โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
101) ถ้าข้าตายเจ้าจะคิดถึงข้าไหม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายตัวน้อยรู้สึกหนาวไปทั้งร่าง เขาพบว่าตนเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืดและสายลมที่ปั่นป่วน ความงุนงงถาโถมเข้ามา ที่นี่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หิมะปลิวคว้างในอากาศหลอมละลายกลายเป็นไอมืดมัว เด็กน้อยเดินเซถลาตามแรงลม หรือว่าตอนนี้ยังติดอยู่ในพายุร้าย ทั้งหมดคือความฝันพวกเขายังกลับไม่ถึงบ้าน
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แล้วคาโอเรียล่ะ ตอนนี้มือของเขาว่างเปล่า นางพลัดหลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เด็กชายชาวซีนาร์ยหยุดนิ่ง มองรอบกายก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากฝุ่นไอสีดำที่เย็นเยือก เขายกมือป้องปากตะโกนเรียกชื่อน้องสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายลมแรงได้หอบเอาเสียงของเขาปลิวหายไป
เขาเงี่ยหูฟัง นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก เด็กชายตัวน้อยน้อยหวาดกลัวมาก คาโอเรียหายตัวไปได้อย่างไรทั้งที่จับมือกันเดินมาตลอด เขารวบรวมเรียวแรง ตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง
คราวนี้มีเสียงตอบกลับมา มันเป็นเสียงร้องกรีดแหลมที่บาดลึกถึงขั้วหัวใจ หนาวเย็นจนเลือดแทบจับแข็ง ฟิโลโซเฟอร์ตะลึงงัน มันดังจากที่ใกล้ๆ นี่เอง เด็กชายหันไปมองเขาเห็นเงาดำร่างหนึ่ง กำลังเดินฝ่าเข้าไปทางนั้น หรือจะเป็นคาโอเรีย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กชายก็วิ่งตามไปแบบไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนบอกให้นางรอก่อน อย่าไปทางนั้น อย่าเข้าไปหามัน
ร่างที่เห็นตรงหน้าล้มลงก่อนที่ฟิโลโซเฟอร์จะไปถึง เด็กชายวิ่งเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อพลิกร่างนั้นหงายขึ้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขาหนาวเยือก นี่ไม่ใช่คาโอเรีย
หากแต่เป็นดารีลเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เด็กชายประคองหนุ่มน้อยนั้นด้วยมืออันสั่นเทา คำถามมากมายพุ่งตรงเข้าใส่
พ่อมดน้อยมาที่นี่ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ฟิโลโซเฟอร์ก้มลงบนใบหน้านั้น พบเพียงลมกายใจที่อ่อนล้าโรยแรง เขาพยายามเขย่าปลุก แต่ดารีลก็ไม่ตอบสนองเขาเลย
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามองไปรอบๆ หวังได้เห็นความช่วยเหลือสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดที่ว่างเปล่า ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น เขาก็พบคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากละอองไอที่มืดสลัว ร่างสูงโปร่งที่ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าอย่างไรฟิโลโซเฟอร์รับรู้ถึงสัญญาณอันตราย เขาประคองดารีลลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล ร่างนั้นหนักอึ้งเหลือเกิน เด็กชายตัวน้อยหันไปมองร่างปริศนานั้นอีกครั้งแล้วเขาก็นึกออก
คนผู้นี้เขามักพบเห็นในความฝัน ในเวลาที่เขาเหนื่อยล้าหรือวิตกกังวล เขาจะฝันเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพายุเสมอ พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความน่ากลัว
ฟิโลโซเฟอร์อยากหลบหนี แต่ดารีลก็นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในมือของเขา เด็กชายจึงทำได้แค่เฝ้าดูเงารางเลือนนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ในมือของเขากุมดาบสีดำด้วยท่าทีมุ่งร้าย ประกายสีแดงตรงด้ามดาบสว่างเรื่อเรือง เด็กชายเขม้นมองด้วยความฉงน
เขาจำได้ในทันทีว่ามันคือดาบโบราณที่เขาถือติดตัวออกมาจากหุบเขาเดนตาย แล้วมันอยู่ในมือของคนผู้นี้ได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อเขาซ่อนเอาไว้แล้ว
ร่างสีดำในไอหมอกหนาเงื้อดาบขึ้น ฟิโลโซเฟอร์ใจหายวาบ เขารู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิด แต่เขาก็ทิ้งคนในอ้อมแขนไปไม่ได้จริงๆ จึงทิ้งร่างลงทาบทับเอาไว้ ถ้าใครคิดจะสังหารดารีล ก็ต้องฆ่าเขาเสียก่อน
เด็กชายชาวซีนาร์ยหลับตาแน่น รอคอยความตายที่กำลังเดินทางมาถึง เขาสัมผัสความเย็นเยือกลากผ่านลำคอ เหมือนมีอะไรกระแทกเข้าที่กราม แต่เรี่ยวแรงนั้นเบาหวิว ฟิโลโซเฟอร์ลืมตาขึ้นพบกับดารีลที่มีสีหน้าเดือดดาลและงุนงง มือเย็นเฉียบรวบลำคอของเขาไว้ส่วนอีกข้างกำหมัดค้าง
“ หมอบลงเร็วเจ้ากำลังอยู่ในอันตราย ”
เด็กชายร้องเตือน
“ บ้าบอที่สุด ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะสาปเจ้าแล้วนะ ”
เสียงดารีลช่วยเรียกสติของเขากลับคืนมา
ฟิโลโซเฟอร์พบว่าเขาอยู่ในบ้านไม่ใช่กลางพายุ
และดารีลที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่ใต้ร่างก็ไม่ได้จมกองเลือดแต่อย่างใด
เขาควานมือเข้าไปใต้ที่นอน
ดาบโบราณยังวางที่เดิมไม่ได้หายไปไหน
ฟิโลโซเฟอร์หันกลับมายังหนุ่มน้อยที่นอนข้างๆ
ตวัดผ้าห่มออกและเริ่มปลดเสื้อคลุมนอกสีดำนั่นด้วย
ดารีลดิ้นรนขัดขืนด้วยความตระหนกกับท่าทีแปลกประหลาดของเด็กชาย
แต่เรี่ยวแรงของหดหายไปเรื่อยๆ จึงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ฟิโลโซเฟอร์สอดมือผ่านเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสเรือนร่างของเขา
เด็กชายต้องการความแน่ใจว่า
พ่อมดน้อยคนนี้ไม่ได้มีบาดแผลอะไรจริงๆ
“ หยุดนะ นี่ข้าเอง เจ้าเป็นอะไรไป ”
ดารีลรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย
ผลักฟิโลโซเฟอร์ให้ล้มลงไปนอนข้างๆ
พลางหอบหายใจถี่
“ ข้าฝันร้าย ”
เด็กชายตอบมาเบาๆ
ความฝันนั้นชัดแจ้งราวกับภาพแห่งความจริง
“ ฝันร้ายหรือฝันทะลึ่งกันแน่ รู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไปบ้าง ”
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบเรื่องนั้น
เขายังหวาดกลัวความฝันนั้นไม่หาย
ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย
“ บอกความฝันของเจ้ามาสิเผื่อข้าช่วยอะไรได้ ”
ดารีลถาม
เมื่อเห็นว่าเด็กชายมีท่าทีตื่นกลัวไม่น้อย
ฟิโลโซเฟอร์มองหน้าคนข้างๆ
ภาพของดารีลที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดยังติดตาไม่หาย
เขารู้สึกปวดใจจนแทบคลั่ง
จึงทำได้แค่ส่ายหน้า
ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
“ ขอโทษด้วยนะ ข้าทำเจ้าเจ็บตัวหรือเปล่า ”
เด็กชายแกล้งถามไปอย่างอื่น
เพราะไม่อยากเอ่ยถึงมัน
“ ช่างเถอะอย่างน้อยเจ้าก็ปลุกข้าขึ้นมาจากฝันร้ายเหมือนกัน ”
ดารีลว่า
“ เจ้าฝันถึงสิ่งใดหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกใจหายกลัวว่าจะฝันเรื่องเดียวกัน
“ ข้าหลงทางกลางเหวลึก พยายามหาทางออกมา แต่กลายเป็นว่าถลำลึกลงไปอีก ”
“ แล้วเจ้าไปทำอะไรที่เหวนั่น ”
“ ข้าแค่จะหาทางกลับบ้าน ”
หนุ่มน้อยว่าพลางหลบสายตาไปทางอื่น
เด็กชายชาวซีนาร์ยถอนหายใจ
“ อย่าเศร้าไปเลยนะ ข้าสาบานว่าจะพาเจ้ากลับบ้านให้ได้ รอข้าโตกว่านี้หน่อยเถอะ ”
“ ข้าว่าเจ้าเลิกพล่ามแล้วนอนต่อได้แล้ว ”
ดารีลพูด
“ ไม่ละข้ากลัวฝันเรื่องเดิมอีก ”
“ ให้ช่วยหรือเปล่า ข้าร่ายคาถาบทเดียวสามารถทำเจ้าหลับไปเป็นเดือนได้เลย ”
“ เจ้าน่ะนอนไปเถอะ ข้าไม่กวนหรอก หรือระแวงข้าซะแล้ว ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบว่าอะไร
เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันได้หลับตา
เสียงกรีดร้องชวนสยองก็ดังขึ้นเหนือหลังคา
พร้อมกับสายลมกระแทกโคลมเข้ากับตัวบ้าน
ฟิโลโซเฟอร์ควานหาด้ามดาบ
แต่ดารีลจับเขากดลงพื้นพร้อมกับปิดปากเอาไว้ด้วย
“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่ ”
หนุ่มน้อยกระซิบ
“ โกหกละ ”
เด็กชายกัดฟัน
“ เจ้าพูดผิด จริงอยู่มันไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แต่มันอยู่บนหลังคา ”
“ ฟังข้านะ ”
ดารีลยังคงออกแรงกดเขาไว้
“ เคอร์คารอลชื่นชอบผู้กล้า ดังนั้นถ้าเจ้าไม่สู้มันก็จะเลิกสนใจเจ้า อยู่เฉยๆ เถอะเชื่อข้า เพราะตอนนี้ข้าน่ะไม่อยู่ในในสภาพที่จะต่อกรกับใครได้ทั้งนั้น เพื่อความอยู่รอดของทุกคนเจ้าอย่าห้าวนักเลย ”
ฟิโลโซเฟอร์เชื่อฟังเขาแม้ในใจจะไม่เห็นด้วย
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยสงบลงแล้ว
เขาจึงปล่อยมือและพลิกกลับไปนอนฝั่งของตัวเอง
ปล่อยให้ความคุ้มคลั่งโหมซัดอยู่ด้านนอกต่อไป
อากาศภายในห้องเย็นเยือกลงเรื่อยๆ พร้อมกับไฟในเตาที่ริบหรี่
“ ยังมีกำยานเหลืออยู่ไหม ”
เด็กชายกระซิบถาม
“ ตอนนี้มันใช้ไม่ได้ผลแล้วล่ะ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างใกล้จะยุติแล้ว ”
หนุ่มน้อยตอบด้วยเสียงเบาหวิว
ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรอีก
เขาเดินไปที่ลังไม้หยิบถ่านหินและฟืนโยนเข้าไปในเตา
แสงไฟทำให้ห้องสว่างขึ้น
แต่ความอบอุ่นนั้นหาไม่ได้เลย
“ ฟิโลโซเฟอร์ ”
ดารีลเรียก
“ ข้ามีเรื่องอยากถาม ”
เด็กชายรีบกลับขึ้นเตียงมาหาเขา
หนุ่มน้อยจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
และเด็กคนนั้นก็จ้องกลับมาด้วยแววตาวิตกกังวล
“ ถ้าหากข้าตายเจ้าจะคิดถึงข้าไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะลึงตาค้าง
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้
เขารู้อยู่แล้วว่าดารีลนั้นดูแย่ลงมากๆ
แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้
“ หนาวมากหรือเปล่าเดี๋ยวหาผ้ามาเพิ่มให้ ”
ดารีลคว้ามือของเขาไว้
“ เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ”
เด็กน้อยถอยหายใจเฮือก
รู้สึกเต็มกลืนจนแทบทนไม่ไหว
“ หุบปากไปเลยดารีล มันใช่เวลาที่จะมาถามอะไรแบบนี้หรือ ”
“ ข้าอยากรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเจ้า แค่ตอบข้ามาก็เท่านั้น ”
“ ได้ ถ้าอยากรู้นักล่ะก็ ข้าไม่คิดถึงเจ้าหรอก จะไปคิดถึงทำไมกันล่ะในเมื่อข้าจะไปกับเจ้า ไม่ว่านรกหรือสวรรค์ข้าก็จะตามเจ้าไป ”
ดารีลหลับตาลงด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ ฟังให้ดีนะ ”
หนุ่มน้อยพูดเสียงเข้ม
“ เรื่องนี้จะยังไม่จบ ดังนั้นต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งตายคนที่เหลือก็ต้องหาทางไปต่อ ข้าอยากเตือนเจ้าจงมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด ”
“ ข้าไปต่อแน่ แต่ไปทางเดียวกับเจ้า เพราะฉะนั้นเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ”
ดารีลถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก
เจ้าเด็กบ้านี่
“ เอาล่ะข้าคงถามผิดไป ดูท่าแล้ว คนที่จะตายก่อนคงไม่ใช่ข้าอย่างแน่นอน ”
หนุ่มน้อยนักเวทว่า
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แล้วคาโอเรียล่ะ ตอนนี้มือของเขาว่างเปล่า นางพลัดหลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เด็กชายชาวซีนาร์ยหยุดนิ่ง มองรอบกายก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากฝุ่นไอสีดำที่เย็นเยือก เขายกมือป้องปากตะโกนเรียกชื่อน้องสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายลมแรงได้หอบเอาเสียงของเขาปลิวหายไป
เขาเงี่ยหูฟัง นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก เด็กชายตัวน้อยน้อยหวาดกลัวมาก คาโอเรียหายตัวไปได้อย่างไรทั้งที่จับมือกันเดินมาตลอด เขารวบรวมเรียวแรง ตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง
คราวนี้มีเสียงตอบกลับมา มันเป็นเสียงร้องกรีดแหลมที่บาดลึกถึงขั้วหัวใจ หนาวเย็นจนเลือดแทบจับแข็ง ฟิโลโซเฟอร์ตะลึงงัน มันดังจากที่ใกล้ๆ นี่เอง เด็กชายหันไปมองเขาเห็นเงาดำร่างหนึ่ง กำลังเดินฝ่าเข้าไปทางนั้น หรือจะเป็นคาโอเรีย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กชายก็วิ่งตามไปแบบไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนบอกให้นางรอก่อน อย่าไปทางนั้น อย่าเข้าไปหามัน
ร่างที่เห็นตรงหน้าล้มลงก่อนที่ฟิโลโซเฟอร์จะไปถึง เด็กชายวิ่งเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อพลิกร่างนั้นหงายขึ้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขาหนาวเยือก นี่ไม่ใช่คาโอเรีย
หากแต่เป็นดารีลเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เด็กชายประคองหนุ่มน้อยนั้นด้วยมืออันสั่นเทา คำถามมากมายพุ่งตรงเข้าใส่
พ่อมดน้อยมาที่นี่ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ฟิโลโซเฟอร์ก้มลงบนใบหน้านั้น พบเพียงลมกายใจที่อ่อนล้าโรยแรง เขาพยายามเขย่าปลุก แต่ดารีลก็ไม่ตอบสนองเขาเลย
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามองไปรอบๆ หวังได้เห็นความช่วยเหลือสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดที่ว่างเปล่า ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น เขาก็พบคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากละอองไอที่มืดสลัว ร่างสูงโปร่งที่ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าอย่างไรฟิโลโซเฟอร์รับรู้ถึงสัญญาณอันตราย เขาประคองดารีลลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล ร่างนั้นหนักอึ้งเหลือเกิน เด็กชายตัวน้อยหันไปมองร่างปริศนานั้นอีกครั้งแล้วเขาก็นึกออก
คนผู้นี้เขามักพบเห็นในความฝัน ในเวลาที่เขาเหนื่อยล้าหรือวิตกกังวล เขาจะฝันเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพายุเสมอ พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความน่ากลัว
ฟิโลโซเฟอร์อยากหลบหนี แต่ดารีลก็นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในมือของเขา เด็กชายจึงทำได้แค่เฝ้าดูเงารางเลือนนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ในมือของเขากุมดาบสีดำด้วยท่าทีมุ่งร้าย ประกายสีแดงตรงด้ามดาบสว่างเรื่อเรือง เด็กชายเขม้นมองด้วยความฉงน
เขาจำได้ในทันทีว่ามันคือดาบโบราณที่เขาถือติดตัวออกมาจากหุบเขาเดนตาย แล้วมันอยู่ในมือของคนผู้นี้ได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อเขาซ่อนเอาไว้แล้ว
ร่างสีดำในไอหมอกหนาเงื้อดาบขึ้น ฟิโลโซเฟอร์ใจหายวาบ เขารู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิด แต่เขาก็ทิ้งคนในอ้อมแขนไปไม่ได้จริงๆ จึงทิ้งร่างลงทาบทับเอาไว้ ถ้าใครคิดจะสังหารดารีล ก็ต้องฆ่าเขาเสียก่อน
เด็กชายชาวซีนาร์ยหลับตาแน่น รอคอยความตายที่กำลังเดินทางมาถึง เขาสัมผัสความเย็นเยือกลากผ่านลำคอ เหมือนมีอะไรกระแทกเข้าที่กราม แต่เรี่ยวแรงนั้นเบาหวิว ฟิโลโซเฟอร์ลืมตาขึ้นพบกับดารีลที่มีสีหน้าเดือดดาลและงุนงง มือเย็นเฉียบรวบลำคอของเขาไว้ส่วนอีกข้างกำหมัดค้าง
“ หมอบลงเร็วเจ้ากำลังอยู่ในอันตราย ”
เด็กชายร้องเตือน
“ บ้าบอที่สุด ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะสาปเจ้าแล้วนะ ”
เสียงดารีลช่วยเรียกสติของเขากลับคืนมา
ฟิโลโซเฟอร์พบว่าเขาอยู่ในบ้านไม่ใช่กลางพายุ
และดารีลที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่ใต้ร่างก็ไม่ได้จมกองเลือดแต่อย่างใด
เขาควานมือเข้าไปใต้ที่นอน
ดาบโบราณยังวางที่เดิมไม่ได้หายไปไหน
ฟิโลโซเฟอร์หันกลับมายังหนุ่มน้อยที่นอนข้างๆ
ตวัดผ้าห่มออกและเริ่มปลดเสื้อคลุมนอกสีดำนั่นด้วย
ดารีลดิ้นรนขัดขืนด้วยความตระหนกกับท่าทีแปลกประหลาดของเด็กชาย
แต่เรี่ยวแรงของหดหายไปเรื่อยๆ จึงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ฟิโลโซเฟอร์สอดมือผ่านเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสเรือนร่างของเขา
เด็กชายต้องการความแน่ใจว่า
พ่อมดน้อยคนนี้ไม่ได้มีบาดแผลอะไรจริงๆ
“ หยุดนะ นี่ข้าเอง เจ้าเป็นอะไรไป ”
ดารีลรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย
ผลักฟิโลโซเฟอร์ให้ล้มลงไปนอนข้างๆ
พลางหอบหายใจถี่
“ ข้าฝันร้าย ”
เด็กชายตอบมาเบาๆ
ความฝันนั้นชัดแจ้งราวกับภาพแห่งความจริง
“ ฝันร้ายหรือฝันทะลึ่งกันแน่ รู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไปบ้าง ”
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบเรื่องนั้น
เขายังหวาดกลัวความฝันนั้นไม่หาย
ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย
“ บอกความฝันของเจ้ามาสิเผื่อข้าช่วยอะไรได้ ”
ดารีลถาม
เมื่อเห็นว่าเด็กชายมีท่าทีตื่นกลัวไม่น้อย
ฟิโลโซเฟอร์มองหน้าคนข้างๆ
ภาพของดารีลที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดยังติดตาไม่หาย
เขารู้สึกปวดใจจนแทบคลั่ง
จึงทำได้แค่ส่ายหน้า
ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
“ ขอโทษด้วยนะ ข้าทำเจ้าเจ็บตัวหรือเปล่า ”
เด็กชายแกล้งถามไปอย่างอื่น
เพราะไม่อยากเอ่ยถึงมัน
“ ช่างเถอะอย่างน้อยเจ้าก็ปลุกข้าขึ้นมาจากฝันร้ายเหมือนกัน ”
ดารีลว่า
“ เจ้าฝันถึงสิ่งใดหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกใจหายกลัวว่าจะฝันเรื่องเดียวกัน
“ ข้าหลงทางกลางเหวลึก พยายามหาทางออกมา แต่กลายเป็นว่าถลำลึกลงไปอีก ”
“ แล้วเจ้าไปทำอะไรที่เหวนั่น ”
“ ข้าแค่จะหาทางกลับบ้าน ”
หนุ่มน้อยว่าพลางหลบสายตาไปทางอื่น
เด็กชายชาวซีนาร์ยถอนหายใจ
“ อย่าเศร้าไปเลยนะ ข้าสาบานว่าจะพาเจ้ากลับบ้านให้ได้ รอข้าโตกว่านี้หน่อยเถอะ ”
“ ข้าว่าเจ้าเลิกพล่ามแล้วนอนต่อได้แล้ว ”
ดารีลพูด
“ ไม่ละข้ากลัวฝันเรื่องเดิมอีก ”
“ ให้ช่วยหรือเปล่า ข้าร่ายคาถาบทเดียวสามารถทำเจ้าหลับไปเป็นเดือนได้เลย ”
“ เจ้าน่ะนอนไปเถอะ ข้าไม่กวนหรอก หรือระแวงข้าซะแล้ว ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบว่าอะไร
เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันได้หลับตา
เสียงกรีดร้องชวนสยองก็ดังขึ้นเหนือหลังคา
พร้อมกับสายลมกระแทกโคลมเข้ากับตัวบ้าน
ฟิโลโซเฟอร์ควานหาด้ามดาบ
แต่ดารีลจับเขากดลงพื้นพร้อมกับปิดปากเอาไว้ด้วย
“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่ ”
หนุ่มน้อยกระซิบ
“ โกหกละ ”
เด็กชายกัดฟัน
“ เจ้าพูดผิด จริงอยู่มันไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แต่มันอยู่บนหลังคา ”
“ ฟังข้านะ ”
ดารีลยังคงออกแรงกดเขาไว้
“ เคอร์คารอลชื่นชอบผู้กล้า ดังนั้นถ้าเจ้าไม่สู้มันก็จะเลิกสนใจเจ้า อยู่เฉยๆ เถอะเชื่อข้า เพราะตอนนี้ข้าน่ะไม่อยู่ในในสภาพที่จะต่อกรกับใครได้ทั้งนั้น เพื่อความอยู่รอดของทุกคนเจ้าอย่าห้าวนักเลย ”
ฟิโลโซเฟอร์เชื่อฟังเขาแม้ในใจจะไม่เห็นด้วย
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยสงบลงแล้ว
เขาจึงปล่อยมือและพลิกกลับไปนอนฝั่งของตัวเอง
ปล่อยให้ความคุ้มคลั่งโหมซัดอยู่ด้านนอกต่อไป
อากาศภายในห้องเย็นเยือกลงเรื่อยๆ พร้อมกับไฟในเตาที่ริบหรี่
“ ยังมีกำยานเหลืออยู่ไหม ”
เด็กชายกระซิบถาม
“ ตอนนี้มันใช้ไม่ได้ผลแล้วล่ะ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างใกล้จะยุติแล้ว ”
หนุ่มน้อยตอบด้วยเสียงเบาหวิว
ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรอีก
เขาเดินไปที่ลังไม้หยิบถ่านหินและฟืนโยนเข้าไปในเตา
แสงไฟทำให้ห้องสว่างขึ้น
แต่ความอบอุ่นนั้นหาไม่ได้เลย
“ ฟิโลโซเฟอร์ ”
ดารีลเรียก
“ ข้ามีเรื่องอยากถาม ”
เด็กชายรีบกลับขึ้นเตียงมาหาเขา
หนุ่มน้อยจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
และเด็กคนนั้นก็จ้องกลับมาด้วยแววตาวิตกกังวล
“ ถ้าหากข้าตายเจ้าจะคิดถึงข้าไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ตะลึงตาค้าง
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้
เขารู้อยู่แล้วว่าดารีลนั้นดูแย่ลงมากๆ
แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้
“ หนาวมากหรือเปล่าเดี๋ยวหาผ้ามาเพิ่มให้ ”
ดารีลคว้ามือของเขาไว้
“ เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ”
เด็กน้อยถอยหายใจเฮือก
รู้สึกเต็มกลืนจนแทบทนไม่ไหว
“ หุบปากไปเลยดารีล มันใช่เวลาที่จะมาถามอะไรแบบนี้หรือ ”
“ ข้าอยากรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเจ้า แค่ตอบข้ามาก็เท่านั้น ”
“ ได้ ถ้าอยากรู้นักล่ะก็ ข้าไม่คิดถึงเจ้าหรอก จะไปคิดถึงทำไมกันล่ะในเมื่อข้าจะไปกับเจ้า ไม่ว่านรกหรือสวรรค์ข้าก็จะตามเจ้าไป ”
ดารีลหลับตาลงด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ ฟังให้ดีนะ ”
หนุ่มน้อยพูดเสียงเข้ม
“ เรื่องนี้จะยังไม่จบ ดังนั้นต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งตายคนที่เหลือก็ต้องหาทางไปต่อ ข้าอยากเตือนเจ้าจงมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด ”
“ ข้าไปต่อแน่ แต่ไปทางเดียวกับเจ้า เพราะฉะนั้นเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ”
ดารีลถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก
เจ้าเด็กบ้านี่
“ เอาล่ะข้าคงถามผิดไป ดูท่าแล้ว คนที่จะตายก่อนคงไม่ใช่ข้าอย่างแน่นอน ”
หนุ่มน้อยนักเวทว่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ