โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

144) ดวงตาในป่าละเมาะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
งานศพถูกจัดขึ้นบริเวณสุสานกลางของเมืองโอรีเวีย   เด็กๆ ต่างสวมชุดคลุมดำยืนห้อมล้อมหลุมศพเป็นบริเวณกว้าง   พวกเขาหิ้วตะเกียงโคมอันเล็กคอยส่องทางให้อาจารย์เดินทางสู่โลกหน้า
 
ภายในโลงไม้มะฮอกกานีเนื้อดีปูด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเข้ม   พิธีเริ่มขึ้นตั้งแต่บ่ายคนเฒ่าคนแก่ร่วมกันสวนมนต์ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่หยุดหย่อน   คนใกล้ชิดโปรยไม้หอมลงในหลุมกว่าพิธีจะเสร็จความมืดก็เริ่มกรายเข้ามาดวงดาวปรากฏรางๆ บนฟากฟ้า 
 
เด็กๆ จึงเริ่มสวดมนต์ให้กับความมืด   เพื่อวิงวอนขอความเมตตาเปิดทางผู้ล่วงลับสู่แดนสวรรค์แต่โดยดี   อย่าได้ขัดขวางใดๆ เลย   พอพระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้าบทสวดก็จบลงเด็กๆ จึงเริ่มทยอยกันกลับปราสาทขาว   โดยมีอาจารย์คอยควบคุมอยู่ในแถว  
 
เลโอน่าเดินตามหลังฟีไลร่าไปติดๆ แต่พอต้องเบียดเสียดกันออกประตูสุสานพวกนางก็พลัดหลงกัน   ฟีไลร่าหยุดนิ่งเมื่อรู้ว่าคนที่ตามหลังมาไม่ใช่เด็กสาวผิวเข้มคนนั้น
 
นางหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวั่นๆ เสียงใครบางคนสวดมนต์บทประหลาดดังมาพอได้ยิน  ผู้คนต่างก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่มีใครสนใจใครมือข้างหนึ่งถือโคมยื่นไว้ข้าง   หน้าพวกเขาเคลื่อนตัวผ่านฟีไลร่าไปเงียบๆ เหมือนภูตผีตัวน้อย  
 
ฟีไลร่าหันกลับมาแล้วออกเดินทางต่อด้วยความกังวลที่หนักอึ้ง   นางเดินช้าลงเพราะคิดว่าเลโอน่าอาจจะยังอยู่ข้างหลัง   ด้วยเหตุนี้นางจึงรั้งท้ายไกลออกไปไปเรื่อยๆ
 
 
ขณะที่ผ่านดงไม้ระหว่างทาง   ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา   นางหันขวับ   มองเข้าไปในดงไม้อันมืดครึ้มท่ามกลางแสงวับแวมจากตะเกียงโคม   นางสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับตาดูนางอยู่
 
“ เลโอน่า ”
 
เด็กหญิงผมเงินเรียกเบาๆ
 
“ เลโอน่านั่นเจ้าใช่ไหม ”
 
ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป
 
“ เลโอน่า ”
 
นางเรียกอีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทาความรู้สึกหวาดหวั่นกลับทบทวีขึ้น
ต้องมีอะไรในดงไม้นั่นแน่ๆ
 
กลุ่มเด็กนักเรียนเริ่มห่างจากนางออกไปแต่ยังอยู่ไม่ไกลนัก
คงจะมีใครสักคนได้ยินเสียงหากมีอะไรเกิดขึ้น  
 
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียคิดว่านางเห็นดวงตาสีเหลืองซีดเซียวหลบซ่อนอยู่ในดงไม้  
เมื่อความสงสัยมีมากกว่าความหวาดกลัว
นางก็เริ่มก้าวเข้าไปหาสิ่งนั้นช้าๆ
 
ดวงตาประหลาดคู่นั้นกระพริบหนึ่งครั้งแล้วถอยร่นไป
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงก้าวตามเข้าไปอีก
 
“ นั่นจะทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
 
เสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขัดเคืองดังขึ้น
ฟีไลร่าอุทานด้วยความตกใจจนทำตะเกียงร่วงกระแทกหิน
 
ไฟติดพรึบบนพื้นหญ้า
และลุกลามไปตามน้ำมันที่ไหลนอง
 
“ แล้วกันสิ ”
 
ดารีลอุทาน
เขาตวัดเสื้อคลุมทับลงไปไฟก็ดับมอดในทันที
หนุ่มน้อยหยิบตะเกียงที่แตกแล้วส่งคืนให้นาง
 
“ แอบหนีเที่ยวยังไม่พอ   นี่คิดจะวางเพลิงเผาป่าเลยหรือ   ขอทีเถอะในงานศพเช่นนี้   อย่าปั่นป่วนให้มากนัก ”
 
“ ข้าเปล่า   เพียงแต่เห็นอะไรผิดปรกติอยู่ตรงนั้น   เลยจะเข้าไปดู ”
 
ฟีไลร่าเสียงสั่นแต่ใจนางสั่นเสียยิ่งกว่า
 
ดารีลเลิกคิ้วนิดหนึ่ง
 
“ แค่ป่าละเมาะข้างทางมีสิ่งใดให้ต้องสนใจด้วยหรือ ”
 
“ มีดวงตาประหลาดคู่หนึ่ง ”
 
เด็กหญิงยืนยัน
 
พ่อมดน้อยก็เดินฉับๆ เข้าไปหลังดงไม้
 
“ เดี๋ยว! ระวังนะ   บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์ร้ายข้าเห็นแววตาของมัน   มันเหมือนของหมาป่า ”
 
ดารีลยังเดินย่ำไปย่ำมาสายตามองหาอะไรบางอย่าง
 
“ แถวนี้ไม่มีหมาป่าหรอก   มันอพยพไปทางใต้ตั้งแต่โอรีเวียยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ ”
 
เขาตอบมาพอได้ยิน
 
แล้วเดินกลับออกมาสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัว
 
“ สิ่งนี้หรือเปล่าที่เจ้าเห็น ”
 
ดารีลแบมือ
หนอนผีตัวหนึ่งขดอยู่บนมือเขา
ผิวอ่อนนุ่มของมันเปล่งแสงสีเขียวจางๆ
 
ฟีไลร่าสั่นหน้า
 
“ พอได้แล้วนี่เจ้ายังคิดเล่นแผนอะไรอีก ”
 
หนุ่มน้อยทำเสียงดุ
สายตาของเขาชำเลืองดูหางแถวที่เริ่มไกลออกไป
 
“ จะกลับไปที่ปราสาทขาวแต่โดยดีหรือให้ข้าจับส่งผู้คุมกฎ   คิดว่าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่ลงมือหรือไง ”
 
ฟีไลร่าได้แต่ก้มหน้า
รู้สึกเสียใจที่พ่อมดน้อยคนนี้ไม่เชื่อ
 
“ ข้าต้องกลับไปในปราสาทขาวอยู่แล้วล่ะ   เพราะนอกจากที่นั่นข้าก็ไม่มีที่อื่นให้ไป ”
 
เด็กหญิงตอบเสียงเศร้า
เขาคงคิดว่านางเป็นจอมยุ่งที่ชอบก่อเรื่องอีกคนแน่
 
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ”
 
ดารีลว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
เขาคว้าข้อมือนางกึ่งลากกึ่งเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกมือถือตะเกียงยื่นไปข้างหน้า
เพื่อให้แสงสว่างนำนาง
 
เมื่อออกมาไกลจากตรงนั้นพอสมควร
จึงปล่อยมือและดันเด็กหญิงคนนั้นไปเดินนำหน้า
 
ส่วนตัวเขารั้งท้าย
ปลายหางตายังลอบมองไปด้านหลัง
 
ในป่าละเมาะแห่งนั้น
ตัวเขาเองก็ได้กลิ่นอันตรายเช่นกัน
 
 
            ฟีไลร่ารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
ตลอดระยะเวลาที่เดินเคียงข้างกันภายใต้ร่มเงาของแสงจันทร์ 
ถ้าเป็นไปได้นางอยากขอไห้ทางเส้นนี้ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด
 
“ ขอโทษด้วย ”
 
อยู่ๆ ดารีลก็เอ่ยขึ้น
 
“ หืม   ว่าอย่างไรนะ ”
 
ฟีไลร่าที่กำลังใจลอย
สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของเขา
 
“ ข้าบอกว่าข้าขอโทษ   อันที่จริงไม่สมควรใช้อารมณ์กับเจ้า   แต่นั่นเป็นเพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายและบางเรื่องข้าไม่สามารถควบคุมได้   ทั้งหมดนั่นทำให้ข้าหงุดหงิดใจ ”
 
“ ข้าสมควรถูกตำหนิแล้ว ”
 
นางว่า
 
“ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่   ในเมืองโอรีเวียแห่งนี้   นับตั้งแต่สร้างเมืองโอรีเวียชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะมาเยือน   เป็นที่กล่าวขานกันว่าชาวเมืองของเจ้าไม่ต้อนรับผู้ใช้เวทมนตร์   และเจ้าผู้ครองนครก็แข็งแกร่งไม่น้อย   เมืองของเจ้าทั้งมั่งคั่งทั้งเปรื่องปราด   ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใดยิ่งใหญ่เกือบจะทัดเทียมโอรีเวีย   ชาวเมืองล้วนภาคภูมิใจในเกียรติของตน   ยากนักที่จะมาอาศัยพึ่งพาผู้อื่นไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม   ตอบข้ามาตามจริงเจ้ามองหาอะไรในโอรีเวีย   ใครกับเป็นคนส่งเจ้ามา ”
 
คำถามอันยืดยาวของดารีล
ทำให้เด็กหญิงผมสีเงินต้องหยุดชะงัก
 
นางก้มมองปอยผมสีเงินของตนเอง
แล้วถอนหายใจ
 
“ ไม่ว่าชาวไอโอเนียจะอยู่ที่ใดหรือปะปนกับชนใด   ก็สามารถถูกแยกออกได้โดยง่าย   เพราะพวกเรามีรูปกายที่แตกต่างเกินไป ”
 
“ ปรกติข้าจะถือมีดเสมอเวลาตั้งคำถาม   ไว้ใช้เมื่อเหยื่อเล่นลิ้นจนน่ารำคาญ   คนที่ถูกข้าสอบศพไม่สวยสักคนหรอกนะ   ข้าไม่อ้อมค้อมเจ้าก็ควรจะตอบตรงๆ   เห็นแก่… ”
 
หนุ่มน้อยหยุดไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะว่า
 
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรีข้าจะละเว้นไว้วันหนึ่ง   หากเจ้าเป็นสายลับดังที่สงสัยก็จงไปจากโอรีเวียเสียโดยเร็ว   ข้ารับคำสั่งมาให้สังหารสายลับทุกคน   บอกตามตรงข้าไม่มีปราณีหรอกนะ ”    
 
“ ข้านี่นะสายลับ ”
 
นางถามกลับ
 
“ ตามหลักแล้วเจ้าเข้าข่ายที่สุด   เป็นคนของไอโอเนีย   มีคนสนับสนุนอย่างลับๆ ทั้งด้านการเงินและความช่วยเหลืออื่นๆ เพียงแต่ว่าสายลับโดยทั่วไปนั้นจะดูแลตัวเองได้   ส่วนเจ้านั้นต่างออกไป ”
 
เขาว่า
 
“ เด็กสาวผิวสีที่เจ้าอ้างว่าเป็นญาติคงเป็นคนคุ้มกันสินะ   เป็นบุตรผู้มั่งคั่งแห่งไอโอเนียเป็นเหตุให้มีผู้ติดตามนั้นพอฟังขึ้นอยู่หรอก   แต่การที่มีคนของทางการคอยจับตาดูเจ้าตลอดนี่สิ   ให้ฟังว่าเป็นเรื่องปรกติก็ดูจะเกินไปหน่อย ”  
 
“ ท่านสงสัยข้ามานานเท่าไหร่แล้ว ”
 
ฟีไลร่าถาม
 
“ เกือบสามปีที่แล้วเจ้าเกือบจะตายไปครั้งหนึ่ง   เพียงแต่ตอนนั้นข้ายังนึกสงสัย   และความสงสัยไม่รู้จบรู้สิ้นของข้าทำให้เจ้ายังหายใจอยู่จนทุกวันนี้ ”
 
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียตื่นเต้นจนหัวใจพองโต
ทั้งหมดหมายความว่า
ตลอดสามปีที่ผ่านมา
นางไม่ได้คลาดไปจากสายตาของเขา
 
จากที่เคยรู้สึกว่าไกลสุดเอื้อม
กลายเป็นว่ายังมีตัวตน
ให้เขาได้เฝ้ามอง
 
“ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่   ข้าหาใช่สายลับไม่   เรื่องที่ว่าใครส่งข้ามานั้นจึงไม่มีเลย   ข้ามาของข้าเอง ”
 
“ เช่นนั้นแล้วเจ้าตามหาอะไรในโอรีเวีย   เมื่อทุกสิ่งที่มีในเมืองนี้   ไอโอเนียก็ไม่ได้ขาดเหลือเลย ”
 
ดารีลว่า
 
เด็กหญิงคนนั้นจึงหันมา
จ้องตากับเขาตรงๆ
 
“ ข้าไม่ได้มาเพื่อตามหา   แต่ข้าหนีมาต่างหาก   สิบปีที่แล้วมารดาของข้าสิ้นชีวิต   ข้าไม่อาจสู้หน้าผู้ใดไม่กล้าไปเยี่ยมสุสาน   โอรีเวียมิใช่เป้าหมายแต่เป็นเมืองที่ข้ารู้จักดีทั้งที่ไม่เคยมา   มีตำรามากมายในเมืองของข้ากล่าวถึงเมืองนี้   ข้าจึงมาที่นี่   เรื่องนี้ข้าไม่เคยเปิดปากกับผู้ใด   แต่เมื่อท่านถามข้าก็จะไม่ปิดบัง ”
 
ภายไต้แสงจันทร์
แววตาของนางสัตย์ซื่อยิ่งนัก
 
ดารีลดึงมีดออกมาช้าๆ
มันส่องประกายเยือกเย็นในความมืด
 
แต่เด็กหญิงคนนั้นก็ไม่หวาดหวั่น
นางไม่ถอยหลังแม้สักก้าว
 
“ คนทั่วไปเขากลัวข้านะ   หรืออย่างน้อยเห็นคนชักอาวุธก็ควรตกใจบ้างล่ะ   เจ้าถูกฝึกมาแบบไหนกัน ” 
 
“ ข้าแค่อยากให้ท่านเชื่อข้า ”
 
นางว่า
 
ดารีลเก็บมีดเข้าที่
เขาผายมือไปด้านหน้าเป็นการเชิญ
 
“ ไปกันต่อเถอะ   นี่เริ่มจะดึกแล้ว ”
 
“ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ”
 
นางร้อนใจ
แต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี
 
“ เวลายังมี   ให้โอกาสแค่วันนี้เท่านั้นหากไม่หนีไปและถ้าความจริงคือเจ้าล่อลวงข้า   ต่อให้ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนียเพื่อตามล่า   ข้าก็ไม่ลังเล ”
 
“ ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนีย ”
 
นางหัวเราะ
 
“ ท่านรู้หรือว่าไอโอเนียเป็นอย่างไร ”
 
“ เขาเล่าว่าปราสาทสร้างจากน้ำแข็ง   ข้าเองก็ไม่เคยเห็น   ด้วยชาวไอโอเนียนั้นชิงชังผู้ใช้เวทมนตร์   ถ้าจะไปเห็นด้วยตาตัวเองคงยุ่งยากไม่น้อย   แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็จะไป ” 
 
ดารีลกล่าว
 
“ ตัวปราสาทเป็นหินอ่อนต่างหากล่ะ   มีแต่กำแพงเท่านั้นเมืองนั้นเป็นน้ำแข็ง ”
 
ฟีไลร่าบอก
 
“ น่าสนใจ   ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวเมืองคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหรือหิมะ ”
 
“ ใช่แล้ว   ฤดูหนาวของเรายาวนานมาก   แม่น้ำและบึงหลายแห่งล้วนเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ”
 
พ่อมดน้อยนิ่งคิด
ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม
 
“ เจ้าชอบทุ่งน้ำแข็งหรือทุ่งหญ้ามากกว่าล่ะ ”
 
“ ข้าชอบทุ่งหญ้า   นานมาแล้วที่เมืองข้าเคยมีทุ่งหญ้า   ก่อนที่ฤดูหนาวอันแสนนานจะเข้าครอบครอง ”
 
นางพูดแล้วแววตาก็สลดลง
 
“ แล้วไอโอเนียมีทุ่งทองคำอย่างคำล่ำลือจริงหรือเปล่า   เขาว่ามีที่แห่งหนึ่งส่องสว่างดังทองคำ   ข้าอยากไปเยือนสักครั้ง ”
 
“ ท่านชอบทองคำด้วยหรือ ”
 
ฟีไลร่าสงสัย
 
“ พูดถึงของล้ำค่าใครบ้างไม่ชอบใจ ”
 
“ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ประหลาด   แต่นี่เป็นท่านดารีล   ข้าไม่คิดว่าท่านจะหลงใหลของประเภทนั้น ”
 
ดารีลหัวเราะ
 
“ ใครจะรู้   บางทีข้าอาจละโมบแบบคาดไม่ถึงเลยก็ได้ ”
 
“ แสงทองที่ว่ามาจากทุ่งน้ำแข็งหรอกนะ ”
 
นางเฉลย
 
“ จากสุสานหลวงใช่หรือไม่   ดินแดนต้องห้ามแห่งไอโอเนีย ”
 
พ่อมดน้อยว่า
 
“ ท่านรู้หรือ   ได้อย่างไรกัน ”
 
ฟีไลร่าตกใจ
 
“ ข้าอ่านตำรามาพอสมควรทีเดียว ”
 
“ ไม่จริงหรอก   ชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้   ถ้าถามถึงทุ่งทองคำชาวเมืองต้องคิดถึงด้านหลังของหุบเขาน้ำแข็งเท่านั้น ”
 
“ เช่นนั้นเจ้าก็รู้ดีกว่าชาวเมืองสินะ   บอกความจริงก็ได้   นอกจากเป็นนักฆ่าข้าเคยเป็นสายลับมาก่อน   แต่ไม่ต้องกังวลไปตอนนี้วางมือไปแล้ว   เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ข้าได้เปิดใจกับเจ้าแล้ว   คราวหลังหัดพูดความจริงกับข้าให้มากกว่านี้   ไม่อย่างนั้น   ต่อให้เด็กนรกคนนั้นมาขอร้อง   ข้าก็ไม่ละเว้น ”
 
“ ใครกันเด็กนรก ”
 
ฟีไลร่าสงสัยไปก็เท่านั้น
เพราะไม่มีคำตอบจากดารีล
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา