โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
131) เลือดที่แห้งกรัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อจอมเวทวาลานและคณะมาถึง ดารีลยังคงยืนหลังพิงผนังหันหน้าเข้าหาประตูบานนั้น คทาสีเงินในมือหมุนวนไปมาอย่างเลื่อนลอย
ผู้ที่เดินนำมาก่อนนั้นคือโธริน เสียงของเขาดังก้องมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว พ่อมดวัยกลางคนผู้นั้นกำลังสาธยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นราวกับว่าเขานั้นรู้ดีที่สุด
ครั้นวาลานมองเห็นพ่อมดน้อย
เขาก็พุ่งเข้าไปหา
“ เจ้าไม่เป็นไรนะ ”
เสียงที่ถามไถ่นั้นอาทรยิ่งนัก
แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มน้อยคนนั้นจะได้ตอบ
โธรินก็แทรกขึ้นก่อน
“ แค่ยืนบิดขี้เกียจก็คงไม่ถึงกับต้องบาดเจ็บหรอกจริงไหม ”
ดารีลไม่สนใจคำแดกดันดังกล่าว
เขาชี้นิ้วไปที่ประตู
“ ข้าได้กลิ่นมนต์ดำจากหลังประตูบานนั้น ”
“ ก็แค่กลิ่นจางๆ ทำเป็นกระต่ายขี้ตื่นไปได้เจ้าเด็กอมมือ ดังโบราณกล่าวเอาไว้ว่าคำล่ำลือก็คือเรื่องขี้โม้ ที่ได้ยินมาว่าเจ้าเก่งนักเก่งหนาคงเป็นแค่ลมปากสินะ เอาล่ะข้าจะแสดงให้ดูว่าคนเก่งตัวจริงเขาจัดการเรื่องนี้กันอย่างไร ”
โธรินว่าแล้วเดินตรงไปที่ประตู
ดารีลไม่ตอบโต้อะไร
เขาแค่พุงไปหลบด้านหลังของคนที่ยืนนอกสุด
แล้วส่งรอยยิ้มลึกลับมาให้
จอมเวทวาลานก็ถอยออกมาหลายก้าว
นั่นทำให้ผู้ใช้เวทมนต์คนอื่นๆ ถอยตามด้วยสีหน้าวิตกกังวล
มีเพียงเบรนทรัส
ท่านที่ปรึกษาของวาลานที่ยังยืนนิ่ง
แต่แววตาที่มองดารีลนั้นขุ่นมัวไม่น้อย
พ่อมดโธรินเมื่อเห็นอาการดังกล่าวก็หยุดชะงัก
เขาอ้ำอึ้งอยู่เป็นครู่
สุดท้ายจึงกล่าวว่า
“ ขออภัย พอดีข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าข้าเป็นคนลงมือมันคงจะเป็นการตัดหน้าผู้อื่น ซึ่งดูจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย ท่านวาลานทานโปรดตัดสินเถิดว่าใครควรได้รับเกียรตินี้ ส่วนข้านั้นซื่อเสียงก็เฟื่องฟูจนเกินพอแล้ว ขอสละให้ผู้อ่อนด้อยกว่าก็แล้วกัน ”
แล้วเขาก็เดินถอยออกมาไกลที่สุด
เจ้าแห่งผู้ใช้เวทมนตร์สบตากับดารีลแล้วทำเฉย
ผู้ใช้เวทมนตร์ที่เหลือเริ่มกระสับกระส่าย
“ ให้ตายสิ เด็กมันชวนเล่นพวกท่านก็ทำเป็นเล่นไปกับเด็ก สักหน่อยคงเสียรู้เพราะเด็กกันเท่านั้น ข้าเตือนท่านหลายครั้งแล้ว ดารีลไม่ใช่เด็กธรรมดาแต่เป็นเด็กนรกเลยที่เดียว เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังปล่อยให้ทำตัวไม่ไร้สาระ น่าเอือมระอาเป็นที่สุด ”
เบรนทรัสกล่าว
เขาเดินอาดๆ ไปที่ประตู
ประทับฝ่ามือลงไป
กลอนประตูทั้งหลายก็ร่วงหล่น
เมื่อประตูเปิดออกสิ่งแรกที่ได้เห็น
คือตราดาวหกแฉกบนบานประตูด้านใน
มันถูกเขียนขึ้นด้วยโลหิต
ซึ่งตอนนี้ก็แห้งกรังไปแล้ว
เหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ต่างทยอยกันเข้าไปในห้องนั้น
เหลือเพียงดารีลกับโธรินเท่านั้น
ที่ยืนชั่งใจกันอยู่
ว่าผู้ใดจะเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
ในที่สุดหนุ่มน้อยรูปงามก็เป็นคนก้าวเข้าไปก่อน
เพราะโธรินแสดงท่าทีแจ้งชัดแล้วว่า
ร้ายดีอย่างไร
เขาจะต้องเข้าไปเป็นคนสุดท้ายให้ได้
ภายในห้องนั้นดูเรียบร้อยดี
ประตูหน้าต่างปิดไว้อย่างมิดชิด
ข้าวของในห้องก็ดูปรกติ
ไร้ร่องรอยการต่อสู้หรือเหตุรุนแรงใด
มีเพียงผนังทั้งสี่ด้าน
ที่ปรากฏรูปดาวหกแฉกล้อมกรอบด้วยวงกลม
“ นี่เป็นค่ายมนต์ดำอีกหรือเปล่า ”
พ่อมดโธรินถามเสียงสั่น
เรื่องสยองในบริเวณอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพยังตามหลอกหลอนไม่หาย
“ ไม่หรอก ไอพลังเจือจางเกินกว่าที่จะก่อให้เกิดสิ่งชั่วร้าย นี่แค่เป็นการประกาศตัวว่าเป็นฝีมือของผู้ใช้มนต์ดำเท่านั้น ”
เคียดันกล่าว
“ แหม่ สมแล้วที่เป็นท่านเคียดัน อันที่จริงข้าก็รู้อยู่หรอกเพียงแต่อยากลองภูมิท่านดูเท่านั้น ว่ามีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ ”
เมื่อสำรวจไปรอบๆห้อง
จึงได้พบกับอาจารย์โดเฮเกน
เขานั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน
ด้านหน้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
ในมือยังกำปากกาขนนกไว้ไม่ยอมวาง
ทุกอย่างดูปรกติแสนธรรมดา
เว้นแต่ว่า
โดเฮเกนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่มีหัว
แม่มดชุดชุดม่วงคนหนึ่งพ่นลมหายใจดังพรืด
นางถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง
จอมเวทวาลานเดินเข้าไปดูกระดาษแผ่นนั้น
ดารีลจะเข้าไปดูบ้าง
แต่ถูกที่ปรึกษาวาลานยกแขนกันไว้เสียก่อน
“ เจ้าเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการสืบสวนมาหรือไง ”
ชายชราเอ่ยตำหนิ
“ ไม่เคย แต่ศพที่ถูกฆาตกรรมนั้นเห็นมาพอสมควรแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะหยุดข้าด้วยเหตุใด ศพคงไม่กลายร่างเพียงเพราะข้าเข้าใกล้หรอกนะ ”
หนุ่มน้อยนักเวทว่า
“ ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น เจ้าน่ะเป็นเด็กอวดรู้ซ้ำยังไม่มีอาจารย์ ไปยืนดูห่างๆ ให้คนอื่นเขาทำ ส่วนเจ้าคอยมองคอยจดจำเอาไว้จะดีกว่า ในเมื่อไม่คิดจะมีอาจารย์เจ้าต้องเรียนรู้ด้วยการสังเกตจากผู้อื่น ไม่ใช่ว่าคิดอยากทำอะไรก็ทำไปไม่ปรึกษาใครเลย ”
ดารีลเม้มปากบางเฉียบทีหนึ่ง
ด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
แต่ก็ยอมถอยไปโดยดี
จอมเวทวาลานหยิบกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ดารีล
แล้วกล่าวว่า
“ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนในอาณัติของท่าน ไปตำหนิเขาแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ ”
เบรนทรัสไม่ว่าอะไร
แต่หน้านั้นตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดารีลหยิบกระดาษแผ่นนั้น
ส่งต่อให้ที่ปรึกษาวาลาน
โดยไม่คิดแม้แต่จะชำเลืองดูข้อความในนั้น
รอยยิ้มเย้ยหยันระบายที่มุมปากข้างหนึ่ง
“ เอาล่ะ ข้าจะตั้งใจสังเกตท่านให้ดี อยากเสี้ยมสอนอะไรก็ว่ามาเลย ”
“ ดารีล เจ้าอย่ากล่าวเช่นนั้นกับเบรนทรัส เขาเป็นผู้มากความรู้คนหนึ่ง คำพูดของเขาความจริงแล้วล้วนมีประโยชน์ ”
วาลานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เบรนทรัสมองเจ้านายของตนสลับกับดารีล
เขาคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมา
สายตานั้นเอือมระอาเป็นที่สุด
ผู้ที่เดินนำมาก่อนนั้นคือโธริน เสียงของเขาดังก้องมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว พ่อมดวัยกลางคนผู้นั้นกำลังสาธยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นราวกับว่าเขานั้นรู้ดีที่สุด
ครั้นวาลานมองเห็นพ่อมดน้อย
เขาก็พุ่งเข้าไปหา
“ เจ้าไม่เป็นไรนะ ”
เสียงที่ถามไถ่นั้นอาทรยิ่งนัก
แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มน้อยคนนั้นจะได้ตอบ
โธรินก็แทรกขึ้นก่อน
“ แค่ยืนบิดขี้เกียจก็คงไม่ถึงกับต้องบาดเจ็บหรอกจริงไหม ”
ดารีลไม่สนใจคำแดกดันดังกล่าว
เขาชี้นิ้วไปที่ประตู
“ ข้าได้กลิ่นมนต์ดำจากหลังประตูบานนั้น ”
“ ก็แค่กลิ่นจางๆ ทำเป็นกระต่ายขี้ตื่นไปได้เจ้าเด็กอมมือ ดังโบราณกล่าวเอาไว้ว่าคำล่ำลือก็คือเรื่องขี้โม้ ที่ได้ยินมาว่าเจ้าเก่งนักเก่งหนาคงเป็นแค่ลมปากสินะ เอาล่ะข้าจะแสดงให้ดูว่าคนเก่งตัวจริงเขาจัดการเรื่องนี้กันอย่างไร ”
โธรินว่าแล้วเดินตรงไปที่ประตู
ดารีลไม่ตอบโต้อะไร
เขาแค่พุงไปหลบด้านหลังของคนที่ยืนนอกสุด
แล้วส่งรอยยิ้มลึกลับมาให้
จอมเวทวาลานก็ถอยออกมาหลายก้าว
นั่นทำให้ผู้ใช้เวทมนต์คนอื่นๆ ถอยตามด้วยสีหน้าวิตกกังวล
มีเพียงเบรนทรัส
ท่านที่ปรึกษาของวาลานที่ยังยืนนิ่ง
แต่แววตาที่มองดารีลนั้นขุ่นมัวไม่น้อย
พ่อมดโธรินเมื่อเห็นอาการดังกล่าวก็หยุดชะงัก
เขาอ้ำอึ้งอยู่เป็นครู่
สุดท้ายจึงกล่าวว่า
“ ขออภัย พอดีข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าข้าเป็นคนลงมือมันคงจะเป็นการตัดหน้าผู้อื่น ซึ่งดูจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย ท่านวาลานทานโปรดตัดสินเถิดว่าใครควรได้รับเกียรตินี้ ส่วนข้านั้นซื่อเสียงก็เฟื่องฟูจนเกินพอแล้ว ขอสละให้ผู้อ่อนด้อยกว่าก็แล้วกัน ”
แล้วเขาก็เดินถอยออกมาไกลที่สุด
เจ้าแห่งผู้ใช้เวทมนตร์สบตากับดารีลแล้วทำเฉย
ผู้ใช้เวทมนตร์ที่เหลือเริ่มกระสับกระส่าย
“ ให้ตายสิ เด็กมันชวนเล่นพวกท่านก็ทำเป็นเล่นไปกับเด็ก สักหน่อยคงเสียรู้เพราะเด็กกันเท่านั้น ข้าเตือนท่านหลายครั้งแล้ว ดารีลไม่ใช่เด็กธรรมดาแต่เป็นเด็กนรกเลยที่เดียว เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังปล่อยให้ทำตัวไม่ไร้สาระ น่าเอือมระอาเป็นที่สุด ”
เบรนทรัสกล่าว
เขาเดินอาดๆ ไปที่ประตู
ประทับฝ่ามือลงไป
กลอนประตูทั้งหลายก็ร่วงหล่น
เมื่อประตูเปิดออกสิ่งแรกที่ได้เห็น
คือตราดาวหกแฉกบนบานประตูด้านใน
มันถูกเขียนขึ้นด้วยโลหิต
ซึ่งตอนนี้ก็แห้งกรังไปแล้ว
เหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ต่างทยอยกันเข้าไปในห้องนั้น
เหลือเพียงดารีลกับโธรินเท่านั้น
ที่ยืนชั่งใจกันอยู่
ว่าผู้ใดจะเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
ในที่สุดหนุ่มน้อยรูปงามก็เป็นคนก้าวเข้าไปก่อน
เพราะโธรินแสดงท่าทีแจ้งชัดแล้วว่า
ร้ายดีอย่างไร
เขาจะต้องเข้าไปเป็นคนสุดท้ายให้ได้
ภายในห้องนั้นดูเรียบร้อยดี
ประตูหน้าต่างปิดไว้อย่างมิดชิด
ข้าวของในห้องก็ดูปรกติ
ไร้ร่องรอยการต่อสู้หรือเหตุรุนแรงใด
มีเพียงผนังทั้งสี่ด้าน
ที่ปรากฏรูปดาวหกแฉกล้อมกรอบด้วยวงกลม
“ นี่เป็นค่ายมนต์ดำอีกหรือเปล่า ”
พ่อมดโธรินถามเสียงสั่น
เรื่องสยองในบริเวณอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพยังตามหลอกหลอนไม่หาย
“ ไม่หรอก ไอพลังเจือจางเกินกว่าที่จะก่อให้เกิดสิ่งชั่วร้าย นี่แค่เป็นการประกาศตัวว่าเป็นฝีมือของผู้ใช้มนต์ดำเท่านั้น ”
เคียดันกล่าว
“ แหม่ สมแล้วที่เป็นท่านเคียดัน อันที่จริงข้าก็รู้อยู่หรอกเพียงแต่อยากลองภูมิท่านดูเท่านั้น ว่ามีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ ”
เมื่อสำรวจไปรอบๆห้อง
จึงได้พบกับอาจารย์โดเฮเกน
เขานั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน
ด้านหน้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
ในมือยังกำปากกาขนนกไว้ไม่ยอมวาง
ทุกอย่างดูปรกติแสนธรรมดา
เว้นแต่ว่า
โดเฮเกนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่มีหัว
แม่มดชุดชุดม่วงคนหนึ่งพ่นลมหายใจดังพรืด
นางถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง
จอมเวทวาลานเดินเข้าไปดูกระดาษแผ่นนั้น
ดารีลจะเข้าไปดูบ้าง
แต่ถูกที่ปรึกษาวาลานยกแขนกันไว้เสียก่อน
“ เจ้าเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการสืบสวนมาหรือไง ”
ชายชราเอ่ยตำหนิ
“ ไม่เคย แต่ศพที่ถูกฆาตกรรมนั้นเห็นมาพอสมควรแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะหยุดข้าด้วยเหตุใด ศพคงไม่กลายร่างเพียงเพราะข้าเข้าใกล้หรอกนะ ”
หนุ่มน้อยนักเวทว่า
“ ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น เจ้าน่ะเป็นเด็กอวดรู้ซ้ำยังไม่มีอาจารย์ ไปยืนดูห่างๆ ให้คนอื่นเขาทำ ส่วนเจ้าคอยมองคอยจดจำเอาไว้จะดีกว่า ในเมื่อไม่คิดจะมีอาจารย์เจ้าต้องเรียนรู้ด้วยการสังเกตจากผู้อื่น ไม่ใช่ว่าคิดอยากทำอะไรก็ทำไปไม่ปรึกษาใครเลย ”
ดารีลเม้มปากบางเฉียบทีหนึ่ง
ด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
แต่ก็ยอมถอยไปโดยดี
จอมเวทวาลานหยิบกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ดารีล
แล้วกล่าวว่า
“ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนในอาณัติของท่าน ไปตำหนิเขาแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ ”
เบรนทรัสไม่ว่าอะไร
แต่หน้านั้นตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดารีลหยิบกระดาษแผ่นนั้น
ส่งต่อให้ที่ปรึกษาวาลาน
โดยไม่คิดแม้แต่จะชำเลืองดูข้อความในนั้น
รอยยิ้มเย้ยหยันระบายที่มุมปากข้างหนึ่ง
“ เอาล่ะ ข้าจะตั้งใจสังเกตท่านให้ดี อยากเสี้ยมสอนอะไรก็ว่ามาเลย ”
“ ดารีล เจ้าอย่ากล่าวเช่นนั้นกับเบรนทรัส เขาเป็นผู้มากความรู้คนหนึ่ง คำพูดของเขาความจริงแล้วล้วนมีประโยชน์ ”
วาลานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เบรนทรัสมองเจ้านายของตนสลับกับดารีล
เขาคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมา
สายตานั้นเอือมระอาเป็นที่สุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ