โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
109) ย้ายเข้าหอนอน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้าวันต่อมาท้องฟ้าแจ่มใส ดารีลได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับเปลวไฟสีฟ้าในเตาผิง เด็กชายชาวซีนาร์ยนั้นจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ว่ากลับขึ้นมานอนบนเตียงเมื่อไหร่และอย่างไร แต่กลิ่นหอมละมุนนั้นยังติดตรึงในห้วงอารมณ์ไม่จางหาย
คนในบ้านหลังนี้เหมือนจะรู้ดีว่าหนุ่มน้อยคนนั้นหายไปไหน ไม่มีการตามหาหรือถามไถ่ใดๆ ทุกคนลุกขึ้นทำหน้าที่ของตนเองไปตามปรกติของแต่ละวัน
“ อาเธอร์ท่านมาดูอะไรนี่สิ ”
คาโลไรน์เรียกคนเป็นสามีที่กำลังง่วนอยู่กับการรีดนมวัว
นางพาเขาไปยังห้องรับแขก
ที่นั่นมีสิ่งของมากมาย
ของกินของใช้ในครัวเรือน
รวมทั้งช่อดอกไม้ที่หาเก็บได้ตามท้องทุ่ง
“ พวกเขายังหิ้วเข้ามาไม่หยุดเลยตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่พวกเราคงรับไว้ไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ต่างก็ยากจน ข้าต้องบอกกับพวกเขาว่าอย่างไรดี ”
“ ถูกของเจ้า เราไม่ควรรับเอาไว้ แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห้ามพวกเขาได้อย่างไร ”
อาเธอร์พูด
ผู้คนจากหมู่บ้านนอกกำแพง
ได้หลั่งไหลมาที่นี่
พร้อมกับข้าวของที่พอหาได้
แต่ละคนไม่พูดจาสิ่งใด
เดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าสงบเจียมตัว
วางของไว้แล้วก็เดินจากไป
ครอบครัวของอาเธอร์ได้แต่นิ่งอึ้ง
ไม่รู้จะตอบโต้ปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างไรดี
ในตอนสายของวันนั้นพ่อมดดีมีนก็แวะมาที่บ้าน เขาจะพาเด็กทั้งสองเข้าไปไว้ในหอนอนของปราสาทขาว เพราะเชื่อกันว่าที่นั่นปรอดภัยที่สุด
อาเธอร์ลากลังไม้ออกมา สองพี่น้องช่วยกันขนของใช้ส่วนตัวใส่ลงไปอย่างเร่งรีบ คาโอเรียไม่ลืมที่จะนำหินที่พ่อมดดีมีนมอบให้ติดตัวไปด้วย พ่อมดชรารบเร้าให้พวกเขาเร่งมือขึ้น เพราะเขาเกรงว่าประตูเมืองอาจจะปิดก่อนกำหนดเมื่อความมืดมาเยือน
พวกเขายกลังไม้ขึ้นไปไว้บนเลื่อนของพ่อมดดีมีน เอาเชือกมามัดไว้อย่างแน่นหนาเด็กๆ นั่งห้อยขาลงจากส่วนท้ายของลัง ส่วนพ่อมดโดยที่พ่อมดนั่งคร่อมอยู่ด้านหน้า คาโอเรียอุ้มกระต่ายลูขึ้นมากอดแนบอก เหมือนรู้ว่านางกำลังจะจากไป มันทำน้ำตาคลอในดวงตาสีส้ม พอนางปล่อยมันลงมันก็พยายามกระโดดขึ้นไปบนเลื่อนจนคาโลไรน์ต้องขังมันไว้ในบ้าน ม้าสีขาวของพ่อมดพาพวกเขาวิ่งไปท่ามกลางทุ่งหญ่าที่เคลือบน้ำแข็ง อาเธอร์และคาโลไรน์ควบม้าตามมาติดๆ
เมื่อผ่านซุ้มประตูหินของปราสาทขาว พวกเขาจ้องมองมันอย่างคุ้นเคย ต้นสนทิ้งใบลู่ลง ตามกิ่งก้านเต็มไปด้วยหยดน้ำแข็ง ขณะที่มาถึงถนนเส้นนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่อนุสาวรีย์หินทันที มันยังคงตั้งมั่นอย่างสง่างาม แม้จะมีน้ำแข็งเกาะหนา บางนิ้วมีน้ำแข็งงอกออกมาเหมือนกรงเล็บแหลมคม เด็กๆ รู้สึกประหลาดใจที่เห็นผู้ใช้เวทมนตร์มากมายวนเวียนอยู่แถวนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ และพ่อมดเฒ่าก็ไม่ให้ความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อมาถึงตัวปราสาท เพื่อนนักเรียนที่ทราบข่าวการมาของเขาต่างมาออกันที่หน้าประตู ข่าวการเดินทางกลับบ้านท่ามกลางพายุคำสาปนั้นโด่งดังไม่น้อย ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูใครคนหนึ่งก็โผเข้ามากอด เด็กชายชาวซีนาร์ยรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปโดยพลัน เมื่อเขาเห็นว่าคนๆ นั้นคือฟีไลร่า
“ โชคดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาได้ ”
นางว่า
ก่อนจะหันไปกอดคาโอเรียเป็นรายถัดไป
“ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ”
นางบอกกับคาโอเรีย
โลธอร์ดึงเขาเข้าไปกอดบ้าง
เขาทุบกำปั้นลงกลางหลังฟิโลโซเฟอร์ดังอั๊ก
“ เจ้าทำข้าเกือบหัวใจวายตายแน่ะ ”
“ ข้าไม่รู้จะด่าว่าบ้าหรือโง่ดี ให้ตายสินึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ”
อีเลียสทำสีหน้าแบบมีเลศนัย
พ่อมดดีมีนที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้เขาประหม่า
นักการภารโรงคนหนึ่งช่วยหิ้วลังไม้ขึ้นมา
“ พวกเจ้ากลับกันได้แล้วข้าจะดูแลเด็กๆ ให้เอง ”
ดีมีนบอกกับอาเธอร์
เด็กนักเรียนต่างแอบกันที่ประตู ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นพ่อมดอาวุโสอย่างใกล้ชิด อาเธอร์และคาโลไรน์ต่างผลัดกันกอดล่ำลาลูกๆ เด็กๆ ต่างรู้สึกอ้างว้าง เมื่อรู้ว่าอีกหลายวันกว่าจะได้กลับบ้าน
“ พ่อเชื่อว่าเจ้าดูแลน้องได้ ข้าจึงไม่ขอให้เจ้ารับปากอะไร แต่อยากให้เจ้าดูแลตังเองให้ดีๆ เท่านั้น ”
“ ท่านพ่อไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหรือฮะ ”
“ ฤดูเพาะปลูกกำลังจะมา ถึงถ้ามัวแต่หวาดกลัวหัวหด เราก็คงอดตายกันพอดี ”
อาเธอร์พูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
คนในบ้านหลังนี้เหมือนจะรู้ดีว่าหนุ่มน้อยคนนั้นหายไปไหน ไม่มีการตามหาหรือถามไถ่ใดๆ ทุกคนลุกขึ้นทำหน้าที่ของตนเองไปตามปรกติของแต่ละวัน
“ อาเธอร์ท่านมาดูอะไรนี่สิ ”
คาโลไรน์เรียกคนเป็นสามีที่กำลังง่วนอยู่กับการรีดนมวัว
นางพาเขาไปยังห้องรับแขก
ที่นั่นมีสิ่งของมากมาย
ของกินของใช้ในครัวเรือน
รวมทั้งช่อดอกไม้ที่หาเก็บได้ตามท้องทุ่ง
“ พวกเขายังหิ้วเข้ามาไม่หยุดเลยตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่พวกเราคงรับไว้ไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ต่างก็ยากจน ข้าต้องบอกกับพวกเขาว่าอย่างไรดี ”
“ ถูกของเจ้า เราไม่ควรรับเอาไว้ แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห้ามพวกเขาได้อย่างไร ”
อาเธอร์พูด
ผู้คนจากหมู่บ้านนอกกำแพง
ได้หลั่งไหลมาที่นี่
พร้อมกับข้าวของที่พอหาได้
แต่ละคนไม่พูดจาสิ่งใด
เดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าสงบเจียมตัว
วางของไว้แล้วก็เดินจากไป
ครอบครัวของอาเธอร์ได้แต่นิ่งอึ้ง
ไม่รู้จะตอบโต้ปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างไรดี
ในตอนสายของวันนั้นพ่อมดดีมีนก็แวะมาที่บ้าน เขาจะพาเด็กทั้งสองเข้าไปไว้ในหอนอนของปราสาทขาว เพราะเชื่อกันว่าที่นั่นปรอดภัยที่สุด
อาเธอร์ลากลังไม้ออกมา สองพี่น้องช่วยกันขนของใช้ส่วนตัวใส่ลงไปอย่างเร่งรีบ คาโอเรียไม่ลืมที่จะนำหินที่พ่อมดดีมีนมอบให้ติดตัวไปด้วย พ่อมดชรารบเร้าให้พวกเขาเร่งมือขึ้น เพราะเขาเกรงว่าประตูเมืองอาจจะปิดก่อนกำหนดเมื่อความมืดมาเยือน
พวกเขายกลังไม้ขึ้นไปไว้บนเลื่อนของพ่อมดดีมีน เอาเชือกมามัดไว้อย่างแน่นหนาเด็กๆ นั่งห้อยขาลงจากส่วนท้ายของลัง ส่วนพ่อมดโดยที่พ่อมดนั่งคร่อมอยู่ด้านหน้า คาโอเรียอุ้มกระต่ายลูขึ้นมากอดแนบอก เหมือนรู้ว่านางกำลังจะจากไป มันทำน้ำตาคลอในดวงตาสีส้ม พอนางปล่อยมันลงมันก็พยายามกระโดดขึ้นไปบนเลื่อนจนคาโลไรน์ต้องขังมันไว้ในบ้าน ม้าสีขาวของพ่อมดพาพวกเขาวิ่งไปท่ามกลางทุ่งหญ่าที่เคลือบน้ำแข็ง อาเธอร์และคาโลไรน์ควบม้าตามมาติดๆ
เมื่อผ่านซุ้มประตูหินของปราสาทขาว พวกเขาจ้องมองมันอย่างคุ้นเคย ต้นสนทิ้งใบลู่ลง ตามกิ่งก้านเต็มไปด้วยหยดน้ำแข็ง ขณะที่มาถึงถนนเส้นนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่อนุสาวรีย์หินทันที มันยังคงตั้งมั่นอย่างสง่างาม แม้จะมีน้ำแข็งเกาะหนา บางนิ้วมีน้ำแข็งงอกออกมาเหมือนกรงเล็บแหลมคม เด็กๆ รู้สึกประหลาดใจที่เห็นผู้ใช้เวทมนตร์มากมายวนเวียนอยู่แถวนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ และพ่อมดเฒ่าก็ไม่ให้ความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อมาถึงตัวปราสาท เพื่อนนักเรียนที่ทราบข่าวการมาของเขาต่างมาออกันที่หน้าประตู ข่าวการเดินทางกลับบ้านท่ามกลางพายุคำสาปนั้นโด่งดังไม่น้อย ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูใครคนหนึ่งก็โผเข้ามากอด เด็กชายชาวซีนาร์ยรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปโดยพลัน เมื่อเขาเห็นว่าคนๆ นั้นคือฟีไลร่า
“ โชคดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาได้ ”
นางว่า
ก่อนจะหันไปกอดคาโอเรียเป็นรายถัดไป
“ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ”
นางบอกกับคาโอเรีย
โลธอร์ดึงเขาเข้าไปกอดบ้าง
เขาทุบกำปั้นลงกลางหลังฟิโลโซเฟอร์ดังอั๊ก
“ เจ้าทำข้าเกือบหัวใจวายตายแน่ะ ”
“ ข้าไม่รู้จะด่าว่าบ้าหรือโง่ดี ให้ตายสินึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ”
อีเลียสทำสีหน้าแบบมีเลศนัย
พ่อมดดีมีนที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้เขาประหม่า
นักการภารโรงคนหนึ่งช่วยหิ้วลังไม้ขึ้นมา
“ พวกเจ้ากลับกันได้แล้วข้าจะดูแลเด็กๆ ให้เอง ”
ดีมีนบอกกับอาเธอร์
เด็กนักเรียนต่างแอบกันที่ประตู ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นพ่อมดอาวุโสอย่างใกล้ชิด อาเธอร์และคาโลไรน์ต่างผลัดกันกอดล่ำลาลูกๆ เด็กๆ ต่างรู้สึกอ้างว้าง เมื่อรู้ว่าอีกหลายวันกว่าจะได้กลับบ้าน
“ พ่อเชื่อว่าเจ้าดูแลน้องได้ ข้าจึงไม่ขอให้เจ้ารับปากอะไร แต่อยากให้เจ้าดูแลตังเองให้ดีๆ เท่านั้น ”
“ ท่านพ่อไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหรือฮะ ”
“ ฤดูเพาะปลูกกำลังจะมา ถึงถ้ามัวแต่หวาดกลัวหัวหด เราก็คงอดตายกันพอดี ”
อาเธอร์พูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ