โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

126) ความรักนั้นไม่ผิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในปราสาทขาว   ทั้งอาคารที่เปลี่ยนแปลงไปจากการซ่อมแซมที่ไม่สามารถคงรูปเดิมได้   มีกฎระเบียบเพิ่มขึ้นมากมาย   และจำนวนนักเรียนที่ลดน้อยลง

 

กลุ่มของฟิโลโซเฟอร์นั้นยังอยู่ครบทุกคน   แม้ฟีไลร่าจะได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากทางบ้าน   ให้ทบทวนสถานการณ์    แต่นางก็ยังยืนกรานที่จะไม่กลับไป

 

 

เช้าวันหนึ่งเด็กชายทั้งสามได้เดินทางไปที่โถงอาหาร   วันนี้เป็นอีกวันที่บรรยากาศก็ดูเงียบเชียบเช่นเคย   ที่โต๊ะตัวเดิมเหล่าเด็กหญิงมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว   พร้อมกับอาหารอีกเต็มโต๊ะ

 

“ ตื่นสายอีกล่ะสิ ”

 

เลโอน่าทักขึ้นก่อน

 

“ ตอนเช้ามีเวลาว่างนี่นา   ตื่นมาก็เท่านั้นเมื่อคืนอีเลียสบังคับให้อ่านหนังสือเสียดึกดื่น   กว่าจะได้นอนก็เกือบสว่างแล้ว   เป็นไงตัวเล็กเมื่อคืนหลับดีไหม ”

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยร่ายยาว

ก่อนปิดท้ายด้วยการหันไปถามคาโอเรีย

 

“ ข้าคิดถึงบ้าน ”

 

นางตอบเขาเพียงสั้นๆ

 

“ หลังไหนล่ะ ”

 

โลธอร์ถามบ้าง

เขารู้ว่าตอนนี้นางมีบ้านสามหลังแล้ว

เลยไม่แน่ใจว่านางอยากไปที่ใด

 

เด็กหญิงผู้มีผมสีทองยาวสลวยไม่ตอบ

ได้แต่จ้องมองเหยือกใส่นมด้วยสีหน้าหดหู่

 

ฟิโลโซเฟอร์ลูบผมเพื่อปลอบนางเบาๆ

พวกเขาทั้งหลายต่างกัดกลุ้มกับสิ่งที่กำลังจะเกิด

 

ไม่ได้มีคำพยากรณ์ไดให้อ้างถึง

แต่ข่าวลือนั้นหนาหูขึ้นทุกวัน

 

ซาเหวจลอร์ดคนใหม่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว

ยุคสมัยแห่งความมืดมนย้อนคืนมาอีกครั้ง

 

ในเวลานี้ที่

กลุ่มพันธมิตรอ่อนแอลงอย่างมาก

 

และผู้คนนั้นก็

มิได้สามัคคีกันเช่นเดิม

 

 

เยื้องๆ กับโต๊ะนั่งของพวกเขา   ที่มุมสงบมุมหนึ่ง   ดารีลกำลังจัดการกับขนมปังปิ้งของเขา   ข้างๆ กายยังมีเจ้าหญิงลูเซียน่าตามประกบเหมือนเงาตามตัวไม่เคยห่าง   พระนางนั้นยังคงยิ้มสดใสราวกับว่า   ต่อให้โลกถล่มลงต่อหน้าก็ไม่อาจทำให้เป็นทุกข์ได้   ต่างจากดารีลที่ในดวงตามีแววครุ่นคิดอยู่ตลอด   แต่กระนั้นเขาก็ยังคอยดูแลเจ้าหญิงอย่างดีโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

 

หลังจากรับประทานอาหารเด็กๆ ตกลงกันว่าจะเข้าไปเดินเล่นกันในสวน   เพราะยังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาเข้าเรียนวิชาแรก

 

ฟิโลโซเฟอร์นึกขึ้นได้ว่าลืมหนังสือเรียนเอาไว้บนห้อง   จึงรีบวิ่งขึ้นไปบนหอนอน   และตรงนั้นเอง   ที่หน้าประตูห้องของเขา   ดารีลยืนอยู่ตรงนั้น   สองมือยกขึ้นกอดอกสายตาทอดยาวไปไกล

 

“ ดารีลเจ้ามาทำอะไรตรงนี้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดขึ้นมาก่อน

 

“ ขอข้าเข้าไปข้างในได้หรือเปล่า ”

 

เจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นกลับตอบคำถามด้วยคำถาม

 

“ ได้สิ   ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ”

 

เด็กชายว่าพลางเปิดประตูให้

ดารีลเดินนำลิ่วเข้ามาก่อน

แล้วหันไปบอก

 

“ ปิดประตูด้วย ”

 

“ เหตุใดต้องปิดด้วยล่ะ ”

 

ถึงจะถามไปแบบนั้น

เด็กน้อยก็ปิดประตูลั่นกลอนแต่โดยดี

 

ดารีลปีนขึ้นไปบนเตียงของฟิโลโซเฟอร์

แล้วล้มตัวลงนอน

สองมือประสานกันตรงช่วงท้อง

 

เด็กชายตัวน้อยมองดูพลางหัวเราะชอบใจ

 

“ เจ้าติดใจเตียงแล้วหรือ   บอกแล้วว่ามันไม่ได้แย่เลย ”

 

“ คงงั้นมั๊ง ”

 

เด็กหนุ่มตอบ

 

“ เช่นนั้นเจ้าคงพาเตียงเข้าห้องนอนไปแล้วสิ ”

 

เด็กน้อยเดา

 

“ ห้องข้ามีที่วางเตียงเสียเมื่อไหร่กันเล่า ”

 

“ จะไปยากอะไร   เจ้าก็แค่ขนของที่จำเป็นน้อยที่สุดออกไป   แค่นั้นเอง ”

 

“ ถ้าให้เลือกแบบนั้นล่ะก็   เตียงนอนนั่นแหละที่จำเป็นน้อยที่สุด ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับกุมขมับ

 

“ อย่าบอกนะว่าจะนั่งหลับแบบนั้นไปตลอดชีวิต   แล้วนี่คิดทำอะไร   หรือว่างจนต้องมาหาเตียงนอนเล่นแก้เบื่อเพียงเท่านั้น ”

 

“ ข้ามารอเรียนวิชาประวัติศาสตร์ยุคกลางเหมือนเจ้านั่นแหละ   แต่ตอนนี้ส่งดาบมาให้ข้าดูหน่อย ”

 

เด็กชายตัวน้อยส่งทั้งดาบไม้และดาบสีเงินให้

อาเธอร์เพิ่งซื้อให้ใหม่

แทนอันเดิมที่ถูกเผาไฟ

 

“ บิดาของเจ้านี่มุ่งมั่นเสียจริง ”

 

ดารีลว่าเมื่อมองเห็นดาบไม้

เขารับดาบมาทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น

 

พลิกดูดาบไม้แล้วโยนขึ้นไปไว้เหนือหัว

 

“ แข็งแรงพอได้ ”

 

จากนั้นจึงหยิบเอาดาบสีเงินซึ่งเป็นของเขาเอง

 

“ มานี่สิ ”

 

ดารีลเรียก

เด็กน้อยจึงปีนขึ้นไปนอนข้างๆ

 

หนุ่มน้อยชี้ให้ดูสัญลักษณ์ตรงสลัก

ที่อยู่ด้าวดาบ

 

“ หากหมุนจากตรงนี้ไปจนถึงจุดนี้ยาพิษจะถูกปล่อยลงมา   เจ้ารู้จักข้าอยู่แล้ว   ดังนั้นถ้ายังไม่อยากฆ่าใครก็อย่าคิดยุ่งกับมันเลย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้าเข้าใจ

เขานึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น

 

“ และดาบนี้ข้าสร้างมาเพื่อตัดโลหะโดยเฉพาะ   จงอย่าเอาไปเล่นกับเพื่อน   เจ้าฟันดาบเพื่อนหักนั้นยังพอรับไหว   แต่เกิดพลาดไปโดนคนนี่เรื่องบานปลายแน่ ”

 

“ ไม่ต้องห่วงบิดาข้าสั่งให้ฝึกซ้อมโดยใช้ดาบไม้อยู่แล้ว ”

 

เด็กชายว่า

 

ดารีลจึงโยนดาบสีเงินขึ้นไปไว้ข้างๆ ดาบไม้

 

“ ข้าร่ายคาถาใส่ดาบไม้ของเจ้าแล้วล่ะ   มันจะแข็งแรงราวกับเหล็กกล้า   แต่ความคมนั้นไม่มี   เจ้าถือติดตัวไปตลอดก็ได้   ผู้คนคงร่ำลือกับนักรบผู้ถือดาบไม้ ”

 

“ ข้าไม่สนหรอกว่าผู้คนจะพูดถึงอย่างไร ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูด

เขาพลิกตัวนอนคว่ำเอาข้อศอกยันพื้น

เพื่อที่จะเห็นหน้าคู่สนทนาได้ชัดเจน

 

แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด

หัวใจของเด็กน้อยกลับเต้นแรง

เมื่อได้ใกล้ชิดกันแบบนี้

 

“ ถ้าคนที่เจ้ารักมากต้องตายเจ้าจะทำอย่างไร ”

 

อยู่ๆ ดารีลก็ถามขึ้น

 

“ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ตายเป็นใคร   นี่เจ้าถามข้าหรือถามเผื่อผู้ใดกันแน่ ”

 

เด็กชายตัวน้อยบอก

 

“ อนาคตของข้านั้นเลวร้ายนัก   ไม่สมควรที่ใครจะฝากชีวิตไว้เลย   แต่ข้าก็ยังเห็นแก่ตัวพาคนผู้หนึ่งเข้ามาร่วมชะตากรรม   ตอนนี้เลยคิดไม่ตกว่าต้องทำเช่นไร ”

 

“ ดารีลความรักไม่เคยผิด ”

 

เด็กชายว่า

เขารู้ดีว่าพ่อมดน้อยคนนี้หมายถึงใคร

 

“ ถ้าคนสองคนยินยอมพร้อมใจ   ต่อให้ต้องอยู่กลางพายุหรือเปลวไฟ   แต่เมื่อความรักเกิดขึ้นแล้ว   มันก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเลย   ขอเพียงได้จับมือกันเอาไว้เท่านั้นเอง ”    

 

ดารีลถอนหายใจยาว

แล้วหลับตาลง

 

“ ได้ยินเสียงระฆังแล้วปลุกนะเมื่อคืนข้าไม่ได้นอน ”

 

ดูเหมือนคนพูดจะหลับไปจริงๆ

เขานิ่งเงียบไม่ตอบสนองใดๆ

 

แม้ฟิโลโซเฟอร์วาดนิ้วผ่านใบหน้า

เพื่อเกลี่ยผมออกให้เรียบร้อย

 

หรือจับต้องชุดคลุมสีดำนั้นอย่างไร

เขาก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา