โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

118) ข้าไม่ช่วยเก็บศพนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พวกเขาย้อนกลับเข้ามาในห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย   ดารีลกระโดดขึ้นไปบนเวทีส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง

 

“ ในเวลานี้เปล่าประโยชน์แล้วที่จะหาถ้อยคำดีๆ มาปลอบโยนพวกเจ้า ”

 

เขากล่าว

 

“ มีการต่อสู้ที่รุนแรงอยู่ในอาณาบริเวณของปราสาทขาว   สิ่งแรกที่ข้าขอให้ทำคือช่วยกันอธิษฐานขออย่าให้มันหันความสนใจมาทางนี้   สิ่งต่อมาจงหยิบอาวุธของตนเองขึ้น   ใช้มันปกป้องตนเองและผู้อื่น   อย่างน้อยนี่คือโอกาสอันดี   การโจมตีแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน   พวกเจ้าทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้กล้า   เรื่องราววันนี้จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์   เหล่าผู้กล้าวัยเยาว์ได้ทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ   ยืนหยัดต่อหน้าศัตรูอย่างกล้าหาญในวันที่ความมืดก้าวข้ามกำแพงแห่งโอรีเวียเข้ามาได้ ”

 

เด็กๆ ต่างชูอาวุธและส่งเสียงคำราม

แต่ดารีลชิงร่ายคาถาหยุดเสียงเหล่านั้นเสียก่อน

 

“ ขอโทษที   ข้าลืมไป   พวกเจ้าควรอยู่เงียบๆ เหมือนว่าไม่มีใครแถวนี้เลยจะดีกว่า   ไม่อย่างนั้นคงเท่ากับเรียกอันตรายเข้ามาโดยไม่มีเหตุจำเป็น ”

 

“ เหตุใดพวกเราต้องสู้ด้วยล่ะ ”

 

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

ดัลลัจนั่นเอง

เขาเคยพ่ายแพ้ให้กับดารีลมาแล้วในงานประลอง

 

“ ผู้ใช้เวทมนตร์ต่างหากล่ะที่มีหน้าที่ปกป้องโอรีเวีย   ใยเจ้าจึงไม่ทำหน้าที่ของเจ้า   หรือเจ้าก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้นเอง ”

 

ดารีลไม่ตอบโต้แต่อย่างใด

เขาเพียงแค่ยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก

แล้วกระโดดลงจากเวทีมุ่งหน้าออกจากห้องโถงนั้น

 

ท่ามกลางความงุนงงของใครหลายคน

ฟิโลโซเฟอร์ได้พุ่งเข้าไปคว้าร่างพ่อมดน้อยเอาไว้

เขารู้ว่าดารีลกำลังจะไปที่แห่งใด

 

“ อย่าไปฟังหมอนั่น   พวกเราทุกคนที่นี่ต้องการเจ้า ”

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยกระซิบบอก

 

“ ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ ”

 

เจ้าหญิงลูเซียน่าว่าพลางก้าวออกมา

 

“ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าดารีลคือผู้พิทักษ์หน้ากากทอง   ในยามที่เกิดเหตุร้ายที่เดียวที่เขาควรอยู่คือข้างกายวาลาน   เขายอมผิดกฎเพื่ออยู่ที่นี่เคียงข้างพวกเรา   ทั้งที่เขาคือทางรอดทางเดียวแต่เจ้ากลับไล่เขาไปเพราะเหตุใดกัน   หรือเจ้านั้นเก่งกล้านัก   สามารถรับผิดชอบทุกชีวิตในนี้ได้   ถ้าเช่นนั้นก็เอาเลย   ข้าไว้ใจดารีลและจะไปกับดารีล   ส่วนใครไว้ใจดัลลัจก็จงไปกับเขา   แล้วอย่ามาร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเราล่ะ ”

 

เมื่อเจ้าหญิงกล่าวจบ

เด็กๆ ก็ถอยห่างออกมาจากดัลลัจ

พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาด

 

ดัลลัจนั้นได้แต่ยืนอึ้ง

และทุกคนก็จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

สุดท้ายเขาจึงกล่าวว่า

 

“ ขออภัยเถิด   ที่ข้าได้กล่าวผิดไป   ท่านหญิงโปรดให้อภัย ”

 

เด็กหนุ่มร่างกำยำคนนั้นกล่าวกับเจ้าหญิงอย่างนอบน้อม

เขานั้นหลงใหลในตัวพระนางมาตั้งแต่แรกพบ

 

เพียงแต่ว่าเขานั้นไม่สามารถเปิดเผยความในนั้นได้

นั่นเป็นเพราะว่าหัวใจของเจ้าหญิงลูเซียน่า

มีผู้ครอบครองแล้ว

 

“ เจ้าไม่ได้เสียใจอย่างแท้จริง   ความคิดของเจ้าโสมมนัก   แค่เพียงคำขอโทษไม่เพียงพอหรอก ”

 

“ ท่านหญิง   อย่าทำในสิ่งที่ท่านกำลังคิดเลย ”

 

ดารีลกล่าวเตือน

เจ้าหญิงทรงแย้มพระสรวล

 

“ การคาดเดาของเจ้าไว้ใจได้เสมอ ”

 

พระนางกล่าว

 

หนุ่มน้อยนักเวทได้เรียกทหารคุ้มกันของตนเองและของเจ้าหญิง

พาออกห่างจากผู้คน

 

สีหน้าของพวกเขานั้นเครียดขรึม

แต่ละคนเฝ้าชำเลืองออกไปนอกประตูที่เปิดกว้าง

 

แล้วทุกคนก็ได้เห็น

เงาสีดำขนาดใหญ่โฉบผ่านตรงหน้าประตูไปอย่างรวดเร็ว

ดารีลหมุนร่างกลับไปมอง

เขาชี้มือไปบานประตูหน้าต่างก็กระแทกปิดอย่างรุนแรง

 

ฟิโลโซเฟอร์กลั้นใจฟังเสียงร้อง

เขาสัมผัสพลังของมันได้

 

เคอร์คารอลนั่นเองที่อยู่ข้างนอก

แต่มันก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด

 

ดารีลพุ่งกลับไปบนเวที

ท่าทางของเขาดูสงบอย่างน่าประหลาด

 

ในขณะที่เด็กๆ ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้อง

และหลายคนเริ่มมีอาการหวาดกลัว

 

“ คืนนี้เรามีแขกพิเศษ   เป็นแขกที่สูงศักดิ์ไม่น้อย ”

 

ดารีลกล่าว

 

“ มันคงจะเสียมารยาทมากหากเราต้องใช้เด็กและสตรีในการต้อนรับ   ดังนั้นพวกเจ้าจงไปกับทหารอารักขา   มีห้องเก็บของอยู่ไม่ไกลจากนี้   ห้องนั้นมีประตูเดียวและไร้หน้าต่าง   คนที่เหลือจะคอยรับแขกตรงโถงใหญ่นี้   เอาล่ะแยกกลุ่มกันได้   ข้าแน่ใจแล้วว่าแขกของเราจะเข้าทางประตูหน้าตามธรรมเนียม   ส่วนคนที่คิดว่าตนเองไหวก็ขอให้ชักอาวุธออกมา   พวกเราจะสั่งสอนแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยกัน ” 

 

เด็กๆ ได้ยินดังนั้นจึงแยกออกเป็นสองกลุ่ม

 

เจ้าหญิงลูเซียน่านั้นปฏิเสธที่จะไปกับผู้คุ้มกัน

ดารีลจึงตรงเข้ามาหา

 

“ ให้ข้าอยู่เถอะนะ   ข้าช่วยเจ้าได้ ”

 

พระนางทรงวิงวอน

 

“ ท่านช่วยเด็กๆ เถอะพวกเขากำลังเสียขวัญ ”

 

“ แต่ข้าอยากสู้ ”

 

“ เมื่อคนข้างนอกตายหมดแล้วท่านได้สู้แน่   อย่าทำเป็นพระทัยร้อนนักเลย   นี่มิใช่เรื่องล้อเล่น ” 

 

นายทหารคนหนึ่งส่งมือให้เจ้าหญิง

แต่พระนางทรงปัดออก

 

“ ต่อให้เจ้าลากข้าไป   ข้าก็จะย้อนกลับออกมา   ดารีลเจ้ารู้จักข้าดี ”

 

“ ท่านเองก็รู้จักข้าดีเช่นกัน   ข้าขอเตือนเอาไว้   เมื่อเกิดเหตุประทะหากข้ายังเห็นท่านอยู่แถวนี้   คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ท่านจะได้เห็นหน้าข้า ”

 

ว่าแล้ว

เขาก็อุ้มร่างเจ้าหญิงส่งให้ทหารนายนั้น

 

“ ดารีลเจ้าอย่า ”    

 

พระนางได้แต่ร่ำร้อง

 

เลโอน่าลากฟีไลร่าไปยืนข้างทหารเของเจ้าหญิง

สีหน้าของนางเครียดขรึม

 

คาโอเรียชักมีดเล่มเล็กออกมา

แต่ดารีลก็ฉวยไปอย่างรวดเร็ว

 

“ ไม่ใช่เวลามาเล่นตุ๊กตาขายของนะสาวน้อย ”

 

“ ข้าสู้เป็น   ส่งมีดคืนมานะ ”

 

เด็กหญิงขึ้นเสียง

 

“ ถูกข้าปลดอาวุธได้ในพริบตาแบบนี้   ยังกล้าบอกว่าสู้เป็นอีกหรือ   แต่เอาเถอะข้าเชื่อเจ้าจงไปรอเป็นด่านที่สอง   ปกป้องคนที่ซ่อนตัว ”  

 

เขากล่าวแล้วคืนมีดให้

 

“ ข้าไม่ไป ”

 

“ คาโอเรีย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เสียงเข้ม

 

“ แต่พี่ชาย   ข้า ”

 

ดารีลปิดปากนาง

ก่อนที่เด็กหญิงจะได้พูดต่อ

 

“ ข้าขอร้องเจ้า   ทำเพื่อข้านะ ”

 

เสียงกระซิบของเขาทำเอาเด็กหญิงมึนงง

จนโดนอุ้มไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

โลธอร์ชักขวานและค้อนเล่มเล็กออกมาจากเข็มขัด

 

“ ข้าเป็นหัวหน้าห้อง   และที่สำคัญเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า   ให้ข้าซ่อนตัวเท่ากับหยามเกียรติข้า ”

 

ดารีลจ้องมองเด็กคนนั้น

ถึงจะร่างอ้วนแต่เขาก็สูงใหญ่พอสมควร

 

“ ตามใจเจ้าสิ   แต่ข้าไม่ช่วยเก็บศพนะ ”

 

โลธอร์ยิ้มแฉ่งทันที

 

“ ไม่เป็นไรสหาย   ตรงกันข้าม   ข้ายินดีตามเก็บศพเจ้า   ต่อให้เละเพียงใดก็ตาม ”

 

ดารีลไม่สนใจคำเหน็บนั้น

เขาหันไปยังเด็กร่างผอมซีด

 

“ เจ้า  เจ้า   เจ้าสู้จริงเหรอ   งั้น   งั้นข้าสู้ด้วย ”

 

อีเลียสเสียงสั่น

 

“ แม้ตระกูลข้าจะทำเหมืองแต่เรื่องรบไม่เคยเป็นรองใคร   ส่วนเจ้าข้าว่าไปกับเลโอน่าไม่ดีกว่าหรือ   นางแข็งแกร่งพอ   ดูแลเจ้าได้แน่ ”

 

เพื่อนร่างอ้วนว่า

 

“ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก   เว้นแต่เจ้าจะเปลี่ยนใจไปซ่อนตัวด้วยกัน ”

 

“ แล้วอาวุธของเจ้าล่ะ ” 

 

ดารีลถามเสียงนุ่มนวล

 

“ ข้ามีปัญญาเป็นอาวุธ ”

 

อีเลียสตอบแบบมั่นใจ

เขาชูสมุดปกแข็งในมือ

 

“ ดีมาก ”

 

พ่อมดน้อยบอก

พลางเอื้อมมือไปสัมผัส

ปกสมุดเล่มนั้นก็แข็งแกร่งราวแผ่นเหล็ก

 

“ เช่นนั้นจงใช้ปัญญาของเจ้าฟาดหัวศัตรูให้แตกกระจุย ”

 

หลังจากนั้นจึงหันมาทางฟิโลโซเฟอร์เป็นคนสุดท้าย

จ้องมองเด็กน้อยสลับกับดาบไม้ในมือ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา