แก้วนพคุณ

-

เขียนโดย เวลา

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.59 น.

  38 บท
  0 วิจารณ์
  30.63K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ข่าวลือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

หลังจากตามครูประจำชั้นเข้าไปในห้อง พริมากับยามาได้นั่งโต๊ะเรียนคู่กัน           แรกๆ ตอนพริมาเข้ามาใหม่ๆ เด็กหญิงเป็นที่สนใจของหลายๆ คน เพราะเด็กบางคนไม่เคยเห็นลูกครึ่งจริงๆ มาก่อน

“เธอเป็นลูกครึ่งอะไรอ่ะ?” เด็กคนหนึ่งถามพริมา เด็กหญิงตอบคำถามเพื่อนแบบที่ตอบยามา

“พ่อเธอต้องหล่อมากแน่ๆ เลย” พริมาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อจริงๆ เหมือนกัน

“ลูกแก้วสวยได้แม่ย่ะ แม่นางน่ะสวยหยั่งกะดารา” ยามาช่วยตอบคำถามแทนเพื่อน เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา

   “งั้นเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เลยน่ะสิ” คำถามนี้หนักกว่าเรื่องพ่อเสียอีก พริมามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 2 ขวบ หล่อนฟังภาษาอังกฤษ   พอได้บ้าง แต่พูดแทบไม่ได้เลย มาตรฐานภาษาของหล่อนต่ำกว่าเด็กไทยหลายๆ คนในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องน่าอายอยู่เหมือนกันที่เป็นลูกครึ่ง แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้...ภาษาไทยบางทียังสับสน

   “โอ้ย! พอๆ ถ้าใครถามอีกฉันจะคิดคำถามละ 20 สงสัยวันนี้จะได้ค่าขนมเยอะอยู่ ไม่รู้จะอยากรู้กันไปทำไม” เจอยามาเหวี่ยงใส่วงจึงแตก          แต่พอได้คุยได้รู้จักทุกคนก็รู้ว่ายามาแค่ปากร้าย แต่ความจริงหล่อนเป็นคน  มีน้ำใจ การบ้าน (ถ้าทำ) หล่อนก็จะให้เพื่อนลอกเสมอ ส่วนใหญ่ยามาจะไม่ทำการบ้าน แต่สอบทีไรหล่อนได้คะแนนเกือบเต็มทุกที หลายคนก็เป็นลูกค้ายามาในการขอลอกการบ้าน การจะโดนเหวี่ยงหรือบ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ      จึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนพริมาหล่อนเรียนพอไปวัดไปวา หรือจะเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด...อีกนิดเดียวก็ตก เด็กหญิงเก่งวิชาการเรือนที่เป็นวิชาเลือกเสรี หล่อนชอบทำอาหารและขนม ครั้งหนึ่งยามาเคยตามไปเรียนด้วย แต่เด็กหญิงทำออกมากินไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรียนอยู่พร้อมกัน           ทำเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติและหน้าตาของขนมมันถึงได้ต่างกันนัก พริมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

   “ปลาทูก็คิดว่ามันเป็นสูตรทางเคมีสิ สัดส่วนผสมกันให้ลงตัวแบบ        นั้นแหละ” พริมาพยายามหาหนทางที่เพื่อนน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ดัดแปลงกับการทำขนม เพื่อให้ออกมาดูดีและกินได้

   “ก็เพราะคิดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เลยลองใส่โน่นนิดนี่หน่อย     แต่มันออกมากินไม่ได้” ยามาเกาหัว หล่อนไม่เข้าใจ แค่ใส่สิ่งที่ชอบมากเกินจากสูตรแค่นิดเดียว ทำไมขนมถึงออกมาไม่ได้เรื่องตามแบบที่อาจารย์สอน

   “ถ้าเป็นขนมไทยก็พอได้นะ ปลาทูดัดแปลงใส่อะไรบางอย่างมากกว่าสูตรได้ตามชอบ แต่ถ้าเป็นเบเกอรี่ลูกแก้วการันตีได้เลยว่าเสียของแน่นอน ปลาทูจะเติมอะไรเพิ่มสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ความถนัดมันสอนกันยากจริงๆ ถ้าให้ยามาไปเรียนหนังสือ แก้โจทย์เคมีหรือคณิตศาสตร์รับรองว่าใช้เวลาไม่นาน แต่ทำอาหารนี่หล่อนยอมใจจริง ๆ

   หลังจากเพื่อนๆ หายตื่นเต้นกับลูกครึ่งแล้ว ยามาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน   การที่เด็กผู้หญิงจะตัดผมทรงสกินเฮดนั้น ย่อมมีคำถามมากมายตามมา    และยามาดูไม่ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย เด็กหญิงตอบคำถามทุกคน เพียงแต่ว่า คำตอบที่หล่อนให้เพื่อนๆ นั้น แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้งเดียว

   “ทำไมเธอตัดผมทรงนี้ล่ะ” มาริสาถามขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกหล่อนเข้ามารายงานตัวในห้อง หล่อนเป็นหัวหน้าห้องและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และหล่อนจะถามทุกอย่างที่สงสัยเสมอไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ถ้าวิชาไหนหล่อนไม่เข้าใจหล่อนจะถามจนบางครั้งอาจารย์เองก็เหนื่อยใจ

   “ฉันแก้บนน่ะสิ! รู้ไหมว่าฉันอยากเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ ม.1 เลยนะ แต่สอบเข้าไม่ได้ ฉันก็เลยไปบนเล่นขำๆ ว่าถ้าได้เข้าโรงเรียนนี้ฉันจะไปโกนหัวแก้บนล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแก้บนหรอกนะ แต่เชื่อไหม? เจ้าแม่ท่านเฮี้ยนจริงๆ เข้าฝันฉันติดๆ กันเป็นเดือนเลยล่ะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมหั่นผม...เอ่อ เรียกว่าโกนหัวแก้บนกันไปเลยดีกว่า” ยามาเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ ยิ่งเห็นเพื่อนสนใจหล่อนยิ่ง “เล่นใหญ่” พริมาได้แต่ยืนฟังนิ่งไม่กล้าขัด งานนี้คงมีแต่หล่อนคนเดียวกระมังที่รู้ที่มาของทรงผมนี้ดี เด็กหญิงเห็นมาริสา...เจ้าของคำถามนั้น ไม่พูดอะไรสักคำได้แต่ตั้งใจฟัง พริมาเห็นมาริสานั่งเลิกคิ้วขมวดคิ้วสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฟังยามาเล่าอย่างลืมตัว รวมถึงเพื่อนหลายคนก็เชื่อตามที่ยามาพูดกันอย่างจริงจัง พริมาไม่กล้ามอง...หล่อนเสมองไปทางอื่น เพราะถ้าหล่อนยังคงมองหน้าเพื่อนๆ ต่อ มีหวังหลุดขำแล้วทำเสียเรื่องกันไปใหญ่แน่ๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้ชายข้างห้องมาล้อทรงผมของยามา พริมาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เพราะยามาไม่ยอมใคร และเด็กหญิงเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ

   “เธออยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องโกนหัวแบบนี้?” ศิวกรนั่งนิ่ง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองตอนเด็กหญิงเดินเข้าห้องมา ห้องของยามาคือห้อง 5 แต่ศิวกรอยู่ห้อง 1 เด็กหญิงเดินผ่านมา 4 ห้องเพื่อมาหาเขาอย่างตั้งใจ

   “ฉันก็รู้อยู่แล้ว...เธอโกนผมแก้บนไม่ใช่เหรอ?” เขาบอกตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนห้องอื่นๆ แน่นอนตามปกติเด็กย้ายมาใหม่กลางเทอมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของ “เด็กใหม่” ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก

   “ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก” พูดมาถึงตรงนี้ยามาน้ำตาหยดแหมะ   พริมาตกใจ หล่อนไม่คิดว่ายามาจะจิตใจอ่อนไหวขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจเพื่อนดี กว่าผมจะยาว เป็นปกติยามาคงจะโดนเพื่อนๆ ล้อไปอีกหลายเดือน ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยนี้ด้วยแล้วการล้อเลียนคนอื่นให้ได้รับความอับอายขายหน้าถือเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

   “ความจริงแล้วฉันเป็นมะเร็ง...ต้องไปทำคีโมจนผมร่วง สุดท้ายเลยต้องโกนหัวแบบนี้แหละ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ศิวกรเท่านั้น เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มเงียบ พวกเขาตั้งใจฟัง เพียงแต่ไม่เข้ามาถามหรือหันมามองให้เป็นที่สะดุดตา      พริมาเหลือบมองเพื่อนรัก ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มไม่แน่ใจว่ายามาพูดจริงหรือไม่ เพราะยามา “เล่นใหญ่” ขนาดน้ำตาไหลมาเป็นสาย พริมาเห็นเพื่อนป้ายน้ำตาแล้วพูดต่อ

   “ฉันไม่ได้อยากจะบอกใครหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน เลยไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะถ้าฉันตายไปอาจจะมีบางคนรู้สึกผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อเลียนคนป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายให้ได้รับความอับอาย”     พริมาเห็นศิวกรหน้าซีด เขาคงคิดไม่ถึงว่ายามาจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแบบนี้ พริมาคิดว่าศิวกรเองก็ไม่น่าจะใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรมากมาย เขาดูสลดจริงๆ ไม่ใช่แค่สลดเท่านั้น ตอนนี้เขาอับอาย...สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมา   ไม่มีใครด่าออกเสียง แต่สายตาที่ส่งมานั้นก็เกินพอ ยามาเดินหน้าเศร้ากลับห้อง โดยมีพริมาตามไปติดๆ เด็กห้อง 1 ไม่ได้ตามออกมา เพียงแต่ยืนมองพวกหล่อน เดินออกมาเงียบๆ พริมามองเพื่อน...หล่อนมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกยาว   แต่เมื่อพ้นเขตห้อง 1 มาได้ระยะพอสมควรแล้ว เด็กหญิงเห็นยามายิ้มร่า...ยิ้มชนิดที่ปากจะฉีกถึงหูเลยทีเดียว

   “ปลาทู!!! ลูกแก้วว่าคราวนี้ปลาทูเล่นแรงเกินไปนะ” พริมาเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ยามาเล่นละครฉากใหญ่เข้าให้แล้ว

   “ไม่แรงหรอก...ถ้าไม่เล่นไม้นี้ไอ้พวกนี้มันก็ไม่หยุดหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้น่ะ มันหาเหยื่อสนองปมด้อยตัวเอง ถ้าลองมันได้เหยื่อแล้วรับรองมันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก มันจะล้อแบบนี้ไปอีกหลายเดือน แต่มันเลือกเหยื่อผิดไงล่ะ ฉันน่ะนักล่าในคราบเหยื่อย่ะ” ยามายักไหล่ หล่อนร่ายยาวถึงละครบอร์ดเวย์ฉากสำคัญ ว่ามีเหตุผลอะไรที่หล่อนต้อง “เล่นใหญ่” เกินจริงขนาดนี้

   “เมื่อกี้ลูกแก้วเห็นปลาทูร้องไห้ด้วย” พริมายังไม่จบ

   “อันนั้นเสียใจจริง...มีอย่างที่ไหนมาล้อทรงผมของเด็กผู้หญิง ไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ได้ถูกตัดแบบปกติ คนสติดีที่ไหนเค้าเอามาล้อกัน” เรื่องนี้พริมาเห็นด้วย หล่อนจึงไม่ได้เซ้าซี้เพื่อนต่อ

   “น้ำตาที่ไหลนั่นก็จากก้นบึ้งของหัวใจ” พูดถึงน้ำตา แต่คนที่เสียน้ำตากลับยิ้มอย่างไม่คิดจะปกปิด

   “ปลาทูนี่น่ากลัวชะมัด! ลูกแก้วไม่กล้าทำอะไรให้ปลาทูโกรธหรอก สยอง!” เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพอง พลันคิดถึงศิวกรว่าเขาจะโดนสังคมประณามไปอีกนานขนาดไหน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกมาต่างๆ นาๆ        ว่าความจริงแล้วยามาอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย...ที่ใช้เส้นสายใส่ชุดนักเรียนหญิง หรือข่าวลือที่ว่าบ้านของยามานั้นถูกไฟไหม้...เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากกองเพลิง...แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ (อันนี้พริมาคิดว่ามันต้องใช้จินตนาการแบบสุดๆ ที่จะกุข่าวเรื่องนี้ออกมาได้) พริมาไม่แน่ใจว่าข่าวลือ ที่ออกมานั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ของยามาเองที่สนุกในการแต่งเรื่องราวต่างๆ เป็นตุเป็นตะทุกครั้งที่มีคนถามเกี่ยวกับทรงผมของหล่อนหรือไม่ แต่เพราะข่าวลือเรื่องต่างๆ ของยามานี่แหละที่ทำให้พริมารอดจากการหมายหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เดิมทีตอนที่พวกหล่อนย้ายมาใหม่ๆ ข่าวลือไปเร็วตั้งแต่วันแรก ว่ามีเด็กฝรั่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักย้ายมา จนใครๆ ก็สนใจอยากมาเห็นกับตา หนึ่งในนั้นคืออัปสรามินตรา เด็กผู้หญิงตัวดำร่างใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแหยม อัปสรามินตราอยู่ชั้น ม.3 หล่อนเป็นรุ่นพี่พริมาและยามา 1 ปี ด้วยที่บ้านรวยและเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะใจปล้ำใช่เล่น หล่อนซื้อขนมแจกเพื่อนๆ และคนที่หล่อนถูกใจอยู่บ่อยๆ จึงทำให้มีสมุนอยู่มาก ถ้ามีใครที่ทำให้หล่อนขัดตาอำนาจเงินในมือก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เด็กหญิงเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก ถ้าหล่อนหมายตาใครแล้ว เด็กเหล่านั้นต้องอยู่ในกำมือของหล่อน แต่ถ้าใครไม่ยอม หล่อนจะแกล้งให้ลำบากจนหนำใจแล้วถึงจะปล่อยไป    ข่าวของพริมานี้เองทำให้อัปสรามินตราขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะหล่อนไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป (ซึ่งปกติก็คิดไปเองว่าเป็น)

   “ไปเรียกตัวมันมาที่ห้องหน่อยสิ!” อัปสรามินตราสั่งสมุนให้ไปตาม พริมามาพบ หล่อนอยากเห็นกับตาว่าเด็กนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงครู่เดียว   พริมาก็ถูกพาตัวมาถึงชั้น ม.3 เด็กหญิงเดินตามมาอย่างงงๆ แน่นอนยามาตามมาด้วย แม้จะขัดใจสมุนอัปสรแค่ไหนก็ตาม แต่เด็กหญิงยืนยัน

   “ได้ไง! ฉันก็เด็กใหม่เหมือนกัน ทำไมรุ่นพี่ถึงลำเอียงพาไปคนเดียวล่ะ” ยามาพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ รอบข้างหันมามอง แต่บางคนก็รู้จักสมุนอัปสรดีจึงไม่อยากยุ่ง ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ

   “เอ้า! ตามใจ จะไปด้วยกันก็ได้” หนึ่งในสมุนอัปสรบอก...ถ้ายื้อกันอยู่อย่างนี้ จะเป็นที่สนใจมากเกินไป

อัปสรามินตรานั่งรออยู่แล้ว ตอนที่ยามากับพริมาเดินมาถึงที่ห้อง หล่อนกวาดตามอง ”เด็กใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้า พริมายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ยามานั้นความรู้สึกไว หล่อนตั้งท่ารออยู่แล้ว

   “สงสัยจะโดนรับน้องซะแล้ว” เด็กหญิงกระซิบบอกพริมา แต่ระหว่างที่กำลังลองเชิงกันอยู่นั้น สมุนอัปสรคนอื่นๆ ซุบซิบกัน หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบบางอย่างกับอัปสรามินตรา “อัปสร” รับข้อมูล แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่เด็กใหม่ไม่วางตา เหมือนหล่อนกำลังวิเคราะห์บางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ พริมากับยามาไม่ได้ยินที่พวกนั้นคุยกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถกเถียงอะไรกันสักอย่าง

   “มันจะมีใครดวงซวยซ้ำซ้อนได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”    อัปสรสรามินตราถามสมุนจากข้อมูลที่ได้รับ

   “จริงๆ ฉันไปสืบมาแล้ว ทุกคนพูดตรงกันหมดเลย” สมุนยืนยัน

   “เห็นเขาว่ากันว่าความจริงแล้วมันเป็นผู้ชาย แต่ใจมันเป็นผู้หญิง   พ่อมันรับไม่ได้ ก็เลยจะเผามันพร้อมกับบ้าน มันรอดได้มาได้แต่ก็ต้องเสียผมให้กับกองไฟ แล้วตอนนี้มันก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนเด็กฝรั่งนั่นก็คู่ขามันนั่นแหละ...ตัวติดกันตลอด” สมุนอัปสรเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาให้ลูกพี่ฟัง ดูเหมือนเรื่องของยามาเวอร์ชั่นล่าสุดที่พวกนี้ได้ยินมาจะรวมเอาทุกเรื่องที่ยามาเคยโม้ไว้ มายำรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   “ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามันป่วยขนาดนั้น มันก็ต้องการคนดูแล...ให้มันมีเพื่อนบ้าง ปล่อยกลับห้องไปแล้วกัน เดี๋ยวมันมาตายคาห้อง คนจะหาว่าฉันใจร้ายเปล่าๆ” อัปสรามินตราแสดงความมีน้ำใจอย่างสุดๆ เมื่อตกลงกับสมุนได้แล้วก็หันไปคุยกับพริมาและยามา พริมาสังเกตตอนนี้สายตาอัปสรามินตราที่มองพวกหล่อนดูดีขึ้นกว่าเดิม

   “เห็นน้องๆ เพิ่งมาใหม่ พี่ก็เลยอยากรู้จัก เดี๋ยวพี่จะให้พี่ๆ คนอื่นพาไปทัวร์ชั้น ม.3 นะ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องๆ ก็ต้องขึ้นมาอยู่   บนนี้กันแล้ว” อัปสรามินตราแนะนำเต็มที่ หล่อนถามชื่อของเด็กหญิงทั้งสองพร้อมแนะนำสมุนอัปสรให้พวกของพริมารู้จัก ระหว่างนั้นยามากระซิบบอกพริมา

     “ตอแหลฉิบหาย” พริมาใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ

   “ขอบคุณพี่อัปสรมากนะคะที่เมตตา ลูกแก้วไม่นึกเลยว่าเด็กที่โรงเรียนนี้จะน่ารักกว่าโรงเรียนเก่าของลูกแก้วซะอีก” ยามาเบะปาก แต่หล่อนก็ยั้งทันไม่พูดอะไรให้เสียเรื่อง

   “นาฬิกาสวยดีนะ” อัปสรามินตราสังเกตทุกอย่างตลอดเวลาที่สนทนากัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือนาฬิกาของพริมามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แพงและหายากที่สุด ขนาดหล่อนเองอยากได้ยังหาไม่ได้เลย ยามามองตาม หล่อนเองก็สังเกตว่าพริมามักใส่ของใหม่และตามแฟชั่นเสมอ หล่อนสังเกตตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เสื้อผ้าของเพื่อนหล่อนนั้นไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ

   “แม่ให้มาค่ะ แม่บอกว่า F มาจากในเน็ต ลูกแก้วก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยใส่” พริมาพูดจริง ของในตัวหล่อนทุกอย่างภารดีหามาให้ทั้งสิ้น อัปสรามินตราแค่รับฟัง หล่อนรับรู้ได้เด็กนี่ไม่ธรรมดา เผลอๆ รวยระดับเดียวกับหล่อน ดูไปก่อนแล้วกันบางทีอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นศัตรูกัน
                “ถ้าลูกแก้วมีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” อัปสรามินตรา เสนอตัว ความจริงดูใกล้ๆ แล้วเด็กนี่ก็ไม่ได้น่ารักอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเป็นของแปลก ช่วงนี้ก็เลยเป็นที่น่าสนใจเป็นธรรมดา เป็นอันว่าจบเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ยามาบอกพริมาขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน

   “นึกว่าจะมีเรื่องซะแล้ว...สุดยอด! มีแบบนี้จริงๆ ด้วยแฮะ เคยเห็นแต่ในหนัง แต่แก๊งส์นางฟ้าในหนังน่าดูกว่าแก๊งส์นางฟ้าในชีวิตจริงซะอีกนะ ปลาทูว่านางฟ้านางนี้ คงจะโดนรามสูรฟาดสายฟ้าใส่เข้าไปเต็มๆ จนดำเป็นตอตะโก ฟาดแรงถึงตาย จนนางฟ้าขึ้นอืดได้ขนาดนี้ เพื่อนนางฟ้ารึก็ใจดำไม่เอาไปฌาปนกิจซะที” พริมาคิดภาพตาม หล่อนยอมใจจริงๆ ยามาช่างจินตนาการ หล่อนมักพูดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเสมอ

   ทุกวันภารดีจะมารับ พริมากลับบ้าน แน่นอนเด็กหญิงแนะนำยามา      ให้แม่รู้จัก แม่หล่อนยิ้มร่าถูกชะตาสาวน้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดคนนี้ ไม่เบา พริมาปรามเพื่อนก่อนว่าอย่าไปหลอกอำแม่หล่อนเข้าเป็นอันขาด   ส่วนยามาก็ชอบนั่งมองแม่ของพริมา หล่อนบอกว่าภารดีสวยมองอย่างไร     ก็ไม่เบื่อ เล่นเอาถูกใจคนชมถึงขนาดพาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ     บ้านของยามาอยู่เลยบ้านพริมาไปหลายซอยถือว่าไกลกันพอสมควร                             แต่บางวันถ้าแม่ของยามาติดงานหล่อนจะมาอยู่กับพริมา และให้แม่มารับที่บ้านเพื่อนใหม่จนเป็นกิจวัตร

ยามาเรียกภารดีว่าพี่ ไม่ได้เรียกแม่แบบพริมา หล่อนบอกว่าภารดียังดูเด็กกว่าเด็กหลายคนในโรงเรียนเสียอีกจะให้เรียกแม่ก็แปลกๆ

“ดูไอ้อ้วนดำนั่นดิ!” ยามาชี้ให้พริมาดูอัปสรามินตรา ความจริงยามาไม่ใช่คนที่ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น แต่กับเด็กหญิงคนนั้น หล่อนชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่า พริมาเองก็เคยโดนหมายหัวมาแล้ว

   “น่ะ...ฉันว่าหน้ามันแก่กว่าพี่พิมพ์อีก นี่อยู่แค่ ม.3 เองนะ หน้าหยั่งกะคนอายุ 40 ไม่รู้มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันสวย เป็นที่หมายปองของผู้ชายในโรงเรียน” ฟังเพื่อนวิจารณ์คนอื่นพริมาแทบสำลักน้ำ      หล่อนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะขำหรือจะห้ามเพื่อนดี แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่       ยามาพูดเลย อัปสรามินตราหน้าแก่จริงๆ

   ทุกวันศุกร์ ยามาจะชอบมานอนที่บ้านพริมา เด็กหญิงทั้งสองนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงเล้าไก่ที่สวนหลังบ้าน พริมาอวดไก่ของหล่อน ที่ตอนนี้ขันเก่งขึ้นทุกวัน หล่อนอวดว่าหล่อนกับพ่อเลี้ยงช่วยกันฝึกมัน จนมันเริ่มจะเชื่อฟังคำสั่งบ้างแล้ว ยามาไม่ค่อยชอบสัตว์นัก แต่ดูเหมือนสัตว์จะชอบหล่อน เพราะถ้าเด็กหญิงมาบ้านพริมา และมาดูไก่ทีไร มันจะเดินตามยามาทุกที จนพริมาบ่นน้อยใจว่าไก่ของหล่อนปันใจเสียแล้ว

   “นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ มันน่าน้อยใจจริงเชียว” หล่อนพยายามจะเข้าไปอุ้มมัน แต่มันไม่ยอม เดินหนีตลอด

“นี่มันรองเท้าแตะรุ่นใหม่ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่นา” ยามาเหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อน หล่อนลองสวมรองเท้าของพริมา แต่มันเล็ก...ยัดลงไปได้แค่ครึ่งเดียว

   “ลูกแก้วไม่รู้จักหรอกแม่ซื้อมาให้” ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้สนใจในการแต่งตัวของตัวเองนัก ปกติหล่อนจะใส่ทุกอย่างที่ภารดีหามาให้ ไม่ชอบเลือกเองให้แม่เลือกให้สวยกว่า และของที่มีอยู่ทั้งหมดของหล่อน     แม่หล่อนเป็นคนซื้อหามาให้ทั้งสิ้น ยามาสังเกตตลอด เพราะหล่อนชอบแต่งตัว ชอบตามแฟชั่น จึงเห็นว่าเพื่อนของหล่อนคนนี้ใส่ของใหม่เสมอ      และเป็นของดี ของแพง บางรุ่นเป็น Limited edition ด้วยซ้ำ ไม่รู้ภารดีทำงานอะไร...หรือว่าอาจจะได้เงินมาจากผัวใหม่ที่อยู่บ้านหลังใหญ่นี่ก็ได้ ยามานึกสงสัยแต่หล่อนไม่เคยถาม

   “รองเท้าแตะนี่ เห็นง่อยๆ แบบนี้ราคาสามสี่พันเลยนะ” ยามายังพยายามยัดเท้าอีกข้างใส่ดู แต่เพราะเท้าคนละไซส์จึงใส่ได้แค่ครึ่งเดียว    ภาพที่เห็นจึงดูตลกที่สองเท้าของยามาใส่รองเท้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่บนพื้น พริมาไม่ได้ตอบ หล่อนแค่ยืนยิ้มขำท่าทางของเพื่อน นี่ถ้ายามาใส่ได้หล่อนจะยกให้

   “แล้วพี่พิมพ์เค้าทำงานอะไรเหรอ? ปลาทูเห็นบางวันก็ไม่ไปทำงาน                          บางวันก็เลิกเร็ว...งานสบายชะมัด” คราวนี้เพื่อนพริมาหันมาสนใจกระเป๋าผ้าสีฟ้าสดใสที่วางอยู่แทน แต่เท้าก็ยังสวมรองเท้าแบบครึ่งเดียวอยู่ หล่อนลองสะพายกระเป๋าแล้วยืนโพสท่าเหมือนนางแบบในนิตยสาร เล่นเอาคนนั่งมองอยู่หัวเราะขำเพื่อนเสียยกใหญ่

   “อืม...แม่เป็นผู้จัดการน่ะ” พริมาตอบยิ้มๆ

   “ชอบไหมกระเป๋านี่? แม่เพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน ปลาทูเอาไปสิ” ยามาทำตาเหลือก นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าพริมาใช้เงินซื้อเพื่อนหรือดูถูกหล่อนแน่ๆ          แต่เด็กหญิงรู้ว่าเพื่อนของหล่อนพูดจริง พริมาไม่เคยหวงของหรืออวดของใหม่ ของพวกนี้ถ้าหล่อนไม่สังเกตเองก็คงไม่เห็นด้วยซ้ำ

   “โอ้ย! กระเป๋านี่หนักเลย แพงกว่าร้องเท้าสองเท่า” คราวนี้คนที่ทำตาโตเป็นเพื่อนของยามาแทน หล่อนเอากระเป๋าจากยามามาพลิกดู          และเหมือนพริมาจะเพิ่งเคยสังเกตหรือพินิจกระเป๋าในมือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

   “โห...ทำไมแพงแบบนี้ นี่มันกระเป๋าผ้าเองนะ” พริมาที่ตอนนี้ก้มมองรองเท้าแตะและกระเป๋าผ้าสลับกัน หล่อนกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดคำนวณราคาของของสองสิ่งตรงหน้า

   “เกือบหมื่นเลยเหรอ...” สงสัยต่อไปนี้จะต้องใช้ของให้คุ้มค่าและใช้อย่างระวังมากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว ก่อนนี้หล่อนไม่เคยถามแม่เลยว่าของที่แม่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ แม่ให้ใช้อะไรก็ใช้ แต่ต่อไปนี้คงต้องถาม

   “กระเป๋าไม่ชอบอ่ะ อยากได้รองเท้ามากกว่า เอาไปต่อส้นให้มันยาวขึ้นได้ไหมนะ?” พริมาขำความคิดของเพื่อน หล่อนไม่เหงาเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่และย้ายมาโรงเรียนใหม่ หล่อนได้เจอกับยามา และเพราะเพื่อนหล่อนคนนี้...ยามาทำให้พริมายิ้มและขำได้ตลอด

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา