แก้วนพคุณ

-

เขียนโดย เวลา

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.59 น.

  38 บท
  0 วิจารณ์
  30.61K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ข้อตกลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

   อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว ปีหน้านพคุณจะขึ้น ม.5 หลังจากที่              ทะเลาะกับพ่อเรื่องโรงเรียน วันรุ่งขึ้น คุณนพรักษ์เข้ามาคุยกับเขาในห้อง พ่อดูจะอารมณ์เย็นลงแล้ว...มันง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ เพราะก่อนจะนอน    เมื่อคืนเขาวางแผนไว้หลายอย่าง ว่าจะพูดคุยกับพ่ออย่างไร มีทั้งแบบไม้แข็งและไม้นวม เขาคิดไว้หลายวิธี แต่เช้านี้เขาแทบจะไม่ต้องใช้แผนหรือวิธีไหนเลย และพ่อเป็นคนเข้ามาคุยกับเขาเองถึงในห้อง

   “ตกลงลูกคิดดีแล้วใช่ไหม?” คุณนพรักษ์ถามโดยไม่ต้องเอ่ยหรือเท้าความให้เสียเวลา

   “ครับ!” นพคุณตอบหนักแน่น เขาคิดวนหลายรอบแล้ว คำตอบที่ได้     ทุกครั้งก็เหมือนเดิม

   “งั้นก็แล้วแต่ลูก แต่ขอให้จบม.4 ก่อน แล้วลูกค่อยกลับมาตอน ม.5 เพราะจะทำอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว” นพคุณทำท่าจะค้าน เขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ แต่เขายั้งไว้ทัน เมื่อคืนเขาทำเสียเรื่องไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการ เพียงแต่ว่าอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย พบกันครึ่งทาง เขาจะไม่เซ้าซี้ ถือว่าแค่นี้ก็เกินคาด เพราะมันง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ เขาแทบจะไม่ต้องเปลืองแรงยกเหตุผลข้ออ้างสารพัดมาใช้โน้มน้าวใจพ่อให้เหนื่อยเลย อีกแค่ 4 เดือนเขาจะอดทน

   “ได้ครับ” เด็กหนุ่มยอมรับข้อเสนอ

    “ถ้าลูกคิดดีแล้วพ่อก็ไม่อยากขัด ที่พ่อค้านเมื่อคืนเพราะเห็นว่าลูกใฝ่ฝัน มาตลอดว่าอยากเรียนที่นั่น พ่อไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เพียงเพราะเหตุมันเกิดจากพ่อ ความจริงพ่อก็อยากให้ลูกมาเรียนใกล้บ้านนะ ลูกเป็นคนเก่ง พ่อเชื่อว่าเรียนที่ไหน คนเก่งก็เก่งอยู่วันยังค่ำ รู้ไหมว่าพ่อคิดถึงลูกนะตาคุณ” นพคุณน้ำตาไหล     เขาไม่อยากร้องไห้ให้พ่อเห็น แต่บางที การไม่แสดงออกอะไรเลยกลับเป็นผลเสีย คุณนพรักษ์เห็นลูกชายร้องไห้ เขาดึงนพคุณเข้ามากอด พวกเขากอดกันเสมอ และเขาไม่ได้กอดลูกชายมานานหลายเดือนแล้ว นพคุณไม่ได้กลับบ้าน และเขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ลูกชาย แต่วันนี้พวกเขาได้คุยกัน มันก็ถือเป็นเรื่องดี เขาอยากบอกให้ลูกชายรู้ว่าพ่อคิดถึงเขาเหลือเกิน

   “พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้นะ อะไรที่ดีกับลูกและมันเป็นสิ่งที่ลูกต้องการ ขอให้รู้ไว้พ่อไม่เคยขัด พ่อคนนี้หวังดีกับลูกเสมอ” นพคุณกอดพ่อแน่น        ถึงเขาจะกลับมาบ้านเกือบสองอาทิตย์แล้ว แต่ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา กลับเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน เพิ่งจะมีวันนี้ที่พวกเขาพูดกันดีๆ       นพคุณจะไม่ทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้อีก เขาคิดมาตลอดทั้งคืนแล้ว เรื่องของยัยปากแดงนั่นมันผ่านมาแล้ว เขาจะไม่ขุดคุ้ยถึงประเด็นที่ผ่านมา (แต่เรื่องในอนาคตค่อยว่ากัน) เรื่องเรียนก็ผ่านไปด้วยดี...เขาเชื่อว่าในไม่ช้า ปัญหาทุกอย่างจะต้องคลี่คลาย...รอเขากลับมาก่อน เขาจะหาทางจัดการกับปัญหาทุกอย่างเอง ถึงแม้จะเสียดายโรงเรียนมากแค่ไหนก็ตามแต่เขาเลือกพ่อ ทั้งที่ควรจะเลือกพ่อ มาตั้งแต่ต้น ตอนนี้เขาทำใจเรื่องโรงเรียนได้แล้ว อย่างที่พ่อบอก...คนเก่ง เรียนที่ไหนก็เก่ง และเขาไม่ได้เข้าข้างตัวเอง...เขาเก่ง!!!

   ช่วงสุดสัปดาห์สุดท้าย สองแม่ลูกไม่ได้ที่อยู่บ้าน อาทิตย์สุดท้ายก่อนจะกลับไปโรงเรียน นพคุณกับพ่ออยู่บ้านกัน 2 คน พ่อบอกว่าภารดีกับ พริมากลับไปบ้านเดิมของพวกหล่อน เหมือนจะมีปัญหาอะไรสักอย่างที่       แม่เลี้ยงเขาต้องไปสะสาง แน่นอนพริมาเอาไก่ปีศาจของหล่อนไปด้วย         ช่วงสุดสัปดาห์นี้จึงเป็นสัปดาห์ที่นพคุณมีความสุขที่สุด ก่อนหน้านี้เขาแทบจะไม่ได้หลับแบบเต็มตาเลยสักคืน กลางวันก็ต้องอยู่แต่ในห้อง นพคุณมีความสุขที่บ้านกลับมาเป็นบ้านของเขาอีกครั้ง วันสุดท้ายคือวันเสาร์ คุณนพรักษ์จะไปส่งนพคุณกลับโรงเรียนในตอนเที่ยง กรุงเทพฯ – ชลบุรี ไม่ไกลมากนัก จึงไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทางตั้งแต่เช้า ภารดีกับพริมากลับมาถึงบ้านตอนสิบเอ็ดโมง แม่เลี้ยงของเขาซื้อของมามากมาย ของหลายอย่างในนั้นส่วนใหญ่เป็น      ของเขา...ขนมและอาหารแห้งต่างๆ ที่เขาจะกินไปได้อีกหลายเดือน พ่อเขาจัดของทั้งหมดใส่รถโดยมีแม่เลี้ยงของเขาคอยช่วยจัดโน่นนี่ แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่นพคุณเลือกที่จะเลี่ยงออกมา เขาต้องทำตามที่คิดไว้ว่าจะพยายามทำตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุด เขาจะไม่ทะเลาะกับพ่ออีก เด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งในบ้าน พ่อกับแม่เลี้ยงวุ่นวายกันอยู่ข้างนอก...แล้วอีกคนล่ะ ตัวปัญหารุ่นเล็กของเขาหายไปไหน นพคุณลองเดินไปดูหลังบ้านแต่ก็ไม่เห็นเงาของเด็กหญิง เห็นแต่ไก่ตัวน้อยของหล่อนเดินไปมาอยู่ในสวน เขาเห็นมันหันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วไม่สนใจเขาอีก สายตามันทำเหมือนกับว่าเขาไม่คู่ควรกับการทำให้มันสนใจ คุ้ยหนอนเขี่ยดินซะยังจะดีกว่า ชิ! ไอ้ไก่บ้า ฉันก็ไม่อยากจะมองแกเหมือนกัน สรุปว่าตัวปัญหารุ่นเล็กไม่ได้อยู่ในครัว ไม่ได้อยู่หลังบ้าน ถ้าอย่างนั้น...หล่อนก็คงจะหลบอยู่ในห้อง ดี!!! เขาจะได้อยู่อย่างสงบ เจอเด็กนั่นทีไรมีแต่เรื่องทุกที ได้เวลาออกจากบ้านคุณนพรักษ์ชะโงกหน้าเข้ามาเรียกลูกชาย ของทุกอย่างถูกจัดไว้ท้ายรถแล้ว รวมถึงของส่วนตัวของเขาที่จัดไว้เสร็จแล้วก่อนแม่เลี้ยงเขาจะกลับมาถึง แต่ที่เสียเวลาต้องจัดกันอีกรอบเพราะของที่หล่อนซื้อมานั่นแหละ นพคุณเดินไปขึ้นรถ เขาไม่ได้มองภารดีแต่เห็นด้วยหางตาว่าหล่อนยืนอยู่ฝั่งคนขับ หล่อนกับพ่อคุยอะไรกันสักอย่าง พ่อเข้ามาในรถ...กำลังจะขับออกไปก็มีเสียงเคาะกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับ นพคุณหันไปมอง ตัวปัญหารุ่นเล็กนั่นเอง! หล่อนมาเคาะกระจกฝั่งเขาทำไมนะ? นพคุณนั่งตัวแข็ง เขาทำอะไรไม่ถูก        นั่งงงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งกระจกถูกลดลง เพราะพ่อเขาเป็นคนกดเปิดจากฝั่งคนขับ

   “ว่าไงลูกแก้ว?” คุณนพรักษ์ถามเด็กหญิง ที่ตอนนี้ยื่นหน้าเข้ามาในรถ มันใกล้ซะจนนพคุณต้องหลบจนตัวแทบจะจมอยู่ในเบาะ เขาขมวดคิ้วหันไปมองหน้าเด็กหญิง...แก้มหล่อนเป็นสีชมพูดูขวยเขิน เหมือนหล่อนเองก็ต้องรวบรวมความกล้าอยู่พอสมควร กว่าจะวิ่งมาเคาะกระจกได้แบบนี้ นพคุณไม่เคยเห็นหน้าหล่อนใกล้ขนาดนี้มาก่อน...ปกติก็เห็นตอนที่อารมณ์ไม่ค่อยจะปกติ แต่วันนี้...เห็นใกล้จนแก้มหล่อนจะชนเข้ากับจมูกของเขาอยู่แล้ว และดูเหมือนเด็กนี่จะไม่รู้สึกหรือระวังตัวอะไรเลย หล่อนหันมา “ยิ้มอ่อน” ให้เขา มันเหมือนการยิ้มประจบที่ไม่รู้ว่าคนที่เราประจบจะชอบเราหรือเปล่า คุณนพรักษ์ยิ้มเอ็นดู ยิ่งนานวันเขายิ่งรักพริมาเหมือนลูกสาวแท้ๆ หล่อนมีมุมให้เขาแปลกใจได้เสมอ เพราะเด็กหญิงไม่เคยเรียกร้องอะไร หล่อนเข้าใจสถานการณ์ดีมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

   “เอาไอ้นี่ไปค่ะ อันนี้ของคุณลุง...อันนี้ของพี่” เด็กหญิงส่งกระเป๋าใบเล็กให้คุณนพรักษ์ และกระเป๋าใบใหญ่เข้ามาทางหน้าต่างแต่ดูเหมือนมันจะเข้ามาลำบาก หล่อนจึงจัดแจงเปิดประตูฝั่งนพคุณ และจัดการวางกระเป๋าไว้บนตักเขา นพคุณหันไปถลึงตาใส่...สายตานั้นบอกให้รู้ว่า เขาคิดว่าหล่อนจุ้นจ้าน แต่เด็กหญิงก็ยังหน้าด้าน หันมาส่งยิ้มและพยักหน้าให้เขา หล่อนปิดประตูแล้วโบกมือให้เขากับคุณนพรักษ์อย่างร่าเริง

   “โชคดีนะคะพี่...ขับรถดีๆ ค่ะคุณลุง” พี่? หล่อนเรียกเขาว่าพี่อย่างนั้นเหรอ? เด็กนี่กวนประสาทเขาจนนาทีสุดท้าย... ถึงว่ามาถึงก็หายไปเลย พอเขาจะไปถึงโผล่มา เปิดตัวแรงเชียวนะ...ธรรมดาโลกไม่จำ!!! ขับรถออกจากบ้านไปแล้ว แต่คุณนพรักษ์ยังหัวเราะอยู่ เขาขำทั้งท่าทางของลูกชายและท่าทางของลูกเลี้ยง

   “ลูกแก้วน่ารักนะว่าไหม?” พ่อหันมามองเขาแวบหนึ่ง แต่ดูเหมือนคำถามของพ่อไม่ใช่คำถามที่ขอคำตอบ มันเหมือนคำตอบซะมากกว่า      เด็กนั่นในสายตาพ่อเขาน่ารักซะเหลือเกิน แต่ในสายตาของเขาหล่อนประหลาด...ประหลาดทั้งพฤติกรรมและคำพูด เขายังนึกไม่ออกว่า คนประหลาดจะน่ารักตรงไหน ยัยปากแดงนั่น เลี้ยงลูกยังไงเขายังสงสัย นพคุณไม่ตอบ     เขานั่งฟังพ่อพูดและคิดตามในใจจะดีกว่า

   ภารดียืนยิ้ม หล่อนยืนมองลูกสาวโบกมือหยอยๆ ส่งสองพ่อลูก      แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆ สูกสาวก็วิ่งกระหืดกระหอบไปเคาะกระจกฝั่งที่นั่งของนพคุณเอาขนมถุงโตที่หล่อนตั้งใจทำไปให้เขา ภารดีเห็นลูกสาวทำขนมตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ทั้งอาทิตย์พริมาทำขนมทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นขนมที่เก็บไว้ได้นานหลายวัน และก่อนจะกลับมาถึงบ้านพ่อเลี้ยง หล่อนทำปุยฝ้ายและมันเพิ่งเสร็จก่อนจะกลับออกมา กลับมารอบนี้ภารดีขนเครื่องมือทำขนมของลูกสาวกลับมาด้วยเต็มคันรถ แต่เตาอบหล่อนคิดว่าจะมาซื้อทิ้งไว้ที่นี่น่าจะดีกว่า ส่วนอีกเตาก็ทิ้งไว้ที่บ้านเผื่อไว้ให้พริมาทั้ง 2 บ้าน

   “เหลือไว้ให้แม่กินบ้างรึเปล่า?” ภารดีถาม พริมาหันมายิ้มให้แม่ ตอนนี้รถเก๋งขับลับสายตาไปแล้ว

   “แม่อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวลูกแก้วทำให้ใหม่”

   “อะไร? นี่แม่ตกกระป๋องแล้วเหรอเนี้ย ทำยังไงดีล่ะทีนี้ สงสัยจะเชื้อไม่ทิ้งแถว สุดท้ายลูกก็เห็นผู้ชายดีกว่าแม่” ภารดีแกล้งทำท่าเสียใจ พริมาหัวเราะขำมารดา ภารดีชอบเอาเรื่องที่ชาวบ้านชอบนินทาหล่อนมาพูดเล่นเสมอ ตอนแรกพริมาก็โกรธอยู่เหมือนกัน เวลามีคนมาว่าแม่ของหล่อน แต่แม่เสียอีกที่ไม่เคยโกรธหรือโมโหเลย แม่บอกว่าจะโกรธไปทำไม เพราะบางเรื่องที่พวกเขาพูดคือเรื่องจริง ยอมรับไปซะเดี๋ยวพวกเขาก็หมดสนุกไปเอง            ซึ่งภายหลังพริมาก็เห็นว่ามันจริง หล่อนจึงทำตามที่แม่สอน คือยอมรับมันซะ

   “แหม! ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ลูกแก้วก็แค่อยากช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ก็ช่วยได้ในแบบที่ลูกแก้วถนัดนะคะ แต่สงสัยจะหนักมือไปหน่อย ขนมเอาใส่กระเป๋าใบใหญ่ไปหมดแล้วค่ะ และดูเหมือนของกินที่แม่ซื้อมาก็จะหนักมือเหมือนกันนะคะ ไม่เหลือให้ลูกแก้วกินเหมือนกัน” ภารดีหัวเราะชอบใจ หล่อนภูมิใจที่ลูกสาวคิดถึงคนรอบข้างเสมอ แค่คิดว่าพริมาอยากช่วยแค่นั้นหล่อนก็พอใจแล้ว พริมาเล่าให้หล่อนฟังในคืนที่นพคุณทะเลาะกับพ่อ          แล้วหล่อนลงมาเจอเขานั่งร้องไห้อยู่ข้างล่าง ภารดีส่งสารต่อถึงคุณนพรักษ์เช่นกัน เดิมทีตอนหัวค่ำพวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะตามใจนพคุณถ้าเขาจะย้ายโรงเรียน แต่เป็นภารดีที่เร่งให้ คุณนพรักษ์ไปคุยกับลูกชายให้เข้าใจโดยเร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยไว้ข้ามวัน

   “ผมไม่อยากให้แกทำแบบนี้ โรงเรียนนี้แกหวังไว้มาก” คนเป็นพ่อ    กุมขมับไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อดี

   “บางทีคุณก็คิดมากเกินไป คุณบอกเองไม่ใช่เหรอคะ ว่านพคุณ    เป็นคนฉลาด พิมพ์ว่าเขาคิดไตร่ตรองหลายรอบแล้วล่ะ ถึงได้ทำแบบนี้” ภารดีเสนอความเห็น

   “ความจริงผมก็ดีใจนะถ้าตาคุณจะกลับมาอยู่บ้าน ผมคิดถึงลูกทุกวัน เพียงแต่ไม่อยากขัดถ้าเขาจะไปอยู่โรงเรียนประจำ เพราะมันเป็นความหวังของเขา เป็นอนาคตของเขา แต่อยู่ๆ เขาก็กลับเปลี่ยนความคิด เพราะผม...เรื่องของผม ทำให้ลูกต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ ผมไม่อยากให้เขาใช้อารมณ์หรือประชดประชันในการตัดสินใจ สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับผลของมันมากที่สุดก็คือเขาเอง”

   “พิมพ์เข้าใจค่ะ แต่เชื่อพิมพ์เถอะค่ะ พิมพ์ว่าเขาคิดดีแล้ว ดีซะอีกมาอยู่ด้วยกันจะได้สนิทกันเร็วๆ ฮิฮิ“ ภารดีก็ยังคงเห็นปัญหาทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ บางครั้งเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจหล่อนมากนัก หญิงสาวมักจะยิ้มและยอมรับกับปัญหาเสมอ แต่เขาเห็นแล้วว่าสัญชาติญาณของหล่อนบางครั้งก็แม่นยำเหลือเกิน เมื่อตกลงกันได้แล้ว พอเช้าหล่อนจึงเซ้าซี้ให้เขาไปคุยกับนพคุณให้รู้เรื่อง

   “และช่วงนี้พิมพ์มีธุระที่ต้องรีบไปจัดการ พิมพ์กับลูกแก้วจะไปจัดการเรื่องที่บ้านโน้นนะคะ น่าจะไปสักอาทิตย์หนึ่ง ไปกลับมันลำบาก     กว่าจะเสร็จเรื่องก็ดึกดื่น ระหว่างนี้ที่พิมพ์ไม่อยู่คุณก็ปรับความเข้าใจกับลูกชายซะนะคะ ถือซะว่าแม่เลี้ยงคนสวยเปิดทางให้ลูกเลี้ยงได้มีโอกาสอยู่กับพ่อของเขาตามลำพังสองคน แม่เลี้ยงคนนี้ใจกว้างขนาดนี้ คราวนี้แหละ! น่าจะได้คะแนนจากลูกชายคุณบ้างไม่มากก็น้อย” คุณนพรักษ์ส่ายหัว ภารดีทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้เสมอแม้จะเจอกับปัญหา หล่อนมีมุมมองที่เขาคาดไม่ถึง และมีวิธีทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก

 

   ระหว่างทางที่คุณนพรักษ์ขับรถไปส่งลูกชาย เขาแกะกระเป๋าใบเล็ก       ของพริมา ข้างในมีขนมปุยฝ้ายที่บรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกใส 4 ช่องแบบที่ร้านขนมใช้กัน แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่ขนมปุยฝ้ายของหล่อนไม่ใช่ปุยฝ้ายสีพื้นๆ ธรรมดา แต่ลูกเลี้ยงของเขาทำขนมออกมาเป็นลวดลายน่ารัก น่ากินเหมือนขนมจีบนกไทยไม่มีผิด นพคุณแอบเหล่มอง เพราะพ่อให้เขาช่วยแกะออกจากกระเป๋า ขนมปุยฝ้ายของเด็กหญิงทำเป็นลายแตงโมและแก้วมังกร มันเป็นการเล่นสีตอนหยอดขนม เพื่อให้เวลานึ่งขนมออกมาแล้วมันจะแยกสีแยกชั้นจนออกมาเป็นลวดลายได้อย่างใจต้องการ นพคุณเดาเอาว่าหล่อนคงจะทดลองทำตามแบบในอินเทอร์เน็ตเหมือนที่หล่อนชอบทำนั่นแหละ แต่เด็กหญิงมีพรสวรรค์ หล่อนทำตามแค่ครั้งเดียว...ครั้งแรกก็สามารถทำออกมาได้ดีและเหมือนต้นฉบับไม่มีผิด นพคุณแกะขนมแล้วยื่นส่งให้พ่อ คุณนพรักษ์คะยั้นคะยอให้ลูกชายกินด้วยกัน เด็กหนุ่มจึงต้องจำยอมรับมาชิ้นหนึ่ง...ไม่ผิดหวัง ขนมของพริมาทั้งดูดีและอร่อย

   “ลูกแก้วชอบทำขนม แต่ช่วงนี้ทำขนมไทยซะส่วนใหญ่ ปกติแกถนัดทำขนมฝรั่งมากกว่านะ ถ้ากลับไปบ้านโน้นทีไรก็จะหิ้วขนมเค้กกลับมาบ้านนี้ทุกที เพราะอุปกรณ์แกอยู่ที่นั่น นี่ถ้าที่บ้านมีอุปกรณ์ก็คงจะทำได้ทุกวันนั่นแหละ   ขนมไทยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก และที่บ้านเราก็มีของครบทุกอย่าง ช่วงนี้พ่อเลยไม่ได้กินขนมจากร้าน ”ลูกแก้วเบเกอรี่” แต่ได้จากร้าน “ลูกแก้วลายไทย” ซะมากกว่า” นพคุณนั่งฟังที่พ่อเล่า เขาต้องเก็บข้อมูลไว้บ้าง อย่างที่เขาว่ากัน...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง พ่อกับเด็กนั่นต้องสนิทกันมากพอสมควร เพราะดูพ่อจะรู้ความชอบความถนัดของหล่อน แถมยังตั้งชื่อร้านขนมฝรั่งและขนมไทยให้หล่อนอีกด้วย

    “นั่นสิครับ เมื่อก่อนแม่ก็ชอบทำขนมบ่อยๆ อุปกรณ์ที่บ้านเราเลยมีครบ” นพคุณพูดถึงมารดา เขาไม่ได้จะประชดบิดาแต่อย่างใด

   “เดี๋ยวเราเข้าไปที่โรงเรียนเอาของไปเก็บแล้วไปนอนริมทะเลกันดีกว่า วันจันทร์พ่อลางาน จะได้เข้าไปพบ ผ.อ. พร้อมกันเลย” นัดแนะกันเสร็จเรียบร้อย เขาให้ลูกชายหาที่พักที่น่าสนใจจากในโทรศัพท์มือถือ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวกันแบบนี้

ถึงโรงเรียนก็เกือบบ่ายสามโมง เพราะออกจากบ้านเลยเวลาเล็กน้อย      เด็กหนุ่มขนของกลับเข้าหอพัก ระหว่างนั้นคุณนพรักษ์ก็ไปคุยกับอาจารย์   เวรประจำวันเรื่องขั้นตอนการย้ายโรงเรียนว่าต้องติดต่อใครอย่างไรบ้าง เพื่อนๆ หลายคนกลับถึงโรงเรียนกันแล้ว เมื่อเห็นนพคุณ หลายคนเข้ามาทักทาย นพคุณขนของอยู่หลายรอบ เพื่อนๆ จึงไปช่วยเขาขนของจากรถขึ้นมาบนหอ

   “โห...ไอ้คุณ นี่แกจะเอาของมาขายแข่งกับร้านค้าสวัสดิการนักเรียน   หรือไงวะ?” ขจรรัฐเพื่อนสนิทนพคุณเย้าขณะช่วยขนของเข้ามาในหอ

   “แกเลือกเอาไปเลยอยากกินอะไร เอาไปหมดเลยก็ได้” นพคุณพูดอย่างไม่แยแส ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่บนเตียงของนพคุณ เด็กหนุ่มกำลังง่วนกับการจัดกระเป๋าและของต่างๆ ให้เข้าที่ รวมถึงยังต้องจัดกระเป๋าไปนอนกับบิดาคืนนี้อีกด้วย

   “โอ้โหกระเป๋านี้น่าสนแฮะ... มีโน้ตด้วยนะ” ขจรรัฐนั่งช่วยเพื่อนแกะของ ออกจากถุง มาจนถึงกระเป๋าใบใหญ่ ดูเหมือนใบนี้จะทำให้เด็กหนุ่มเพื่อนของ      นพคุณสนใจอยู่ไม่น้อย นพคุณหันไปมอง เขาเห็นเพื่อนกำลังจะแกะโน้ตออกอ่าน เด็กหนุ่มรีบฉวยกระดาษโน้ตมาจากมือเพื่อนอย่างรวดเร็ว

   “เฮ้ย! ไอ้แทนอันนี้ไม่ได้โว้ย แกน่าจะมีมารยาทหน่อยนะ บางอย่างมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว” ขจรรัฐเลิกคิ้ว...ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดเมื่อกี้เพื่อนเขาบอกเองว่า “อยากได้อะไรก็เอาไปเลย” แถมยังดูเหมือนไม่สนใจอีกด้วย             พอมาตอนนี้บอกว่าเขาไม่มีมารยาท งงโว้ย!!!

   “โอเค...งั้นโน้ตฉันจะไม่ยุ่ง แล้วกระเป๋าใบนี้ล่ะ?” เด็กหนุ่มชูกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่โน้ตนั่นไว้ แต่ของข้างในก็ยังมีอีกหลายอย่าง

   “กระเป๋านี้แกไม่ต้องรื้อ” เขาพูดพร้อมดึงกระเป๋าออกจากมือเพื่อน

   “อู้วววว!!! น่าสงสัยใครให้มาวะ” ขจรรัฐทำหน้าล้อเลียน กลับบ้านไปไม่ถึงเดือน เพื่อนเขาไปมีแฟนหรือเปล่า? งานนี้ต้องสอบสวนซะหน่อยแล้ว       นพคุณมองหน้าเพื่อน ดูท่าว่าจะเล่นใหญ่ไปหน่อยเพื่อนจึงสงสัยแบบนี้

   “ก็...ลูกเลี้ยงพ่อให้มา” คราวนี้เขาปรับเสียงให้ดูเรียบๆ เรื่อยๆ       แต่คนฟังกลับทำตาโตแปลกใจกับคำตอบของเพื่อน ผิดคาดไปอย่างมากจากแฟนกลายมาเป็นลูกเลี้ยงพ่อ...เป็นคำตอบที่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ถ้าจำไม่ผิด  นพคุณเคยเล่าว่าแม่เขาเพิ่งจะเสียไปไม่ถึงปี พ่อเขาอยู่บ้านคนเดียว แล้วมารอบนี้ ข่าวล่าสุดคือพ่อของนพคุณมีลูกเลี้ยง ซึ่งก็หมายความว่านพคุณมีแม่ใหม่...และแม่ใหม่มีลูกติด ช่างซับซ้อนยิ่งนัก! ขจรรัฐเหมือนกำลังประมวลผลคำพูดของเขาจากข้อความไม่กี่คำ...ลูกเลี้ยงพ่อ แค่นี้หลายคนอาจจะถามเซ้าซี้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เพื่อนเขาคนนี้เป็นคนฉลาด พูดกันไม่กี่คำหรือให้ข้อมูลไม่ต้องมากมาย เขาก็สามารถตีความ หรือแปลความหมายได้อย่างไม่น่าเชื่อ นพคุณถึงชอบอยู่กับขจรรัฐมากกว่าใคร เพราะเขาเข้าใจอะไรได้เร็ว และไม่ต้องพูดมากให้เปลืองเวลา

    “ในถุงทั้งหมดนั่นแกเอาไปรื้อ แล้วก็เอาของที่อยากกินไปได้เลยตามสบาย” นพคุณเลี่ยงไม่พูดต่อเรื่องกระเป๋าในมือ และขจรรัฐเองก็ไม่ถามให้มากความ เขายกถุงไปเต็มสองกำมือถือกลับไปที่เตียงของตัวเองซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

   “งั้นเอาพวกนี้ไปเลือกก่อน เดี๋ยวที่เหลือจะเอามาคืน” มีเพื่อนอีกสองสามคน เดินตามเขาไป นพคุณพยักหน้าให้เพื่อนคนอื่นๆ ประมาณว่าเชิญเอาไปแบ่งกันตามสบาย เมื่อพวกเพื่อนๆ ไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ลำพัง และมีเรื่องที่สนใจ...โน้ตในมือ หรือจะเรียกว่าจดหมายน่าจะเหมาะกว่า เพราะมันดูยาวกว่าโน้ตที่เตือนความจำทั่วๆ ไป นพคุณแกะจดหมายออกอ่าน ลายมือในจดหมายยังขยุกขยิกเหมือนเดิม เขายิ้มด้วยความลืมตัว...ลายมือนี้เขาจำได้

   เรียน พี่นพคุณ

            ลูกแก้วทำขนมมาให้ค่ะ ช่วงที่กลับบ้านไปนี้มีเวลาว่างทุกวัน และที่บ้านก็มีอุปกรณ์เบเกอรี่ ลูกแก้วเลยทำขนมที่ถนัดได้ซะที แต่ไม่ใช่ว่าขนมไทยไม่ถนัดหรอกนะคะ แต่ลูกแก้วชอบทำเบเกอรี่มากกว่า คราวก่อนที่ลูกแก้วทำขนมจีบนกไทย ดูเหมือนพี่จะไม่ได้กินเลย ลูกแก้วเลยเดาเอาว่าพี่น่าจะไม่ชอบขนมไทย คราวนี้ลูกแก้วเลยทำเบเกอรี่มาให้ค่ะ ลูกแก้วเลือกทำขนมที่จะเก็บได้นานหน่อย ไม่ต้องรีบกินจนเกินไป คุกกี้พวกนี้เก็บได้เป็นอาทิตย์เลยนะคะ ไม่ต้องใส่ตู้เย็น แต่ปุยฝ้ายพี่ต้องกินให้หมดนะคะ เก็บข้ามวันมันจะไม่อร่อย ส่วนบราวนี่กับบัตเตอร์เค้กก็เก็บได้หลายวัน แต่ไม่นานเท่าคุกกี้ ลูกแก้วไม่รู้ว่าพี่ชอบกินขนมอะไร ก็เลยทำมาให้หลายๆ อย่าง หวังว่าพี่จะชอบนะคะ

                                                            ลูกแก้ว

 

   นพคุณอ่านจดหมายวนไปอีกหลายรอบเขาไม่เคยได้รับจดหมายจากใครมาก่อน เพื่อนๆ เขาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะได้ติดต่อกันมากนักยกเว้นเรื่องเรียน ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ผ่านมาก็แค่ผลประโยชน์ เพราะเขาชอบเรียนหนังสือ และเห็นว่าการคบเพื่อนมากมายก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร แล้วเพื่อนของเขา ก็ไม่ใช่คนประเภทจะชอบทำอะไรแบบนี้ การที่พริมาทำขนมแล้วยังมีจดหมายแนบมาให้เขามันจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นหรือเคยได้รับจากเพื่อนคนไหนมาก่อน

การที่เขามาเรียนโรงเรียนประจำ มันทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างนั้นนพคุณก็ยังมีเพื่อนน้อย เพื่อนสนิทของเขามีแค่ขจรรัฐเพียงคนเดียว แต่กับเพื่อนคนอื่นๆ เขาก็ยังให้ความสนใจมากกว่าที่ผ่านๆ มา การที่มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านทำให้ลำบากพอสมควร แต่มันทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเขาก็ไม่สามารถทำทุกอย่างเองคนเดียวได้ ถึงจะเก่งมากแค่ไหน     แต่คนเราก็ต้องพึ่งพาคนอื่นด้วยเหมือนกัน นพคุณเก็บของทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เขาเก็บคุ๊กกี้ไว้กินเอง แต่ขนมปุยฝ้ายเขาถือติดมือไปด้วย (เพราะมันต้องกินวันนี้) เขาเอาขนมไปนั่งกินกับเพื่อนๆ ที่ตอนนี้อยู่ที่เตียงของขจรรัฐ

“พวกแกเลือกของที่ชอบได้รึยัง?” เขาเดินไปนั่งรวมอยู่กับเพื่อนๆ         ที่ตอนนี้  นั่งล้อมวงกินขนมกันอยู่

“แกแน่ใจนะว่าถุงนี้แกไม่สน...เพราะพวกฉันแบ่งกันได้ลงตัวพอดีเลย” อธิบหันไปถาม เขาได้ยินจากขจรรัฐ ว่านพคุณอนุญาตให้พวกเขาเลือกขนมได้ตามใจชอบ ”จะเอาไปหมดเลยก็ได้” ขจรรัฐบอกเพื่อนเมื่อเห็น ทุกคนแย่งกันรื้อขนมในถุง

“แน่ใจสิ พวกแกเอาไปกินกันเถอะ ฉันกินคนเดียวไม่หมดหรอก       กลัวมันจะเสีย หรือหมดอายุซะก่อน ส่วนอันนี้เรามากินกันวันนี้ให้หมดนะ”    นพคุณเปิดกล่องขนม ข้างในเป็นปุยฝ้ายที่บรรจุในกล่องใสใส่ขนม 4 ชิ้น จำนวน 3 กล่อง แน่นอนว่า เมื่อเพื่อนทุกคนเห็นขนมในกล่อง ต่างเรียกความสนใจได้ตามคาด ความจริงพริมาให้ขนมปุยฝ้ายเขามา 4 กล่อง แต่เขาเก็บกล่องหนึ่งไว้ให้อาจารย์ และอีก 3 กล่องเอามากินกับเพื่อนๆ ถ้าไม่ติดว่าจะต้องออกไปนอนกับพ่อ เขาคงเก็บไว้กินเอง...แต่ถ้าเขาเอาขนมนี่ขึ้นรถไปด้วย พ่อก็ต้องเห็นอีก งั้นกินให้หมดนี่แหละ

“ขนมอะไรเนี้ยสวยจัง เค้กเหรอ?” พิชญ์ หนึ่งในเพื่อนเขาถามขึ้นด้วยความสนใจ

“นี่มันปุยฝ้ายเว้ยไอ้พิชญ์ แกไม่เคยเกินดิ นึ่ง ๆ คล้ายซาลาเปา         นั่นแหละ” อธิบหันไปบอกเพื่อน เขาล้อพิชญ์เพราะที่บ้านของเด็กหนุ่มเป็นร้านติ่มซำ

“ฉันรู้จักนะปุยฝ้ายน่ะ แต่ถ้ามีลายแบบนี้ไม่เคยเห็น” พิชญ์ขยับแว่น เขาเป็นเด็กที่เรียนดีที่สุดในชั้น ม.4 แต่อยู่คนละห้องกับนพคุณ นพคุณเรียนได้ที่ 1 ของห้อง แต่เขาได้ที่ 3 ของชั้นปี ถึงเด็กที่นั่งล้อมวงกันตอนนี้จะอยู่คนละห้อง แต่พวกเขาก็สนิทและรู้จักกันดี เพราะกินอยู่หลับนอนด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง

“อันนี้เป็นของในกระเป๋าต้องห้ามสินะ ถึงว่าหวงนักหวงหนา เพราะของในกระเป๋ามันแตกต่างจากขนมตลาดๆ ในถุงนี้เป็นไหนๆ“ ขจรรัฐ พูดไปก็แกะขนม ในกล่องกินไป ก่อนกินเขาถือดูและดมๆ อยู่พักใหญ่ คงสงสัยว่าขนมหน้าตาน่ารักแบบนี้จะกินได้จริงหรือเปล่า

“อะไรวะไอ้แทน เล่ามาเลย” อธิบหันไปถาม เขาจะตกข่าวอะไรไป

“แกก็อย่าไปบ้าจี้ตามไอ้แทนมัน มันก็พูดจามั่วเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราวของมันประจำอยู่แล้ว” นพคุณแก้ให้ ตอนนี้เขากินขนมไป 2 ชิ้นแล้ว แน่นอนว่า ขจรรัฐนั่งมองอยู่

“มีแค่นี้เองเหรอของในถุงน่ะ หรือเพราะไอ้ขนมนี่มันจะเสียก่อน       เก็บไม่ได้นาน พวกฉันก็เลยลาภปากได้กินไปด้วย...เอ้! ถ้าไม่ได้ซื้อมา         แล้วมีคนตั้งใจทำให้ คนที่ให้มาคงจะตั้งใจทำมากเลยนะเนี้ย” ขจรรัฐยังชงไม่หยุด ตอนนี้เขากินไป 3 ชิ้น เพราะเห็นว่าเจ้าของกินไป 2 ชิ้นแล้ว เดี๋ยวจะน้อยหน้าเอาได้ คนอื่นที่เหลือก็สังเกตอยู่ จึงรีบหยิบกันอีกคนละชิ้นตามด้วยเหมือนกัน       มือถือของนพคุณดังขึ้น หน้าจอบอกให้รู้ว่าพ่อเขาโทรมา

“ครับพ่อ...เรียบร้อยแล้วครับ ครับๆ เดี๋ยวผมลงไป”

“ฉันต้องไปก่อนนะ วันนี้จะออกไปนอนข้างนอกกับพ่อน่ะ กลับเข้ามาตอนเปิดเรียนเลย” นพคุณหันไปบอกเพื่อน เขายังไม่ได้บอกเพื่อนเลยว่าเทอมนี้ จะเป็นเทอมสุดท้ายที่เขาจะเรียนที่นี่ นึกแล้วก็เสียดายอยู่เหมือนกัน แต่เขาตัดสินใจแล้ว และก็จะไม่เปลี่ยนใจด้วย ลากันแล้วก็หยิบกระเป๋าที่จัดไว้ลงไปหาพ่อข้างล่าง คุณนพรักษ์รอเขาอยู่ในรถแล้วเมื่อเด็กหนุ่มถือกระเป๋าวิ่งลงไป คิดแล้วก็เสียดายปุยฝ้ายตั้งหลายกล่อง เขาต้องทำเป็นใจดีแบ่งทุกคน     เพราะถ้าเอาขึ้นรถไปด้วยพ่อคงเห็นเข้าและเขาจะต้องเสียหน้าแน่ๆ ที่ไม่ชอบคนทำ แต่กลับกินขนมของเจ้าหล่อนเสียจนหมดกล่อง ไม่ได้ๆ ถ้ารู้เข้าถึงหูยัยเด็กนั่น เดี๋ยวจะได้ใจกันไปใหญ่

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา