างที่คืบคลานเข้ามาหาล้มตายไปหลายตัว
แต่เกรบ๊อกก็ยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
พวกมันไต่ขึ้นไปบนร่างของตัวที่ตายแล้วและเริ่มกัดทึ้งกินกันเอง
คาโลไรน์เหวี่ยงคบเผลิงใส่พวกมันเปลวไฟก็ลุกพรึบติดร่างที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังแห้งเหี่ยวทันที
ถึงตอนนี้กระต่ายลูได้ตัดสินใจแล้วว่ามันจะไม่ทนอยู่ตรงนี้อีกต่อ
ไปมันจึงดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนของคาโอเรีย
แล้วมุดผ่านมู่ลี่ทับทิมสีแดงนั้นไป
“ ลู! ไม่นะกลับมานี่ ”
คาโอเรียร้องเสียงหลงแล้ววิ่งตามมันไป
คาโลไรน์ร้องห้ามด้วยความตกใจแต่ช้ากว่าฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายหันหลังวิ่งตามไปติดๆ เขาวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดโดยไม่มีคบเพลิงติดตัวมา
เสียงฝีเท้าของคาโอเรียแผ่วเบาและเงียบลง
เด็กชายหยุดนิ่งเขาเพ่งมองไปรอบด้านก็พบแต่ความมืด
“ เฮ้! คาโอเรียอยู่ที่ไหนน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ป้องปากตะโกน
เขายื่นมือออกไปข้างหน้าแล้วออกเดินช้าๆ เหมือนคนตาบอดกำลังหลงทาง
กลิ่นเหม็นสาบรุนแรงลอยมาแตะจมูกแต่เขาไม่สนใจ
“ คาโอเรีย! กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ”
เด็กชายตะโกนอีกครั้ง
เสียงของเขาสะท้อนขึ้นไปถึงผนังถ้ำเมื่อสิ้นเสียงของเขาความเงียบก็เข้ามาแทนที่
เด็กชายเดินไปเรื่อยๆ จนมือสัมผัสกับผนังถ้ำที่เย็นเฉียบเขาจึงคลำไปตามผนังนั้น
“ คาโอ! ส่งเสียงหน่อยอยู่ไหนน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะโกนสุดเสียง
ความวิตกความและหวาดกลัวเริ่มโถมทับเข้ามาพร้อมกัน
“ คาโอเรีย หยุดทำแบบนี้ ข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ ”
“ พี่ชาย ”
เสียงคาโอเรียสะท้อนมาแผ่วๆ ทำให้เขาใจชื้นขึ้น
ความโล่งใจวิ่งพล่านเข้ามาพร้อมกับอารมณ์ขุ่นเคือง
เด็กคนนี้ท่าจะต้องโดนตีเสียหน่อยแล้ว
“ อยู่ที่ไหนน่ะคาโอเรีย ”
เขาถามซ้ำ
“ ข้าไม่รู้มันมืดข้ากลัว ”
“ ไม่ต้องกลัวข้าอยู่นี่แล้วอย่าขยับไปไหนนะ อุ๊บ! ”
ขาของเขาเกี่ยวเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มลงมือยังกำธนูไว้แน่น
เขากัดฟันลุกขึ้นน้องสาวของเขาต้องอยู่ข้างหน้านี้แน่ๆ
นางอยู่ไม่ไกลแต่เขาต้องไปถึงนางให้เร็วที่สุด
ก่อนที่จะมีตัวอะไรไปถึงนางก่อน
“ เกิดอะไรขึ้นน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า ”
น้ำเสียงของเด็กหญิงร้อนรน
“ ไม่เป็นไรแค่หกล้มเท่านั้นเองเจ้ารออยู่ตรงนั้นล่ะข้ากำลังไป ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะกายไปตามเศษซากแท่งขยะกลิ่นเหม็นเน่าโชยคลุ้ง
ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากกองขยะ
มันอาจจะเป็นแค่เศษเหล็กหรือขยะอะไรสักอย่างที่ทหารของซาเหวจหลอดขนมาทิ้งก็ได้
“ อยู่ไหนล่ะคาโอเรียส่งเสียงหน่อยสิ”
ฟิโลโซเฟอร์เดินมะงุมมะงาหราไปในความมืด
พลันเสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังสะท้านไปทั้งถ้ำ
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับผงะถอย
“ คาโอเรีย ”
เขาครางเสียงแผ่ว
เด็กชายจ้องผ่าไปในความมืดที่น่าหวาดกลัว
เสียงร้องนี้เขาพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร
เขาเคยใฝ่ฝันถึงมันแต่เขาก็ไม่อยากเจอมันที่นี่และในเวลาเช่นนี้
มันเหมือนฝันร้ายที่เขาต้องภาวนาให้เป็นเพียงแค่ความฝัน
มือของเขาควานลงไปหาลูกธนูเขาพบว่ามีเหลือติดตัวมาเพียงสองดอก
ฟิโลโซเฟอร์หยิบมันขึ้นมาทั้งหมดเขาขึ้นศรช้าๆ
มือของเขาไม่สั่นสักนิดสายตายังจับจ้องไปตามทิศทางของเสียงแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย
คาโอเรียมุดหลบอยู่ในซอกหิน
นางรู้ว่าพี่ชายของนางอยู่ไม่ไกลและรู้ด้วยว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เหนือหัว
สิ่งนั้นเองทำให้นางไม่กล้าส่งเสียง
เท่าที่บิดาเคยเล่าให้ฟังมังกรดำมองฝ่าความมืดได้
พี่ชายของนางยังอยู่ในที่โล่งเขาต้องลำบากแน่
นางหมอบราบลงด้วยความกลัวมือข้างหนึ่งควานไปหยิบหินที่พ่อมดดีมีนมอบให้
มันอบอุ่นขึ้นมาในมือที่ชุ่มเหงื่อ
ถ้ามีคบเพลิงติดมาด้วยก็คงจะดีนางคิดอย่างขมขื่น
คาโอเรียกำหินไว้ในมือแล้วคลายออกก้อนหินกลายเป็นสีขาวซีดจางในมือบอบบางของนาง
เด็กหญิงยอมไม่ได้ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
นางจะไม่ยอมปล่อยพี่ชายถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลย
เมื่อคิดดังนั้นจึงคลานออกมาจากซอกหินสะกดความหวาดกลัวทั้งหมดไว้
นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมเผชิญกับทุกสิ่งขอไห้พลังอำนาจจงเกิดแก่นาง
“ ดวงดาวแห่งสนธยาโปรดประทานแสงสว่างไห้แก่เรา ”
นางประกาศก้องแล้วแสงสีเงินก็แผ่กระจายไปทั้งถ้ำ
“ ดูนี่สิฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูรูปหนึ่งที่เขียนไว้บนโต๊ะมันมีรูปร่างเหมือนหงส์
แต่อาเธอร์ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นนกฟีนิกซ์เพราะซาเหวจหลอดชื่นชอบนกฟีนิกซ์มาก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวก็ตาม
พวกเขานั่งพักกันเงียบๆ กระต่ายลูทำตาแป๋วจ้องมองคาโอเรียที่กำลังเขี่ยก้อนหินของพ่อมดอย่างใจลอย
“ น่าทึ่งนะฮะ ”
เด็กชายพูด
“ อะไรหรือ ”
“ จนป่านนี้คาโอเรียยังหาวิธีจัดการกับหินที่ท่านดีมีนมอบให้ไม่ได้เลย ”
คาโอเรียค้อนขวับ
นางเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าใส่พี่ชายโดยลืมไปว่ามีลูขวางอยู่
ทำให้กระต่ายตัวน้อยถอยหลบจนร่วงหล่นลงจากโต๊ะ
คาโลไรน์คว้ามันกลับขึ้นมาเหมือนเดิม
ลูสะบัดน้ำออกจากขนด้วยอารมณ์บูด
ไม่มีใครรู้บ้างหรือไงว่ามันไม่ชอบน้ำ
อาเธอร์รู้สึกทึ่งกับตัวเองว่าเขาหลุดเข้ามายังสถานที่แห่งประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างไร
ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีใครหลายคนพยายามค้นหาแต่ไม่พบ
“ ท่านพ่อบอกว่าเคยข้ามเขาลูกนี้มาก่อน เรื่องราวตอนนั้นเป็นอย่างไรหรือฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นในขณะที่คาโลไรน์เริ่มแบ่งอาหารอีกครั้ง
น่าเสียดายที่อาหารของพวกเขาส่วนใหญ่เปียกน้ำ
แต่ก็ยังพอรับประทานได้
“ เรื่องมันนานมาแล้ว ข้าจำรายละเอียดไม่ได้การเดินทางมาที่นี่เป็นหนึ่งในภารกิจของสภา พวกเราเข้ามาค้นหาหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับตำนานในอดีต แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ”
อาเธอร์ผายมือสองข้างออกรอบตัว
“ เรื่องตลกร้ายคือตอนนี้เราเข้ามาในเส้นทางที่หลายคนอยากค้นหาแล้วทั้งที่ไม่ตั้งใจเลย ”
“ แต่เราไม่ใช่นักสำรวจ ”
คาโลไรน์ว่า
“ ตำนานของซาเหวจหลอดข้าได้ยินมาเพียงน้อยนิด พ่อของข้าเล่าให้ฟังเหมือนนิทานก่อนนอน แต่ถึงกระนั้นข้ายังรู้สึกว่าเขายิ่งใหญ่และน่ากลัวมาก ถ้าหากที่นี่คือสถานที่ๆ เขาสร้างจริงเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทางที่ดีเราควรหาทางออกจากตรงนี้ให้เร็วจะดีกว่า ”
“ ซาเหวจหลอดนั้นโด่งดังในโอรีเวียเรื่องราวของเขาถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย ถึงขั้นทำเป็นตำราจัดเป็นวิชาเรียนโดยเฉพาะแต่ซีนาร์ยนั้นรักสงบ พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับความชั่วร้ายใดๆ และจะไม่พูดถึงมันด้วย นี่เป็นความแตกต่างของวิถีการคิดรวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิต ”
อาเธอร์ว่าบ้าง
“ ข้าอยากเห็นโอรีเวียเร็วๆ เสียแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดขึ้น
“ ข้าก็เช่นกัน ”
คาโอเรียเห็นด้วยแต่คนละความหมายกับพี่ชาย
อาเธอร์เดินสำรวจซุ้มประตู มีประตูเพียงสามบานเท่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยการสลักเสลาอย่างวิจิตร ส่วนที่เหลือเป็นการทุบหินหยาบๆให้เกิดช่องประตู เขาไล้ฝ่ามือไปตามรูปสลักเหล่านั้น ในใจนึกสงสัยว่าซาเหวจหลอดที่ใครๆ กล่าวขานกันว่ามีจิตใจอำมหิตชอบการเข่นฆ่าเขามีอารมณ์ศิลป์ด้วยหรือ
อาเธอร์เลือกประตูช่องหนึ่งที่มีสายลมพัดเข้ามาเบาๆ เพราะหากมีทางให้ลมเข้ามาได้ก็ย่อมมีทางให้พวกเขาออกไปได้ เขาหันกลับไปมองโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง นานมาแล้วจอมมารแห่งอดีตกาลอาจจะเคยใช้โต๊ะตัวนี้เพื่อวางแผนอะไรบางอย่าง ก่อนจะถูกทิ้งอย่างว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
เส้นทางนี้เป็นอุโมงค์เพดานโค้งใหญ่โตโอ่อ่าลึกเข้าไปมีแต่ความมืดมิด น้ำที่เจิ่งบนพื้นหายไปแล้วเสียงฝีเท้ากระทบหินดังก้องทึบๆ เบาๆ ความเงียบปกคลุมรายรอบจนพวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง บางครั้งเผลอคิดไปว่ามีเสียงลมหายใจของคนอื่นหรือสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วย พวกเขาเดินตามทางมาเรื่อยๆ จนถึงบันไดหิน มันทอดลึกลงไปสู่ความมืดแสงไฟจากคบเพลิงสะท้อนแวววาวกับผลึกแร่ตามขั้นบันได สายลมเย็นยังพัดมาพอรู้สึกซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีพวกเขาไต่ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยไม่นับขั้นบันได ยิ่งลงลึกอากาศยิ่งเย็นและทึบในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบันไดขั้นสุดท้าย พื้นข้างล่างนี้ชื้นเฉาะหินงอกห้อยลงมาจากเพดานสูงเหมือนเขี้ยวขนาดใหญ่เสียงน้ำหยดจากที่ใกล้ๆ ดังก้องในความเงียบ
“ นี่คงเป็นถ้ำธรรมชาติ ”
อาเธอร์พูดขึ้น เสียงของเขาสะท้อนกลับไปกลับมาเหมือนอาเธอร์อีกร้อยคนพูดช้ำแล้วช้ำเล่า ในเสียงที่สับสนปนเปนั้นพวกเขาต้องสะดุ้งตกใจ เพราะมีเสียงอะไรบางอย่างครางครืดคราดแล้วเงียบหายไป เมื่อตั้งสติได้ก็เดินรุดหน้าต่อไปพวกเขาเดินลัดเลาะไปตามแท่งหินงอกมีบางแท่งที่ยาวลงมาจนจรดพื้น
อาเธอร์พยายามเดินเป็นเส้นตรง เพื่อจะได้ไม่หลงเดินวกไปวนมาในดงหินงอกหินย้อยเหล่านี้ เสียงของพวกเขาเดินย่ำในน้ำดังอย่างสับสน แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังตามพวกเขามาช้าๆ แม้อาเธอร์จะพยายามหนีให้เร็วขึ้นเท่าใดมันก็ยังใกล้เข้ามาๆ จนได้ยินเสียงลมหายใจของพวกมัน
ถ้ำนี้ยาวเชื่อมไปถึงห้องโถงใหญ่อีกห้องหนึ่ง ภายในห้องนี้เรียงรายไปด้วยโต๊ะหินมากมายแต่ไม่มีเก้าอี้ โต๊ะแต่ละตัวฝังอันมณีล้ำค่าลงไปในเนื้อหิน นี่ถ้าเป็นพวกล่าสมบัติมาพบเข้าคงได้ตาลุกวาวแต่พวกเขาก็ได้แต่รีบเดินผ่านมันไปไม่มีแม้เวลาจะชื่นชม ตรงสุดผนังหินด้านหนึ่งเจาะประตูไว้สามบาน บานแรกมีม่านทำจากแก้วคริสตัล บานที่สองมรกตและบานสุดท้ายร้อยมาจากทับทิมสีแดงเลือด อาเธอร์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าประตูบานไหนดี เสียงขู่คำรามก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มชักดาบออกจากฝักแล้วหันไปเผชิญหน้ากับมัน
“ ถอยไปชิดกำแพงเร็วเข้า ”
เขาตะโกน
มือแห้งเหี่ยวเกาะขึ้นมาตามโต๊ะ
ใบหน้าเหมือนกิ้งก่ายักษ์ขาดสารอาหารจ้องมองพวกเขาอย่างหิวกระหาย
พวกมันตัวหนึ่งไต่ลงมาตามซอกหินมันกางปีกออกแล้วเหินมาทางอาเธอร์
ชายหนุ่มตวัดดาบเพียงครั้งเดียวหัวมันก็ขาดกระเด็น
“ นี่พวกเกรบ๊อกนี่ ”
อาเธอร์อุทาน
“ เหรอข้ากำลังอยากรู้ชื่อของมันอยู่พอดีเลย ”
คาโลไรน์เสียงเครียดพวกมันมีมากเหลือเกิน
ฟิโลโซเฟอร์ก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้างบิดาของเขา
“ ฟิโลโซเฟอร์ถอยไป ”
“ ถ้าให้ถอยไปอีกข้าก็ยิงไม่ถนัดน่ะสิ ”
เด็กชายตอบเรียบๆ
เขาขึ้นศรแล้วยิงเกรบ๊อกตัวที่คลานเข้ามาใกล้ที่สุด
“ ไม่ต้องกลัวคาโลไรน์เจ้าพวกนี้เกิดและอาศัยอยู่ในที่มืดทำให้สายตาไม่ดี ”
อาเธอร์ร้องบอก
เขาฟาดฟันร่างที่คืบคลานเข้ามาหาล้มตายไปหลายตัว
แต่เกรบ๊อกก็ยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
พวกมันไต่ขึ้นไปบนร่างของตัวที่ตายแล้วและเริ่มกัดทึ้งกินกันเอง
คาโลไรน์เหวี่ยงคบเผลิงใส่พวกมันเปลวไฟก็ลุกพรึบติดร่างที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังแห้งเหี่ยวทันที
ถึงตอนนี้กระต่ายลูได้ตัดสินใจแล้วว่ามันจะไม่ทนอยู่ตรงนี้อีกต่อ
ไปมันจึงดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนของคาโอเรีย
แล้วมุดผ่านมู่ลี่ทับทิมสีแดงนั้นไป
“ ลู! ไม่นะกลับมานี่ ”
คาโอเรียร้องเสียงหลงแล้ววิ่งตามมันไป
คาโลไรน์ร้องห้ามด้วยความตกใจแต่ช้ากว่าฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายหันหลังวิ่งตามไปติดๆ เขาวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดโดยไม่มีคบเพลิงติดตัวมา
เสียงฝีเท้าของคาโอเรียแผ่วเบาและเงียบลง
เด็กชายหยุดนิ่งเขาเพ่งมองไปรอบด้านก็พบแต่ความมืด
“ เฮ้! คาโอเรียอยู่ที่ไหนน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ป้องปากตะโกน
เขายื่นมือออกไปข้างหน้าแล้วออกเดินช้าๆ เหมือนคนตาบอดกำลังหลงทาง
กลิ่นเหม็นสาบรุนแรงลอยมาแตะจมูกแต่เขาไม่สนใจ
“ คาโอเรีย! กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ”
เด็กชายตะโกนอีกครั้ง
เสียงของเขาสะท้อนขึ้นไปถึงผนังถ้ำเมื่อสิ้นเสียงของเขาความเงียบก็เข้ามาแทนที่
เด็กชายเดินไปเรื่อยๆ จนมือสัมผัสกับผนังถ้ำที่เย็นเฉียบเขาจึงคลำไปตามผนังนั้น
“ คาโอ! ส่งเสียงหน่อยอยู่ไหนน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะโกนสุดเสียง
ความวิตกความและหวาดกลัวเริ่มโถมทับเข้ามาพร้อมกัน
“ คาโอเรีย หยุดทำแบบนี้ ข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ ”
“ พี่ชาย ”
เสียงคาโอเรียสะท้อนมาแผ่วๆ ทำให้เขาใจชื้นขึ้น
ความโล่งใจวิ่งพล่านเข้ามาพร้อมกับอารมณ์ขุ่นเคือง
เด็กคนนี้ท่าจะต้องโดนตีเสียหน่อยแล้ว
“ อยู่ที่ไหนน่ะคาโอเรีย ”
เขาถามซ้ำ
“ ข้าไม่รู้มันมืดข้ากลัว ”
“ ไม่ต้องกลัวข้าอยู่นี่แล้วอย่าขยับไปไหนนะ อุ๊บ! ”
ขาของเขาเกี่ยวเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มลงมือยังกำธนูไว้แน่น
เขากัดฟันลุกขึ้นน้องสาวของเขาต้องอยู่ข้างหน้านี้แน่ๆ
นางอยู่ไม่ไกลแต่เขาต้องไปถึงนางให้เร็วที่สุด
ก่อนที่จะมีตัวอะไรไปถึงนางก่อน
“ เกิดอะไรขึ้นน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า ”
น้ำเสียงของเด็กหญิงร้อนรน
“ ไม่เป็นไรแค่หกล้มเท่านั้นเองเจ้ารออยู่ตรงนั้นล่ะข้ากำลังไป ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะกายไปตามเศษซากแท่งขยะกลิ่นเหม็นเน่าโชยคลุ้ง
ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากกองขยะ
มันอาจจะเป็นแค่เศษเหล็กหรือขยะอะไรสักอย่างที่ทหารของซาเหวจหลอดขนมาทิ้งก็ได้
“ อยู่ไหนล่ะคาโอเรียส่งเสียงหน่อยสิ”
ฟิโลโซเฟอร์เดินมะงุมมะงาหราไปในความมืด
พลันเสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังสะท้านไปทั้งถ้ำ
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับผงะถอย
“ คาโอเรีย ”
เขาครางเสียงแผ่ว
เด็กชายจ้องผ่าไปในความมืดที่น่าหวาดกลัว
เสียงร้องนี้เขาพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร
เขาเคยใฝ่ฝันถึงมันแต่เขาก็ไม่อยากเจอมันที่นี่และในเวลาเช่นนี้
มันเหมือนฝันร้ายที่เขาต้องภาวนาให้เป็นเพียงแค่ความฝัน
มือของเขาควานลงไปหาลูกธนูเขาพบว่ามีเหลือติดตัวมาเพียงสองดอก
ฟิโลโซเฟอร์หยิบมันขึ้นมาทั้งหมดเขาขึ้นศรช้าๆ
มือของเขาไม่สั่นสักนิดสายตายังจับจ้องไปตามทิศทางของเสียงแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย
คาโอเรียมุดหลบอยู่ในซอกหิน
นางรู้ว่าพี่ชายของนางอยู่ไม่ไกลและรู้ด้วยว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เหนือหัว
สิ่งนั้นเองทำให้นางไม่กล้าส่งเสียง
เท่าที่บิดาเคยเล่าให้ฟังมังกรดำมองฝ่าความมืดได้
พี่ชายของนางยังอยู่ในที่โล่งเขาต้องลำบากแน่
นางหมอบราบลงด้วยความกลัวมือข้างหนึ่งควานไปหยิบหินที่พ่อมดดีมีนมอบให้
มันอบอุ่นขึ้นมาในมือที่ชุ่มเหงื่อ
ถ้ามีคบเพลิงติดมาด้วยก็คงจะดีนางคิดอย่างขมขื่น
คาโอเรียกำหินไว้ในมือแล้วคลายออกก้อนหินกลายเป็นสีขาวซีดจางในมือบอบบางของนาง
เด็กหญิงยอมไม่ได้ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
นางจะไม่ยอมปล่อยพี่ชายถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลย
เมื่อคิดดังนั้นจึงคลานออกมาจากซอกหินสะกดความหวาดกลัวทั้งหมดไว้
นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมเผชิญกับทุกสิ่งขอไห้พลังอำนาจจงเกิดแก่นาง
“ ดวงดาวแห่งสนธยาโปรดประทานแสงสว่างไห้แก่เรา ”
นางประกาศก้องแล้วแสงสีเงินก็แผ่กระจายไปทั้งถ้ำ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ