โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

113) บ้านแสนสุข

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เสียงนกตัวเล็กๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง   ฟิโลโซเฟอร์ปรือตาตื่นขึ้น   ที่หน้าต่างเขาคิดว่าจะเห็นผ้าม่านสีขาวกระจ่างของหอนอน   แต่เขากลับเห็นผ้าม่านสีสดใสบนกรอบหน้าต่างบานเล็ก   มีแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามา   ข้างบนกระเบื้องดินเผาพาดผ่านเหนือหัว   เขาลุกขึ้นนั่งแล้วสลัดผ้าห่มออกอย่างมึนงง 
 
เมื่อเย็นวานอาเธอร์ขับเกวียนเข้าไปในเมือง   เพื่อรับเด็กๆ กลับมาอยู่ที่บ้านในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์   คาโลไรน์เองก็ตื่นเต้นดีใจ   นางเองก็ไม่รู้ว่าคนเป็นสามีจะไปรับบุตรทั้งสองมา   พวกเขามีเรื่องคุยกันจนดึกดื่นและตอนนี้ก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงอันอบอุ่นของบ้านเล็กในทุ่งรกร้าง   เสียงนกน้อยตัวนั้นยังดังอยู่ไม่ขาดสาย
 
เขาไต่บันไดแคบๆ ลงไปข้างล่าง   คาโอเรียยังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่   ผมสีทองหยักเป็นคลื่นไหลเลื้อยลงถึงเอว   แล้วนางก็เริ่มถักเปียอย่างคล่องแคล่ว   ผูกปลายด้ายเศษผ้าสีเขียวอ่อน   ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
 
“ ตื่นแล้วหรือ   แม่กำลังจะไปเรียกอยู่พอดี   ไปล้างหน้าล้างตาเสียสิ ”
 
คาโลไรน์บอก   เด็กชายตัวน้อยไม่ตอบแต่เดินทื่อๆ ไปที่อ่างน้ำ   ส่วนแคโลไรน์ก็หันไปสนใจกับแป้งที่เตรียมไว้ทำขนมอบ   อาเธอร์ออกไปที่โรงนาตั้งแต่เช้ามืด   จัดการหาน้ำให้ม้าทั้งสองตัว  
 
ครอบครัวของเขาเคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา   แต่ตอนนี้เด็กๆ มีอันต้องไปพักอยู่ในปราสาทขาว   มันทำให้บ้านหลังเล็กๆ นี้ว่างเปล่าไปในทันที   อาเธอร์จึงตัดสินใจขับเกวียนเข้าไปในเมืองในตอนเย็นของวันวาน
 
            หนุ่มใหญ่ลูบที่แผงคอม้าอย่างอ่อนโยน   หลังจากเขาเติมน้ำจนเต็มถังเขาก็เก็บข้าวของเดินออกมา   ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว   อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหิมะและแผ่นน้ำเข็งได้ละลายไปเกือบหมด  เขาจะได้ลงมือหว่านไถเสียที   ดินแดนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์   เมื่อการก่อนเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ   แต่บัดนี้กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งผู้คนก็มากมาย   อาชีพเพาะปลูกเลยดูจะเลือนหายไปการค้าขายเข้ามาแทนที่   ชาวนาชาวไร่ต้องถอยร่นไปเช่นเดียวกับสัตว์ป่า   มีเพียงหมู่บ้านชาวนาไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังยืนหยัดยึดอาชีพทำนาอย่างเหนียวแน่นและถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่เสมอ 
 
            เมื่อคืนฟิโลโซเฟอร์เอาแต่พูดเรื่องการประลองที่โรงเรียน   สิ่งนี้ทำให้อาเธอร์กังวลใจ   เขาได้แต่หวังว่าคงไม่มีสงครามเกิดขึ้นในยุคนี้   กลัวเหลือเกินว่าฟิโลโซเฟอร์จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวด้วย  
 
 
เมื่ออาเธอร์กลับเข้ามาถึงห้องครัว   กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นลอยมาจากเตาอบ   คาโอเรียอาสาเคียวเนื้อตุ๋นที่กำลังเดือดปุดๆ เขาย่องเข้าไปโอบกอดนาง
 
“ ว่าไงเจ้าตัวเล็ก   หืมหอมจังเลย ”
 
“ น้ำซุบหรือจ๊ะ ”
 
“ ผมของเจ้าต่างหาก ”
 
เด็กหญิงผมทองหัวเราะชอบใจ
 
“ พี่ชายเจ้าหายไปไหนเสียล่ะ ”
 
“ เห็นว่าจะไปดูอะไรที่บึงเสียหน่อย ”
 
นางตอบ
 
ฟิโลโซเฟอร์นั่งอยู่ที่ริมบึง   จ้องมองไปยังแผ่นน้ำแข็งที่เริ่มละลายแล้วหวนคิดถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง   ความทรงจำที่อบอุ่นงดงาม   เหมือนผ่านมาเนิ่นนาน   ในคืนวันที่เมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายได้ผ่านพ้น   ดารีลภายใต้แสงสลัวนั้นตรึงตรายิ่งกว่าสิ่งใด  
 
 
 
            หลังอาหารมื้อเช้า   ฟิโลโซเฟอร์ออกไปสูดกลิ่นดินที่แปลงนา   ผืนหญ้าที่แห้งตายจากความหนาวเย็นกำลังพลิกฟื้นคืนชีวิต   แปลงดินบางส่วนอาเธอร์ได้ไถพรวนแล้ว   เขาบอกทุกคนว่าปีแรกผลผลิตอาจไม่ค่อยดีนัก   ถ้าหากกำจัดรากหญ้าพวกนี้ได้ไม่หมด   เด็กชายเดินย่ำลงไปบนพื้นดินที่ไถไว้จนอ่อนนุ่ม 
 
เขาเดินเรื่อยไปจนกลับมาถึงบึงใหญ่สีเขียว   แสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ   ต้นอ้อไหวเอนตามแรงลมแมลงปอตัวใหญ่บินมาเกาะที่ยอดอ่อนพาให้กิ่งลู่ลง   น้ำค้างแข็งยังเกาะพราวเด็กชายนั่งลงเงียบๆ ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเริ่มเกาะกินหัวใจ   เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาพลัดบ้านพลัดเมืองมา 
 
บางครั้งเด็กน้อยเกิดนึกสงสัยว่า   เมื่อครั้งที่บิดาของเขาต้องจากโอรีเวียไปในในครั้งนั้นเขารู้สึกอย่างไร   ความคิดของเขาล่องลอยไปถึงฟีไลร่า   เด็กหญิงที่เดินทางมาจากดินแดนทางเหนือดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง   แล้วนางรู้สึกอย่างไรที่ต้องจากบ้านเกิดมา   แม้แต่ดารีลเองที่ถูกพรากจากอกมารดาตั้งแต่วัยเยาว์ในตอนนั้นเขาต้องรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ใจเพียงใด  
 
 
อาเธอร์เดินมานั่งลงข้างๆ บุตรชายตัวน้อย
 
“ ว่าไงลูก ”
 
เขาพูดทั้งที่ปากยังคาบกิ่งอ้ออยู่
 
“ คิดอะไรอยู่พ่อเรียกตั้งนาน ”
 
“ เปล่านี่ครับ ”
 
เด็กชายตอบ
 
“ จริงๆ น่ะหรือ ”
 
สีหน้าของเขารู้เท่าทัน
 
“ ข้ากำลังนึกว่า   บึงนี้ลึกสักเท่าไหร่   แล้วมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ”
 
เขายังว่าไปเรื่อย
 
อาเธอร์หัวเราะชอบใจ
 
“ บึงยังไงก็คือบึง   สิ่งที่อยู่ในบึงก็คือสิ่งที่อยู่ในบึง   ทุกสิ่งสุกอย่างย่อมมีเหตุมีผลอยู่ในตัว  จงรู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ถ้ารู้มากเกินไปก็ใช่จะเกิดประโยชน์ ”
 
“ ท่านพ่อหมายความตามนั้นจริงๆ น่ะหรือ ”
 
“ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น   ข้าเกรงว่าความอยากรู้ของเจ้า   จะทำให้เจ้าปวดหัวเสียแล้ว ”
 
อาเธอร์ว่า
 
“ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ   สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโค่นซาเหวจลอร์ด   จริงหรือเปล่า ”
 
เด็กชายถาม
 
“ ตามตำนานก็ว่าอย่างนั้นนะ   ถ้าจำไม่ผิดมันถูกสร้างโดยผู้วิเศษทั้งเจ็ด   เป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำเลิศที่สุดเพราะว่าเวลาผ่านมานับพันปีก็ยังดูใหม่   เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อวาน ”
 
“ แล้วทายาทของเมืองคาเล   ต้องการจะทำลายมันจริงๆ น่ะหรือ   ทำไมกัน ”
 
“ ลูกเชื่อจริงๆ หรือว่าเขาจะทำลายมันทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ”
 
“ ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น   อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สร้างรอยร้าวที่ไม่อาจแก้ไขได้ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์พูดไปตามที่คิด
 
“ ไม่รู้สิ   ถ้าเป็นเขาและเขาเป็นบุตรแห่งควอซาร์จริง   หากเขาพังอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพคำสาปก็จะสลายไป   ไม่คิดว่าประหลาดไปหน่อยหรือ   เพราะนั่นเท่ากับว่าเขากำลังช่วยถอนคำสาปเลยทีเดียว ”
 
อาเธอร์แสดงความเห็น
 
“ หรือเขาจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันกับเมืองคาเล   สิ่งที่เขาทำมีเหตุผลอื่น ”
 
“อนุสาวรีย์นั่นสร้างขึ้นตามพันธ์สัญญาว่าด้วยความร่วมมือ   พวกเขาสัญญาว่าจะช่วยเหลือกันตราบเท่าที่อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพยังตั้งอยู่   การทำลายสิ่งนั้นก็เหมือนเป็นการทำลายสัญญาที่เคยมีให้กัน   ถ้านี่เป็นความประสงค์ของควอซาร์ล่ะก็   นับว่าเขาฉลาดมาก   ถึงแม้ตัวจะตายไปแล้วแต่เขาก็ยังสั่นคลอนคนทั้งเมืองได้   นับจากนี้มือที่จับกันมั่น   จะไม่มีทางไว้ใจกันได้อีกต่อไป ”
 
“ คนเมืองคาเลถูกทำลายไปหมดแล้วใช่หรือไม่ ”
 
เด็กชายว่า
 
“ หากบุตรแห่งควอซาร์เป็นแค่ข่าวลือ   ทายาทที่ผู้คนกล่าวถึงบางทีอาจหมายถึงพวกเรากันเอง   ที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของความแค้นนั้น   เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ”
 
“ ข้าก็ไม่แน่ใจ   สิ่งที่เขาจะได้แน่นอนคือชื่อเสียง   ต้องมีคนมากมายชื่นชมเขาที่สามารถทำลายคำสาปร้ายแรงนั้นได้   แต่ก็จะมีคนอีกมากที่โกรธแค้นเขา   เพราะได้ทำสายสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์   แล้วจากนั้นเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ”
 
เขาหยุดเว้นจังหวะ
 
“ สงครามแห่งความขัดแย้งก็จะอุบัติขึ้นอีกครั้งเพราะความโง่เขลาของเราเอง ”
 
“ ทั้งความโง่และขลาดกลัว   ใครบางคนรู้จุดอ่อนของพวกเราดี   จงดูเอาเถิดไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดคำพูดของเขาก็ยังล่อลวงพวกเราได้ตลอดเวลา ”
 
“ ควอซาร์คงจะเป็นคนที่น่ากลัวมาก ”
 
เด็กชายตัวน้อยว่า
 
อาเธอร์นิ่งคิดนิดหนึ่ง
 
“ ข้าเคยเจอเขานานมาแล้วสมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก ”
 
“ ที่ไหนฮะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ตาโต
 
“ ที่นี่แหละ   เขามาเรียนที่ปราสาทขาวควอซาร์ดูเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เลวร้ายเลย   จริงๆ เขาก็ดูไม่มีพิษภัยอะไรนะ   แต่บางทีวันเวลาอาจสร้างเขามาในรูปแบบหนึ่ง   แล้วต่อไปอาจเปลี่ยนเขาไปเป็นคนละคนก็ได้   หรือบางทีเป็นข้าเองที่ไม่รู้จักตัวตนของเขา ”
 
“ สงคราม ”
 
อาเธอร์พูดขึ้นอีก
 
“ ไม่เคยหลงเหลืออะไรดีๆ ให้เลย   เจ้ามองดูรอบๆ ตัวสิ   ผืนดินแห่งนี้สามารถสร้างผลผลิตไว้เลี้ยงชีวิต   แต่สงครามนั้นมีแต่จะทำลายชีวิต ”
 
เด็กชายเหลียวมองไปรอบๆ อีกไม่นานที่นี่คงพลิกฟื้นเป็นผืนนาที่ดี   บ้านหลังน้อยของเขานั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยว   เบื้องหลังถัดไปไกลลิบ   เทือกเขาสีดำทอดเป็นเงายาวเหยียด   เด็กชายรู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่มองเห็นมัน   นับตั้งแต่เขาเดินทางข้ามหุบเขานั้นมา   เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้   แต่มันสำคัญ
 
“ แต่คนก็ยังละโมบอยู่มาก ”
 
เสียงอาเธอร์ดังขึ้น
 
“ อะไรนะ ”
 
เด็กชายสะดุ้งตื่นจากภวังค์
 
“ ลูกติดใจอะไรกับมันหรือ ”
 
“ นั่นหรือเปล่าเลย ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
พลางชี้มือขึ้นไปบนยอดเขา
 
“ แต่ข้าเห็นเจ้ามองขึ้นไปบนนั้นบ่อยเหลือเกิน ”
 
ผู้เป็นบิดาว่า
 
“ อย่างนั้นหรือ   ข้าไม่รู้ตัวเลย   อาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างจากบนนั้น ”
 
“ ลูกยังกลัวว่าพวกมันจะตามราวีอยู่ใช่ไหม   อย่าห่วงไปเลยมันก็แค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่ง   ไม่มีความคิดจงเกลียดจงแค้นใครหรอก   แต่หากว่ามันมีนาย   ถ้าจะตามล้างแค้นก็คงแค่ตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น ”
 
 
            ในวันหยุดทั้งสองวัน   เด็กทั้งคู่ก็พักผ่อนสบายๆ อยู่กับบ้านทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้ที่โรงเรียน   ที่นี่มีขนมแสนอร่อยให้กินตลอด   ในเวลาว่างฟิโลโซเฟอร์ออกเดินไปตามท้องทุ่ง   เขาพบว่าที่นี่มีกระต่ายน้อยกว่าที่ซีนาร์ยและตัวเล็กกว่ามาก   คาโอเรียนั้นชอบหมกตัวอยู่ในบ้าน   นางกำลังตั้งใจร้อยลูกปัดเล็กๆ เพื่อใช้ประกอบเข้ากับระบายของเสื้อผ้าตัวใหม่ 
 
            เย็นวันนั้นคาโอเรียนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างตะเกียงแก้ว   ส่วนคาโลไรน์นั่งรีดผ้าอยู่ใกล้ๆ นางได้เตารีดแบบใหม่ที่สามารถใส่ถ่านหินร้อนแดงไว้ข้างใน   แทนแบบเดิมที่ต้องใช้อังข้างเตาไฟซึ่งหนักกว่า  
 
ส่วนอาเธอร์นั่งซ่อมอุปกรณ์ดักสัตว์อยู่ข้างๆ เตาผิง   พวกเขาต่างผ่อนคลายคลายความกังวลเมื่อได้มาอยู่กันพร้อมหน้า   คาโอเรียรู้สึกว่าการอยู่บ้านนั้นมีงานต้องทำจุกจิกวุ่นวาย   แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีกว่าที่ต้องไปอุดอู้อยู่ในหอหอนอนของปราสาทขาว
 
“ โรงเรียนดูสงบดีไหม ”
 
อาเธอร์ถามขึ้น
 
“ ทุกอย่างก็ดูปรกติดีนี่ ”
 
เด็กชายตัวน้อยตอบ
 
“ ถ้าไม่นับพายุที่หมุนกระหน่ำภายในโรงเรียน ”
 
คาโลไรน์ถึงกับหันขวับ
 
“ แต่ก็ไม่มีใครตายในโรงเรียน ”
 
คาโอเรียรีบเสริมแทนพี่ชาย
 
“ได้ยินข่าวคนเดินทางห้าคนที่หายไปหรือเปล่าคะ ”
 
นางหันไปหาอาเธอร์
หนุ่มใหญ่ไม่ตอบได้แต่ส่ายหน้าเครียดๆ
 
“ ในเมืองปรอดภัยจริงๆ หรือข้ารู้สึกว่าเป้าหมายของคนๆ นั้นต้องอยู่ในเมือง ”
 
คาโลไรน์ว่า
 
“ คนที่หายไปเป็นเพราะเขาออกมานอกเมืองคาโลไรน์   และโรงเรียนตั้งอยู่ในอาณาเขตของสภาพ่อมด   นั่นย่อมหมายถึงการคุ้มกันที่หนาแน่น   ถ้านั่นยังไม่ปรอดภัยเราก็คงไม่มีที่ไปแล้ว    ฟิโลโซเฟอร์ลูกพ่อ   ถึงข้าจะบอกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นทั้งหมด   ดังนั้นถ้าเจ้าเห็นว่ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้น   ก็จงระวังตัวไว้อย่าเอาตัวเข้าไปยุ่งจะดีที่สุด ”
 
“ ท่านพ่อเชื่อว่ามีทายาทของควอซาร์ตัวอยู่ในโรงเรียนจริงๆ หรือ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
 
“ ไม่รู้สิ   คงยังไม่มีใครรู้แน่แต่ระวังตัวไว้ก็ดี   เพราะตอนนี้ระฆังได้ดังขึ้นแล้ว   ส่วนใครเป็นคนเคาะไม่สำคัญอีกต่อไป ”
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา