โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.77K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) โพลงหิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพวกเขาเดินเลียบไปตามชะง่อนผาจนมาถึงทางลาดที่เต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำ ต่างคนต่างค่อยๆ ปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวัง เมื่อมาถึงปลายทางอาเธอร์ก็ออกสำรวจหาที่ๆ พอจะเป็นที่พักพิงได้ คราวนี้ลูวิ่งตามเขาไปด้วยมันพาเขาไปพบกับโพลงหินตื้นๆ แห่งหนึ่งกว้างใหญ่พอที่จะเข้าไปอาศัยหลับนอนได้ อาเธอร์คลานเข้าไปสำรวจด้วยความพึงพอใจเขาอุ้มกระต่ายลูขึ้น
“ ขอบใจมาก นี่ใช่ไหมที่เจ้าต้องการคราวนี้ ข้าต้องเข้าไปอยู่ในโพลงเหมือนกระต่ายแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์นั่งถ่างขาบนก้อนหินเขากินขนมปังจนหมดก้อน มือข้างหนึ่งยังถือมะเขือเทศลูกใหญ่แม้มันจะเริ่มเหี่ยวแล้วแต่รสชาติยังดีอยู่ เขาคิดว่าการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยคงทำให้มะเขือเทศที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาน่ากินขึ้นมาได้
เสียงคาโอเรียสำลักน้ำทำให้เขาต้องหันไปมองนางคงเหนื่อยมากกับการเดินทางทั้งวัน สำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่แต่ในบ้านฝึกงานบ้านงานเรือน การเดินทางผาดโผนแบบนี้ก็สาหัสเอาการอยู่
แต่สำหรับเขาเด็กชายชาวไร่ชาวนาชื่นชอบบรรยากาศแบบนี้ท้องฟ้าเวิ้งว้างพร่างพรายด้วยแสงดาว รอบกายรายล้อมไปด้วยผาชันที่เต็มไปด้วยใบหน้าลึกลับคอยจับจ้องอยู่ สายลมพัดมาแต่ละครั้งพวกชวนให้สะดุ้งจนขนลุกกับเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงอยู่ในอากาศ
เบื้องล่างป่ารกชัฏแผ่ไกลออกไปเป็นเงาดำ บางครั้งบางทีก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมา ก่อนจะเงียบหายไปเฉยๆ สถานที่แห่งนี้มีความสงบในแบบของมันเอง พวกเขาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้โดยไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรม ใครจะไปนึกว่าชาวไร่ชาวนาหนุ่มจะพาคณะที่เป็นเด็กและผู้หญิงข้ามหุบเขาต้องสาปนี้
คาโลไรน์ค้นหาน้ำมันหมีผสมสมุนไพรออกมานางส่งไปรอบๆ วงให้ทุกคนได้นวดเท้า ฟิโลโซเฟอร์ถอดรองเท้าออก เขาเพิ่งจะรู้ว่าเท้าของเขาบวมแต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เวลานี้เขากำลังนึกถึงว่าจะตัวมีอะไรบ้างสามารถอาศัยอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ได้พลันสายตาของเขาก็ไปปะกับลูเข้า เขาส่งยิ้มอ่อนให้มันคราวนี้คงลำบากหน่อยนะกระต่ายตัวป่วนคงหาหญ้ากินไม่ได้บนนี้ไม่มีต้นพืชเลย เด็กชายนึกเลยไปถึงมังกรดำเขารู้ว่ามีรังของพวกมันอยู่ที่ไหนสักแห่งในเทือกเขานี้ คาโลไรน์ส่งกระติกน้ำอีกอันให้เขาเด็กชายรับมาดื่มอึกๆ เขากัดมะเขือเทศคำสุดท้ายก่อนจะส่งส่วนที่เหลือให้กระต่ายลู
เสร็จจากการกินอะไรรองท้องแล้ว พวกเขาก็มุดเข้าไปนอนด้านในสุดของโพลงโดยใช้ห่อผ้าต่างหมอน ในโพลงหินนั้นมืดมากคาโอเรียควานมือเข้าไปในห่อผ้าของตัวเอง นางหยิบหินก้อนเล็กๆ ที่พ่อมดดีมีนให้มา หลังจากความพยายามอยู่นานที่จะทำให้มันส่องแสงไร้ผล นางจึงเก็บไว้ที่เดิม เวลาเช่นนี้นางต้องการแสงสว่างเหลือเกิน
อาเธอร์นั่งพิงผนังโพลงหินด้านหนึ่ง มองดูครอบครัวของตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ลูผงกหัวขึ้นดูสายตาของมันแวววาวด้วยความสงสัย ครู่ต่อมาอาเธอร์ก็ลุกขึ้นเขามุดออกไปจากโพลงเงียบๆ พร้อมกับดาบคู่ใจ อาเธอร์พาตัวเองออกมานั่งบนหิน คอยฟังเสียงลมที่ส่งเสียงครางฮือๆ ดังมาเป็นระยะ ใบหน้าลึกลับดูเหมือนจะจับจ้องมาจากทุกทิศทางอย่างมุ่งร้าย
อาเธอร์ขยับตัวอย่างอึดอัดความทรงจำเก่าแก่ที่อยากจะลืม ความเสียใจและหวาดกลัวพุ่งขึ้นเป็นระลอก สถานที่แห่งนี้คือที่ๆ เขาไม่ควรมาเลยสักครั้ง แต่เขากลับก้าวขามาเยือนเป็นคำรบสองช่างโง่เขลานัก ได้แต่หวังว่าเรื่องราวคงไม่จบลงในแบบที่มันเคยจบมาแล้ว
ค้างคาวกลุ่มใหญ่เริ่มออกหากิน มันออกมาจากถ้ำที่ซ่อนตัวในหุบเขานี้ ต่างพากันบินเกาะกลุ่มเป็นลำเหมือนพายุหมุนสีดำขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันบิดตัวม้วนกลับไปยังขอบฟ้าอีกฟากหนึ่ง อาเธอร์นั่งมองมันอย่างนั้นจนค้างคาวตัวสุดท้ายบินลับขอบฟ้าไป นั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวบางทีเขาอาจจะคิดผิดที่เลือกเส้นทางนี้แต่ทางเลือกอื่นก็ดูเหมือนจะถูกปิดตายไปแล้ว นับว่าพวกเขายังโชคดีที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้โดยไม่มีใครเสียสติไปเสียก่อน
“ ท่านพ่อ ”
เสียงหนึ่งเรียกขึ้นจากด้านหลัง
อาเธอร์ลุกพรวดพราดขึ้นเขาชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
“ ข้าทำให้ท่านพ่อตกใจหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดแบบใสซื่อ
ไม่มีท่าทีตกใจกับปฏิกิริยานั้น
“ น้อยไปเสียที่ไหนให้ตายสิทำไมเจ้ายังไม่นอนอีก ”
“ ข้างีบมาแล้ว ท่านพ่อล่ะทำอะไรอยู่ ”
เด็กชายทรุดกายลงข้างเขา
“ เราต้องเดินทางกี่วันจึงจะพ้นหุบเขานี้ไปได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์เปลี่ยนคำถามถามเมื่อเห็นว่าอาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้น
“ ลูกกลัวหรือถ้าหากว่าเราต้องติดอยู่ที่นี่นานๆ ”
อาเธอร์วางมือลงบนไหล่บุตรชาย
“ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เสบียงของเราจะอยู่ได้อีกกี่วันล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะหาอาหารได้ในหุบเขาแห่งนี้ ”
เด็กชายเคาะลูกศรกับคันธนู
อาเธอร์มองบุตรชายของเขาอย่างพิศวงบุตรชายของเขาเติบโตขึ้นมาก
สำหรับเด็กอายุสิบสามที่รู้จักคิดและวางแผน
“ ท่านพ่อไม่เคยเล่าเรื่องโอรีเวียให้ฟังเลย ตอนอยู่ที่นั่นท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ”
“ เจ้าคงต้องไปเห็นเองกับตา ข้าจากมันมานานหนักหนาแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ”
“ เราจะต้องอยู่ที่นั่นนานไหม ”
“ ชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน พ่อเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะละทิ้งโอรีเวียแต่ก็มีเหตุให้ต้องจากมา จากที่ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปเหยียบอีก เวลานี้พวกเรากลับกำลังเดินทางไปที่นั่น คำถามของเจ้าตอบยากนักสถานการณ์ตอนนี้มีปลายทางหลายแห่งคำตอบจึงอยู่ที่จุดสิ้นสุดของปัญหา เว้นแต่เจ้าจะต้องการคำปลอบใจข้าก็คิดคำสวยๆ ไว้ให้แล้วเช่นกัน ”
เด็กชายยิ้มขื่น
เขานึกอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา
แต่คือการหนีปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น
ฟิโลโซเฟอร์นั่งใจลอยมองภาพประหลาดในเงาสลัว แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่อยู่ๆ พระจันทร์ก็ดับแสงลง อาเธอร์ลากเขาเข้าไปในเงื้อมผา เบื้องบนมังกรดำตัวมหึมากำลังบินลดตัวลงต่ำ ปีกของมันกางออกเต็มที่เงาดำปรากฏที่พื้นใต้ร่างดังวิญญาณอำมหิต มันบินโฉบขึ้นเหนือยอดเขาพลางส่งเสียงร้อง พลันก็มีเสียงกรีดแหลมร้องตอบดังบาดลึกและเชือดเฉือนคาโอเรียผุดลุกขึ้นอย่างหวาดกลัว แต่ก็สะกดตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงนางรู้ว่านั่นอาจจะนำความตายมาสู่ทุกคน
ที่ปากถ้ำอาเธอร์ชักดาบออกจากฝักด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
เสียงกรีดแหลมนั่นดังสะท้านในความคิด
“ ไม่นะ! คงไม่ใช่มันอีกนะ ”
เขาอุทาน
เสียงร้องชวนสยองที่เขาอยากลืม
แต่มันคุ้นหูเหลือเกินในยามนี้
ร่างสีดำทะยานขึ้นบนฟากฟ้า ปีกขนาดใหญ่กางออกไปจนมิดพระจันทร์ทั้งดวง มันส่งเสียงร้องกรีดแหลมอีกครั้งก่อนจะบินนำมังกรดำอีกห้าตัวไป ในความมืดสลัวร่างของมันคล้ายมังกรแต่เพียงมองแค่ปราดเดียวก็รู้ถึงความต่าง มันคือบางสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น เสียงร้องของมันห่างออกไปเรื่อยๆ พวกมันคงมีธุระที่อื่น แม้ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี แต่ความหวาดหวั่นก็ยังคงเกาะกุมอยู่ อาเธอร์ได้แต่ผลักดันมันออกไป
“ กลับเข้าไปข้างในซะ ไปอยู่กับน้องสาวของเจ้า ”
อาเธอร์หันมาบอกบุตรชาย
“ ไม่! ”
เด็กชายตอบสั้นๆ
มือกำธนูแน่นนี่ไม่ใช่เวลามาหวาดกลัว
“ ขอบใจมาก นี่ใช่ไหมที่เจ้าต้องการคราวนี้ ข้าต้องเข้าไปอยู่ในโพลงเหมือนกระต่ายแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์นั่งถ่างขาบนก้อนหินเขากินขนมปังจนหมดก้อน มือข้างหนึ่งยังถือมะเขือเทศลูกใหญ่แม้มันจะเริ่มเหี่ยวแล้วแต่รสชาติยังดีอยู่ เขาคิดว่าการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยคงทำให้มะเขือเทศที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาน่ากินขึ้นมาได้
เสียงคาโอเรียสำลักน้ำทำให้เขาต้องหันไปมองนางคงเหนื่อยมากกับการเดินทางทั้งวัน สำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่แต่ในบ้านฝึกงานบ้านงานเรือน การเดินทางผาดโผนแบบนี้ก็สาหัสเอาการอยู่
แต่สำหรับเขาเด็กชายชาวไร่ชาวนาชื่นชอบบรรยากาศแบบนี้ท้องฟ้าเวิ้งว้างพร่างพรายด้วยแสงดาว รอบกายรายล้อมไปด้วยผาชันที่เต็มไปด้วยใบหน้าลึกลับคอยจับจ้องอยู่ สายลมพัดมาแต่ละครั้งพวกชวนให้สะดุ้งจนขนลุกกับเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงอยู่ในอากาศ
เบื้องล่างป่ารกชัฏแผ่ไกลออกไปเป็นเงาดำ บางครั้งบางทีก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมา ก่อนจะเงียบหายไปเฉยๆ สถานที่แห่งนี้มีความสงบในแบบของมันเอง พวกเขาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้โดยไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรม ใครจะไปนึกว่าชาวไร่ชาวนาหนุ่มจะพาคณะที่เป็นเด็กและผู้หญิงข้ามหุบเขาต้องสาปนี้
คาโลไรน์ค้นหาน้ำมันหมีผสมสมุนไพรออกมานางส่งไปรอบๆ วงให้ทุกคนได้นวดเท้า ฟิโลโซเฟอร์ถอดรองเท้าออก เขาเพิ่งจะรู้ว่าเท้าของเขาบวมแต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เวลานี้เขากำลังนึกถึงว่าจะตัวมีอะไรบ้างสามารถอาศัยอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ได้พลันสายตาของเขาก็ไปปะกับลูเข้า เขาส่งยิ้มอ่อนให้มันคราวนี้คงลำบากหน่อยนะกระต่ายตัวป่วนคงหาหญ้ากินไม่ได้บนนี้ไม่มีต้นพืชเลย เด็กชายนึกเลยไปถึงมังกรดำเขารู้ว่ามีรังของพวกมันอยู่ที่ไหนสักแห่งในเทือกเขานี้ คาโลไรน์ส่งกระติกน้ำอีกอันให้เขาเด็กชายรับมาดื่มอึกๆ เขากัดมะเขือเทศคำสุดท้ายก่อนจะส่งส่วนที่เหลือให้กระต่ายลู
เสร็จจากการกินอะไรรองท้องแล้ว พวกเขาก็มุดเข้าไปนอนด้านในสุดของโพลงโดยใช้ห่อผ้าต่างหมอน ในโพลงหินนั้นมืดมากคาโอเรียควานมือเข้าไปในห่อผ้าของตัวเอง นางหยิบหินก้อนเล็กๆ ที่พ่อมดดีมีนให้มา หลังจากความพยายามอยู่นานที่จะทำให้มันส่องแสงไร้ผล นางจึงเก็บไว้ที่เดิม เวลาเช่นนี้นางต้องการแสงสว่างเหลือเกิน
อาเธอร์นั่งพิงผนังโพลงหินด้านหนึ่ง มองดูครอบครัวของตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ลูผงกหัวขึ้นดูสายตาของมันแวววาวด้วยความสงสัย ครู่ต่อมาอาเธอร์ก็ลุกขึ้นเขามุดออกไปจากโพลงเงียบๆ พร้อมกับดาบคู่ใจ อาเธอร์พาตัวเองออกมานั่งบนหิน คอยฟังเสียงลมที่ส่งเสียงครางฮือๆ ดังมาเป็นระยะ ใบหน้าลึกลับดูเหมือนจะจับจ้องมาจากทุกทิศทางอย่างมุ่งร้าย
อาเธอร์ขยับตัวอย่างอึดอัดความทรงจำเก่าแก่ที่อยากจะลืม ความเสียใจและหวาดกลัวพุ่งขึ้นเป็นระลอก สถานที่แห่งนี้คือที่ๆ เขาไม่ควรมาเลยสักครั้ง แต่เขากลับก้าวขามาเยือนเป็นคำรบสองช่างโง่เขลานัก ได้แต่หวังว่าเรื่องราวคงไม่จบลงในแบบที่มันเคยจบมาแล้ว
ค้างคาวกลุ่มใหญ่เริ่มออกหากิน มันออกมาจากถ้ำที่ซ่อนตัวในหุบเขานี้ ต่างพากันบินเกาะกลุ่มเป็นลำเหมือนพายุหมุนสีดำขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันบิดตัวม้วนกลับไปยังขอบฟ้าอีกฟากหนึ่ง อาเธอร์นั่งมองมันอย่างนั้นจนค้างคาวตัวสุดท้ายบินลับขอบฟ้าไป นั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวบางทีเขาอาจจะคิดผิดที่เลือกเส้นทางนี้แต่ทางเลือกอื่นก็ดูเหมือนจะถูกปิดตายไปแล้ว นับว่าพวกเขายังโชคดีที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้โดยไม่มีใครเสียสติไปเสียก่อน
“ ท่านพ่อ ”
เสียงหนึ่งเรียกขึ้นจากด้านหลัง
อาเธอร์ลุกพรวดพราดขึ้นเขาชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
“ ข้าทำให้ท่านพ่อตกใจหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดแบบใสซื่อ
ไม่มีท่าทีตกใจกับปฏิกิริยานั้น
“ น้อยไปเสียที่ไหนให้ตายสิทำไมเจ้ายังไม่นอนอีก ”
“ ข้างีบมาแล้ว ท่านพ่อล่ะทำอะไรอยู่ ”
เด็กชายทรุดกายลงข้างเขา
“ เราต้องเดินทางกี่วันจึงจะพ้นหุบเขานี้ไปได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์เปลี่ยนคำถามถามเมื่อเห็นว่าอาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้น
“ ลูกกลัวหรือถ้าหากว่าเราต้องติดอยู่ที่นี่นานๆ ”
อาเธอร์วางมือลงบนไหล่บุตรชาย
“ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เสบียงของเราจะอยู่ได้อีกกี่วันล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะหาอาหารได้ในหุบเขาแห่งนี้ ”
เด็กชายเคาะลูกศรกับคันธนู
อาเธอร์มองบุตรชายของเขาอย่างพิศวงบุตรชายของเขาเติบโตขึ้นมาก
สำหรับเด็กอายุสิบสามที่รู้จักคิดและวางแผน
“ ท่านพ่อไม่เคยเล่าเรื่องโอรีเวียให้ฟังเลย ตอนอยู่ที่นั่นท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ”
“ เจ้าคงต้องไปเห็นเองกับตา ข้าจากมันมานานหนักหนาแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ”
“ เราจะต้องอยู่ที่นั่นนานไหม ”
“ ชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน พ่อเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะละทิ้งโอรีเวียแต่ก็มีเหตุให้ต้องจากมา จากที่ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปเหยียบอีก เวลานี้พวกเรากลับกำลังเดินทางไปที่นั่น คำถามของเจ้าตอบยากนักสถานการณ์ตอนนี้มีปลายทางหลายแห่งคำตอบจึงอยู่ที่จุดสิ้นสุดของปัญหา เว้นแต่เจ้าจะต้องการคำปลอบใจข้าก็คิดคำสวยๆ ไว้ให้แล้วเช่นกัน ”
เด็กชายยิ้มขื่น
เขานึกอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา
แต่คือการหนีปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น
ฟิโลโซเฟอร์นั่งใจลอยมองภาพประหลาดในเงาสลัว แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่อยู่ๆ พระจันทร์ก็ดับแสงลง อาเธอร์ลากเขาเข้าไปในเงื้อมผา เบื้องบนมังกรดำตัวมหึมากำลังบินลดตัวลงต่ำ ปีกของมันกางออกเต็มที่เงาดำปรากฏที่พื้นใต้ร่างดังวิญญาณอำมหิต มันบินโฉบขึ้นเหนือยอดเขาพลางส่งเสียงร้อง พลันก็มีเสียงกรีดแหลมร้องตอบดังบาดลึกและเชือดเฉือนคาโอเรียผุดลุกขึ้นอย่างหวาดกลัว แต่ก็สะกดตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงนางรู้ว่านั่นอาจจะนำความตายมาสู่ทุกคน
ที่ปากถ้ำอาเธอร์ชักดาบออกจากฝักด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
เสียงกรีดแหลมนั่นดังสะท้านในความคิด
“ ไม่นะ! คงไม่ใช่มันอีกนะ ”
เขาอุทาน
เสียงร้องชวนสยองที่เขาอยากลืม
แต่มันคุ้นหูเหลือเกินในยามนี้
ร่างสีดำทะยานขึ้นบนฟากฟ้า ปีกขนาดใหญ่กางออกไปจนมิดพระจันทร์ทั้งดวง มันส่งเสียงร้องกรีดแหลมอีกครั้งก่อนจะบินนำมังกรดำอีกห้าตัวไป ในความมืดสลัวร่างของมันคล้ายมังกรแต่เพียงมองแค่ปราดเดียวก็รู้ถึงความต่าง มันคือบางสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น เสียงร้องของมันห่างออกไปเรื่อยๆ พวกมันคงมีธุระที่อื่น แม้ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี แต่ความหวาดหวั่นก็ยังคงเกาะกุมอยู่ อาเธอร์ได้แต่ผลักดันมันออกไป
“ กลับเข้าไปข้างในซะ ไปอยู่กับน้องสาวของเจ้า ”
อาเธอร์หันมาบอกบุตรชาย
“ ไม่! ”
เด็กชายตอบสั้นๆ
มือกำธนูแน่นนี่ไม่ใช่เวลามาหวาดกลัว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ