โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
144) ดวงตาในป่าละเมาะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความงานศพถูกจัดขึ้นบริเวณสุสานกลางของเมืองโอรีเวีย เด็กๆ ต่างสวมชุดคลุมดำยืนห้อมล้อมหลุมศพเป็นบริเวณกว้าง พวกเขาหิ้วตะเกียงโคมอันเล็กคอยส่องทางให้อาจารย์เดินทางสู่โลกหน้า
ภายในโลงไม้มะฮอกกานีเนื้อดีปูด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเข้ม พิธีเริ่มขึ้นตั้งแต่บ่ายคนเฒ่าคนแก่ร่วมกันสวนมนต์ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่หยุดหย่อน คนใกล้ชิดโปรยไม้หอมลงในหลุมกว่าพิธีจะเสร็จความมืดก็เริ่มกรายเข้ามาดวงดาวปรากฏรางๆ บนฟากฟ้า
เด็กๆ จึงเริ่มสวดมนต์ให้กับความมืด เพื่อวิงวอนขอความเมตตาเปิดทางผู้ล่วงลับสู่แดนสวรรค์แต่โดยดี อย่าได้ขัดขวางใดๆ เลย พอพระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้าบทสวดก็จบลงเด็กๆ จึงเริ่มทยอยกันกลับปราสาทขาว โดยมีอาจารย์คอยควบคุมอยู่ในแถว
เลโอน่าเดินตามหลังฟีไลร่าไปติดๆ แต่พอต้องเบียดเสียดกันออกประตูสุสานพวกนางก็พลัดหลงกัน ฟีไลร่าหยุดนิ่งเมื่อรู้ว่าคนที่ตามหลังมาไม่ใช่เด็กสาวผิวเข้มคนนั้น
นางหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวั่นๆ เสียงใครบางคนสวดมนต์บทประหลาดดังมาพอได้ยิน ผู้คนต่างก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่มีใครสนใจใครมือข้างหนึ่งถือโคมยื่นไว้ข้าง หน้าพวกเขาเคลื่อนตัวผ่านฟีไลร่าไปเงียบๆ เหมือนภูตผีตัวน้อย
ฟีไลร่าหันกลับมาแล้วออกเดินทางต่อด้วยความกังวลที่หนักอึ้ง นางเดินช้าลงเพราะคิดว่าเลโอน่าอาจจะยังอยู่ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้นางจึงรั้งท้ายไกลออกไปไปเรื่อยๆ
ขณะที่ผ่านดงไม้ระหว่างทาง ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา นางหันขวับ มองเข้าไปในดงไม้อันมืดครึ้มท่ามกลางแสงวับแวมจากตะเกียงโคม นางสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับตาดูนางอยู่
“ เลโอน่า ”
เด็กหญิงผมเงินเรียกเบาๆ
“ เลโอน่านั่นเจ้าใช่ไหม ”
ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป
“ เลโอน่า ”
นางเรียกอีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทาความรู้สึกหวาดหวั่นกลับทบทวีขึ้น
ต้องมีอะไรในดงไม้นั่นแน่ๆ
กลุ่มเด็กนักเรียนเริ่มห่างจากนางออกไปแต่ยังอยู่ไม่ไกลนัก
คงจะมีใครสักคนได้ยินเสียงหากมีอะไรเกิดขึ้น
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียคิดว่านางเห็นดวงตาสีเหลืองซีดเซียวหลบซ่อนอยู่ในดงไม้
เมื่อความสงสัยมีมากกว่าความหวาดกลัว
นางก็เริ่มก้าวเข้าไปหาสิ่งนั้นช้าๆ
ดวงตาประหลาดคู่นั้นกระพริบหนึ่งครั้งแล้วถอยร่นไป
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงก้าวตามเข้าไปอีก
“ นั่นจะทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
เสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขัดเคืองดังขึ้น
ฟีไลร่าอุทานด้วยความตกใจจนทำตะเกียงร่วงกระแทกหิน
ไฟติดพรึบบนพื้นหญ้า
และลุกลามไปตามน้ำมันที่ไหลนอง
“ แล้วกันสิ ”
ดารีลอุทาน
เขาตวัดเสื้อคลุมทับลงไปไฟก็ดับมอดในทันที
หนุ่มน้อยหยิบตะเกียงที่แตกแล้วส่งคืนให้นาง
“ แอบหนีเที่ยวยังไม่พอ นี่คิดจะวางเพลิงเผาป่าเลยหรือ ขอทีเถอะในงานศพเช่นนี้ อย่าปั่นป่วนให้มากนัก ”
“ ข้าเปล่า เพียงแต่เห็นอะไรผิดปรกติอยู่ตรงนั้น เลยจะเข้าไปดู ”
ฟีไลร่าเสียงสั่นแต่ใจนางสั่นเสียยิ่งกว่า
ดารีลเลิกคิ้วนิดหนึ่ง
“ แค่ป่าละเมาะข้างทางมีสิ่งใดให้ต้องสนใจด้วยหรือ ”
“ มีดวงตาประหลาดคู่หนึ่ง ”
เด็กหญิงยืนยัน
พ่อมดน้อยก็เดินฉับๆ เข้าไปหลังดงไม้
“ เดี๋ยว! ระวังนะ บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์ร้ายข้าเห็นแววตาของมัน มันเหมือนของหมาป่า ”
ดารีลยังเดินย่ำไปย่ำมาสายตามองหาอะไรบางอย่าง
“ แถวนี้ไม่มีหมาป่าหรอก มันอพยพไปทางใต้ตั้งแต่โอรีเวียยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ ”
เขาตอบมาพอได้ยิน
แล้วเดินกลับออกมาสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัว
“ สิ่งนี้หรือเปล่าที่เจ้าเห็น ”
ดารีลแบมือ
หนอนผีตัวหนึ่งขดอยู่บนมือเขา
ผิวอ่อนนุ่มของมันเปล่งแสงสีเขียวจางๆ
ฟีไลร่าสั่นหน้า
“ พอได้แล้วนี่เจ้ายังคิดเล่นแผนอะไรอีก ”
หนุ่มน้อยทำเสียงดุ
สายตาของเขาชำเลืองดูหางแถวที่เริ่มไกลออกไป
“ จะกลับไปที่ปราสาทขาวแต่โดยดีหรือให้ข้าจับส่งผู้คุมกฎ คิดว่าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่ลงมือหรือไง ”
ฟีไลร่าได้แต่ก้มหน้า
รู้สึกเสียใจที่พ่อมดน้อยคนนี้ไม่เชื่อ
“ ข้าต้องกลับไปในปราสาทขาวอยู่แล้วล่ะ เพราะนอกจากที่นั่นข้าก็ไม่มีที่อื่นให้ไป ”
เด็กหญิงตอบเสียงเศร้า
เขาคงคิดว่านางเป็นจอมยุ่งที่ชอบก่อเรื่องอีกคนแน่
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ”
ดารีลว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
เขาคว้าข้อมือนางกึ่งลากกึ่งเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกมือถือตะเกียงยื่นไปข้างหน้า
เพื่อให้แสงสว่างนำนาง
เมื่อออกมาไกลจากตรงนั้นพอสมควร
จึงปล่อยมือและดันเด็กหญิงคนนั้นไปเดินนำหน้า
ส่วนตัวเขารั้งท้าย
ปลายหางตายังลอบมองไปด้านหลัง
ในป่าละเมาะแห่งนั้น
ตัวเขาเองก็ได้กลิ่นอันตรายเช่นกัน
ฟีไลร่ารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
ตลอดระยะเวลาที่เดินเคียงข้างกันภายใต้ร่มเงาของแสงจันทร์
ถ้าเป็นไปได้นางอยากขอไห้ทางเส้นนี้ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด
“ ขอโทษด้วย ”
อยู่ๆ ดารีลก็เอ่ยขึ้น
“ หืม ว่าอย่างไรนะ ”
ฟีไลร่าที่กำลังใจลอย
สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของเขา
“ ข้าบอกว่าข้าขอโทษ อันที่จริงไม่สมควรใช้อารมณ์กับเจ้า แต่นั่นเป็นเพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายและบางเรื่องข้าไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งหมดนั่นทำให้ข้าหงุดหงิดใจ ”
“ ข้าสมควรถูกตำหนิแล้ว ”
นางว่า
“ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ในเมืองโอรีเวียแห่งนี้ นับตั้งแต่สร้างเมืองโอรีเวียชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะมาเยือน เป็นที่กล่าวขานกันว่าชาวเมืองของเจ้าไม่ต้อนรับผู้ใช้เวทมนตร์ และเจ้าผู้ครองนครก็แข็งแกร่งไม่น้อย เมืองของเจ้าทั้งมั่งคั่งทั้งเปรื่องปราด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใดยิ่งใหญ่เกือบจะทัดเทียมโอรีเวีย ชาวเมืองล้วนภาคภูมิใจในเกียรติของตน ยากนักที่จะมาอาศัยพึ่งพาผู้อื่นไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม ตอบข้ามาตามจริงเจ้ามองหาอะไรในโอรีเวีย ใครกับเป็นคนส่งเจ้ามา ”
คำถามอันยืดยาวของดารีล
ทำให้เด็กหญิงผมสีเงินต้องหยุดชะงัก
นางก้มมองปอยผมสีเงินของตนเอง
แล้วถอนหายใจ
“ ไม่ว่าชาวไอโอเนียจะอยู่ที่ใดหรือปะปนกับชนใด ก็สามารถถูกแยกออกได้โดยง่าย เพราะพวกเรามีรูปกายที่แตกต่างเกินไป ”
“ ปรกติข้าจะถือมีดเสมอเวลาตั้งคำถาม ไว้ใช้เมื่อเหยื่อเล่นลิ้นจนน่ารำคาญ คนที่ถูกข้าสอบศพไม่สวยสักคนหรอกนะ ข้าไม่อ้อมค้อมเจ้าก็ควรจะตอบตรงๆ เห็นแก่… ”
หนุ่มน้อยหยุดไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะว่า
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรีข้าจะละเว้นไว้วันหนึ่ง หากเจ้าเป็นสายลับดังที่สงสัยก็จงไปจากโอรีเวียเสียโดยเร็ว ข้ารับคำสั่งมาให้สังหารสายลับทุกคน บอกตามตรงข้าไม่มีปราณีหรอกนะ ”
“ ข้านี่นะสายลับ ”
นางถามกลับ
“ ตามหลักแล้วเจ้าเข้าข่ายที่สุด เป็นคนของไอโอเนีย มีคนสนับสนุนอย่างลับๆ ทั้งด้านการเงินและความช่วยเหลืออื่นๆ เพียงแต่ว่าสายลับโดยทั่วไปนั้นจะดูแลตัวเองได้ ส่วนเจ้านั้นต่างออกไป ”
เขาว่า
“ เด็กสาวผิวสีที่เจ้าอ้างว่าเป็นญาติคงเป็นคนคุ้มกันสินะ เป็นบุตรผู้มั่งคั่งแห่งไอโอเนียเป็นเหตุให้มีผู้ติดตามนั้นพอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่การที่มีคนของทางการคอยจับตาดูเจ้าตลอดนี่สิ ให้ฟังว่าเป็นเรื่องปรกติก็ดูจะเกินไปหน่อย ”
“ ท่านสงสัยข้ามานานเท่าไหร่แล้ว ”
ฟีไลร่าถาม
“ เกือบสามปีที่แล้วเจ้าเกือบจะตายไปครั้งหนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นข้ายังนึกสงสัย และความสงสัยไม่รู้จบรู้สิ้นของข้าทำให้เจ้ายังหายใจอยู่จนทุกวันนี้ ”
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียตื่นเต้นจนหัวใจพองโต
ทั้งหมดหมายความว่า
ตลอดสามปีที่ผ่านมา
นางไม่ได้คลาดไปจากสายตาของเขา
จากที่เคยรู้สึกว่าไกลสุดเอื้อม
กลายเป็นว่ายังมีตัวตน
ให้เขาได้เฝ้ามอง
“ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ ข้าหาใช่สายลับไม่ เรื่องที่ว่าใครส่งข้ามานั้นจึงไม่มีเลย ข้ามาของข้าเอง ”
“ เช่นนั้นแล้วเจ้าตามหาอะไรในโอรีเวีย เมื่อทุกสิ่งที่มีในเมืองนี้ ไอโอเนียก็ไม่ได้ขาดเหลือเลย ”
ดารีลว่า
เด็กหญิงคนนั้นจึงหันมา
จ้องตากับเขาตรงๆ
“ ข้าไม่ได้มาเพื่อตามหา แต่ข้าหนีมาต่างหาก สิบปีที่แล้วมารดาของข้าสิ้นชีวิต ข้าไม่อาจสู้หน้าผู้ใดไม่กล้าไปเยี่ยมสุสาน โอรีเวียมิใช่เป้าหมายแต่เป็นเมืองที่ข้ารู้จักดีทั้งที่ไม่เคยมา มีตำรามากมายในเมืองของข้ากล่าวถึงเมืองนี้ ข้าจึงมาที่นี่ เรื่องนี้ข้าไม่เคยเปิดปากกับผู้ใด แต่เมื่อท่านถามข้าก็จะไม่ปิดบัง ”
ภายไต้แสงจันทร์
แววตาของนางสัตย์ซื่อยิ่งนัก
ดารีลดึงมีดออกมาช้าๆ
มันส่องประกายเยือกเย็นในความมืด
แต่เด็กหญิงคนนั้นก็ไม่หวาดหวั่น
นางไม่ถอยหลังแม้สักก้าว
“ คนทั่วไปเขากลัวข้านะ หรืออย่างน้อยเห็นคนชักอาวุธก็ควรตกใจบ้างล่ะ เจ้าถูกฝึกมาแบบไหนกัน ”
“ ข้าแค่อยากให้ท่านเชื่อข้า ”
นางว่า
ดารีลเก็บมีดเข้าที่
เขาผายมือไปด้านหน้าเป็นการเชิญ
“ ไปกันต่อเถอะ นี่เริ่มจะดึกแล้ว ”
“ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ”
นางร้อนใจ
แต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี
“ เวลายังมี ให้โอกาสแค่วันนี้เท่านั้นหากไม่หนีไปและถ้าความจริงคือเจ้าล่อลวงข้า ต่อให้ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนียเพื่อตามล่า ข้าก็ไม่ลังเล ”
“ ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนีย ”
นางหัวเราะ
“ ท่านรู้หรือว่าไอโอเนียเป็นอย่างไร ”
“ เขาเล่าว่าปราสาทสร้างจากน้ำแข็ง ข้าเองก็ไม่เคยเห็น ด้วยชาวไอโอเนียนั้นชิงชังผู้ใช้เวทมนตร์ ถ้าจะไปเห็นด้วยตาตัวเองคงยุ่งยากไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็จะไป ”
ดารีลกล่าว
“ ตัวปราสาทเป็นหินอ่อนต่างหากล่ะ มีแต่กำแพงเท่านั้นเมืองนั้นเป็นน้ำแข็ง ”
ฟีไลร่าบอก
“ น่าสนใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวเมืองคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหรือหิมะ ”
“ ใช่แล้ว ฤดูหนาวของเรายาวนานมาก แม่น้ำและบึงหลายแห่งล้วนเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ”
พ่อมดน้อยนิ่งคิด
ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม
“ เจ้าชอบทุ่งน้ำแข็งหรือทุ่งหญ้ามากกว่าล่ะ ”
“ ข้าชอบทุ่งหญ้า นานมาแล้วที่เมืองข้าเคยมีทุ่งหญ้า ก่อนที่ฤดูหนาวอันแสนนานจะเข้าครอบครอง ”
นางพูดแล้วแววตาก็สลดลง
“ แล้วไอโอเนียมีทุ่งทองคำอย่างคำล่ำลือจริงหรือเปล่า เขาว่ามีที่แห่งหนึ่งส่องสว่างดังทองคำ ข้าอยากไปเยือนสักครั้ง ”
“ ท่านชอบทองคำด้วยหรือ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ พูดถึงของล้ำค่าใครบ้างไม่ชอบใจ ”
“ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ประหลาด แต่นี่เป็นท่านดารีล ข้าไม่คิดว่าท่านจะหลงใหลของประเภทนั้น ”
ดารีลหัวเราะ
“ ใครจะรู้ บางทีข้าอาจละโมบแบบคาดไม่ถึงเลยก็ได้ ”
“ แสงทองที่ว่ามาจากทุ่งน้ำแข็งหรอกนะ ”
นางเฉลย
“ จากสุสานหลวงใช่หรือไม่ ดินแดนต้องห้ามแห่งไอโอเนีย ”
พ่อมดน้อยว่า
“ ท่านรู้หรือ ได้อย่างไรกัน ”
ฟีไลร่าตกใจ
“ ข้าอ่านตำรามาพอสมควรทีเดียว ”
“ ไม่จริงหรอก ชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ ถ้าถามถึงทุ่งทองคำชาวเมืองต้องคิดถึงด้านหลังของหุบเขาน้ำแข็งเท่านั้น ”
“ เช่นนั้นเจ้าก็รู้ดีกว่าชาวเมืองสินะ บอกความจริงก็ได้ นอกจากเป็นนักฆ่าข้าเคยเป็นสายลับมาก่อน แต่ไม่ต้องกังวลไปตอนนี้วางมือไปแล้ว เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ข้าได้เปิดใจกับเจ้าแล้ว คราวหลังหัดพูดความจริงกับข้าให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ต่อให้เด็กนรกคนนั้นมาขอร้อง ข้าก็ไม่ละเว้น ”
“ ใครกันเด็กนรก ”
ฟีไลร่าสงสัยไปก็เท่านั้น
เพราะไม่มีคำตอบจากดารีล
ภายในโลงไม้มะฮอกกานีเนื้อดีปูด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเข้ม พิธีเริ่มขึ้นตั้งแต่บ่ายคนเฒ่าคนแก่ร่วมกันสวนมนต์ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่หยุดหย่อน คนใกล้ชิดโปรยไม้หอมลงในหลุมกว่าพิธีจะเสร็จความมืดก็เริ่มกรายเข้ามาดวงดาวปรากฏรางๆ บนฟากฟ้า
เด็กๆ จึงเริ่มสวดมนต์ให้กับความมืด เพื่อวิงวอนขอความเมตตาเปิดทางผู้ล่วงลับสู่แดนสวรรค์แต่โดยดี อย่าได้ขัดขวางใดๆ เลย พอพระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้าบทสวดก็จบลงเด็กๆ จึงเริ่มทยอยกันกลับปราสาทขาว โดยมีอาจารย์คอยควบคุมอยู่ในแถว
เลโอน่าเดินตามหลังฟีไลร่าไปติดๆ แต่พอต้องเบียดเสียดกันออกประตูสุสานพวกนางก็พลัดหลงกัน ฟีไลร่าหยุดนิ่งเมื่อรู้ว่าคนที่ตามหลังมาไม่ใช่เด็กสาวผิวเข้มคนนั้น
นางหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวั่นๆ เสียงใครบางคนสวดมนต์บทประหลาดดังมาพอได้ยิน ผู้คนต่างก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่มีใครสนใจใครมือข้างหนึ่งถือโคมยื่นไว้ข้าง หน้าพวกเขาเคลื่อนตัวผ่านฟีไลร่าไปเงียบๆ เหมือนภูตผีตัวน้อย
ฟีไลร่าหันกลับมาแล้วออกเดินทางต่อด้วยความกังวลที่หนักอึ้ง นางเดินช้าลงเพราะคิดว่าเลโอน่าอาจจะยังอยู่ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้นางจึงรั้งท้ายไกลออกไปไปเรื่อยๆ
ขณะที่ผ่านดงไม้ระหว่างทาง ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา นางหันขวับ มองเข้าไปในดงไม้อันมืดครึ้มท่ามกลางแสงวับแวมจากตะเกียงโคม นางสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับตาดูนางอยู่
“ เลโอน่า ”
เด็กหญิงผมเงินเรียกเบาๆ
“ เลโอน่านั่นเจ้าใช่ไหม ”
ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป
“ เลโอน่า ”
นางเรียกอีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทาความรู้สึกหวาดหวั่นกลับทบทวีขึ้น
ต้องมีอะไรในดงไม้นั่นแน่ๆ
กลุ่มเด็กนักเรียนเริ่มห่างจากนางออกไปแต่ยังอยู่ไม่ไกลนัก
คงจะมีใครสักคนได้ยินเสียงหากมีอะไรเกิดขึ้น
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียคิดว่านางเห็นดวงตาสีเหลืองซีดเซียวหลบซ่อนอยู่ในดงไม้
เมื่อความสงสัยมีมากกว่าความหวาดกลัว
นางก็เริ่มก้าวเข้าไปหาสิ่งนั้นช้าๆ
ดวงตาประหลาดคู่นั้นกระพริบหนึ่งครั้งแล้วถอยร่นไป
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงก้าวตามเข้าไปอีก
“ นั่นจะทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
เสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขัดเคืองดังขึ้น
ฟีไลร่าอุทานด้วยความตกใจจนทำตะเกียงร่วงกระแทกหิน
ไฟติดพรึบบนพื้นหญ้า
และลุกลามไปตามน้ำมันที่ไหลนอง
“ แล้วกันสิ ”
ดารีลอุทาน
เขาตวัดเสื้อคลุมทับลงไปไฟก็ดับมอดในทันที
หนุ่มน้อยหยิบตะเกียงที่แตกแล้วส่งคืนให้นาง
“ แอบหนีเที่ยวยังไม่พอ นี่คิดจะวางเพลิงเผาป่าเลยหรือ ขอทีเถอะในงานศพเช่นนี้ อย่าปั่นป่วนให้มากนัก ”
“ ข้าเปล่า เพียงแต่เห็นอะไรผิดปรกติอยู่ตรงนั้น เลยจะเข้าไปดู ”
ฟีไลร่าเสียงสั่นแต่ใจนางสั่นเสียยิ่งกว่า
ดารีลเลิกคิ้วนิดหนึ่ง
“ แค่ป่าละเมาะข้างทางมีสิ่งใดให้ต้องสนใจด้วยหรือ ”
“ มีดวงตาประหลาดคู่หนึ่ง ”
เด็กหญิงยืนยัน
พ่อมดน้อยก็เดินฉับๆ เข้าไปหลังดงไม้
“ เดี๋ยว! ระวังนะ บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์ร้ายข้าเห็นแววตาของมัน มันเหมือนของหมาป่า ”
ดารีลยังเดินย่ำไปย่ำมาสายตามองหาอะไรบางอย่าง
“ แถวนี้ไม่มีหมาป่าหรอก มันอพยพไปทางใต้ตั้งแต่โอรีเวียยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ ”
เขาตอบมาพอได้ยิน
แล้วเดินกลับออกมาสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัว
“ สิ่งนี้หรือเปล่าที่เจ้าเห็น ”
ดารีลแบมือ
หนอนผีตัวหนึ่งขดอยู่บนมือเขา
ผิวอ่อนนุ่มของมันเปล่งแสงสีเขียวจางๆ
ฟีไลร่าสั่นหน้า
“ พอได้แล้วนี่เจ้ายังคิดเล่นแผนอะไรอีก ”
หนุ่มน้อยทำเสียงดุ
สายตาของเขาชำเลืองดูหางแถวที่เริ่มไกลออกไป
“ จะกลับไปที่ปราสาทขาวแต่โดยดีหรือให้ข้าจับส่งผู้คุมกฎ คิดว่าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่ลงมือหรือไง ”
ฟีไลร่าได้แต่ก้มหน้า
รู้สึกเสียใจที่พ่อมดน้อยคนนี้ไม่เชื่อ
“ ข้าต้องกลับไปในปราสาทขาวอยู่แล้วล่ะ เพราะนอกจากที่นั่นข้าก็ไม่มีที่อื่นให้ไป ”
เด็กหญิงตอบเสียงเศร้า
เขาคงคิดว่านางเป็นจอมยุ่งที่ชอบก่อเรื่องอีกคนแน่
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ”
ดารีลว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
เขาคว้าข้อมือนางกึ่งลากกึ่งเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกมือถือตะเกียงยื่นไปข้างหน้า
เพื่อให้แสงสว่างนำนาง
เมื่อออกมาไกลจากตรงนั้นพอสมควร
จึงปล่อยมือและดันเด็กหญิงคนนั้นไปเดินนำหน้า
ส่วนตัวเขารั้งท้าย
ปลายหางตายังลอบมองไปด้านหลัง
ในป่าละเมาะแห่งนั้น
ตัวเขาเองก็ได้กลิ่นอันตรายเช่นกัน
ฟีไลร่ารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
ตลอดระยะเวลาที่เดินเคียงข้างกันภายใต้ร่มเงาของแสงจันทร์
ถ้าเป็นไปได้นางอยากขอไห้ทางเส้นนี้ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด
“ ขอโทษด้วย ”
อยู่ๆ ดารีลก็เอ่ยขึ้น
“ หืม ว่าอย่างไรนะ ”
ฟีไลร่าที่กำลังใจลอย
สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของเขา
“ ข้าบอกว่าข้าขอโทษ อันที่จริงไม่สมควรใช้อารมณ์กับเจ้า แต่นั่นเป็นเพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายและบางเรื่องข้าไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งหมดนั่นทำให้ข้าหงุดหงิดใจ ”
“ ข้าสมควรถูกตำหนิแล้ว ”
นางว่า
“ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ในเมืองโอรีเวียแห่งนี้ นับตั้งแต่สร้างเมืองโอรีเวียชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะมาเยือน เป็นที่กล่าวขานกันว่าชาวเมืองของเจ้าไม่ต้อนรับผู้ใช้เวทมนตร์ และเจ้าผู้ครองนครก็แข็งแกร่งไม่น้อย เมืองของเจ้าทั้งมั่งคั่งทั้งเปรื่องปราด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใดยิ่งใหญ่เกือบจะทัดเทียมโอรีเวีย ชาวเมืองล้วนภาคภูมิใจในเกียรติของตน ยากนักที่จะมาอาศัยพึ่งพาผู้อื่นไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม ตอบข้ามาตามจริงเจ้ามองหาอะไรในโอรีเวีย ใครกับเป็นคนส่งเจ้ามา ”
คำถามอันยืดยาวของดารีล
ทำให้เด็กหญิงผมสีเงินต้องหยุดชะงัก
นางก้มมองปอยผมสีเงินของตนเอง
แล้วถอนหายใจ
“ ไม่ว่าชาวไอโอเนียจะอยู่ที่ใดหรือปะปนกับชนใด ก็สามารถถูกแยกออกได้โดยง่าย เพราะพวกเรามีรูปกายที่แตกต่างเกินไป ”
“ ปรกติข้าจะถือมีดเสมอเวลาตั้งคำถาม ไว้ใช้เมื่อเหยื่อเล่นลิ้นจนน่ารำคาญ คนที่ถูกข้าสอบศพไม่สวยสักคนหรอกนะ ข้าไม่อ้อมค้อมเจ้าก็ควรจะตอบตรงๆ เห็นแก่… ”
หนุ่มน้อยหยุดไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะว่า
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรีข้าจะละเว้นไว้วันหนึ่ง หากเจ้าเป็นสายลับดังที่สงสัยก็จงไปจากโอรีเวียเสียโดยเร็ว ข้ารับคำสั่งมาให้สังหารสายลับทุกคน บอกตามตรงข้าไม่มีปราณีหรอกนะ ”
“ ข้านี่นะสายลับ ”
นางถามกลับ
“ ตามหลักแล้วเจ้าเข้าข่ายที่สุด เป็นคนของไอโอเนีย มีคนสนับสนุนอย่างลับๆ ทั้งด้านการเงินและความช่วยเหลืออื่นๆ เพียงแต่ว่าสายลับโดยทั่วไปนั้นจะดูแลตัวเองได้ ส่วนเจ้านั้นต่างออกไป ”
เขาว่า
“ เด็กสาวผิวสีที่เจ้าอ้างว่าเป็นญาติคงเป็นคนคุ้มกันสินะ เป็นบุตรผู้มั่งคั่งแห่งไอโอเนียเป็นเหตุให้มีผู้ติดตามนั้นพอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่การที่มีคนของทางการคอยจับตาดูเจ้าตลอดนี่สิ ให้ฟังว่าเป็นเรื่องปรกติก็ดูจะเกินไปหน่อย ”
“ ท่านสงสัยข้ามานานเท่าไหร่แล้ว ”
ฟีไลร่าถาม
“ เกือบสามปีที่แล้วเจ้าเกือบจะตายไปครั้งหนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นข้ายังนึกสงสัย และความสงสัยไม่รู้จบรู้สิ้นของข้าทำให้เจ้ายังหายใจอยู่จนทุกวันนี้ ”
เด็กหญิงแห่งไอโอเนียตื่นเต้นจนหัวใจพองโต
ทั้งหมดหมายความว่า
ตลอดสามปีที่ผ่านมา
นางไม่ได้คลาดไปจากสายตาของเขา
จากที่เคยรู้สึกว่าไกลสุดเอื้อม
กลายเป็นว่ายังมีตัวตน
ให้เขาได้เฝ้ามอง
“ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ ข้าหาใช่สายลับไม่ เรื่องที่ว่าใครส่งข้ามานั้นจึงไม่มีเลย ข้ามาของข้าเอง ”
“ เช่นนั้นแล้วเจ้าตามหาอะไรในโอรีเวีย เมื่อทุกสิ่งที่มีในเมืองนี้ ไอโอเนียก็ไม่ได้ขาดเหลือเลย ”
ดารีลว่า
เด็กหญิงคนนั้นจึงหันมา
จ้องตากับเขาตรงๆ
“ ข้าไม่ได้มาเพื่อตามหา แต่ข้าหนีมาต่างหาก สิบปีที่แล้วมารดาของข้าสิ้นชีวิต ข้าไม่อาจสู้หน้าผู้ใดไม่กล้าไปเยี่ยมสุสาน โอรีเวียมิใช่เป้าหมายแต่เป็นเมืองที่ข้ารู้จักดีทั้งที่ไม่เคยมา มีตำรามากมายในเมืองของข้ากล่าวถึงเมืองนี้ ข้าจึงมาที่นี่ เรื่องนี้ข้าไม่เคยเปิดปากกับผู้ใด แต่เมื่อท่านถามข้าก็จะไม่ปิดบัง ”
ภายไต้แสงจันทร์
แววตาของนางสัตย์ซื่อยิ่งนัก
ดารีลดึงมีดออกมาช้าๆ
มันส่องประกายเยือกเย็นในความมืด
แต่เด็กหญิงคนนั้นก็ไม่หวาดหวั่น
นางไม่ถอยหลังแม้สักก้าว
“ คนทั่วไปเขากลัวข้านะ หรืออย่างน้อยเห็นคนชักอาวุธก็ควรตกใจบ้างล่ะ เจ้าถูกฝึกมาแบบไหนกัน ”
“ ข้าแค่อยากให้ท่านเชื่อข้า ”
นางว่า
ดารีลเก็บมีดเข้าที่
เขาผายมือไปด้านหน้าเป็นการเชิญ
“ ไปกันต่อเถอะ นี่เริ่มจะดึกแล้ว ”
“ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ”
นางร้อนใจ
แต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี
“ เวลายังมี ให้โอกาสแค่วันนี้เท่านั้นหากไม่หนีไปและถ้าความจริงคือเจ้าล่อลวงข้า ต่อให้ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนียเพื่อตามล่า ข้าก็ไม่ลังเล ”
“ ทลายน้ำแข็งทั้งไอโอเนีย ”
นางหัวเราะ
“ ท่านรู้หรือว่าไอโอเนียเป็นอย่างไร ”
“ เขาเล่าว่าปราสาทสร้างจากน้ำแข็ง ข้าเองก็ไม่เคยเห็น ด้วยชาวไอโอเนียนั้นชิงชังผู้ใช้เวทมนตร์ ถ้าจะไปเห็นด้วยตาตัวเองคงยุ่งยากไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็จะไป ”
ดารีลกล่าว
“ ตัวปราสาทเป็นหินอ่อนต่างหากล่ะ มีแต่กำแพงเท่านั้นเมืองนั้นเป็นน้ำแข็ง ”
ฟีไลร่าบอก
“ น่าสนใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวเมืองคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหรือหิมะ ”
“ ใช่แล้ว ฤดูหนาวของเรายาวนานมาก แม่น้ำและบึงหลายแห่งล้วนเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ”
พ่อมดน้อยนิ่งคิด
ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม
“ เจ้าชอบทุ่งน้ำแข็งหรือทุ่งหญ้ามากกว่าล่ะ ”
“ ข้าชอบทุ่งหญ้า นานมาแล้วที่เมืองข้าเคยมีทุ่งหญ้า ก่อนที่ฤดูหนาวอันแสนนานจะเข้าครอบครอง ”
นางพูดแล้วแววตาก็สลดลง
“ แล้วไอโอเนียมีทุ่งทองคำอย่างคำล่ำลือจริงหรือเปล่า เขาว่ามีที่แห่งหนึ่งส่องสว่างดังทองคำ ข้าอยากไปเยือนสักครั้ง ”
“ ท่านชอบทองคำด้วยหรือ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ พูดถึงของล้ำค่าใครบ้างไม่ชอบใจ ”
“ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ประหลาด แต่นี่เป็นท่านดารีล ข้าไม่คิดว่าท่านจะหลงใหลของประเภทนั้น ”
ดารีลหัวเราะ
“ ใครจะรู้ บางทีข้าอาจละโมบแบบคาดไม่ถึงเลยก็ได้ ”
“ แสงทองที่ว่ามาจากทุ่งน้ำแข็งหรอกนะ ”
นางเฉลย
“ จากสุสานหลวงใช่หรือไม่ ดินแดนต้องห้ามแห่งไอโอเนีย ”
พ่อมดน้อยว่า
“ ท่านรู้หรือ ได้อย่างไรกัน ”
ฟีไลร่าตกใจ
“ ข้าอ่านตำรามาพอสมควรทีเดียว ”
“ ไม่จริงหรอก ชาวไอโอเนียน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ ถ้าถามถึงทุ่งทองคำชาวเมืองต้องคิดถึงด้านหลังของหุบเขาน้ำแข็งเท่านั้น ”
“ เช่นนั้นเจ้าก็รู้ดีกว่าชาวเมืองสินะ บอกความจริงก็ได้ นอกจากเป็นนักฆ่าข้าเคยเป็นสายลับมาก่อน แต่ไม่ต้องกังวลไปตอนนี้วางมือไปแล้ว เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ข้าได้เปิดใจกับเจ้าแล้ว คราวหลังหัดพูดความจริงกับข้าให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ต่อให้เด็กนรกคนนั้นมาขอร้อง ข้าก็ไม่ละเว้น ”
“ ใครกันเด็กนรก ”
ฟีไลร่าสงสัยไปก็เท่านั้น
เพราะไม่มีคำตอบจากดารีล
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ