โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.74K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
113) บ้านแสนสุข
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงนกตัวเล็กๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ฟิโลโซเฟอร์ปรือตาตื่นขึ้น ที่หน้าต่างเขาคิดว่าจะเห็นผ้าม่านสีขาวกระจ่างของหอนอน แต่เขากลับเห็นผ้าม่านสีสดใสบนกรอบหน้าต่างบานเล็ก มีแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามา ข้างบนกระเบื้องดินเผาพาดผ่านเหนือหัว เขาลุกขึ้นนั่งแล้วสลัดผ้าห่มออกอย่างมึนงง
เมื่อเย็นวานอาเธอร์ขับเกวียนเข้าไปในเมือง เพื่อรับเด็กๆ กลับมาอยู่ที่บ้านในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คาโลไรน์เองก็ตื่นเต้นดีใจ นางเองก็ไม่รู้ว่าคนเป็นสามีจะไปรับบุตรทั้งสองมา พวกเขามีเรื่องคุยกันจนดึกดื่นและตอนนี้ก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงอันอบอุ่นของบ้านเล็กในทุ่งรกร้าง เสียงนกน้อยตัวนั้นยังดังอยู่ไม่ขาดสาย
เขาไต่บันไดแคบๆ ลงไปข้างล่าง คาโอเรียยังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ผมสีทองหยักเป็นคลื่นไหลเลื้อยลงถึงเอว แล้วนางก็เริ่มถักเปียอย่างคล่องแคล่ว ผูกปลายด้ายเศษผ้าสีเขียวอ่อน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ ตื่นแล้วหรือ แม่กำลังจะไปเรียกอยู่พอดี ไปล้างหน้าล้างตาเสียสิ ”
คาโลไรน์บอก เด็กชายตัวน้อยไม่ตอบแต่เดินทื่อๆ ไปที่อ่างน้ำ ส่วนแคโลไรน์ก็หันไปสนใจกับแป้งที่เตรียมไว้ทำขนมอบ อาเธอร์ออกไปที่โรงนาตั้งแต่เช้ามืด จัดการหาน้ำให้ม้าทั้งสองตัว
ครอบครัวของเขาเคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ตอนนี้เด็กๆ มีอันต้องไปพักอยู่ในปราสาทขาว มันทำให้บ้านหลังเล็กๆ นี้ว่างเปล่าไปในทันที อาเธอร์จึงตัดสินใจขับเกวียนเข้าไปในเมืองในตอนเย็นของวันวาน
หนุ่มใหญ่ลูบที่แผงคอม้าอย่างอ่อนโยน หลังจากเขาเติมน้ำจนเต็มถังเขาก็เก็บข้าวของเดินออกมา ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหิมะและแผ่นน้ำเข็งได้ละลายไปเกือบหมด เขาจะได้ลงมือหว่านไถเสียที ดินแดนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ เมื่อการก่อนเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ แต่บัดนี้กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งผู้คนก็มากมาย อาชีพเพาะปลูกเลยดูจะเลือนหายไปการค้าขายเข้ามาแทนที่ ชาวนาชาวไร่ต้องถอยร่นไปเช่นเดียวกับสัตว์ป่า มีเพียงหมู่บ้านชาวนาไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังยืนหยัดยึดอาชีพทำนาอย่างเหนียวแน่นและถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่เสมอ
เมื่อคืนฟิโลโซเฟอร์เอาแต่พูดเรื่องการประลองที่โรงเรียน สิ่งนี้ทำให้อาเธอร์กังวลใจ เขาได้แต่หวังว่าคงไม่มีสงครามเกิดขึ้นในยุคนี้ กลัวเหลือเกินว่าฟิโลโซเฟอร์จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวด้วย
เมื่ออาเธอร์กลับเข้ามาถึงห้องครัว กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นลอยมาจากเตาอบ คาโอเรียอาสาเคียวเนื้อตุ๋นที่กำลังเดือดปุดๆ เขาย่องเข้าไปโอบกอดนาง
“ ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หืมหอมจังเลย ”
“ น้ำซุบหรือจ๊ะ ”
“ ผมของเจ้าต่างหาก ”
เด็กหญิงผมทองหัวเราะชอบใจ
“ พี่ชายเจ้าหายไปไหนเสียล่ะ ”
“ เห็นว่าจะไปดูอะไรที่บึงเสียหน่อย ”
นางตอบ
ฟิโลโซเฟอร์นั่งอยู่ที่ริมบึง จ้องมองไปยังแผ่นน้ำแข็งที่เริ่มละลายแล้วหวนคิดถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ความทรงจำที่อบอุ่นงดงาม เหมือนผ่านมาเนิ่นนาน ในคืนวันที่เมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายได้ผ่านพ้น ดารีลภายใต้แสงสลัวนั้นตรึงตรายิ่งกว่าสิ่งใด
หลังอาหารมื้อเช้า ฟิโลโซเฟอร์ออกไปสูดกลิ่นดินที่แปลงนา ผืนหญ้าที่แห้งตายจากความหนาวเย็นกำลังพลิกฟื้นคืนชีวิต แปลงดินบางส่วนอาเธอร์ได้ไถพรวนแล้ว เขาบอกทุกคนว่าปีแรกผลผลิตอาจไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากกำจัดรากหญ้าพวกนี้ได้ไม่หมด เด็กชายเดินย่ำลงไปบนพื้นดินที่ไถไว้จนอ่อนนุ่ม
เขาเดินเรื่อยไปจนกลับมาถึงบึงใหญ่สีเขียว แสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ต้นอ้อไหวเอนตามแรงลมแมลงปอตัวใหญ่บินมาเกาะที่ยอดอ่อนพาให้กิ่งลู่ลง น้ำค้างแข็งยังเกาะพราวเด็กชายนั่งลงเงียบๆ ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเริ่มเกาะกินหัวใจ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาพลัดบ้านพลัดเมืองมา
บางครั้งเด็กน้อยเกิดนึกสงสัยว่า เมื่อครั้งที่บิดาของเขาต้องจากโอรีเวียไปในในครั้งนั้นเขารู้สึกอย่างไร ความคิดของเขาล่องลอยไปถึงฟีไลร่า เด็กหญิงที่เดินทางมาจากดินแดนทางเหนือดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง แล้วนางรู้สึกอย่างไรที่ต้องจากบ้านเกิดมา แม้แต่ดารีลเองที่ถูกพรากจากอกมารดาตั้งแต่วัยเยาว์ในตอนนั้นเขาต้องรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ใจเพียงใด
อาเธอร์เดินมานั่งลงข้างๆ บุตรชายตัวน้อย
“ ว่าไงลูก ”
เขาพูดทั้งที่ปากยังคาบกิ่งอ้ออยู่
“ คิดอะไรอยู่พ่อเรียกตั้งนาน ”
“ เปล่านี่ครับ ”
เด็กชายตอบ
“ จริงๆ น่ะหรือ ”
สีหน้าของเขารู้เท่าทัน
“ ข้ากำลังนึกว่า บึงนี้ลึกสักเท่าไหร่ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ”
เขายังว่าไปเรื่อย
อาเธอร์หัวเราะชอบใจ
“ บึงยังไงก็คือบึง สิ่งที่อยู่ในบึงก็คือสิ่งที่อยู่ในบึง ทุกสิ่งสุกอย่างย่อมมีเหตุมีผลอยู่ในตัว จงรู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ถ้ารู้มากเกินไปก็ใช่จะเกิดประโยชน์ ”
“ ท่านพ่อหมายความตามนั้นจริงๆ น่ะหรือ ”
“ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น ข้าเกรงว่าความอยากรู้ของเจ้า จะทำให้เจ้าปวดหัวเสียแล้ว ”
อาเธอร์ว่า
“ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโค่นซาเหวจลอร์ด จริงหรือเปล่า ”
เด็กชายถาม
“ ตามตำนานก็ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าจำไม่ผิดมันถูกสร้างโดยผู้วิเศษทั้งเจ็ด เป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำเลิศที่สุดเพราะว่าเวลาผ่านมานับพันปีก็ยังดูใหม่ เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อวาน ”
“ แล้วทายาทของเมืองคาเล ต้องการจะทำลายมันจริงๆ น่ะหรือ ทำไมกัน ”
“ ลูกเชื่อจริงๆ หรือว่าเขาจะทำลายมันทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ”
“ ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สร้างรอยร้าวที่ไม่อาจแก้ไขได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดไปตามที่คิด
“ ไม่รู้สิ ถ้าเป็นเขาและเขาเป็นบุตรแห่งควอซาร์จริง หากเขาพังอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพคำสาปก็จะสลายไป ไม่คิดว่าประหลาดไปหน่อยหรือ เพราะนั่นเท่ากับว่าเขากำลังช่วยถอนคำสาปเลยทีเดียว ”
อาเธอร์แสดงความเห็น
“ หรือเขาจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันกับเมืองคาเล สิ่งที่เขาทำมีเหตุผลอื่น ”
“อนุสาวรีย์นั่นสร้างขึ้นตามพันธ์สัญญาว่าด้วยความร่วมมือ พวกเขาสัญญาว่าจะช่วยเหลือกันตราบเท่าที่อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพยังตั้งอยู่ การทำลายสิ่งนั้นก็เหมือนเป็นการทำลายสัญญาที่เคยมีให้กัน ถ้านี่เป็นความประสงค์ของควอซาร์ล่ะก็ นับว่าเขาฉลาดมาก ถึงแม้ตัวจะตายไปแล้วแต่เขาก็ยังสั่นคลอนคนทั้งเมืองได้ นับจากนี้มือที่จับกันมั่น จะไม่มีทางไว้ใจกันได้อีกต่อไป ”
“ คนเมืองคาเลถูกทำลายไปหมดแล้วใช่หรือไม่ ”
เด็กชายว่า
“ หากบุตรแห่งควอซาร์เป็นแค่ข่าวลือ ทายาทที่ผู้คนกล่าวถึงบางทีอาจหมายถึงพวกเรากันเอง ที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของความแค้นนั้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ”
“ ข้าก็ไม่แน่ใจ สิ่งที่เขาจะได้แน่นอนคือชื่อเสียง ต้องมีคนมากมายชื่นชมเขาที่สามารถทำลายคำสาปร้ายแรงนั้นได้ แต่ก็จะมีคนอีกมากที่โกรธแค้นเขา เพราะได้ทำสายสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ แล้วจากนั้นเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ”
เขาหยุดเว้นจังหวะ
“ สงครามแห่งความขัดแย้งก็จะอุบัติขึ้นอีกครั้งเพราะความโง่เขลาของเราเอง ”
“ ทั้งความโง่และขลาดกลัว ใครบางคนรู้จุดอ่อนของพวกเราดี จงดูเอาเถิดไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดคำพูดของเขาก็ยังล่อลวงพวกเราได้ตลอดเวลา ”
“ ควอซาร์คงจะเป็นคนที่น่ากลัวมาก ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
อาเธอร์นิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ ข้าเคยเจอเขานานมาแล้วสมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก ”
“ ที่ไหนฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตาโต
“ ที่นี่แหละ เขามาเรียนที่ปราสาทขาวควอซาร์ดูเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เลวร้ายเลย จริงๆ เขาก็ดูไม่มีพิษภัยอะไรนะ แต่บางทีวันเวลาอาจสร้างเขามาในรูปแบบหนึ่ง แล้วต่อไปอาจเปลี่ยนเขาไปเป็นคนละคนก็ได้ หรือบางทีเป็นข้าเองที่ไม่รู้จักตัวตนของเขา ”
“ สงคราม ”
อาเธอร์พูดขึ้นอีก
“ ไม่เคยหลงเหลืออะไรดีๆ ให้เลย เจ้ามองดูรอบๆ ตัวสิ ผืนดินแห่งนี้สามารถสร้างผลผลิตไว้เลี้ยงชีวิต แต่สงครามนั้นมีแต่จะทำลายชีวิต ”
เด็กชายเหลียวมองไปรอบๆ อีกไม่นานที่นี่คงพลิกฟื้นเป็นผืนนาที่ดี บ้านหลังน้อยของเขานั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยว เบื้องหลังถัดไปไกลลิบ เทือกเขาสีดำทอดเป็นเงายาวเหยียด เด็กชายรู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่มองเห็นมัน นับตั้งแต่เขาเดินทางข้ามหุบเขานั้นมา เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ แต่มันสำคัญ
“ แต่คนก็ยังละโมบอยู่มาก ”
เสียงอาเธอร์ดังขึ้น
“ อะไรนะ ”
เด็กชายสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“ ลูกติดใจอะไรกับมันหรือ ”
“ นั่นหรือเปล่าเลย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
พลางชี้มือขึ้นไปบนยอดเขา
“ แต่ข้าเห็นเจ้ามองขึ้นไปบนนั้นบ่อยเหลือเกิน ”
ผู้เป็นบิดาว่า
“ อย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้ตัวเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างจากบนนั้น ”
“ ลูกยังกลัวว่าพวกมันจะตามราวีอยู่ใช่ไหม อย่าห่วงไปเลยมันก็แค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ไม่มีความคิดจงเกลียดจงแค้นใครหรอก แต่หากว่ามันมีนาย ถ้าจะตามล้างแค้นก็คงแค่ตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น ”
ในวันหยุดทั้งสองวัน เด็กทั้งคู่ก็พักผ่อนสบายๆ อยู่กับบ้านทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้ที่โรงเรียน ที่นี่มีขนมแสนอร่อยให้กินตลอด ในเวลาว่างฟิโลโซเฟอร์ออกเดินไปตามท้องทุ่ง เขาพบว่าที่นี่มีกระต่ายน้อยกว่าที่ซีนาร์ยและตัวเล็กกว่ามาก คาโอเรียนั้นชอบหมกตัวอยู่ในบ้าน นางกำลังตั้งใจร้อยลูกปัดเล็กๆ เพื่อใช้ประกอบเข้ากับระบายของเสื้อผ้าตัวใหม่
เย็นวันนั้นคาโอเรียนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างตะเกียงแก้ว ส่วนคาโลไรน์นั่งรีดผ้าอยู่ใกล้ๆ นางได้เตารีดแบบใหม่ที่สามารถใส่ถ่านหินร้อนแดงไว้ข้างใน แทนแบบเดิมที่ต้องใช้อังข้างเตาไฟซึ่งหนักกว่า
ส่วนอาเธอร์นั่งซ่อมอุปกรณ์ดักสัตว์อยู่ข้างๆ เตาผิง พวกเขาต่างผ่อนคลายคลายความกังวลเมื่อได้มาอยู่กันพร้อมหน้า คาโอเรียรู้สึกว่าการอยู่บ้านนั้นมีงานต้องทำจุกจิกวุ่นวาย แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีกว่าที่ต้องไปอุดอู้อยู่ในหอหอนอนของปราสาทขาว
“ โรงเรียนดูสงบดีไหม ”
อาเธอร์ถามขึ้น
“ ทุกอย่างก็ดูปรกติดีนี่ ”
เด็กชายตัวน้อยตอบ
“ ถ้าไม่นับพายุที่หมุนกระหน่ำภายในโรงเรียน ”
คาโลไรน์ถึงกับหันขวับ
“ แต่ก็ไม่มีใครตายในโรงเรียน ”
คาโอเรียรีบเสริมแทนพี่ชาย
“ได้ยินข่าวคนเดินทางห้าคนที่หายไปหรือเปล่าคะ ”
นางหันไปหาอาเธอร์
หนุ่มใหญ่ไม่ตอบได้แต่ส่ายหน้าเครียดๆ
“ ในเมืองปรอดภัยจริงๆ หรือข้ารู้สึกว่าเป้าหมายของคนๆ นั้นต้องอยู่ในเมือง ”
คาโลไรน์ว่า
“ คนที่หายไปเป็นเพราะเขาออกมานอกเมืองคาโลไรน์ และโรงเรียนตั้งอยู่ในอาณาเขตของสภาพ่อมด นั่นย่อมหมายถึงการคุ้มกันที่หนาแน่น ถ้านั่นยังไม่ปรอดภัยเราก็คงไม่มีที่ไปแล้ว ฟิโลโซเฟอร์ลูกพ่อ ถึงข้าจะบอกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นทั้งหมด ดังนั้นถ้าเจ้าเห็นว่ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้น ก็จงระวังตัวไว้อย่าเอาตัวเข้าไปยุ่งจะดีที่สุด ”
“ ท่านพ่อเชื่อว่ามีทายาทของควอซาร์ตัวอยู่ในโรงเรียนจริงๆ หรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ ไม่รู้สิ คงยังไม่มีใครรู้แน่แต่ระวังตัวไว้ก็ดี เพราะตอนนี้ระฆังได้ดังขึ้นแล้ว ส่วนใครเป็นคนเคาะไม่สำคัญอีกต่อไป ”
เมื่อเย็นวานอาเธอร์ขับเกวียนเข้าไปในเมือง เพื่อรับเด็กๆ กลับมาอยู่ที่บ้านในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คาโลไรน์เองก็ตื่นเต้นดีใจ นางเองก็ไม่รู้ว่าคนเป็นสามีจะไปรับบุตรทั้งสองมา พวกเขามีเรื่องคุยกันจนดึกดื่นและตอนนี้ก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงอันอบอุ่นของบ้านเล็กในทุ่งรกร้าง เสียงนกน้อยตัวนั้นยังดังอยู่ไม่ขาดสาย
เขาไต่บันไดแคบๆ ลงไปข้างล่าง คาโอเรียยังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ผมสีทองหยักเป็นคลื่นไหลเลื้อยลงถึงเอว แล้วนางก็เริ่มถักเปียอย่างคล่องแคล่ว ผูกปลายด้ายเศษผ้าสีเขียวอ่อน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ ตื่นแล้วหรือ แม่กำลังจะไปเรียกอยู่พอดี ไปล้างหน้าล้างตาเสียสิ ”
คาโลไรน์บอก เด็กชายตัวน้อยไม่ตอบแต่เดินทื่อๆ ไปที่อ่างน้ำ ส่วนแคโลไรน์ก็หันไปสนใจกับแป้งที่เตรียมไว้ทำขนมอบ อาเธอร์ออกไปที่โรงนาตั้งแต่เช้ามืด จัดการหาน้ำให้ม้าทั้งสองตัว
ครอบครัวของเขาเคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ตอนนี้เด็กๆ มีอันต้องไปพักอยู่ในปราสาทขาว มันทำให้บ้านหลังเล็กๆ นี้ว่างเปล่าไปในทันที อาเธอร์จึงตัดสินใจขับเกวียนเข้าไปในเมืองในตอนเย็นของวันวาน
หนุ่มใหญ่ลูบที่แผงคอม้าอย่างอ่อนโยน หลังจากเขาเติมน้ำจนเต็มถังเขาก็เก็บข้าวของเดินออกมา ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหิมะและแผ่นน้ำเข็งได้ละลายไปเกือบหมด เขาจะได้ลงมือหว่านไถเสียที ดินแดนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ เมื่อการก่อนเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ แต่บัดนี้กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งผู้คนก็มากมาย อาชีพเพาะปลูกเลยดูจะเลือนหายไปการค้าขายเข้ามาแทนที่ ชาวนาชาวไร่ต้องถอยร่นไปเช่นเดียวกับสัตว์ป่า มีเพียงหมู่บ้านชาวนาไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังยืนหยัดยึดอาชีพทำนาอย่างเหนียวแน่นและถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่เสมอ
เมื่อคืนฟิโลโซเฟอร์เอาแต่พูดเรื่องการประลองที่โรงเรียน สิ่งนี้ทำให้อาเธอร์กังวลใจ เขาได้แต่หวังว่าคงไม่มีสงครามเกิดขึ้นในยุคนี้ กลัวเหลือเกินว่าฟิโลโซเฟอร์จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวด้วย
เมื่ออาเธอร์กลับเข้ามาถึงห้องครัว กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นลอยมาจากเตาอบ คาโอเรียอาสาเคียวเนื้อตุ๋นที่กำลังเดือดปุดๆ เขาย่องเข้าไปโอบกอดนาง
“ ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หืมหอมจังเลย ”
“ น้ำซุบหรือจ๊ะ ”
“ ผมของเจ้าต่างหาก ”
เด็กหญิงผมทองหัวเราะชอบใจ
“ พี่ชายเจ้าหายไปไหนเสียล่ะ ”
“ เห็นว่าจะไปดูอะไรที่บึงเสียหน่อย ”
นางตอบ
ฟิโลโซเฟอร์นั่งอยู่ที่ริมบึง จ้องมองไปยังแผ่นน้ำแข็งที่เริ่มละลายแล้วหวนคิดถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ความทรงจำที่อบอุ่นงดงาม เหมือนผ่านมาเนิ่นนาน ในคืนวันที่เมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายได้ผ่านพ้น ดารีลภายใต้แสงสลัวนั้นตรึงตรายิ่งกว่าสิ่งใด
หลังอาหารมื้อเช้า ฟิโลโซเฟอร์ออกไปสูดกลิ่นดินที่แปลงนา ผืนหญ้าที่แห้งตายจากความหนาวเย็นกำลังพลิกฟื้นคืนชีวิต แปลงดินบางส่วนอาเธอร์ได้ไถพรวนแล้ว เขาบอกทุกคนว่าปีแรกผลผลิตอาจไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากกำจัดรากหญ้าพวกนี้ได้ไม่หมด เด็กชายเดินย่ำลงไปบนพื้นดินที่ไถไว้จนอ่อนนุ่ม
เขาเดินเรื่อยไปจนกลับมาถึงบึงใหญ่สีเขียว แสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ต้นอ้อไหวเอนตามแรงลมแมลงปอตัวใหญ่บินมาเกาะที่ยอดอ่อนพาให้กิ่งลู่ลง น้ำค้างแข็งยังเกาะพราวเด็กชายนั่งลงเงียบๆ ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเริ่มเกาะกินหัวใจ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาพลัดบ้านพลัดเมืองมา
บางครั้งเด็กน้อยเกิดนึกสงสัยว่า เมื่อครั้งที่บิดาของเขาต้องจากโอรีเวียไปในในครั้งนั้นเขารู้สึกอย่างไร ความคิดของเขาล่องลอยไปถึงฟีไลร่า เด็กหญิงที่เดินทางมาจากดินแดนทางเหนือดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง แล้วนางรู้สึกอย่างไรที่ต้องจากบ้านเกิดมา แม้แต่ดารีลเองที่ถูกพรากจากอกมารดาตั้งแต่วัยเยาว์ในตอนนั้นเขาต้องรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ใจเพียงใด
อาเธอร์เดินมานั่งลงข้างๆ บุตรชายตัวน้อย
“ ว่าไงลูก ”
เขาพูดทั้งที่ปากยังคาบกิ่งอ้ออยู่
“ คิดอะไรอยู่พ่อเรียกตั้งนาน ”
“ เปล่านี่ครับ ”
เด็กชายตอบ
“ จริงๆ น่ะหรือ ”
สีหน้าของเขารู้เท่าทัน
“ ข้ากำลังนึกว่า บึงนี้ลึกสักเท่าไหร่ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ”
เขายังว่าไปเรื่อย
อาเธอร์หัวเราะชอบใจ
“ บึงยังไงก็คือบึง สิ่งที่อยู่ในบึงก็คือสิ่งที่อยู่ในบึง ทุกสิ่งสุกอย่างย่อมมีเหตุมีผลอยู่ในตัว จงรู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ถ้ารู้มากเกินไปก็ใช่จะเกิดประโยชน์ ”
“ ท่านพ่อหมายความตามนั้นจริงๆ น่ะหรือ ”
“ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น ข้าเกรงว่าความอยากรู้ของเจ้า จะทำให้เจ้าปวดหัวเสียแล้ว ”
อาเธอร์ว่า
“ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโค่นซาเหวจลอร์ด จริงหรือเปล่า ”
เด็กชายถาม
“ ตามตำนานก็ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าจำไม่ผิดมันถูกสร้างโดยผู้วิเศษทั้งเจ็ด เป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำเลิศที่สุดเพราะว่าเวลาผ่านมานับพันปีก็ยังดูใหม่ เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อวาน ”
“ แล้วทายาทของเมืองคาเล ต้องการจะทำลายมันจริงๆ น่ะหรือ ทำไมกัน ”
“ ลูกเชื่อจริงๆ หรือว่าเขาจะทำลายมันทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ”
“ ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สร้างรอยร้าวที่ไม่อาจแก้ไขได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดไปตามที่คิด
“ ไม่รู้สิ ถ้าเป็นเขาและเขาเป็นบุตรแห่งควอซาร์จริง หากเขาพังอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพคำสาปก็จะสลายไป ไม่คิดว่าประหลาดไปหน่อยหรือ เพราะนั่นเท่ากับว่าเขากำลังช่วยถอนคำสาปเลยทีเดียว ”
อาเธอร์แสดงความเห็น
“ หรือเขาจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันกับเมืองคาเล สิ่งที่เขาทำมีเหตุผลอื่น ”
“อนุสาวรีย์นั่นสร้างขึ้นตามพันธ์สัญญาว่าด้วยความร่วมมือ พวกเขาสัญญาว่าจะช่วยเหลือกันตราบเท่าที่อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพยังตั้งอยู่ การทำลายสิ่งนั้นก็เหมือนเป็นการทำลายสัญญาที่เคยมีให้กัน ถ้านี่เป็นความประสงค์ของควอซาร์ล่ะก็ นับว่าเขาฉลาดมาก ถึงแม้ตัวจะตายไปแล้วแต่เขาก็ยังสั่นคลอนคนทั้งเมืองได้ นับจากนี้มือที่จับกันมั่น จะไม่มีทางไว้ใจกันได้อีกต่อไป ”
“ คนเมืองคาเลถูกทำลายไปหมดแล้วใช่หรือไม่ ”
เด็กชายว่า
“ หากบุตรแห่งควอซาร์เป็นแค่ข่าวลือ ทายาทที่ผู้คนกล่าวถึงบางทีอาจหมายถึงพวกเรากันเอง ที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของความแค้นนั้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ”
“ ข้าก็ไม่แน่ใจ สิ่งที่เขาจะได้แน่นอนคือชื่อเสียง ต้องมีคนมากมายชื่นชมเขาที่สามารถทำลายคำสาปร้ายแรงนั้นได้ แต่ก็จะมีคนอีกมากที่โกรธแค้นเขา เพราะได้ทำสายสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ แล้วจากนั้นเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ”
เขาหยุดเว้นจังหวะ
“ สงครามแห่งความขัดแย้งก็จะอุบัติขึ้นอีกครั้งเพราะความโง่เขลาของเราเอง ”
“ ทั้งความโง่และขลาดกลัว ใครบางคนรู้จุดอ่อนของพวกเราดี จงดูเอาเถิดไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดคำพูดของเขาก็ยังล่อลวงพวกเราได้ตลอดเวลา ”
“ ควอซาร์คงจะเป็นคนที่น่ากลัวมาก ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
อาเธอร์นิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ ข้าเคยเจอเขานานมาแล้วสมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก ”
“ ที่ไหนฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตาโต
“ ที่นี่แหละ เขามาเรียนที่ปราสาทขาวควอซาร์ดูเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เลวร้ายเลย จริงๆ เขาก็ดูไม่มีพิษภัยอะไรนะ แต่บางทีวันเวลาอาจสร้างเขามาในรูปแบบหนึ่ง แล้วต่อไปอาจเปลี่ยนเขาไปเป็นคนละคนก็ได้ หรือบางทีเป็นข้าเองที่ไม่รู้จักตัวตนของเขา ”
“ สงคราม ”
อาเธอร์พูดขึ้นอีก
“ ไม่เคยหลงเหลืออะไรดีๆ ให้เลย เจ้ามองดูรอบๆ ตัวสิ ผืนดินแห่งนี้สามารถสร้างผลผลิตไว้เลี้ยงชีวิต แต่สงครามนั้นมีแต่จะทำลายชีวิต ”
เด็กชายเหลียวมองไปรอบๆ อีกไม่นานที่นี่คงพลิกฟื้นเป็นผืนนาที่ดี บ้านหลังน้อยของเขานั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยว เบื้องหลังถัดไปไกลลิบ เทือกเขาสีดำทอดเป็นเงายาวเหยียด เด็กชายรู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่มองเห็นมัน นับตั้งแต่เขาเดินทางข้ามหุบเขานั้นมา เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ แต่มันสำคัญ
“ แต่คนก็ยังละโมบอยู่มาก ”
เสียงอาเธอร์ดังขึ้น
“ อะไรนะ ”
เด็กชายสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“ ลูกติดใจอะไรกับมันหรือ ”
“ นั่นหรือเปล่าเลย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
พลางชี้มือขึ้นไปบนยอดเขา
“ แต่ข้าเห็นเจ้ามองขึ้นไปบนนั้นบ่อยเหลือเกิน ”
ผู้เป็นบิดาว่า
“ อย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้ตัวเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างจากบนนั้น ”
“ ลูกยังกลัวว่าพวกมันจะตามราวีอยู่ใช่ไหม อย่าห่วงไปเลยมันก็แค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ไม่มีความคิดจงเกลียดจงแค้นใครหรอก แต่หากว่ามันมีนาย ถ้าจะตามล้างแค้นก็คงแค่ตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น ”
ในวันหยุดทั้งสองวัน เด็กทั้งคู่ก็พักผ่อนสบายๆ อยู่กับบ้านทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้ที่โรงเรียน ที่นี่มีขนมแสนอร่อยให้กินตลอด ในเวลาว่างฟิโลโซเฟอร์ออกเดินไปตามท้องทุ่ง เขาพบว่าที่นี่มีกระต่ายน้อยกว่าที่ซีนาร์ยและตัวเล็กกว่ามาก คาโอเรียนั้นชอบหมกตัวอยู่ในบ้าน นางกำลังตั้งใจร้อยลูกปัดเล็กๆ เพื่อใช้ประกอบเข้ากับระบายของเสื้อผ้าตัวใหม่
เย็นวันนั้นคาโอเรียนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างตะเกียงแก้ว ส่วนคาโลไรน์นั่งรีดผ้าอยู่ใกล้ๆ นางได้เตารีดแบบใหม่ที่สามารถใส่ถ่านหินร้อนแดงไว้ข้างใน แทนแบบเดิมที่ต้องใช้อังข้างเตาไฟซึ่งหนักกว่า
ส่วนอาเธอร์นั่งซ่อมอุปกรณ์ดักสัตว์อยู่ข้างๆ เตาผิง พวกเขาต่างผ่อนคลายคลายความกังวลเมื่อได้มาอยู่กันพร้อมหน้า คาโอเรียรู้สึกว่าการอยู่บ้านนั้นมีงานต้องทำจุกจิกวุ่นวาย แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีกว่าที่ต้องไปอุดอู้อยู่ในหอหอนอนของปราสาทขาว
“ โรงเรียนดูสงบดีไหม ”
อาเธอร์ถามขึ้น
“ ทุกอย่างก็ดูปรกติดีนี่ ”
เด็กชายตัวน้อยตอบ
“ ถ้าไม่นับพายุที่หมุนกระหน่ำภายในโรงเรียน ”
คาโลไรน์ถึงกับหันขวับ
“ แต่ก็ไม่มีใครตายในโรงเรียน ”
คาโอเรียรีบเสริมแทนพี่ชาย
“ได้ยินข่าวคนเดินทางห้าคนที่หายไปหรือเปล่าคะ ”
นางหันไปหาอาเธอร์
หนุ่มใหญ่ไม่ตอบได้แต่ส่ายหน้าเครียดๆ
“ ในเมืองปรอดภัยจริงๆ หรือข้ารู้สึกว่าเป้าหมายของคนๆ นั้นต้องอยู่ในเมือง ”
คาโลไรน์ว่า
“ คนที่หายไปเป็นเพราะเขาออกมานอกเมืองคาโลไรน์ และโรงเรียนตั้งอยู่ในอาณาเขตของสภาพ่อมด นั่นย่อมหมายถึงการคุ้มกันที่หนาแน่น ถ้านั่นยังไม่ปรอดภัยเราก็คงไม่มีที่ไปแล้ว ฟิโลโซเฟอร์ลูกพ่อ ถึงข้าจะบอกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นทั้งหมด ดังนั้นถ้าเจ้าเห็นว่ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้น ก็จงระวังตัวไว้อย่าเอาตัวเข้าไปยุ่งจะดีที่สุด ”
“ ท่านพ่อเชื่อว่ามีทายาทของควอซาร์ตัวอยู่ในโรงเรียนจริงๆ หรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ ไม่รู้สิ คงยังไม่มีใครรู้แน่แต่ระวังตัวไว้ก็ดี เพราะตอนนี้ระฆังได้ดังขึ้นแล้ว ส่วนใครเป็นคนเคาะไม่สำคัญอีกต่อไป ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ