แก้วนพคุณ

-

เขียนโดย เวลา

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.59 น.

  38 บท
  0 วิจารณ์
  31.21K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) โรงเรียนใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

การย้ายมาเรียนกลางเทอมนั้นค่อนข้างลำบาก พอภารดีย้ายมาอยู่           กับคุณนพรักษ์ การเดินทางจากบ้านเดิมที่พริมาเคยอยู่กับบ้านของพ่อเลี้ยงค่อนข้างไกลกันพอสมควร เดิมทีพริมาเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน เด็กหญิงเดินแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงโรงเรียน พอย้ายบ้าน...การที่แม่จะต้องรับส่งพริมาไปโรงเรียนทุกวันจึงถือว่าค่อนข้างยุ่งยาก

   “ลูกแก้วย้ายโรงเรียนก็ได้ค่ะ เอาที่ใกล้ๆ บ้านเหมือนเดิมลูกแก้วจะได้เดินไปโรงเรียนเองได้ แม่จะได้ไม่ต้องไปส่ง” เด็กหญิงบอกแม่ เมื่อเห็นว่าหล่อนน่าจะพอช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงโรงเรียนใหม่ของพริมาก็ไม่ได้อยู่ใกล้บ้านนัก ภารดีต้องไปรับส่งเด็กหญิงอยู่ดี หล่อนบอกลูกสาวว่า

   “งั้นเราพบกันคนละครึ่งทางนะ ลูกแก้วต้องย้ายโรงเรียน ส่วนแม่ก็ไปส่งลูกที่โรงเรียนก่อนไปทำงานโอเค๊?” ภารดีตกลงกับลูกสาว การย้ายบ้านก็กระทบกับงานของหล่อนเช่นกัน และการที่ต้องไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนทุกเช้าทำให้ภารดีต้องไปทำงานแต่เช้าทุกวัน แต่ก็ยังดีที่งานของหล่อนไม่ต้องใช้เวลาเข้าออกงานที่แน่นอน

   “ลูกแก้วไปโรงเรียนเองได้ แม่ไม่ต้องไปส่งก็ได้นะคะ แม่จะได้ไม่ต้องรีบตื่นรีบออกจากบ้าน” เด็กหญิงยืนยันว่าหล่อนช่วยเหลือตัวเองได้และไม่อยากให้แม่ลำบาก

   “ไม่ได้! แม่ไปส่งลูกแก้วเอง ออกแต่เช้าก็ดีเหมือนกัน แม่จะได้แวะไปดูบ้านเราได้บ่อยๆ ไม่มีคนอยู่โทรมแย่เลย” ภารดียืนยันเช่นกัน เป็นอันว่าสองแม่ลูกตกลงกันได้ แต่บางวันถ้าภารดีติดธุระ หน้าที่ไปรับ – ส่ง เด็กหญิงคุณนพรักษ์จะอาสาเอง

   “ความจริงผมไปรับ – ส่ง ลูกแก้วให้ก็ได้ ยังไงผมก็ต้องออกไปทำงานแต่เช้าอยู่แล้ว” เขานั่งฟังสองแม่ลูกถกกันเรื่องการไปโรงเรียนของพริมา

   “ไม่เป็นไรค่ะ ทางไปโรงเรียนอยู่คนละทางกับที่ทำงาน คุณก็ต้องย้อนไปย้อนมาอีกอยู่ดี พิมพ์ไปส่งลูกแล้วเลยไปทำงานได้พอดี ออกเช้าหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูบรรยากาศที่ทำงานตอนเช้าๆ บ้าง”

   “แล้วแต่คุณนะ แต่ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย เพราะเมื่อก่อนผมก็ไปส่งลูกชายไปโรงเรียนประจำทุกวันอยู่แล้ว อย่างน้อยตอนเช้าลูกแก้ว ก็ไปกับผม แล้วคุณค่อยมารับลูกกลับบ้านตอนเย็นก็ได้”

   “ก็ได้ค่ะ งั้นบางเช้าฉันจะฝากคุณไปส่งลูกแก้วนะคะ แต่ตอนเย็นเดี๋ยวฉันไปรับลูกเอง”

   พริมาจึงต้องปรับตัวขนานใหญ่ เพราะเด็กหญิงย้ายสถานที่ใหม่   ทั้งบ้านและโรงเรียน เรื่องย้ายบ้านหล่อนพอปรับตัวได้บ้างแล้ว แต่ย้ายโรงเรียนกลางเทอมแบบนี้ก็ค่อนข้างลำบาก หล่อนคงต้องปรับตัว ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ อีกพักใหญ่ โรงเรียนเดิมพริมามีเพื่อนเยอะมากเพราะหล่อนไม่เคยย้ายโรงเรียนเลย เด็กหญิงเรียนโรงเรียนนั้นตั้งแต่อนุบาลยันตอนนี้...ม.2 เพื่อนบางคนหล่อนรู้จักมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่   มีเด็กย้ายโรงเรียนมาใหม่ด้วยเหมือนกัน...เป็นเด็กผู้หญิง วันที่มาติดต่อย้ายโรงเรียนพริมาเคยเจอเด็กคนนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหล่อนใส่ชุดอยู่บ้าน พริมานึกว่าหล่อนเป็นเด็กผู้ชาย! จนมาเจอกันวันนี้ พวกหล่อนต้องใส่ชุดนักเรียน     เลยทำให้รู้ว่าเพื่อนผู้ชายที่เจอกันวันก่อนแท้จริงแล้วเป็นเด็กผู้หญิง             คงเพราะว่าเด็กคนนั้น ตัดผมสั้น...สั้นแบบ...ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ก็แม่ชีเลยทีเดียว พริมาแอบมองและสงสัย...หรือหล่อนจะไปบวชชีในช่วงปิดเทอมกันนะ        มันไม่ใช่ทรงผมธรรมดาที่เด็กผู้หญิงทั่วไปจะตัดกันได้เลย หรือหล่อนจะป่วยเป็นโรคร้าย? น่าสงสารจัง...วันที่มาติดต่อโรงเรียน ก่อนเปิดเทอมนั้น        พวกหล่อนไม่ได้คุยกัน พริมามารู้ทีหลังว่าพวกหล่อนอยู่ห้องเดียวกัน และเด็กคนนั้นมีชื่อว่า “ยามา” ชื่อแปลกจัง... ยามาเป็นเด็กผู้หญิงร่างสูง พริมาคิดว่าหล่อน น่าสูงที่สุดในห้องแน่ๆ

   “โหสูงจัง” พริมากระซิบกับภารดีตอนสังเกตครอบครัวยามา เพราะพวกเขานั่งถัดกันในห้อง ผ.อ.

   “ยังสูงได้อีกนะ นี่แค่ ม.2 เอง แบบนี้โตไปเป็นนางแบบได้สบายเลย     หน้าตาคมคายผิวก็สวย” ภารดีหันมองสังเกตตามคนที่ลูกสาวชี้ให้ดู       หล่อนเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นสวยแบบอินเตอร์ ผิวสีน้ำผึ้งนั่นสวย เพราะมันเนียนใส หน้าหล่อนเล็กนิดเดียว ทรงผมที่ได้มานั่น...ไม่รู้ว่าเป็นความชอบส่วนตัว หรือว่าตัดประชดใครหรือเปล่า แต่มันก็ดูดี เพียงแต่น่าเสียดายที่ใบหน้าหวานๆ นั่น   ถูกปกปิดไว้ภายใต้ทรงผมสกินเฮดแบบผู้ชาย ภารดีเชื่อว่าผู้หญิงน้อยคนนักที่จะตัดผมทรงนี้แล้วดูดี แต่ยามาเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อย และเหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนพูดถึงหล่อนอยู่ ยามาปรายตามามองสองแม่ลูก หล่อนมองมาอย่างท้าทายและเปิดเผย สายตาเด็กหญิงสื่อออกมาว่า “แบบนี้สิ คือการเล่นซึ่งหน้า แน่จริงอย่านินทา” พริมาเห็นสายตานั้น หล่อนยิ้มแหยๆ กลับไป ส่วนภารดีอุทานเบาๆ

   “อุ้ย! ฮ่าๆ แม่ว่าเพื่อนใหม่ลูกคนนี้ท่าทางจะเอาเรื่องใช้ได้เลยนะ” พริมาก็ยังไม่แน่ใจนัก คำว่าเพื่อนจะใช่หรือเปล่า หล่อนไม่เคยมีเพื่อนสายแรงๆ เลยสักคนเดียว

    “ถ้าลูกแก้วติดเพื่อน แล้วห้าวตามเพื่อน วันๆ มีแต่เรื่องแม่จะทำยังไงคะ?” เด็กหญิงแกล้งเย้ามารดา ภารดีรู้ดีลูกสาวหล่อนจะไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน

   “ฮ่าๆๆ ก็น่าสนุกดีนะ อยากจะรู้นักว่าจะห้าวได้ถึงครึ่งของแม่รึเปล่า” ภารดีชอบเล่าวีรกรรมของหล่อน ตอนสมัยวัยรุ่นให้ลูกสาวฟังบ่อยๆ บางครั้งพริมาก็รู้สึกสงสารตากับยายสุดหัวใจ เด็กหญิงตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ทำให้แม่ต้องหนักใจแบบนั้นเป็นอันขาด ภารดีโอบลูกสาวมากอด สองสาวคุยกันกระหนุงกระหนิงระหว่างรอคุยกับ ผ.อ.ต่อจากครอบครัวของยามา

   “ปลาทูพูดให้มันดีๆ” พ่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นตะคอกเสียงดัง       แม่ของหล่อนไม่พูดอะไรเพียงแต่นั่งกอดอกมองเฉยๆ พริมาสังเกตเห็น ผ.อ. ตอนนี้มีสีหน้าปั้นยาก เขาคงไม่คิดว่าจะต้องมานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสงครามของครอบครัว พริมาเห็นยามาเถียงอะไรสักอย่าง...ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทะเลาะอะไรกัน เพราะเด็กหญิงมัวแต่คุยเล่นอยู่กับแม่ จึงไม่ได้ฟังการสนทนาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยามา ลุกขึ้นยืน หล่อนจ้องหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาชิงชัง แล้วหมุนตัววิ่งออกจากห้อง ผ.อ. ระหว่างวิ่งสวนออกไปนั้น     พริมาสบตาเด็กหญิงแวบหนึ่ง...ยามาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ครอบครัวของยามากลับไปแล้ว พริมาเดาว่าสองคนนั่นคงต้องออกไปเคลียร์กับลูกสาว    ต่ออีกยาวแน่ๆ ภารดีและลูกสาวคุยกับ ผ.อ.ไม่นาน เพราะหล่อนไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่พริมาได้รับการบอกเล่าจาก ผ.อ.ว่า หล่อนจะได้เรียนห้องไหน และแน่นอน...หล่อนได้เรียนห้องเดียวกับยามา เพราะว่าเป็นเด็กใหม่ทั้งคู่     ในเทอมนี้มีแค่หล่อนกับยามาที่ย้ายมา ความจริงยามาเป็นเด็กเรียนดี         ผลการเรียนของหล่อนเรียกได้ว่าอยู่ในระดับดีเลิศ หล่อนควรได้อยู่ห้องคิง...แต่ดูจากพฤติกรรมแล้ว การไปอยู่ในห้องเด็กเรียนที่กดดันแบบนั้น คิดว่าคงไม่เหมาะ ให้หล่อนปรับตัวแล้วพอขึ้น ม.3 ค่อยว่ากันใหม่ ภารดีกลับไปแล้ว พริมานั่งรอครูประจำชั้นอยู่ที่ห้อง ผ.อ. สักพักยามาก็เดินกลับเข้าห้องมา เด็กผู้หญิงคนนั้นหันมามองพริมาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปไม่สนใจอะไรอีก “สงสัยยังอารมณ์ไม่ดี” เด็กหญิงนึกในใจ หล่อนโชคดีเพราะในชีวิตหล่อนไม่เคย ต้องทะเลาะกับครอบครัว ถึงจะไม่มีพ่อ แต่พริมาไม่ได้ขาดอะไรเลย แม่เล่าให้ฟังทุกอย่างที่หล่อนถาม พริมาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ้าพ่อกับแม่อยู่กันพร้อมหน้าแบบครอบครัวอื่น...ครอบครัวของหล่อนจะอบอุ่นแบบนี้หรือไม่ เด็กหญิงพอใจแล้วกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

   “เป็นลูกครึ่งเหรอ?” เสียงเด็กผู้หญิงคนนั้นถามขึ้น พริมาทำหน้างง หันไปมองว่ายามาคุยกับหล่อนหรือคุยกับใคร

   “ก็คุยกับเธอนั่นแหละ ในห้องมีกันอยู่สองคนหรือเธอคิดว่าฉันคุยกับแม่ซื้อ” ตอนนี้ยามาจ้องหน้าพริมาอยู่ เด็กหญิงไม่ได้ทำท่าทางคุกคามหรือหาเรื่อง เหมือนชวนคุยเฉยๆ ตามปกติ

   “ใช่จ๊ะ เป็นลูกครึ่งไทยสวิสเซอร์แลนด์” พริมาตอบพร้อมส่งยิ้มสดใสให้เพื่อนใหม่ ยามาชะงักไปชั่วครู่ ปกติหล่อนไม่ค่อยได้คุยดีๆ กับเพื่อนมากนัก เพราะหล่อนพูดจาขวานผ่าซากเลยไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย

   “คนเมื่อกี้แม่เหรอ?” ยามาหมายถึงภารดี พริมาพยักหน้า

   “แล้วพ่ออ่ะ?” ความจริงคำถามของยามาหล่อนหมายถึงทำไมวันนี้พ่อของพริมาถึงไม่มาด้วยกัน แต่ด้วยความที่เรียบเรียงคำพูดไม่เป็น คำถามเลยฟังดูประหลาดๆ พริมายิ้ม...หล่อนเจอคำถามแบบนี้มาตลอดชีวิต และแม่ก็สอนมาอย่างดีว่าให้พูดความจริง ถ้าเราพูดความจริง สุดท้ายพวกที่อยากขุดอยากคุ้ย อยากจะรู้เรื่องเรามากกว่าเรื่องของตัวเองมันก็จะเบื่อไปเอง เพราะเราไม่มีความลับอะไรให้พวกเขาขุด

   “พ่อกับแม่เลิกกันไปตั้งแต่เรายังเด็กแล้วล่ะ” ยามาทำตาโต        หล่อนคิดไม่ถึงว่าพริมาจะตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาแบบนี้

   “คนเมื่อกี้แม่จริงๆ เหรอ?” เหมือนวนคำถามกลับมาที่เดิมอีกครั้ง    พริมางงว่าหล่อนพูดไม่รู้เรื่องหรือเพื่อนหล่อนไม่เข้าใจกันแน่

   “คือ...นึกว่าพี่สาว” ยามาแก้ให้เมื่อเห็นสีหน้าของพริมา บอกให้รู้ว่าพริมาพูดรู้เรื่อง และหล่อนเองก็เข้าใจที่เด็กหญิงพูด

    “ฮ่าๆ แม่ได้ยินเข้าคงชอบใจน่าดู มีคนทักว่าเป็นพี่สาวหลายคนแล้วล่ะ” พริมาหัวเราะเสียงใส หล่อนปลื้มใจแทนแม่เสมอเวลามีคนทักว่าสองสาวเป็นพี่น้องกัน ยามาเหมือนตกอยู่ในภวังค์”ทำไมน่ารักจังวะ” ยามานึกในใจ หล่อนไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก พักหลังๆ มานี่ที่บ้านมีแต่ปัญหา หล่อนจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จึงไม่ค่อยได้สนใจคนอื่น แต่เด็กผู้หญิงตรงหน้า หล่อนประเมินคร่าวๆ แล้ว ชีวิตของพริมาในเรื่องของครอบครัวก็ไม่ได้แตกต่างจากหล่อนเลย แต่เด็กหญิงกลับมีความคิดที่ดีและยังมีความสดใสส่งเผื่อมาให้คนรอบข้างอีกด้วย พริมาเล่าเรื่องแม่ของหล่อนให้ยามาฟังอย่างไม่ปิดบัง ยามานั่งฟังอย่างสนใจและดูเหมือนอารมณ์ของเด็กหญิงจะดีขึ้นมาก ตอนนี้หล่อนคุยเล่นหัวเราะกับพริมาเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน

   “โชคดีจังเราอยู่ห้องเดียวกัน มาวันแรกก็ได้เพื่อนเลย” ยามายิ้ม...เป็นรอยยิ้ม ที่สดใสเช่นเดียวกัน และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้หล่อนยิ้มกว้างกว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา ยามาเล่าให้พริมาฟังว่าพ่อกับแม่หล่อนเพิ่งจะหย่ากันได้ไม่กี่เดือน หล่อนเลือกอยู่กับแม่ จึงต้องย้ายบ้านมาอยู่แถวนี้      และต้องย้ายโรงเรียนด้วย เด็กหญิงเสียดายโรงเรียนเก่า...เสียดายเพื่อน (อันน้อยนิด) เล่ามาถึงตรงนี้เหมือนยามาทำท่าจะร้องไห้อีกหน พริมาจึงปลอบว่าการย้ายโรงเรียนครั้งนี้หล่อนเองก็กังวลใจเหมือนกัน เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเห็นว่ายิ่งคุยยามายิ่งเศร้า หล่อนจึงเล่าให้เพื่อนฟัง ถึงเรื่องที่ภารดีชมว่ายามาสวย

   “หุ่นดี ตัวสูง ผิวสวยแบบนี้ แม่บอกว่าปลาทูไปเป็นนางแบบได้เลย” ยามาหัวเราะ หล่อนเพิ่งเคยจะได้ยินคำพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก

   “สีผิวแบบนี้นะสวย?” ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนถึง ม.2 หล่อนโดนเพื่อนล้อมาตลอดเพราะสีผิวนี่แหละ คนไทยส่วนใหญ่ชอบผิวขาว ถ้าไม่ขาวได้มาตรฐานก็โดนล้อไปตามระเบียบ

   “สวยสิ มันเนียนมากเลย แล้วหน้าก็ใส๊ใส ลูกแก้วว่าถ้าปลาทูไว้ผมยาวจะสวยหวานกว่านี้อีก แต่แม่ชอบ...แม่บอกว่าผู้หญิงน้อยคนนักที่จะ    ตัดผมสั้นขนาดนี้แล้วดูดี” แววตายามาวูบลงเล็กน้อย

   “เมื่อก่อนมันก็ยาวอยู่หรอก...พอดีโดนกล้อน ฉันทะเลาะกับลูกสาวแม่เลี้ยงน่ะ ยัยนั่นเล่นทีเผลอ” ยามาเล่าว่าเดิมทีหล่อนอยู่กับพ่อ...พ่อหล่อนแอบไปมีเมียใหม่ และแม่เลี้ยงหล่อนก็มีลูกติดมาด้วย

“ตอนแรกฉัน ก็อยู่กับพ่อนั่นแหละ ไม่ได้อยากอยู่หรอกนะ แต่ติดปัญหาเรื่องโรงเรียน สุดท้ายถ้าจะอยู่กับแม่ ฉันก็ต้องยอมย้ายโรงเรียน        ถึงได้มาเจอเธอวันนี้ยังไงล่ะ ส่วนผมนี่ก็แลกกับคิ้วยัยนั่น” ยามาทำท่าสะใจเต็มที่ พริมาคิดแต่ไม่กล้าถามว่าต้องแกล้งกันถึงขนาดไหน ถึงโดนกล้อนผมซะสั้นจู๋ขนาดนี้ แล้วคิ้ว...คิ้วของคู่อริยามาจะโดนอะไรนะ?

“น่าจะไม่งอกไปอีกนานนะคิ้วนั่นน่ะ” พริมานั่งมองหน้าเพื่อน...เหมือนเพื่อนจะไม่ได้พูดกับหล่อน มันเหมือนการพูดกับตัวเองซะมากกว่า และดูเหมือนยามาจะพอใจกับผลงานของตัวเองอยู่ไม่น้อย พริมาไม่กล้าถามว่าหล่อนทำอะไรกับคิ้วของคู่อริ แล้วก็ไม่อยากจะนึกเองด้วย

อาจารย์ที่ปรึกษาพาเด็กหญิงทั้งสองไปที่ห้องเรียน ด้วยการที่ทั้งสองคนเข้าเรียนกลางเทอม ประกอบกับรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งคู่...ที่สะดุดตาไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจนักที่จะเป็นที่สนใจของเด็กทั้งชั้น พริมาและยามาอยู่ชั้น ม. 2 โรงเรียนนี้มีตึกสองฝั่ง ตรงกลางคั่นด้วยสนามฟุตบอล ตึกหนึ่งฝั่งมัธยมต้น ส่วนอีกฝั่งคือตึกมัธยมปลาย แต่ละตึกมี 3 ชั้น ชั้นละ 5 ห้อง ชั้นที่ 1 เป็นของเด็ก ม.1 ชั้นที่ 2 และ 3 ของ ม.2 และ ม.3 ตามลำดับ ส่วนฝั่งตรงข้าม พริมาคาดเดาเอาว่าน่าจะแบ่งชั้นเหมือนกันฝั่งมัธยมต้นคือ ม. 4 - 6 ไล่ขึ้นไปข้างบนเหมือนกัน

   “โหย! ปีหน้า ม.3 ต้องขึ้นไปเรียนข้างบนสินะ ดีนะมีสองตึกแบ่งชัดเจนแบบนี้ นี่ถ้าตึกรวมกันแล้วมี 6 ชั้น พอขึ้น ม.ปลายคงต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น...ไม่ไหวแค่ขึ้นบันไดก็หมดวันแล้ว” ยามาบ่นระหว่างขึ้นบันไดเดินตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปที่ห้องของตัวเอง เด็กทั้งสองคนได้อยู่ห้อง 5...ไม่รู้แบ่งตามความเก่งหรือเปล่า เพราะมีแค่ 5 ห้อง แต่พริมาไม่ค่อยแปลกใจนัก หล่อนไม่เคยได้อยู่ห้อง 1 เลยสักครั้ง...จะอยู่ห้องไหนก็ได้ แต่ยามานี่สิ ได้ฟังจากที่ ผ.อ. เล่าว่ายามาเป็นเด็กหัวกะทิ ก็น่าแปลกใจอยู่ว่าทำไมถึงมาอยู่ห้อง 5 ห้องเรียนของพวกพริมาอยู่สุดทางเดิน ขึ้นบันไดมาแล้วก็ต้องเดินผ่านห้องอื่นๆ ไปทุกห้องกว่าจะถึงห้องตัวเอง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นมีเด็กห้องอื่นยื่นหน้ามามองบ้าง พวกเขาดูสนใจ เพราะมีเด็กใหม่ย้ายมากลางเทอม แถมคนหนึ่งเป็นลูกครึ่ง...ในโรงเรียนนี้มีคนเดียวล่ะมั้ง ส่วนอีกคน...ถ้าไม่ดูชุดที่ใส่ ทรงผมสกินเฮดแบบนี้หลายคนต้องคิดว่ายามาเป็นเด็กผู้ชายแน่ๆ

    “ไปโดนตัวอะไรมาวะ ถึงตัดผมสั้นแบบนั้น” เด็กคนหนึ่งซุบซิบคุยกับเพื่อน ตอนนี้เหมือนทุกคนที่อยู่นอกระเบียงให้ความสนใจกับผู้มาใหม่ 2 คน      อย่างพร้อมเพรียงกัน และไม่ต้องนัดหมาย

   “ฉันว่าเท่ห์ดีว่ะ ตัดบ้างได้ไหมอ่ะ” เด็กผู้หญิงท่าทางจะเป็นสาวหล่อ     หล่อนมองตามยามาด้วยสายตาอิจฉา แต่ด้วยกฎระเบียบของโรงเรียนผมที่ตัดสั้นได้ก็แค่ผมบ๊อบนักเรียนธรรมดา

   “อ้าวผู้หญิงเหรอนั่นอ่ะ? ตัวสูงชะมัด แล้วนี่ถ้ายัยนั่นเป็นทอมนะ   แกโดนโค่นบังลังก์แน่ไอ้เก๋ ฮ่าๆ” ชัยยศ เขาอยู่ชั้น ม. 1 แต่ด้วยการที่รู้จักคนมาก จึงพบเจอเขาได้ทุกชั้น และถ้าอยากรู้อะไรในโรงเรียนนี้ล่ะก็ขอให้ถาม “ไอ้ยศ” เพราะถ้าข่าวที่ออกมาจากชัยยศแล้วไม่มีทางมั่วแน่นอน เชื่อถือได้! ชัยยศรู้จักคนมาก เพราะที่บ้านเขาเป็นร้านขายของ และเด็กชายก็ยกร้านขายของที่บ้านมาเปิดกิจการที่โรงเรียนด้วย เขารับออเดอร์สินค้าทุกอย่าง อยากได้อะไรขอให้บอก ชัยยศหาได้ส่งตรงถึงห้องเรียน วันนี้เขามาส่งของที่ชั้นของเด็ก ม.2 พอดี จึงได้เจอพริมากับยามาที่เดินตามครูมาเข้าห้องเรียน

   “แหม...มาได้จังหวะเหมาะพอดี มีข่าวใหม่แต่เช้าเลยวันนี้ ต้องไปตีสนิทซะหน่อยเผื่อจะได้ลูกค้าเพิ่ม เด็กใหม่กลางเทอมแบบนี้ยังไม่มีเพื่อนน่าจะตีสนิทได้ไม่ยาก” เด็กชายมองตาม 1 ครู 2 นักเรียน ที่ตอนนี้เดินเข้าห้องม.2/5 ไปแล้ว ในโรงเรียนนี้ไม่มีใครที่ชัยยศไม่รู้จัก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของเขา ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นลูกค้าชัยยศยิ่งจำแม่น เพราะเขาจะต้องหาทางทำยอดและดึงคนเหล่านั้นมาเป็นลูกค้าให้ได้

   “เดือนหน้าต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ เผื่อจะเพิ่มยอดขาย เพิ่มยอดลูกค้า” เด็กชายมองอย่างหมายมั่น

   “แก...ไอ้ยศ! ส่งของเสร็จก็กลับชั้นเรียนแกไปได้แล้ว มายืนหน้าแหลมขวางทางเดินอยู่ได้” เด็กชายหันไปมองหนึ่งในลูกค้าชั้นดีของเขา ศศิธรสั่งของเขาบ่อย เพราะว่าหล่อนเป็นทอมสายเปย์

“เจลใส่ผมหมดรึยัง? ตอนนี้มีรุ่นใหม่นะกลิ่นผลไม้ด้วยห๊อมหอม” ชัยยศ เปิดรูปในมือถือให้เพื่อนดู เขาไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า อะไรขายได้ขาย   และถ้าใครเป็นลูกค้าเขาแล้ว ชัยยศจะเก็บสถิติว่าแต่ละคนชอบสินค้าแนวไหน

“แล้วก็ลิปกลอสสีใสๆ แบบนี้ ตอนนี้เด็กผู้หญิงสั่งกันเยอะมากกำลังเป็นที่นิยม น้องแมว ม.1 ที่แกสนใจก็เล็งๆ ไว้อยู่เหมือนกันนะ” ชัยยศจี้ถูกจุด เพราะศศิธรดูท่าทางสนใจ

“เออเอาสินค้ามาดูก่อนแล้วกัน ถ้าดีจริงสั่งทั้งสองอย่างนั่นแหละ” เด็กชายพยักหน้าแล้วล่ำลาเพื่อน เขาต้องไปส่งของอีกตึก นักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกเพจของชัยยศ และพวกเขาสั่งสินค้าไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม เช้านี้เด็กชายจึงต้องออกแรงวิ่งส่งของตั้งแต่ชั้น 1 ยันชั้น 3 ของทั้งสองตึก

“ไปล่ะ ส่งของเสร็จก็ต้องไปส่งข่าวต่อ ฮ่าๆ นอกจากเป็นนักขายแล้วยังเป็นนักข่าว เลือกไม่ถูกเลยวุ้ย! นักข่าวก็ใจรัก นักขายก็พารวย” ศศิธรหมั่นไส้ แต่ก็อดยอมรับในความฉลาดและขยันของมันไม่ได้ อะไรได้เงินชัยยศทำทุกอย่าง และข่าวที่เขานำไปเล่าต่อนั้น ไม่เคยมีเรื่องไหนที่เขาแต่งเองหรือไม่จริงเลย สักเรื่องเดียว ถึงจะน่ารำคาญในความสอดรู้สอดเห็นของเด็กชาย แต่เขาก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใคร

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา