โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

150) แอบย่อง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หลังจากการตายของยามรักษาการณ์   ทางสภาผู้ใช้เวทมนตร์แห่งโอรีเวียก็มีมติให้เพิ่มมาตรการรักษาความปรอดภัย   เพิ่มจำนวนยามเฝ้าประตู   จัดหน่วยลาดตระเวนและสั่งห้ามนักเรียนออกไปนอกหอนอนหลังสองทุ่ม  เด็กๆ หลายคนไม่ค่อยพอใจกับมาตรการนี้   โดยเฉพาะกลุ่มของฟิโลโซเฟอร์เพราะพวกเขาชอบไปซุกตัวอยู่ในห้องสมุด   อีกอย่างหากเด็กชายตัวน้อยอยากแวะไปดูคาโอเรียคงทำได้ยาก
 
“ เพิ่งจัดการกับศพแรกไปมีศพที่สองเกิดขึ้นแล้ว ”
 
ฟิโลโซเฟอร์บ่น
 
“ ไม่แน่คืนนี้อาจมีศพที่สามแล้วจัดงานรวมกันที่เดียวเลยง่ายๆ ”
 
โลธอร์ว่าบ้าง
 
“ อย่าพูดอย่างนั้นไม่น่ารักเอาเสียเลย ”
 
อีเลียสตำหนิ
 
“ ดูหน้าต่างสิเปิดกว้างขนาดนี้   เดี๋ยวพวกเราได้กลายเป็นสามศพ   แทนที่จะเป็นศพที่สามหรอก ”
 
เขาบ่นพลางเดินไปปิดหน้าต่าง
 
“ ก็ข้าชอบให้ลมโกรกนี่นา   ตามตำนานเก่าแก่   มนุษย์หมาป่าจะกลายร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวง   คืนนี้ยังไม่เต็มดวงดีมิใช่หรือ ”
 
เด็กชายร่างอ้วนว่า
 
“ แต่พ่อมดดีมีนบอกว่า   ถ้ามนุษย์หมาป่านั้นถูกสร้างขึ้นมา   มันก็กลายร่างได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงจันทร์   แต่จะกลัวไปไยเรามีหน่วยลาดตระเวนตลอดคืน ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง
 
“ เฮ้! เดี๋ยวเงียบๆ ก่อน ”
 
เด็กร่างผอมจอมกังวลจุ๊ปาก
เขาก้มมองอะไรที่เบื้องล่าง
เพื่อนทั้งสองของเขาต่างปราดไปที่หน้าต่าง
 
“ อะไรเจ้าเห็นอะไร ”
 
โลธอร์ถาม
 
“ มีบางอย่างอยู่ข้างล่าง ”
 
อีเลียสบอก
 
“ ตรงไหน ”
 
“ มันหายไปแล้วแต่ข้าเห็นมันว่ามันเคยอยู่ตรงนั้น ”
 
“พวกเดินลาดตระเวนหรือเปล่า ”
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยออกความเห็น
 
“ ไม่หรอก   ข้าว่ามันออกจะเหมือนหมีมากกว่า”
 
“ เราลงไปดูกันไหม ”
 
เด็กชายตัวน้อยเสนอ
 
“ อย่าเลย   เดี๋ยวได้ถูกลงโทษกันพอดี ”
 
อีเลียสค้านแล้วกล่าวต่อ
 
“ ว่าแต่เจ้าอาคันตุกะสุดพิลึกนี่เป็นคนหรือพวกสัตว์ประหลาดกันแน่   นั่นไงมันมุดเข้าหน้าต่างแล้ว   มันเป็นตัวอะไรกัน    ”
 
“ จะตัวอะไรก็ช่างเถอะว่าแต่เราล็อคประตูดีหรือยังในนี้พอมีอะไรที่ใช้เป็นอาวุธได้บ้าง ”
 
สหายร่างอ้วนตอบ
ฟิโลโซเฟอร์ดึงดาบไม้ออกมาด้วยความเคยชิน
 
“ นั่นล่ะใช่เลยคงใช้ก่อไฟแทนฟืนได้ไม่เลวเลย ”
 
“ ข้าหยิบผิดต่างหากล่ะเจ้านี่ช่างจิกกัดนัก ”
 
เด็กชายท้วง
พลางดึงดาบสีเงินของดารีลออกมา
 
“ แจ๋ว   แบบนี้ค่อยอุ่นใจหน่อย ”
 
โลธอร์บอก
เขายกเหยือกที่อยู่ข้างประตูขึ้นกะน้ำหนักแล้วส่งต่อให้อีเลียส
 
“ ทำเป็นตื่นเต้นไปได้มันไม่ได้ขึ้นมาฝั่งเราเสียหน่อยมันขึ้นไปทาง ”
 
เด็กชายร่างผอมแห้งกล่าวเท่านั้นแล้วทำตาโต
 
“ หอนอนหญิง ”
 
พวกเขาอุทานพร้อมกัน
 
“ คงไม่เป็นไรมั๊งทางนั้นอาจารย์คงดูแลอยู่ ”
 
อีเลียสออกความเห็นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
 
“ เป็นสิ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
เขาคิดถึงคาโอเรียและฟีไลร่าจึงเปิดตู้ค้นหาชุดคลุมดำมาสวม
 
“ อาจารย์ถูกฆ่าไปแล้วคนหนึ่งจำไม่ได้หรือ ”
 
“ เราอย่าไปยุ่งดีกว่า ”
 
เด็กชายร่างผอมแห้งยังคงคัดค้าน
 
“ อย่าห่วงเลย   ข้าแค่จะไปเตือนพวกนางไม่ได้คิดจะไปไล่ล่ามันหรอก   ส่วนพวกเจ้าอยู่ในห้องคอยจนกว่าข้าจะกลับมา ”
 
ฟิโลโซเฟอร์เปิดประตูห้องแล้วย่องออกมา
 
“ ข้าจะไปคนเดียว ”
 
เด็กชายบอกเมื่อเห็นเพื่อนย่องตามหลัง
 
“ เจ้าทำได้แน่แต่ต้องมัดพวกเราไว้ก่อน ”
 
โลธอร์กล่าว
 
 
พวกเขาย่องลงบันใดช้าๆ สู่ห้องโถงที่มืดมิด
แล้วเดินไปตามระเบียงแคบๆ ที่จะพาลัดเลาะไปสู่หอหญิง 
มีแสงวับแวมจากตะเกียงโคมสองดวงส่องมา
พวกเขาทั้งหมดจึงหลบหลังรูปปั้นนักรบรูปหนึ่ง
 
“ น่ากลัวว่ามันซ่อนตัวอยู่ในปราสาทนี่ล่ะถึงพวกนักเวทย์จะบอกว่ามันมาจากข้างนอกก็เถอะ ”
 
ยามคนหนึ่งว่า
 
“ ใช่เลย   ในตอนนี้ข้าแทบจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรกำลังจับตาดูเราอยู่   และมิใช่ตัวเดียวเสียด้วย ”
 
ยามอีกคนบอก
 
“ อย่าพูดอย่างนั้นฟังแล้วขนลุกยังกับว่ามันซุ่มอยู่แถวนี้เลย ”
 
“ ไม่แน่นะบางทีมันอาจจะหลบอยู่หลังชุดเกราะนั้นก็ได้ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์กับผองเพื่อนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหดร่างเล็กลงไปอีก
 
“ เจ้าบ้าพูดเป็นเล่นไปข้ายิ่งกลัวอยู่ ”
 
“ จริงนะลองเข้าไปดูกันไหม ”
 
ไม่พูดเปล่าเขายังขยับใกล้เข้ามา
 
“ เลิกเล่นได้แล้วไปต่อกันเถอะ ”
 
ยามคนนั้นจึงถอยห่างออกมาท่ามกลางความโล่งใจของฟิโลโซเฟอร์
 
เด็กๆ ค่อยๆ โผล่ออกมาเมื่อเห็นว่าปรอดคนแล้ว
พวกเขาย่องผ่านเฉลียงไปอีกด้านผ่านห้องนั่งเล่น
เงาตะคุ่มๆ ของรูปปั้นที่สะท้อนแสงไฟเกิดภาพหลอกตาที่น่ากลัว
ทั้งสามมุดผ่านซุ้มประตูที่ประดับประดาด้วยพุ่มดอกไม้พวกเขามาหยุดที่หน้าประตูหอหญิง
 
“ นางคงอยู่ในนั้นอย่างเรียบร้อยดีแต่อย่าเข้าไปเลยเดี๋ยวคนในนั้นจะแตกตื่น ”
 
อีเลียสว่า
 
“ เรากลับกันเถอะบางทีอาจไม่มีอะไร   ระหว่างทางที่เราผ่านมาก็ดูปรกติดี ”
 
โลธอร์ว่าบ้าง
 
“ แต่ ”
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยยังคงลังเล
 
“ นั่นพวกเธอทำอะไรกัน ”
 
เสียงอาจารย์เลวิชดังขึ้น
 
“ พวกเธอนี่เอง   ออกมาทำอะไรที่หอหญิงในเวลาต้องห้ามเช่นนี้   มีหัวหน้าชั้นด้วยหรือนี่ ”
 
นางว่าด้วยสีหน้าผิดหวัง
 
“ คือพวกเรา ”
 
อีเลียสพยายามอธิบาย
 
“ เอาล่ะไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นรีบตามข้ามาเราคงต้องคุยกันแล้ว ”
 
อาจารย์เลวิชตัดบท
 
“ แต่พวกเราเห็นอะไรบางอย่างปีนเข้าทางหน้าต่างก็เลยตามมาดูให้แน่ใจ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
 
“ แล้วออกมาทั้งอย่างนี่น่ะนะทำไมไม่แจ้งให้พวกยามทราบ ”
 
นางตกใจ
 
“ พวกข้ายังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรแน่ ”
 
“ ช่างเถอะ   ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งที่ห้องแล้วอยู่ในนั้นให้เรียบร้อย   ข้าจะไปตามใครสักคนมาที่นี่ ”
 
นางหยิบตะเกียงโคมที่ห้อยอยู่ระหว่างทางลงมาส่งให้เด็กๆ ถือไว้
พวกเขาเดินตามทางระเบียงมาอีกฟาก
ซึ่งเป็นช่องที่กว้างกว่า
 
เมื่อเดินมาครึ่งทางพวกเขาต่างก็หยุดกึก
ใครบางคนในชุดคลุมดำกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง
 
“ นั่นใครน่ะ ”
 
นางยื่นตะเกียงไปข้างหน้าให้แสงสว่างส่องไปถึงสิ่งนั้น
 
ดารีลเงยหน้าขึ้น
มือของเขายังประคองเด็กหญิงคนนั้นที่นอนแน่นิ่ง
 
 
“ นางตายแล้ว   แม้ตัวยังอุ่นอยู่แต่ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้ ”
 
มีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักอยู่กลางอก
ดวงตาเหลือกโพลงแขนข้างหนึ่งเหยียดออกข้างลำตัวแขนเสื้อถลกขึ้นมาเผยให้เห็นรอยกรีด 
มันเป็นรูปด้วยหกแฉกที่ถูกล้อมกรอบด้วยวงกลม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา