โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.58K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

110) เรื่องราวในวันนั้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
โลธอร์และอีเลียสอาสาช่วยยกของขึ้นมาส่งที่ห้อง   มันเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง   มีเตียงสองชั้นตั้งคู่กันสองเตียงอยู่ในห้องนั้น   แต่เตียงคู่หนึ่งเหมือนมีคนใช้งานอยู่
 
“ ข้าบอกคนดูแลไปแล้ว   ว่าเจ้าจะนอนอยู่ห้องเดียวกับพวกเรา ”
 
โลธอร์ว่า
ฟีไลร่านั่งลงบนขอบเตียง
ส่วนพี่สาวของนางยืนกอดอกอยู่ตรงขอบประตู
 
“ แล้วนั่นเตียงของใคร ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ชี้เตียงที่ยังว่างอยู่
 
“ ไม่มีใครหรอก   เมื่อก่อนพวกเขาจัดให้นอนห้องละสี่คน   ตอนนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กนักเรียนมีน้อยลงเรื่อยๆ ห้องก็เลยว่าง ”
 
เลโอน่าบอก
 
“ แต่เจ้าไม่เคยบอกพวกเราเลยนะ   เรื่องพ่อมดคนนั้นนะ   ตอนพ่อมดน้อยดารีลก็ทีหนึ่งละ ”
 
อีเลียสต่อว่า
 
“ เขารู้จักกับพ่อของข้าต่างหากเล่า   อีกอย่าง   ข้าไม่นึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องเล่ารายละเอียดว่า   ข้ารู้จักใครที่ไหนอย่างไรบ้าง   เรื่องบางเรื่องมันก็ยิบย่อยเกินไป ”
 
เด็กชายแก้
 
“ เรื่องของผู้ใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย   สามารถคุยโอ่ได้ยันแก่ตาย   จริงสิเรื่องสตรีชุดแดงคนนั้น   นางเป็นแม่มดสินะ   เจ้ารู้จักผู้ใช้เวทมนตร์กี่คนกันแน่   ทำตัวเป็นคนแสนธรรมดาแต่รอบกายมีแต่คนที่ผู้อื่นไม่อาจเข้าถึง   พ่อมดดีมีนกับดารีลก็เป็นสมาชิกสภาสูง   ยังไม่นับแม่มดสาวคนนั้นที่ยังระบุตัวตนที่แท้จริงไม่ได้   พนันได้เลยว่านางก็ไม่ธรรมดา   ตกลงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ”
 
อีเลียสยังไม่ยอม
 
“ ข้าไม่รู้จะอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างไร   จริงอยู่ตระกูลดั้งเดิมของข้าอาจไม่ธรรมดา   แต่มันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว   ในเวลานี้บิดาของข้าเป็นแค่ชาวไร่คนหนึ่ง   แม้จะอ้างได้ว่าเขาเคยเป็นทหารและมีน้องชายที่เป็นถึงผู้พิทักษ์หน้ากากทอง   แล้วมันยังไงล่ะชีวิตของข้าก็เป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง   สิ่งที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ   ไร้ประโยชน์ที่จะไปอ้างถึง   ว่าแต่เตียงข้าล่ะ ”
 
โลธอร์ชี้ไปที่เตียงริมหน้าต่าง
 
ผ้าม่านปลิวน้อยๆ เพราะบานหน้าต่างถูกแง้มไว้
เขามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นหอคอยแห้งภราดรภาพยังตั้งเด่นตรงนั้น
 
“ แล้วที่ว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังน่ะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ทวง
 
เด็กๆ ต่างหันมองหน้ากัน
ก่อนที่อีเลียสจะเริ่มเล่า
 
“ ไม่นานหลังจากที่พวกเจ้าออกไปท้องฟ้าก็มืดลง   ลมพัดแรงมากมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงๆ แล้วเราก็เห็นพายุหมุน   มันเป็นแท่งเรียวยาวเหมือนนิ้วมือพิฆาต   ทิ้งตัวลงจากฟากฟ้าตรงอนุสาวรีพอดิบพอดี   พวกเราต่างคิดว่าอนุสาวรีย์นั่นคงไม่อยู่แล้ว   แต่ก็อย่างที่เห็นมันยังคงอยู่   แม้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ”
 
“ ไม่เหมือนเดิม   หมายความว่าอย่างไร ”
 
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
 
“ นี่เจ้ายังไม่รู้หรือ ”
 
ฟีไลร่าว่า
 
“ รู้อะไร   แต่เมื่อครู่ตอนผ่านเข้ามาข้าเห็นผู้ใช้เวทมนตร์หลายคนอยู่ที่นั่น   นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่ามีเหตุสำคัญอะไร ”
 
“ เรื่องนี้ห้ามพูดมากนะ ”
 
เลโอน่าบอก
 
“ รู้เห็นแล้วก็แล้วไป   อย่าวิจารณ์เด็ดขาด   ทางสภาไม่อยากให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ ”  
 
“ ทำไมล่ะเรื่องมันลึกลับอย่างนั้นเชียว ”
 
เด็กชายยิ่งรู้สึกอยากรู้
 
“ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพเกิดรอยร้าว ”
 
อีเลียสพูดด้วยเสียงกระซิบ
 
“ หา   ล้อเล่นน่า   แค่โดนฟ้าผ่าน่ะนะ   เป็นไปไม่ได้หรอก ”
 
“ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็น   มันร้าวใหญ่มาก   ทางสภาหาทางซ่อมอยู่ตลอดแต่ไม่เป็นผล   นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ”
 
เด็กชายร่างผอมแห้งยืนยัน
 
“ ข้าเคยได้ยินมาว่า   มีผู้คิดทำลายอนุสาวรีย์อยู่ตลอดแต่ไม่เป็นผล   แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ก็ไม่เคยเกิดขึ้น   แล้วนี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร   แค่โดนพายุกับฟ้าผ่าน่ะหรือ   เหลือเชื่อเกินไปแล้ว ” 
 
“ มันไม่ใช่แค่นั้น   มันมีมังกรแดงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ”   
 
โลธอร์ว่าบ้าง
 
“ ไม่ใช่มังกร   ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่ามันคือเคอร์คารอล ”
 
อีเลียสบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
 
เด็กชายตัวน้อยสะดุ้งในใจ  
เป็นมันจริงๆ ด้วย
ไม่ใช่แค่ว่าเขาหลอนไปเอง
 
“ แล้วตอนเกิดเหตุพวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่ไหน ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ถามเพื่อนๆ
 
“ ตอนแรกก็ผิงไฟอยู่ตรงโถงรวมด้านล่าง   พอได้ยินเสียงมันร้องพวกเราก็หนีขึ้นข้างบน   เพราะประตูโถงนั้นกว้างใหญ่พอที่มังกรจะมุดเข้ามาได้ ”
 
ฟีไลร่าบอก
 
“ แล้วเจ้าสิ่งนั้นมันพังอนุสาวรีย์ได้อย่างไร ”
 
“ คืออย่างนี้ ”
 
ในที่สุดอีเลียสก็เริ่มเล่า
 
“ ตอนแรกเราเจอกับความวิปริตของสภาพอากาศใช่ไหม   อันดับต่อมาเคอร์คารอลปรากฎ   หลังจากนั้นผู้ใช้เวทมนตร์ก็แห่กันมา   และเจอกับดักค่ายมนตร์ดำตรงฐานของอนุสาวรีย์   พวกเขาต้องสังเวยไปถึงสิบสามคนกว่าจะหยุดมันได้   ส่วนเคอร์คารอลมันแค่บินวนพร้อมกับกรีดร้องเพียงเท่านี้ก็ทำเอาผู้คนหลบกันอลหม่านได้แล้ว ”
 
“ ก็เล่นบินเลียบไปตามหน้าต่าง   แค่เสียงร้องของมันทำเอากระจกแตกกระจุยกระจาย   แบบนี้ไม่ให้หลบมันจะใช่หรือ   เสียงเจ้าตัวประหลาดนั่นอุบาทแท้ทำข้าเกือบหัวใจวาย ”
 
โลธอร์บ่น
 
“ พวกทหารที่ขึ้นไปยิงธนูใส่มันจากบนหลังคาก็ถูกกวาดตกลงมาอย่างกับใบไม้ ”
 
ฟีไลร่าว่า
 
“ นั่นน่ะสิ   เกิดเรื่องน่ากลัวอย่างนั้น   เจ้าอ้วนนี่ยังพยายามปีนออกนอกหน้าต่างให้ได้ ”
 
เลโอน่าว่าบ้าง
 
“ จะให้ทำอย่างไรล่ะ   ก็ข้าเห็นพ่อมดน้อยดารีลของเราไต่ขึ้นข้างบนเหมือนกัน   เขาเป็นเพื่อนรักของเรานี่นาจะปล่อยให้เสี่ยงตายคนเดียวไม่ได้หรอก   ถึงอย่างไรก็ต้องไปช่วย ”   
 
“ เขาเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว   ส่วนเจ้าน่ะขึ้นไปก็เป็นภาระเฉยๆ ” 
 
นางกล่าว
 
“ เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ต่างหากล่ะ   ไม่ถนัดต่อสู้แบบนั้นหรอก   ตำแหน่งนั่นได้มาเพราะใช้เส้นสายมิใช่หรือ ”
 
โลธอร์เถียง   
 
“ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ   ก่อนมาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์เขาเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน   ในหมู่ผู้พิทักษ์หน้ากากทองเล่าลือกันว่า   ดารีลนั้นโหดสุดเลือดเย็นสุด   เมื่อก่อนเขาไม่ใช่อย่างนี้หรอก   คนเดียวที่เขาอ่อนโยนด้วยมีเพียงเจ้าหญิงลูเซียน่าเท่านั้น   ไม่รู้เพราะเหตุใดช่วงหลังๆ มาคนผู้นี้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ”
 
อีเลียสว่า
 
“ เลิกพูดถึงดารีลแบบนั้นเสียทีเถอะ ”
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยขอ
 
“ สิ่งที่ผู้คนพูดถึงเขามันสามารถดังไปถึงเขาได้ในวันใดวันหนึ่ง   พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก   ดารีลมักจะเปรียบเปรยตัวเองเป็นในสิ่งที่ผู้คนนินทาลับหลัง   แม้แต่คำพูดของเจ้าชายเอลานอสที่กล่าวหาว่าเขาเป็นบุตรของสตรีชั้นต่ำ   เขาก็ยังเก็บเอาไว้   ดารีลเขามีความรู้สึกนะ   เพียงแต่บางครั้งเขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้   ความเย็นชาที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ตัวตนของเขา   แต่เป็นผู้คนรอบข้างที่หล่อหลอมมันขึ้นมา ”
 
“ เจ้าต่างหากที่ไม่เข้าใจฟิโลโซเฟอร์   พ่อมดน้อยคนนั้นกำลังสวมหน้ากาก   คนที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงย่อมมีเหตุผลของตัวเอง   จริงๆ แล้วคนผู้นั้นเป็นคนอันตรายนะ ”
 
เจ้าเด็กร่างผอมแห้งพยายามอธิบาย
 
“ ใครไม่สวมหน้ากากบ้าง ”
 
ฟีไลร่าว่า
 
“ ทุกคนล้วนมีด้านมืดเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต   ตัวตนที่แท้จริงน่ะไม่มีหรอก   ทุกคนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาและสถานที่กันทั้งนั้น ”
 
ก่อนที่เด็กๆ จะเริ่มทะเลาะกัน
ฟิโลโซเฟอร์ก็เปลี่ยนเรื่อง
 
“ เจ้ายังไม่เล่าเลยว่าเรื่องวันนั้นจบลงได้อย่างไร ”
 
“ มันจบลงดื้อๆ เหมือนตอนที่มันเริ่มนั้นแหละ   การโจมตีทุกอย่างหยุดอย่างฉับพลัน   พร้อมกับเคอร์คารอลที่บินจากไป   คนผู้นั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทุ่มพลังเสี่ยงชีวิตขนาดนั้นแต่ไม่ได้อะไรเลย ”
 
เลโอน่าว่าบ้าง
 
“ ใครว่าล่ะ   อนุสาวรีย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแตกร้าวตั้งแต่ปลายยอดลากลงมาถึงฐาน   ไร้ทางแก้ไขซ่อมแซม   ตอนนี้ผู้คนได้รู้จักเขาในนามกาเอลบุตรแห่งควอซาร์ทายาทผู้รอดชีวิตจากเมืองคาเล   นี่เป็นการเปิดเผยตัวตนครั้งแรก   เพียงก้าวเล็กๆ ก็สามารถสะเทือนทั้งแผ่นดิน   ส่วนก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไรข้าไม่อยากจะคิด   เคอร์คารอลที่ปรากฏตัวช่วยยืนยันว่าใครคอยหนุนหลัง   ซาเหวจลอร์ดก็เป็นเช่นนี้ยุคมืดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว ”  
 
เด็กน้อยร่างผอมที่รอบรู้ที่สุดกล่าว
 
“ มีใครเห็นดารีลบ้าง   หลังจากจบเรื่องแล้วเขาเป็นอย่างไร ”  
 
ฟิโลโซเฟอร์ถามในสิ่งที่เขากังวลใจ
 
“ เจ้าบ้านั่นลงมาเป็นคนสุดท้ายด้วยสภาพบาดเจ็บหนัก   ข้าเห็นทหารคุ้มกันของเขา   พากลับบ้านอย่างด่วนเลย ”
 
โลธอร์บอก
 
“ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น   ทั้งที่ยังไม่หายดีนักดารีลก็หายตัวไป   คนของลอร์ดเดเวอร์ลอสและสภาตามหากันให้ควั่กแต่ก็ไม่พบ   หายไปหลายวันเสียด้วย   จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้านั่นในสภาพนั้น   ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ”  
 
เด็กชายตัวน้อยได้ฟังแล้วจุกแน่นในอก
ดารีลแม้จะบาดเจ็บก็ยังดันทุรังตามไปช่วย
 
นึกถึงภาพดารีลที่ดิ้นทุรนทุรายในบ้านของเขายิ่งเศร้าหนัก
ขออย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกเลย
 
ถ้าวันนั้นเจ้าต้องตายไปจริงๆ
ข้าคงไม่สามารถอภัยให้กับตัวเอง
 
ที่ไม่อาจปกป้อง
อะไรได้เลย
 
ดารีลข้าสาบานต่อเจ้า
ข้าจะต้องแกร่งกว่านี้
 
เพื่อวันข้างหน้า
ข้าจะปกป้องเจ้าเอง
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา