โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) เสียงในความมืด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อาเธอร์ยกห่อสัมภาระขึ้นสะพายบ่า   เขาหันไปเรียกบุตรชายที่กำลังไล่จับแมลงไปตามพุ่มไม้   คาโอเลียลุกขึ้นอย่างอิดออด   การที่ต้องเดินเท้ามาครึ่งค่อนวันทำให้นางเหนื่อยล้า   เท้าข้างหนึ่งเริ่มบวมจนเห็นได้ชัดคาโลไรน์ได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วง

 

“ ฟิโลโซเฟอร์ทำอะไรอยู่เราจะไปกันแล้วนะ ”

 

อาเธอร์ส่งเสียงเตือนเด็กชายตัวน้อยจึงวิ่งจี๋กลับมาคว้าห่อผ้าของตัวเอง   คราวนี้ลูถูกปล่อยให้เดินเองมันกระโดดหยอยๆ รั้งท้ายพวกเขาไปสายตายังมองพวงองุ่นป่าอย่างอาลัยอาวรณ์

 

            พวกเขาเดินทางต่ออย่างเร่งรีบโดยเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำ   แต่ก็พยายามให้อยู่ใต้ร่มเงาของแมกไม้เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหากจะมีอะไรมองลงมา   เถาวัลย์เส้นหนึ่งห้อยลงมาจากกิ่งไม้มันบิดเป็นเกลียวมองเผินๆ เหมือนงูกำลังบิดขี้เกียจ   ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่อายุนับร้อยปีแผ่กิ่งก้านปกคลุมตามรายทาง   ลำต้นเก่าแก่ของมันปกคลุมด้วยหญ้าบางชนิดดอกสีแดงแผ่ลงมาจนถึงพื้นเหมือนมีเลือดทะลักออกมาจากต้นไม้ไหลนองไปตามพื้น   ลึกเข้าไปในป่าหมอกสีขาวเริ่มปกคลุมแน่นหนาขึ้น

 

            อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงอาเธอร์คว้าคาโอเรียขึ้นมาไว้ในวงแขนทุกครั้งที่เดินผ่านโขดหินเปียกลื่นเขาไม่อยากให้นางหกล้มบาดเจ็บ   หลังจากแวะรับประทานอาหารกลางวันแล้วพวกเขาก็ไม่แวะหยุดพักอีกเลย   อาเธอร์รู้สึกเหนื่อยและคนอื่นคงจะเหนื่อยไม่แพ้เขาแต่การเดินทางให้เร็วและเงียบเป็นเรื่องสำคัญ   ฟิโลโซเฟอร์เลิกวิ่งไปนานแล้วเขาเดินลากขารั้งท้ายมาพร้อมกับกระต่ายลู   สายตาจับจ้องไปข้างหน้าสิ่งที่เขามองเห็นมีแต่แนวป่า   เขารู้สึกว่าการเดินทางจะไม่มีที่สิ้นสุดพวกเขาจะไปถึงโอรีเวียได้อย่างไรถ้าหากว่าหลงทางและต้องเดินย่ำอยู่ในป่าตลอดชีวิต   ป่าที่ดูมืดอยู่แล้วกลับยิ่งมืดลงไปอีกขณะที่เขาเริ่มหวั่นๆ ว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริงป่าก็เริ่มบางตาลง   บนพื้นมีหินภูเขาผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะบางก้อนดูกลมนูนมองรางๆ ผ่านความมืดเหมือนศรีสะของคนหัวโล้นโผล่ขึ้นมาจากดินคอยจับจ้องดูคนที่เดินผ่านไป   ป่าแถบนี้เงียบสงัดผิดปรกติฟิโลโซเฟอร์พบว่าเขาไม่เห็นนกและสัตว์อื่นๆ ในละแวกนี้เลย   สิ่งที่เห็นแวววาวอยู่เบื้องบนหาใช่ดวงตาของสิ่งมีชีวิตไม่แต่มันเป็นแสงดาวที่ส่องลอดกิ่งไม้ลงมา   เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงน้ำตกดังซัดซ่าแต่ถ้าตั้งใจฟังให้ดีในเสียงคำรามของน้ำตกมีอะไรบางอย่ากำลังร้องครวญครางแว่วมาแผ่วๆ

 

 

            ลูมีท่าทีตื่นกลัวมากขึ้นประสาทสัมผัสของมันดีกว่าของมนุษย์   มันรับรู้ถึงกลิ่นความตายว่ามีอันตรายอยู่ที่นี่ที่ๆ นายของมันกำลังจะมุ่งตรงไป   กระต่ายน้อยสอดส่ายสายตาลอกแลกมันพยายามเบียดชิดฟิโลโซเฟอร์จนบางครั้งแทบจะขึ้นไปอยู่บนเท้าของเขา

 

อาเธอร์มองขึ้นไปตามความสูงของเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า   พระอาทิตย์ลาลับยอดไม้ไปแล้วแต่ท้องฟ้ายังปรากฏแสงสลัว   แนวเขาสีดำทะมึนเด่นชัดขึ้นมาในแสงนั้นแลดูลึกลับและงดงามแต่   ทว่าเป็นความงามที่ข่มขวัญเหลือเกิน

 

“ เจอครึ่งยากแล้วสิ ”

 

เขาพึมพำกับตัวเอง

 

“ พอเราข้ามเขาลูกนั้นได้โอรีเวียก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ”

 

อาเธอร์หันไปบอกทุกคน

 

“ อ่า   ฟังดูน่าโล่งใจพิกลแค่ปีนเขาเองเรื่องเล็กน้อย ”

 

เด็กชายว่า

ในตอนแรกเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าปีนเขา

เพราะเด็กน้อยยังไม่เคยขึ้นเขาเลยรู้สึกแปลกใหม่

แต่เมื่อมาเห็นของจริงความฮึกเหิมที่มีพลันหายวูบ

ฟิโลโซเฟอร์ลืมไปว่าเทือกเขานี้หลายชื่อ

แต่ละชื่อล้วนไม่เป็นมงคล

 

 

พวกเขาตกลงกันว่าจะพักรับประทานอาหารก่อนจะปีนขึ้นเขาในคืนนี้เขาเลย   และจะหาถ้ำดีๆ สักแห่งที่พอจะอาศัยหลับนอนได้   ถ้าโชคดีอาจจะพบช่องเขาแตกที่สามารถลัดตัดผ่านไปได้    ยังไงเขาคงไม่ต้องปีนจนถึงยอดเขาถ้าไม่จำเป็น

 

ในระหว่างที่รออาเธอร์ไปหาอาหารคาโลไรน์พาลูกๆ นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่   นางมองเงาสีดำของแนวเขาที่พุ่งทะยานสูงเฉียดฟ้า   สายลมพัดมาพอรู้สึกแต่มีอำนาจทำไห้คนที่มีใจอ่อนไหวหนาวเยือกได้   ข้ามเขาลูกนี้ไปอย่างนั้นหรือนางเคยได้ยินชื่อเสียงของเทือกเขาแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก   มาจนบัดนี้ชื่อเสียงของมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย   อาเธอร์กลับมาอีกครั้งเขานำผลไม้ป่าลูกใหญ่ที่ฉ่ำหวานและไร้รอยกัดแทะเพราะในบริเวณนี้ไม่มีสัตว์กินพืชอาศัยอยู่

 

พวกเขารับประทานอาหารกันอย่างเร่งรีบ   เพราะอาเธอร์ยืนยันว่าคืนนี้ต้องนอนกันในหุบเขา   เมื่อเห็นว่าคาโลไรน์ยังมีท่าทีหวาดกลัว   เขาก็รั้งนางเข้ามากอดไว้ด้วยวงแขนอันแข็งแกร่ง

 

 “ เราต้องข้ามมันไปจริงๆ หรือในยุคสมัยนี้แม้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่กล้าทำสิ่งนี้เลย ”

 

นางกระซิบ

 

“ ถูกแล้วแต่ข้าเป็นนักรบยุคเก่าครั้งหนึ่งข้าเคยข้ามมันมาแล้วและในตอนนี้ข้าก็จะข้ามมันอีก   แม้ไม่มีทหารเรือนหมื่นตามมาด้วยแต่ข้ามีเจ้ากับลูกๆ ทั้งหมดนี้คือพลังอันยิ่งใหญ่   ข้าเชื่อว่าเราต้องฝ่าฟันไปได้   แล้วเจ้าจะเชื่อข้าสักครั้งจะได้หรือเปล่า   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไปด้วยกัน ”

 

“ ข้าเชื่อใจท่านแต่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้ ”

 

“ ป่าซีร์ดานั้นกว้างใหญ่นักแต่เราสามารถข้ามมาได้ในวันเดียว   ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด   เห็นได้ชัดว่าเรามีดวงอยู่บ้างหรืออาจจะเป็นเพราะการขอพรของเจ้า   บางทีการข้ามเขาอาจง่ายกว่าที่คิด ”

 

อาเธอร์แนบใบหน้าลงบนใบหน้าของนาง   พระจันทร์โผล่พ้นเงื้อมผาขึ้นมาท้องฟ้าจึงสว่างเรื่อเรืองขึ้นทำให้เทือกเขาตรงหน้าชัดเจนขึ้น   ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องเข้าไปในนั้นแต่ถ้าเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่มันก็จะสิ้นสุดเร็วเท่านั้นถึงแม้จุดจบมันอาจจะเศร้าก็ตาม   พวกเขาเดินลัดเลอะไปตามชะง่อนผาปีนป่ายไปตามทางที่ลาดเอียงสองมือคลำไปตามทางที่มืดมิด   

 

ฟิโลโซเฟอร์เริ่มคึกคะนองขึ้นมาอีกครั้ง   เขาพยายามจะเร่งตัวเองให้เร็วขึ้นจึงก้าวพลาดลื่นล้มจนเข่าชนเข้ากับแง่งหินแต่เขายังไม่เข็ด   เมฆที่เคยกระจายอยู่ทั่วฟ้ากลับมลายไปพระจันทร์สีเงินลอยเด่นขึ้นเหนือยอดเขาทั่วอาณาบริเวณจึงกระจ่างขึ้น    

 

คาโอเรียพยายามเดินให้เร็วเพื่อว่าจะได้ไม่เป็นตัวถ่วง   สายลมแรงพัดมาวูบหนึ่งเสียงกระซิบกระซาบจากที่ไหนสักแห่งก็ดังชัดเจนขึ้น   เด็กหญิงหันมองตามหาต้นเสียง   ท่ามกลางแสงสลัวของพระจันทร์นางพบกับใบหน้าบิดเบี้ยวนับร้อยกำลังจ้องมองลงมาจากผาสูง   บางใบหน้ากำลังสะเหยาะแยกเขี้ยว   บางใบหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดเด็กหญิงยกมือขึ้นปิดปาก   นางดึงเสื้อของอาเธอร์ไว้อย่างร้อนรน

 

“ ท่านพ่อ!  มีคนอยู่ตรงนั้นบนผานั่นกำลังจ้องเราอยู่ ”

 

นางละล่ำละลัก

 

“ จริงด้วย!  ข้าได้ยินเสียงกระซิบคุยกัน   แต่ในหุบเขาแห่งนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเรามิใช่หรือ   แล้วนั่นใครกัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นบ้าง

เขาเองก็ตื่นกลัวแต่ไม่ถึงกับขวัญเสีย

เด็กชายได้ยินมาว่าหุบเขานี้มีปีศาจแต่สิ่งที่เห็นยากจะบอกว่ามันคืออะไร

 

“ นั่นเป็นที่มาของชื่อหุบเขาอย่างไรล่ะ   ที่เห็นนั่นไม่ใช่ใบหน้าของคนจริงๆ หรอก   มันเป็นเพียงเงาสะท้อนของเหลี่ยมเขาเท่านั้นเอง   เสียงกระซิบที่ได้ยินก็เป็นเพียงเสียงลมกระทบร่องหิน   ดูสิถ้าลมสงบเสียงนั่นก็จะหายไป  ภาพลักษณ์ของมันอาจจะน่ากลัวแต่แท้จริงแล้วมันไม่อาจทำอันตรายเราได้ ” 

 

อาเธอร์อธิบาย

 

“ แบบนี้หรือที่ว่าทำอะไรไม่ได้   ถ้าต้องแช่อยู่ที่นี่นานกว่านี้มีหวังได้เสียสติกันแน่ ”

 

คาโลไรน์บ่น

 

 

            พวกเขายังคงไต่ไปตามรอยแยกของหินจนมาถึงผาเตี้ยๆ โชคดีที่อาเธอร์นำเชือกติดตัวมาด้วย   เขาปีนหน้าผาขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วโดยมีบุตรชายตามหลังไปติดๆ  อาเธอร์หันกลับไปฉุดเด็กน้อยขึ้นมาเด็กชายนอนคว่ำหน้าบนลานหินแล้วชะโงกกลับลงไป

 

“ ปีนอย่างเหนื่อยสุดท้ายได้ความสูงเท่านี้ ”

 

เด็กชายว่าพลางหอบน้อยๆ

 

“ ยังไม่ต้องกังวลเรื่องความสูงนักหรอก   เราแค่จะหาที่นอนเหมาะๆ สูงขึ้นมาหน่อยให้พ้นระยะคมเขี้ยวหมาป่า ”

 

อาเธอร์อธิบาย

 

“ แต่ข้ามั่นใจว่าที่นี่ไม่มีหมาป่า ”

 

เด็กชายว่า

 

“ มีหรือไม่เราก็ต้องเผื่อเอาไว้จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ”

 

อาเธอร์บอกพลางคลายเชือกออกจากขด   ปลายข้างหนึ่งผูกเข้ากับแท่งหินอีกข้างม้วนเป็นวงแล้วโยนเชือกลงไป   คาโลไรน์คว้าเชือกมาพันรอบตัวเองและบุตรสาวเอาไว้    สองมือสาวเชือกขึ้นไป  

 

คาโอเรียกอดคอมารดาไว้แน่นทั้ง   สองไถครูดขึ้นไปตามแผ่นหินที่เย็นชืด   ด้านบนอาเธอร์กับบุตรชายช่วยกันสาวเชือกอย่างเอาเป็นเอาตาย   ในที่สุดทั้งคู่ก็พ้นขอบหินขึ้นมา   ฟิโลโซเฟอร์เข้ามาช่วยดึงมือคาโลไรน์จนนางขึ้นมาจากขอบผาได้สำเร็จ

 

 

            คาโอเรียปล่อยลูให้เป็นอิสระอีกครั้ง   ตรงที่พวกเขายืนอยู่เป็นลานหินกว้าง   ถัดออกไปเป็นเป็นผาสูงชันอีกทอดหนึ่ง   ฟิโลโซเฟอร์แหงนมองตามความสูงขึ้นไป

 

“ เรายังต้องปีนต่ออีกหรือเปล่าฮะ ”

 

เด็กชายถามเสียงท้อแท้

หน้าผาฝั่งนี้ราบเรียบและสูงชันเกินกว่าจะปีนป่าย

เขายังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่าจะมีใครเคยปีนข้ามมาก่อนและเขาก็ไม่นึกอยากลอง

 

“ ไม่หรอก   มันต้องมีทางอื่น   อย่างเช่นช่องเขาแยกสักทางแค่เรายังหาไม่เจอเท่านั้นเอง   แต่ถ้าจำเป็นต้องปีนจริงๆ ยังไงก็ไม่ใช่ตรงนี้มันอันตรายเกินไป ”

 

อาเธอร์ตอบ

 

“ นั่นสินะข้าว่านอกจากแมลงแล้วคงไม่มีไครอยากขึ้นไปเกาะอยู่บนนั้น   แต่นี่จะมีใครในซีนาร์ยรู้หรือเปล่าว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องมาทำอะไรแผลงๆ อย่างเช่นปีนเขาแถมเป็นหุบเขาที่น้อยคนจะกล้าเฉียดใกล้เสียด้วย ”

 

คาโลไรน์พูดนางไม่ชอบใจเลยที่บุตรสาวของนางต้องมาทำอะไรโลดโผน

 

“ ข้าเสียใจ ”

 

อาเธอร์หมายความตามนั้นจริงๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา