โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เสียงในความมืด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอาเธอร์ยกห่อสัมภาระขึ้นสะพายบ่า เขาหันไปเรียกบุตรชายที่กำลังไล่จับแมลงไปตามพุ่มไม้ คาโอเลียลุกขึ้นอย่างอิดออด การที่ต้องเดินเท้ามาครึ่งค่อนวันทำให้นางเหนื่อยล้า เท้าข้างหนึ่งเริ่มบวมจนเห็นได้ชัดคาโลไรน์ได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วง
“ ฟิโลโซเฟอร์ทำอะไรอยู่เราจะไปกันแล้วนะ ”
อาเธอร์ส่งเสียงเตือนเด็กชายตัวน้อยจึงวิ่งจี๋กลับมาคว้าห่อผ้าของตัวเอง คราวนี้ลูถูกปล่อยให้เดินเองมันกระโดดหยอยๆ รั้งท้ายพวกเขาไปสายตายังมองพวงองุ่นป่าอย่างอาลัยอาวรณ์
พวกเขาเดินทางต่ออย่างเร่งรีบโดยเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำ แต่ก็พยายามให้อยู่ใต้ร่มเงาของแมกไม้เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหากจะมีอะไรมองลงมา เถาวัลย์เส้นหนึ่งห้อยลงมาจากกิ่งไม้มันบิดเป็นเกลียวมองเผินๆ เหมือนงูกำลังบิดขี้เกียจ ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่อายุนับร้อยปีแผ่กิ่งก้านปกคลุมตามรายทาง ลำต้นเก่าแก่ของมันปกคลุมด้วยหญ้าบางชนิดดอกสีแดงแผ่ลงมาจนถึงพื้นเหมือนมีเลือดทะลักออกมาจากต้นไม้ไหลนองไปตามพื้น ลึกเข้าไปในป่าหมอกสีขาวเริ่มปกคลุมแน่นหนาขึ้น
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงอาเธอร์คว้าคาโอเรียขึ้นมาไว้ในวงแขนทุกครั้งที่เดินผ่านโขดหินเปียกลื่นเขาไม่อยากให้นางหกล้มบาดเจ็บ หลังจากแวะรับประทานอาหารกลางวันแล้วพวกเขาก็ไม่แวะหยุดพักอีกเลย อาเธอร์รู้สึกเหนื่อยและคนอื่นคงจะเหนื่อยไม่แพ้เขาแต่การเดินทางให้เร็วและเงียบเป็นเรื่องสำคัญ ฟิโลโซเฟอร์เลิกวิ่งไปนานแล้วเขาเดินลากขารั้งท้ายมาพร้อมกับกระต่ายลู สายตาจับจ้องไปข้างหน้าสิ่งที่เขามองเห็นมีแต่แนวป่า เขารู้สึกว่าการเดินทางจะไม่มีที่สิ้นสุดพวกเขาจะไปถึงโอรีเวียได้อย่างไรถ้าหากว่าหลงทางและต้องเดินย่ำอยู่ในป่าตลอดชีวิต ป่าที่ดูมืดอยู่แล้วกลับยิ่งมืดลงไปอีกขณะที่เขาเริ่มหวั่นๆ ว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริงป่าก็เริ่มบางตาลง บนพื้นมีหินภูเขาผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะบางก้อนดูกลมนูนมองรางๆ ผ่านความมืดเหมือนศรีสะของคนหัวโล้นโผล่ขึ้นมาจากดินคอยจับจ้องดูคนที่เดินผ่านไป ป่าแถบนี้เงียบสงัดผิดปรกติฟิโลโซเฟอร์พบว่าเขาไม่เห็นนกและสัตว์อื่นๆ ในละแวกนี้เลย สิ่งที่เห็นแวววาวอยู่เบื้องบนหาใช่ดวงตาของสิ่งมีชีวิตไม่แต่มันเป็นแสงดาวที่ส่องลอดกิ่งไม้ลงมา เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงน้ำตกดังซัดซ่าแต่ถ้าตั้งใจฟังให้ดีในเสียงคำรามของน้ำตกมีอะไรบางอย่ากำลังร้องครวญครางแว่วมาแผ่วๆ
ลูมีท่าทีตื่นกลัวมากขึ้นประสาทสัมผัสของมันดีกว่าของมนุษย์ มันรับรู้ถึงกลิ่นความตายว่ามีอันตรายอยู่ที่นี่ที่ๆ นายของมันกำลังจะมุ่งตรงไป กระต่ายน้อยสอดส่ายสายตาลอกแลกมันพยายามเบียดชิดฟิโลโซเฟอร์จนบางครั้งแทบจะขึ้นไปอยู่บนเท้าของเขา
อาเธอร์มองขึ้นไปตามความสูงของเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า พระอาทิตย์ลาลับยอดไม้ไปแล้วแต่ท้องฟ้ายังปรากฏแสงสลัว แนวเขาสีดำทะมึนเด่นชัดขึ้นมาในแสงนั้นแลดูลึกลับและงดงามแต่ ทว่าเป็นความงามที่ข่มขวัญเหลือเกิน
“ เจอครึ่งยากแล้วสิ ”
เขาพึมพำกับตัวเอง
“ พอเราข้ามเขาลูกนั้นได้โอรีเวียก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ”
อาเธอร์หันไปบอกทุกคน
“ อ่า ฟังดูน่าโล่งใจพิกลแค่ปีนเขาเองเรื่องเล็กน้อย ”
เด็กชายว่า
ในตอนแรกเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าปีนเขา
เพราะเด็กน้อยยังไม่เคยขึ้นเขาเลยรู้สึกแปลกใหม่
แต่เมื่อมาเห็นของจริงความฮึกเหิมที่มีพลันหายวูบ
ฟิโลโซเฟอร์ลืมไปว่าเทือกเขานี้หลายชื่อ
แต่ละชื่อล้วนไม่เป็นมงคล
พวกเขาตกลงกันว่าจะพักรับประทานอาหารก่อนจะปีนขึ้นเขาในคืนนี้เขาเลย และจะหาถ้ำดีๆ สักแห่งที่พอจะอาศัยหลับนอนได้ ถ้าโชคดีอาจจะพบช่องเขาแตกที่สามารถลัดตัดผ่านไปได้ ยังไงเขาคงไม่ต้องปีนจนถึงยอดเขาถ้าไม่จำเป็น
ในระหว่างที่รออาเธอร์ไปหาอาหารคาโลไรน์พาลูกๆ นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ นางมองเงาสีดำของแนวเขาที่พุ่งทะยานสูงเฉียดฟ้า สายลมพัดมาพอรู้สึกแต่มีอำนาจทำไห้คนที่มีใจอ่อนไหวหนาวเยือกได้ ข้ามเขาลูกนี้ไปอย่างนั้นหรือนางเคยได้ยินชื่อเสียงของเทือกเขาแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก มาจนบัดนี้ชื่อเสียงของมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย อาเธอร์กลับมาอีกครั้งเขานำผลไม้ป่าลูกใหญ่ที่ฉ่ำหวานและไร้รอยกัดแทะเพราะในบริเวณนี้ไม่มีสัตว์กินพืชอาศัยอยู่
พวกเขารับประทานอาหารกันอย่างเร่งรีบ เพราะอาเธอร์ยืนยันว่าคืนนี้ต้องนอนกันในหุบเขา เมื่อเห็นว่าคาโลไรน์ยังมีท่าทีหวาดกลัว เขาก็รั้งนางเข้ามากอดไว้ด้วยวงแขนอันแข็งแกร่ง
“ เราต้องข้ามมันไปจริงๆ หรือในยุคสมัยนี้แม้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่กล้าทำสิ่งนี้เลย ”
นางกระซิบ
“ ถูกแล้วแต่ข้าเป็นนักรบยุคเก่าครั้งหนึ่งข้าเคยข้ามมันมาแล้วและในตอนนี้ข้าก็จะข้ามมันอีก แม้ไม่มีทหารเรือนหมื่นตามมาด้วยแต่ข้ามีเจ้ากับลูกๆ ทั้งหมดนี้คือพลังอันยิ่งใหญ่ ข้าเชื่อว่าเราต้องฝ่าฟันไปได้ แล้วเจ้าจะเชื่อข้าสักครั้งจะได้หรือเปล่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไปด้วยกัน ”
“ ข้าเชื่อใจท่านแต่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้ ”
“ ป่าซีร์ดานั้นกว้างใหญ่นักแต่เราสามารถข้ามมาได้ในวันเดียว ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด เห็นได้ชัดว่าเรามีดวงอยู่บ้างหรืออาจจะเป็นเพราะการขอพรของเจ้า บางทีการข้ามเขาอาจง่ายกว่าที่คิด ”
อาเธอร์แนบใบหน้าลงบนใบหน้าของนาง พระจันทร์โผล่พ้นเงื้อมผาขึ้นมาท้องฟ้าจึงสว่างเรื่อเรืองขึ้นทำให้เทือกเขาตรงหน้าชัดเจนขึ้น ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องเข้าไปในนั้นแต่ถ้าเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่มันก็จะสิ้นสุดเร็วเท่านั้นถึงแม้จุดจบมันอาจจะเศร้าก็ตาม พวกเขาเดินลัดเลอะไปตามชะง่อนผาปีนป่ายไปตามทางที่ลาดเอียงสองมือคลำไปตามทางที่มืดมิด
ฟิโลโซเฟอร์เริ่มคึกคะนองขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามจะเร่งตัวเองให้เร็วขึ้นจึงก้าวพลาดลื่นล้มจนเข่าชนเข้ากับแง่งหินแต่เขายังไม่เข็ด เมฆที่เคยกระจายอยู่ทั่วฟ้ากลับมลายไปพระจันทร์สีเงินลอยเด่นขึ้นเหนือยอดเขาทั่วอาณาบริเวณจึงกระจ่างขึ้น
คาโอเรียพยายามเดินให้เร็วเพื่อว่าจะได้ไม่เป็นตัวถ่วง สายลมแรงพัดมาวูบหนึ่งเสียงกระซิบกระซาบจากที่ไหนสักแห่งก็ดังชัดเจนขึ้น เด็กหญิงหันมองตามหาต้นเสียง ท่ามกลางแสงสลัวของพระจันทร์นางพบกับใบหน้าบิดเบี้ยวนับร้อยกำลังจ้องมองลงมาจากผาสูง บางใบหน้ากำลังสะเหยาะแยกเขี้ยว บางใบหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดเด็กหญิงยกมือขึ้นปิดปาก นางดึงเสื้อของอาเธอร์ไว้อย่างร้อนรน
“ ท่านพ่อ! มีคนอยู่ตรงนั้นบนผานั่นกำลังจ้องเราอยู่ ”
นางละล่ำละลัก
“ จริงด้วย! ข้าได้ยินเสียงกระซิบคุยกัน แต่ในหุบเขาแห่งนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเรามิใช่หรือ แล้วนั่นใครกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นบ้าง
เขาเองก็ตื่นกลัวแต่ไม่ถึงกับขวัญเสีย
เด็กชายได้ยินมาว่าหุบเขานี้มีปีศาจแต่สิ่งที่เห็นยากจะบอกว่ามันคืออะไร
“ นั่นเป็นที่มาของชื่อหุบเขาอย่างไรล่ะ ที่เห็นนั่นไม่ใช่ใบหน้าของคนจริงๆ หรอก มันเป็นเพียงเงาสะท้อนของเหลี่ยมเขาเท่านั้นเอง เสียงกระซิบที่ได้ยินก็เป็นเพียงเสียงลมกระทบร่องหิน ดูสิถ้าลมสงบเสียงนั่นก็จะหายไป ภาพลักษณ์ของมันอาจจะน่ากลัวแต่แท้จริงแล้วมันไม่อาจทำอันตรายเราได้ ”
อาเธอร์อธิบาย
“ แบบนี้หรือที่ว่าทำอะไรไม่ได้ ถ้าต้องแช่อยู่ที่นี่นานกว่านี้มีหวังได้เสียสติกันแน่ ”
คาโลไรน์บ่น
พวกเขายังคงไต่ไปตามรอยแยกของหินจนมาถึงผาเตี้ยๆ โชคดีที่อาเธอร์นำเชือกติดตัวมาด้วย เขาปีนหน้าผาขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วโดยมีบุตรชายตามหลังไปติดๆ อาเธอร์หันกลับไปฉุดเด็กน้อยขึ้นมาเด็กชายนอนคว่ำหน้าบนลานหินแล้วชะโงกกลับลงไป
“ ปีนอย่างเหนื่อยสุดท้ายได้ความสูงเท่านี้ ”
เด็กชายว่าพลางหอบน้อยๆ
“ ยังไม่ต้องกังวลเรื่องความสูงนักหรอก เราแค่จะหาที่นอนเหมาะๆ สูงขึ้นมาหน่อยให้พ้นระยะคมเขี้ยวหมาป่า ”
อาเธอร์อธิบาย
“ แต่ข้ามั่นใจว่าที่นี่ไม่มีหมาป่า ”
เด็กชายว่า
“ มีหรือไม่เราก็ต้องเผื่อเอาไว้จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ”
อาเธอร์บอกพลางคลายเชือกออกจากขด ปลายข้างหนึ่งผูกเข้ากับแท่งหินอีกข้างม้วนเป็นวงแล้วโยนเชือกลงไป คาโลไรน์คว้าเชือกมาพันรอบตัวเองและบุตรสาวเอาไว้ สองมือสาวเชือกขึ้นไป
คาโอเรียกอดคอมารดาไว้แน่นทั้ง สองไถครูดขึ้นไปตามแผ่นหินที่เย็นชืด ด้านบนอาเธอร์กับบุตรชายช่วยกันสาวเชือกอย่างเอาเป็นเอาตาย ในที่สุดทั้งคู่ก็พ้นขอบหินขึ้นมา ฟิโลโซเฟอร์เข้ามาช่วยดึงมือคาโลไรน์จนนางขึ้นมาจากขอบผาได้สำเร็จ
คาโอเรียปล่อยลูให้เป็นอิสระอีกครั้ง ตรงที่พวกเขายืนอยู่เป็นลานหินกว้าง ถัดออกไปเป็นเป็นผาสูงชันอีกทอดหนึ่ง ฟิโลโซเฟอร์แหงนมองตามความสูงขึ้นไป
“ เรายังต้องปีนต่ออีกหรือเปล่าฮะ ”
เด็กชายถามเสียงท้อแท้
หน้าผาฝั่งนี้ราบเรียบและสูงชันเกินกว่าจะปีนป่าย
เขายังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่าจะมีใครเคยปีนข้ามมาก่อนและเขาก็ไม่นึกอยากลอง
“ ไม่หรอก มันต้องมีทางอื่น อย่างเช่นช่องเขาแยกสักทางแค่เรายังหาไม่เจอเท่านั้นเอง แต่ถ้าจำเป็นต้องปีนจริงๆ ยังไงก็ไม่ใช่ตรงนี้มันอันตรายเกินไป ”
อาเธอร์ตอบ
“ นั่นสินะข้าว่านอกจากแมลงแล้วคงไม่มีไครอยากขึ้นไปเกาะอยู่บนนั้น แต่นี่จะมีใครในซีนาร์ยรู้หรือเปล่าว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องมาทำอะไรแผลงๆ อย่างเช่นปีนเขาแถมเป็นหุบเขาที่น้อยคนจะกล้าเฉียดใกล้เสียด้วย ”
คาโลไรน์พูดนางไม่ชอบใจเลยที่บุตรสาวของนางต้องมาทำอะไรโลดโผน
“ ข้าเสียใจ ”
อาเธอร์หมายความตามนั้นจริงๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ