แก้วนพคุณ
-
22) สะพานไม้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสร็จจากวัดแล้วพวกเขาแวะร้านอาหาร แน่นอนงานนี้ภารดีเป็นคนนำเสนอ หล่อนท่องรีวิวหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอีกตามเคย
“ร้านนี้นะเด็ดมาก แม่ไปดูรีวิวจากหลายเว็บเลย การันตีเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าอร่อยทุกอย่าง”
“ไม่ใช่ว่าคนเดียวกันไปรีวิวหลายๆ เว็บเหรอคุณพิมพ์”
“ถ้าเขาทำถึงขนาดนั้นพิมพ์ก็ยินดีไปอุดหนุนค่ะ ถือซะว่าเห็นแก่ความพยายาม”
ร้านอาหารตั้งอยู่ชานเมืองเลยจากวัดไป เข้าซอยไปค่อนข้างลึกลับพอสมควร ตลอดทางเป็นสวนผลไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีบ้านคนมากนัก
“แน่ใจเหรอคุณพิมพ์ ผมว่า GPS พาหลงทางเสียแล้วกระมัง”
“ไม่หรอกค่ะ เมื่อกี้พิมพ์เห็นชื่อซอยก็ตรงกันนะ”
“ผมเคยดูในข่าว GPS พาลงคลองบ้างแหละ บางทีก็เข้าป่า...”
“เราก็ดูทางสิคะ ถ้ามันดูว่าไม่น่าจะไปได้ก็อย่าฝืน พวกที่หลงทางพิมพ์ว่าดูและเชื่อแต่ GPS อย่างเดียวไม่สังเกตสิ่งรอบข้างบ้างเลยซะมากกว่า” ภารดียังมั่นใจ แต่หล่อนก็ไม่ได้ดื้อจะเอาชนะให้ได้ จังหวะที่คุยกันนั้น มีรถมอเตอร์ไซค์สวนทางมาพอดี หญิงสาวจึงเปิดกระจกรถชะโงกหน้าออกไปถาม พวกเขาคุยกันอยู่สักพัก ภารดีก็ปิดหน้าต่างหันมายิ้มและบอกสามี
“เพื่อความแน่ใจเราก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง พี่คนนั้นเขาบอกว่าให้ขับตรงไปทางนี้แหละค่ะ แต่พอถึงสะพานเราต้องจอดรถและเดินข้ามไป” คุณนพรักษ์ก็ยังไม่ค่อยจะมั่นใจนัก เพราะถนนหนทางดูไม่น่าจะมีร้านอาหารซ่อนอยู่ได้ รถราที่สวนทางกลับมาก็ไม่ค่อยจะมี แต่วันนี้เขาว่างและการเดินทางก็ไม่ได้ทำให้เหนื่อยอะไร ลองขับไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
นพคุณนั่งฟังทั้งสองคนคุยกัน...ภารดีมีความมั่นใจในตัวเองสูงและหล่อนก็ไม่ค่อยจะคิดอะไรรอบคอบมากนัก แต่ในความไม่รอบคอบนั้น ก็ไม่ได้วู่วามหรือดื้อดึงอะไร เพียงแต่หล่อนดูจะมีใจรักการผจญภัยอยู่เนืองๆ เหมือนว่าถ้ามั่นใจอะไรแล้วหล่อนก็จะลองทำให้สุดๆ แต่ถ้ามีคนมาทักหรือเตือน หล่อนก็ยังยินดีรับฟัง ส่วนพ่อเขานั้นเขาเป็นคนคิดอะไรรอบคอบก่อนจะทำทุกอย่างเสมอ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างแตกต่างกับภารดีอย่างสิ้นเชิง แต่พ่อเขาก็มีความรอมชอมอะลุ่มอล่วยอยู่พอสมควร เขายินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น รวมถึงยอมรับในความคิดทั้งแบบใหม่แต่ก็ยังคงความคิดแบบเก่าๆ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อสองคนนี้มาเจอกัน มันกลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด เหมือนกระต่ายกับเต่า...ที่แตกต่างกัน แต่กระต่ายที่ถึงแม้จะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่ก็ยังคงพยายามที่จะหันกลับมามองเต่าเสมอ และถ้าวิ่งไปไกลเกินกระต่ายก็จะวิ่งกลับมา ส่วนเต่าแม้จะเชื่องช้าแต่สายตาของเต่ามักมองไปข้างหน้า เขาจะมองไปที่กระต่ายอย่างไม่ละสายตาและพยายามจะเร่งตัวเองให้ไปทันกระต่ายอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าเต่าเหนื่อยเกินไปกระต่ายก็พร้อมจะลดพลังตัวเองลงมาเดินข้างเต่าเช่นกัน ภารดีเหมือนกระต่ายส่วนพ่อเขาเป็นเต่า...แต่ถ้าภารดีเป็นกระต่าย พริมาก็ต้องเป็นลูกกระต่าย? ไม่เหมือนเลย หล่อนไม่มีความกระตือรือร้นและพลังมากมายเหมือนภารดี พริมาเชื่องช้ากว่ามาก อย่างพริมาเป็นกระต่ายไม่เหมาะ หล่อนน่าจะเป็นตัวสลอธ คิดมาถึงตรงนี้นพคุณเผลอยิ้มขำออกมา รถมาจอดหน้าสะพานไม้ที่รถยนต์น่าจะขึ้นและข้ามไปไม่ได้ นพคุณดีใจที่ภารดีไม่ได้คะยั้นคะยอให้พ่อเขาขับรถข้ามสะพานไป ไม่งั้นคืนนี้พวกเขาคงจะเป็นข่าวหรือไม่ก็ดังในโลกออนไลน์อย่างแน่นอน ลงจากรถแล้วเขาสังเกตเห็นมีรถยนต์จอดอยู่ประมาณสามคัน แสดงว่ามีคนเข้ามาหรืออาจจะตั้งใจไปร้านอาหารของภารดีเหมือนกัน
“รถพวกนี้ของคนแถวนี้หรือว่าจะมาตะลอนทัวร์แบบเรากันนะ” คุณนพรักษ์หันไปมองรอบๆ เขาถามคำถามที่อยู่ในความคิดของทุกคน
“แบบนี้ต้องลองไปดูให้เห็นกับตาค่ะ ไป!” ภารดีหันไปจูงมือสามีเดินขึ้นสะพานไม้ไป ทิ้งนพคุณกับพริมาให้เดินตามอยู่เบื้องหลัง พริมายืนเงอะงะอยู่ตรงตีนสะพานหล่อนไม่เคยเดินข้ามสะพานไม้แบบนี้ มันสวยดีและก็แปลกด้วย สะพานไม้ไม่ได้ดูเก่าหรือทรุดโทรม...มันดูแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้มีที่จับให้เดินได้ถนัดนัก มีเพียงเชือกสลิงเส้นใหญ่เส้นเดียวและมันค่อนข้างแกว่งไกวไปตามลม นพคุณเดินนำไปก่อน เขาหันมามองพริมาที่ยังยืนอยู่
“คงไม่ต้องให้จูงใช่ไหม?” เขาหันมาเลิกคิ้วถาม พริมาเผลอทำปากยื่น เหมือนเวลาที่หล่อนไม่พอใจหรือขัดใจ สาวน้อยเดินขึ้นสะพานและเดินผ่านเขาไปโดยไม่หันไปมอง นพคุณยิ้มขำเขาชอบเวลาพริมาทำหน้าแบบนี้มันดูน่ารักดี พริมาเดินเกาะสายสลิงไปเรื่อยๆ ความจริงถ้าเดินไปสักพักก็จะเริ่มทรงตัวได้
“ไม่ได้ยากเหมือนที่เห็นแฮะ” พริมาเดินไปถึงกลางสะพาน มองไปรอบๆ บรรยากาศสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ต้นจากที่ดูเหมือนต้นมะพร้าวที่ไม่มีลำต้นขึ้นเรียงรายไล่ไปตามริมตลิ่งอยู่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ มองไปไกลๆ เห็นชาวบ้านยังใช้เรือสัญจรไปมาด้วย แม่น้ำวันนี้ใสเป็นสีเขียวเข้มและไหลนิ่งๆ เอื่อยๆ อยู่ด้านล่าง นี่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนแม่น้ำคงจะมีสีขุ่นและไหลแรงกว่านี้แน่นอน
“ถ้าบ้านอยู่แถวนี้จะมากระโดดสะพานเล่นน้ำทุกวันเลย” พริมามองกลับไปที่นพคุณ เพราะหล่อนยืนดูวิวอยู่ตรงนี้ก็นานแล้ว นพคุณก็ยังไม่เดินผ่านมาหรือเดินมาถึงตรงนี้สักที
“อ้าว?” พริมาพึมพำเบาๆ หล่อนเห็นนพคุณยังยืนอยู่ที่เดิม...อืม อาจจะเลยจากที่เดิมมานิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นเขาจะเดินมาต่ออีกเลย เพียงแต่ยืนเกาะสายสลิงอยู่นิ่งๆ ตรงนั้น และดูเหมือนหน้าเขาจะซีดเล็กน้อยด้วย
“ต้องให้จูงไหมคะ?” พริมาตะโกนกลับไป หล่อนเห็นเขาหรี่ตามองมาแต่ไม่ได้ตอบอะไร สาวน้อยยิ้มกริ่ม...แน่นอน! คุณชายใหญ่กลัว!
“ฉันว่ายน้ำเป็นนะ...แต่ไม่ชอบความสูง” นพคุณอธิบายเสียงเบาขณะที่พริมาเดินไปจูงมือและออกแรงลากเขาให้เดินตามหล่อนไป หล่อนไม่ได้พูดอะไร...ไม่อยากให้คุณชายใหญ่เสียหน้า
“และมันก็แกว่งๆ แบบนี้” นพคุณจับมือพริมาแน่นขึ้น อีกมือก็จับลวดสลิงไว้แน่น พริมาเหลือบมองเห็นเขามีเหงื่อผุดเต็มหน้าไหลลงมาตามขมับ...น่าสงสารเหมือนกันนะ นี่ถ้าเป็นหล่อนเขาคงจะเหน็บให้เจ็บใจ แต่หล่อนไม่ทำหรอก หล่อนไม่ใช่คนใจร้าย กว่าจะเดินข้ามสะพานไปถึงอีกฝั่งได้ ก็เล่นเอาพริมาหอบแฮ่กอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าสะพานข้ามแม่น้ำนี้จะยาวมากมายอะไร ความกว้างของแม่น้ำไม่ถึง 300 เมตรด้วยซ้ำ แต่เพราะกว่าจะเดินได้แต่ละก้าวนั่นแหละที่ทำให้เหนื่อย ถ้าหล่อนเดินมาคนเดียวป่านนี้ถึงนานแล้ว “ถึงแล้วค่ะ” พริมาบอกเมื่อเดินลงมาถึงตีนสะพานอีกฝั่งของแม่น้ำ นพคุณปล่อยมือ...เขาเสียหน้าเล็กน้อย เอาเข้าจริงคนที่ไม่กลัวกลับเป็นพริมา ทั้งสองคนดูงงๆ เพราะฝั่งนี้ของสะพานแตกต่างจากอีกฝั่งอย่างสิ้นเชิง ฝั่งนี้ดูคึกคัก มีรถจอดอยู่มากมาย และร้านอาหารก็อยู่ตรงตีนสะพานฝั่งนี้นี่เอง
“น่าจะมีทางเข้าสองทาง ฝั่งนี้น่าจะสะดวกกว่า” พริมาพูดพลางมองไปรอบๆ รถมากมายและถนนก็ดูดีกว่าฝั่งที่พวกหล่อนเข้ามามาก
“ลูกแก้วทางนี้” เสียงภารดีเรียกมาจากในร้าน พริมามองเห็นแม่โบกมือจากโต๊ะที่อยู่บนแพยื่นลงไปในแม่น้ำ บรรยากาศรอบข้างดูดีสมราคาคุยจริงๆ งานนี้ภารดีไม่ได้โม้
“ต้องให้จูงไหมคะ?” พริมาหันมาบอกนพคุณ หล่อนเห็นเขายืนอื้งกับร้านอาหารและบรรยากาศที่แตกต่างกันของอีกฝั่งอย่างงงๆ ก็อดแซวเล่นไม่ได้ ยังไงคุณชายใหญ่ก็อารมณ์เสียตลอดเวลาอยู่แล้ว และไม่ต้องรอให้เขาตอบกลับ พริมารีบเดินหนีเข้าร้านอาหารตรงไปยังโต๊ะของแม่กับพ่อเลี้ยงที่นั่งคุยกันอยู่ในแพ “ลงมากันช้าจัง แม่นั่งรออยู่ตั้งนานแล้ว” ภารดีหันมาถามขณะลูกสาว เดินมานั่งที่โต๊ะ พริมาเหลือบไปมองด้านหลังนพคุณเดินมาถึงพอดี
“ก็...พอดีวิวสวยน่ะค่ะ เลยแวะยืนดูซะนาน” พริมาไม่ได้บอกแม่ว่าหล่อนมัวแต่ลากคุณชายใหญ่ให้ข้ามสะพานตามมาถึงได้ใช้เวลานานไปหน่อย
“วิวสวยจริงๆ นั่นแหละ คราวหน้าเรามากันอีกนะคุณพิมพ์ ผมว่าเราเข้าทางฝั่งนี้น่าจะใกล้กว่า”
“ก็ทางนั้นมันมาจากวัดนี่คะ ถ้ามาจากทางบ้านเราก็เข้าทางนี้แหละ”
“ลูกแก้วกับตาคุณจะกินอะไรก็สั่งเลยนะ แม่ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย รอให้เจ้าของวันเกิดมาสั่ง ไหนๆ ก็เลี้ยงพร้อมกันสองคนแล้ว สั่งให้สะใจไปเลย...คุณพ่อเขาจ่าย ฮิฮิ” ภารดีหันไปยิ้มบอกสามี นพคุณมีสีหน้างงเล็กน้อยเจ้าของวันเกิด?
“เมื่อต้นเดือนวันเกิดลูกแก้วน่ะ แต่น้องบอกว่าให้เลี้ยงพร้อมของลูกไปเลย” คุณนพรักษ์บอกวันเกิดพริมาเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของลูกชาย
“แม่สั่งให้เลยค่ะ ลูกแก้วกินได้หมด ระหว่างรอขอลูกแก้วไปดูวิวตรงโน้นนะคะ ฝั่งนั้นวิวสวยดีจัง” พริมาชี้ไปที่ริมแพอีกฝั่งที่พวกเขานั่ง ตรงนั้นวิวคงสวย หล่อนเห็นมีคนไปยืนถ่ายรูปเต็มไปหมด
“ไปซิ แม่เพิ่งไปดูมาสวยมากเลย อย่าลืมถ่ายรูปมาให้แม่ดูมั่งนะ”
พริมาเดินไปดูตรงมุมที่คนยืนอยู่...ตรงนี้เห็นแม่น้ำชัดเจน แม่น้ำใสมองเห็นตั้งแต่อยู่บนสะพานแล้ว แต่พอลงมายืนดูตรงนี้ยิ่งใส มันเห็นไปถึงพื้นดินข้างล่าง ริมฝั่งน้ำน่าจะไม่ลึกมาก เพราะมันมองเห็นพื้นดิน แต่พอมองเลยไปเรื่อยๆ พื้นดินเริ่มหายไป มีฝูงปลาเข็มว่ายน้ำผ่านมา สาวน้อยชะโงกหน้าโน้มตัวลงไปเพื่อถ่ายรูปให้ชัดเจนจนเกือบเสียหลัก
“โอ๊ะ!” พริมาใจหายวาบ หล่อนนึกว่าตัวเองจะลงไปเล่นน้ำกับปลาซะแล้ว แต่มีแรงดึงมาจากด้านหลัง นพคุณนั่นเอง! เขาดึงคอเสื้อพริมาจากด้านหลัง นพคุณเดินตามมา เขาเห็นท่าถ่ายรูปของพริมาแล้วและไม่ผิดหวัง ถ้าเขาไม่จับไว้รับรองลูกเลี้ยงพ่อเขาได้ลงไปเล่นน้ำกับปลาอย่างแน่นอน
“เธอนี่เดาทางได้ตลอดเลยนะ” นพคุณพูดขณะออกแรงดึงเบาๆ ก็ยกสาวน้อยกลับมายืนบนพื้นได้อย่างง่ายดาย พริมายิ้มแหยๆ นพคุณมาได้จังหวะพอดีทุกครั้งจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ” พริมากล่าวขณะดึงคอเสื้อให้กลับมาอยู่ถูกที่
“พี่คุณอยากถ่ายรูปไหมคะ ลูกแก้วถ่ายให้?” สาวน้อยถามแก้เขิน
“ไม่!” สั้นๆ ชัดเจน พริมาคิดไว้แล้วว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร แต่ทำไมล่ะ วันนี้วันเกิดเขาอย่างน้อยก็ต้องมีรูปเขาไว้บ้าง สาวน้อยคว้ามือถือถ่ายรูปเขาไปเสียหลายรูปโดยไม่ต้องขออนุญาต...จะขอไปทำไมยังไงเขาก็ไม่ยอมอยู่แล้ว
“ทำอะไรน่ะ? บอกว่าไม่ถ่ายไง” นพคุณหันมาตาขวางใส่ เขาพยายามจะเข้าไปแย่งมือถือจากมือของพริมา สาวน้อยหลบหนีพัลวันจนไปชนเข้ากับผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่แถวนั้น
“ขอโทษค่ะ” พริมายกมือไหว้ นพคุณเดินตามมายืนข้างๆ พริมาทันที ผู้ชายคนนี้ตัวสูงใหญ่ เขาตัวสูงกว่านพคุณและตอนนี้เขาเองก็ยังดูงงๆ อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษแทนน้องด้วยครับ เด็กนี่ไม่ค่อยระวังอะไรเท่าไหร่” นพคุณบอกพร้อมหันมาทำสายตาตำหนิพริมา สาวน้อยก็รู้ตัวดีไม่ได้เถียงแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไรหรอกน้อง พี่เห็นตั้งแต่จะลงน้ำเมื่อกี้นี้แล้ว ดีนะที่คว้าไว้ทัน จะเดินจะเหินก็ระวังหน่อยแล้วกัน” พริมาหน้าสลดแต่นพคุณดูจะชอบใจไม่เบา
“พี่...ผมรบกวนถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมครับ” นพคุณแย่งมือถือจากมือพริมาพร้อมส่งให้ผู้ชายคนนั้น
“ได้สิ เอาตรงไหนดี?” ชายร่างใหญ่รับมือถือมาถ่ายรูป เขาช่วยเด็กสองคนมองหาวิวสวยๆ
“ตรงนั้นแล้วกัน เห็นคนมายืนถ่ายกันเยอะเลย” เขาชี้บอก นพคุณลากพริมามายืนตรงมุมนั้น
“ยิ้มสิ! อยากถ่ายนักไม่ใช่เหรอรูปน่ะ” นพคุณโอบไหล่สาวน้อยยืนถ่ายรูปตรงมุมที่มีคนชอบมาถ่ายกันนักหนา พริมาเงยหน้ามองเขา นพคุณไม่ได้มองลงมาแต่กำลังมองไปยังกล้องที่กำลังถ่ายอยู่
“เอ้า! มองกล้องสิ จะมามองหน้าฉันอยู่ทำไม?”
“น้องผู้หญิงยิ้มหน่อยครับ นับนะ 1 2 3 “ พริมาทำหน้าไม่ถูก หล่อนยิ้มแต่ไม่รู้ว่ายิ้มที่ออกมาจะเป็นอย่างไร....คุณชายใหญ่เดาใจยาก บทจะไม่ก็ไม่ บทจะถ่ายก็ถ่ายซะอย่างนั้น นพคุณรับมือถือคืนและกล่าวขอบคุณผู้ชายคนนั้น เขาส่งมือถือคืนให้พริมาแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ พริมามองตาม...ดีนะที่เขาไม่หันกลับมามองหน้าหล่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะเห็นว่าแก้มสาวน้อยแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“หุ๊ย! ร้อนจริง ยืนอยู่ตรงนี้อีกแป๊บดีกว่า” สาวน้อยเอามือพัดหน้า...ทำไมมันร้อนอยู่ที่เดียวนะ หล่อนเอามือลูบแก้มตัวเองที่ตอนนี้มันร้อนวาบๆ พริมาดูรูปในมือถือ...ดูเหมือนนพคุณจะมือไวลบรูปเขาที่หล่อนถ่ายไว้เสียหมดแล้ว เหลือไว้แค่รูปคู่ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันเมื่อกี้เท่านั้น รูปถ่ายออกมาได้สวยทีเดียว ผู้ชายคนนั้นถ่ายไว้หลายรูปเขาคงกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง เลยมีทั้งรูปที่เผลอและรูปที่ตั้งใจ เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารเริ่มมาแล้ว พริมาลงไปนั่งข้างๆ นพคุณที่กลับมานั่งอยู่ก่อนนานแล้ว ภารดีเห็นลูกสาวหายไปนานเลยทักขึ้น
“ได้มากี่รูปล่ะ หายไปซะนานเลย”
“เดี๋ยวส่งไลน์ให้ค่ะ ได้มาเยอะแยะเลย เสียดายไม่มีรูป 4 คน”
“เดี๋ยวก่อนกลับให้ที่ร้านถ่ายให้ก็ได้” คุณนพรักษ์หันไปบอกลูกเลี้ยง อาหารอร่อยจริงๆ ภารดีหาข้อมูลมาแน่นสมราคาคุย หล่อนยังอวดรีวิวร้านอื่นๆ ในละแวกนี้ที่ยังไม่ได้ไปลอง ภารดีเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนหล่อนกับพริมามักจะออกตามล่าหาของกินแกะรอยตามรีวิวกันตลอดถ้ามีเวลา แต่แถวๆ นี้ยังไม่เคยมา
“ถ้าเป็นร้านแถวๆ บ้านก็ไปมาหมดแล้วค่ะ วันหลังไปเที่ยวบ้านโน้นจะพาไปนะคะ” ภารดียังคุยไม่หยุด นพคุณคิดว่าถ้าวันนี้ร้านนี้ที่หล่อน พาพวกเขาดั้นด้นแหวกป่าเข้ามาซะไกลโขแล้วไม่ได้ดีจริงอย่างที่หล่อนคุยไว้ภารดีจะว่าอย่างไร
“วันนี้เราลืมของขวัญไม่ได้นะ ไม่ได้จัดงานเลี้ยงอะไรมากมาย แต่ของขวัญก็ต้องมี” ภารดีหยิบกล่องของขวัญออกมาจากกระเป๋าส่งให้ นพคุณดูจะอึ้งๆ เล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะมีของขวัญด้วย
“ของพ่อก็มีนะนี่ไง” คุณนพรักษ์ส่งกล่องของขวัญให้เหมือนกัน เขาไม่ทันสังเกต เพราะพ่อเอาของขวัญไปใส่ไว้ในกระเป๋าภารดี และหล่อนก็หิ้วไปไหนมาไหนตลอดเวลา ส่วนพริมานั่งยิ้มเฉยๆ หล่อนไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้ให้ของขวัญเขาเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้หวังของขวัญอะไรจากใครอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ” นพคุณยกมือไหว้พ่อเขารวมถึงภารดีด้วย เด็กหนุ่มยังไม่ได้แกะของขวัญ เขาแค่เอามาถือไว้เฉยๆ และทุกคนก็ไม่ได้รบเร้าอะไร ก่อนกลับคุณนพรักษ์ให้พนักงานที่ร้านมาถ่ายรูปให้พวกเขาที่ริมน้ำ มุมเดียวกับที่พริมาไปยืนถ่ายในตอนแรก...เพราะมันเป็นมุมยอดนิยม พวกเขาใช้มือถือภารดีถ่ายรูปเพราะมันดูจะนำสมัยที่สุดในนี้แล้ว นพคุณสังเกตภารดีนำแฟชั่นเสมอ หล่อนมักจะมีของใหม่ๆ บางครั้งก็ของที่มีก็เฉพาะกลุ่ม หรือไม่ก็ของ Limited Editon เสียด้วยซ้ำ ของพวกนั้นราคาไม่ใช่น้อยๆ เลย บางอย่างเงินเดือนพ่อเขาดูไม่น่าจะพอซื้อหาให้หล่อนได้เสียด้วยซ้ำ
พวกพ่อแม่เดินนำขึ้นสะพานกลับไปแล้ว นพคุณลืมนึกไปขามาเขามาอย่างไรขากลับก็ต้องกลับไปอย่างนั้น...นี่เขาต้องเดินกลับไปบนสะพาน บ้านี่อีกอย่างนั้นหรือ? ขากลับไปนี่ค่อนข้างจะมืดแล้ว แต่ทางร้านก็มีพนักงานเอาไฟฉายเดินไปส่งลูกค้าที่จอดรถอยู่ฝั่งโน้น ส่วนฝั่งนี้ถนนหนทางดีแล้ว มีไฟส่องสว่างตลอดทาง พริมาเดินมายืนอยู่ข้างๆ นพคุณที่ตอนนี้ยืนมองไปในความมืดเบื้องหน้า ขนาดสว่างเขายังกลัว แล้วมืดขนาดนี้มีหรือจะกล้า
“ไปค่ะ กลับบ้านกันดีกว่า” พริมาจับมือพร้อมส่องไฟ นพคุณไม่รู้ว่าหล่อนไปเอาไฟฉายมาจากไหน คราวนี้เขาไม่ดื้อเลย ปล่อยให้หล่อนจูงเดินนำขึ้นสะพานไปอย่างว่าง่าย ขากลับไปถึงไวกว่าขามามาก อาจจะเป็นเพราะพวกเขารู้ทางแล้วหรือไม่ก็เพราะนพคุณเดินตามมาไม่ได้ขัดขืนเหมือนตอนขามา พอถึงฝั่งที่พวกเขาจอดรถไว้ พริมาปล่อยมือตรงตีนสะพานแล้วเดินไปหาพนักงานพร้อมส่งไฟฉายคืน คนอื่นๆ จึงไม่มีใครเห็นว่าพริมาจูงมือนพคุณ พาข้ามสะพานมา...อย่างน้อยหล่อนก็ยังไว้หน้าเขา ถือซะว่าหล่อนให้ของขวัญวันเกิดเขาก็แล้วกัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม ทุกคนกลับเข้าห้องไม่เว้นแม้แต่พริมาที่วันนี้แวะทักทายไก่แจ้ของหล่อนแค่แป๊บเดียว นพคุณกลับขึ้นห้อง เขาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอน ตอนจะนอนนั้นเอง เขาถึงเห็นว่ามีห่อของวางไว้บนเตียง มันวางไว้พิงหมอนบนเตียงเขานั่นเอง ตอนเข้ามาตอนแรก เขาไม่ทันสังเกต มาสังเกตเห็นก็ตอนจะขึ้นเตียงนอนนี่แหละ เขาหยิบขึ้นมาดูมันเป็นห่อของขวัญ มีการ์ดลายมือขยุกขยิกที่คุ้นเคยติดไว้ นพคุณยิ้มตั้งแต่เห็นลายมือแล้ว ลายมือนี้เขาจำได้เพราะเขาได้รับจดหมายลายมือนี้เป็นสิบฉบับเมื่อเทอมก่อน...แต่ถึงยังไงลายมือน่าเกลียดแบบนี้ เห็นแค่ครั้งเดียวก็คงจะจำได้แน่นอน
ถึง พี่คุณ
สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้วันเกิดปีนี้พี่คุณได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ลูกแก้วตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้ให้พี่คุณนะคะ (ความจริงปลาทูเป็นคนทำซะมากกว่า) หวังว่าพี่คุณจะชอบ
รัก
ลูกแก้ว
“รัก? ยัยนี่เขียนหนังสือประหลาดอีกแล้ว” นพคุณยิ้ม ถ้ามีใครมาเห็นหน้าเขาตอนนี้ก็คงจะประหลาดใจไม่น้อย เพราะนพคุณไม่ได้ยิ้มแบบนี้ ที่บ้านมาเกือบ 2 ปีแล้ว เขาหยิบของขวัญทั้งหมดวันนี้มาวางรวมกัน แล้วนั่งมอง...ครอบครัวที่เขามีตอนนี้ก็ไม่เลวนัก ทุกคนดูจะใส่ใจเขาเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำ เขาจะดีใจจริงเหรอ? ที่อยู่ๆ ก็มีแม่...มีน้องสาวโผล่ขึ้นมา นพคุณแกะของขวัญที่ได้มาในวันนี้ เขาเริ่มจากของพ่อก่อน คุณนพรักษ์ให้ของขวัญลูกชายเป็นนาฬิกาสายเหล็กเรือนงาม ดูแล้วราคาน่าจะไม่เบาทีเดียว ส่วนของภารดีนั้นเป็นปากกาที่สลักเป็นชื่อของเขา ดูราคาแล้วน่าจะแพงกว่านาฬิกาของพ่อเขาเสียอีก มาอันสุดท้าย...ของพริมานั่นเองนพคุณแกะห่อออก มันเป็นขอบแข็งๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า เขาเอาหูแนบฟังไม่มีเสียง คงจะไม่ใช่นาฬิกาแขวนอย่างแน่นอน ตอนแรกนพคุณคิดว่า ถ้าเขาจะได้ของขวัญจากพริมาสักชิ้น มันน่าจะเป็นเค้กก้อนโตที่หล่อนเป็นคนทำเสียด้วยซ้ำ แถมวันนี้ที่ร้านอาหารเขายังแอบหวังนิดๆ ว่าหล่อนจะเป็นคนถือเค้กออกมาพร้อมจุดเทียนและร้องเพลงอวยพรวันเกิดด้วยสำเนียงและเสียงร้องเพี้ยนๆ ของหล่อน แต่พริมาก็ไม่ได้ให้อะไร แต่ก็อย่างว่านั่นแหละเขาไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว ก็แค่คิดภาพขำๆ เท่านั้น
“หืม? กรอบรูปแฮะ” นพคุณแกะห่อออกเห็นเป็นกรอบรูป เขาพลิกหงายมาดูมันเป็นรูปแม่ของเขา...รูปแม่ของเขาที่ขาดนั่นเอง พริมาวาดมาคืนเขาอย่างนั้นเหรอ? นพคุณนั่งพินิจรูปนี้มันวาดถอดแบบออกมาจากรูปใบนั้นแน่นอน เป็นภาพวาดสีน้ำที่สวยงามยิ่งนัก แต่มันมีขนาดใหญ่กว่ารูปต้นแบบจริงสักสองสามเท่าเห็นจะได้ เขากลับไปอ่านการ์ด
“อ่อ...ยัยปลาทู” พริมาบอกว่ายามาเป็นคนทำ นพคุณจึงพอจะเดาได้ว่าคนที่วาดรูปนี้น่าจะเป็นยามา นพคุณเดาว่าพริมาคงจะโดนบ่นไม่น้อยที่เอารูปนี้ไปให้เพื่อนหล่อนวาด เพราะดูเหมือนเพื่อนของพริมาคนนั้น จะไม่ชอบหน้าเขาเอามากๆ หล่อนจะต้องรักเพื่อนมากขนาดไหนกันถึงยอมวาดรูปนี้ให้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าฝีมือยัยปลาทูนั้นเก่งเกินวัย ไม่น่าเชื่อว่าคนที่โหวกเหวกโวยวายตลอดเวลาจะใจเย็นแล้ววาดรูปออกมาได้สวยงามขนาดนี้
“ปั้นบัวลอยให้กลมยังทำตั้งนาน ไม่น่าเชื่อว่าจะวาดรูปได้” นพคุณเอารูปไปแขวนไว้ที่หัวเตียง พออยู่บนผนังแล้วรูปนี้ยิ่งดูสวย แม่เขากำลังยิ้มให้เขาออกมาจากในรูป
“วันนี้แม่ก็มีความสุขเหมือนกันใช่ไหมครับ?” เสียงไลน์ดังเตือนว่ามีข้อความเข้า นพคุณจึงหยิบมือถือมาดู มันเป็นไลน์กลุ่ม 4 คนของบ้านนี้นั่นเอง ภารดีส่งรูปถ่ายพวกเขา 4 คนที่ให้พนักงานถ่ายไว้ก่อนกลับมาให้ สักพักพริมา ก็ส่งรูปถ่ายวิวที่หล่อนถ่ายวันนี้มาให้ เขานั่งรอดูแต่หล่อนก็ไม่ได้ส่งรูปคู่ ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันมาให้ แต่มีข้อความเข้ามาทางไลน์ส่วนตัวแทน พริมาส่งไลน์ส่วนตัวมาให้เขา เป็นรูปคู่ที่พวกเขาถ่ายกันในวันนี้
“ส่งให้ในนี้นะคะไม่ได้ส่งให้ในไลน์กลุ่ม ลูกแก้วไม่อยากโดนเทศน์ก่อนนอน”
ตอนได้ยินเสียงไลน์พริมากำลังคุยไลน์กับยามา หล่อนส่งรูปถ่ายวันนี้ไปอวดเพื่อน พร้อมคุยว่าร้านอาหารที่ไปมาวันนี้บรรยากาศดีขนาดไหน หล่อนจึงเห็นว่าภารดีส่งรูปลงไลน์กลุ่ม พริมาจึงส่งไปบ้าง แต่ก็ยังลังเลว่ารูปคู่กับนพคุณจะส่งไปในนี้ดีหรือไม่ คุณชายใหญ่บอกว่าไม่ชอบถ่ายรูปถ้าหล่อนส่งรูปนี้ไปให้ในไลน์กลุ่มเดี๋ยวเขาก็อารมณ์เสียก่อนนอนอีก
“งั้นส่งให้ส่วนตัวแล้วกัน ก็ตัวเองเป็นคนมายืนถ่ายด้วยเองนี่นา” พริมา ส่งไปแล้วก็เตรียมตัวดูว่าเขาจะวีนหรือเหวี่ยงให้ได้นอนหลับสบายก่อนนอนหรือเปล่า สักพักก็มีเสียงข้อความดังกลับมา เด็กหญิงต้องแปลกใจ เพราะมันเป็นสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนที่มีคำว่า “ขอบคุณ” ส่งกลับมา
“ว้าว” พริมาอ่านไลน์อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน หล่อนแอบเอาของขวัญไปวางไว้บนเตียงของเขา ต้องดูลาดเลาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาจังหวะเหมาะได้ หล่อนต้องกระซิบบอกคุณนพรักษ์ให้ดึงความสนใจเขาเอาไว้อย่าให้ขึ้นไปข้างบนอีก จนพวกเขาออกจากบ้านไปวัดนั่นแหละ เขาคงขอบคุณหล่อนเรื่องของขวัญแน่ๆ พริมาดีใจที่เขาไม่ได้โมโหโวยวาย ที่หล่อนแอบเอารูปแม่เขาไปวาด อย่างน้อยก็ถือว่าหล่อนได้ไถ่โทษที่ทำรูปแม่เขาขาดในตอนนั้น สาวน้อยเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วหยิบรูปคุณอารีออกมา แม่ของนพคุณยิ้มออกมาจากในรูป พริมายิ้มตอบ
“ขอบคุณนะคะคุณป้า” คืนนี้ไม่ได้โดนด่าก่อนนอนแถมยังมีเรื่องให้สบายใจ...คุ้มแล้วที่โดนยัยปลาทูบ่นเช้าบ่นเย็นบ่นจนวาดรูปเสร็จนั่นแหละ
“ร้านนี้นะเด็ดมาก แม่ไปดูรีวิวจากหลายเว็บเลย การันตีเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าอร่อยทุกอย่าง”
“ไม่ใช่ว่าคนเดียวกันไปรีวิวหลายๆ เว็บเหรอคุณพิมพ์”
“ถ้าเขาทำถึงขนาดนั้นพิมพ์ก็ยินดีไปอุดหนุนค่ะ ถือซะว่าเห็นแก่ความพยายาม”
ร้านอาหารตั้งอยู่ชานเมืองเลยจากวัดไป เข้าซอยไปค่อนข้างลึกลับพอสมควร ตลอดทางเป็นสวนผลไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีบ้านคนมากนัก
“แน่ใจเหรอคุณพิมพ์ ผมว่า GPS พาหลงทางเสียแล้วกระมัง”
“ไม่หรอกค่ะ เมื่อกี้พิมพ์เห็นชื่อซอยก็ตรงกันนะ”
“ผมเคยดูในข่าว GPS พาลงคลองบ้างแหละ บางทีก็เข้าป่า...”
“เราก็ดูทางสิคะ ถ้ามันดูว่าไม่น่าจะไปได้ก็อย่าฝืน พวกที่หลงทางพิมพ์ว่าดูและเชื่อแต่ GPS อย่างเดียวไม่สังเกตสิ่งรอบข้างบ้างเลยซะมากกว่า” ภารดียังมั่นใจ แต่หล่อนก็ไม่ได้ดื้อจะเอาชนะให้ได้ จังหวะที่คุยกันนั้น มีรถมอเตอร์ไซค์สวนทางมาพอดี หญิงสาวจึงเปิดกระจกรถชะโงกหน้าออกไปถาม พวกเขาคุยกันอยู่สักพัก ภารดีก็ปิดหน้าต่างหันมายิ้มและบอกสามี
“เพื่อความแน่ใจเราก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง พี่คนนั้นเขาบอกว่าให้ขับตรงไปทางนี้แหละค่ะ แต่พอถึงสะพานเราต้องจอดรถและเดินข้ามไป” คุณนพรักษ์ก็ยังไม่ค่อยจะมั่นใจนัก เพราะถนนหนทางดูไม่น่าจะมีร้านอาหารซ่อนอยู่ได้ รถราที่สวนทางกลับมาก็ไม่ค่อยจะมี แต่วันนี้เขาว่างและการเดินทางก็ไม่ได้ทำให้เหนื่อยอะไร ลองขับไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
นพคุณนั่งฟังทั้งสองคนคุยกัน...ภารดีมีความมั่นใจในตัวเองสูงและหล่อนก็ไม่ค่อยจะคิดอะไรรอบคอบมากนัก แต่ในความไม่รอบคอบนั้น ก็ไม่ได้วู่วามหรือดื้อดึงอะไร เพียงแต่หล่อนดูจะมีใจรักการผจญภัยอยู่เนืองๆ เหมือนว่าถ้ามั่นใจอะไรแล้วหล่อนก็จะลองทำให้สุดๆ แต่ถ้ามีคนมาทักหรือเตือน หล่อนก็ยังยินดีรับฟัง ส่วนพ่อเขานั้นเขาเป็นคนคิดอะไรรอบคอบก่อนจะทำทุกอย่างเสมอ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างแตกต่างกับภารดีอย่างสิ้นเชิง แต่พ่อเขาก็มีความรอมชอมอะลุ่มอล่วยอยู่พอสมควร เขายินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น รวมถึงยอมรับในความคิดทั้งแบบใหม่แต่ก็ยังคงความคิดแบบเก่าๆ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อสองคนนี้มาเจอกัน มันกลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด เหมือนกระต่ายกับเต่า...ที่แตกต่างกัน แต่กระต่ายที่ถึงแม้จะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่ก็ยังคงพยายามที่จะหันกลับมามองเต่าเสมอ และถ้าวิ่งไปไกลเกินกระต่ายก็จะวิ่งกลับมา ส่วนเต่าแม้จะเชื่องช้าแต่สายตาของเต่ามักมองไปข้างหน้า เขาจะมองไปที่กระต่ายอย่างไม่ละสายตาและพยายามจะเร่งตัวเองให้ไปทันกระต่ายอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าเต่าเหนื่อยเกินไปกระต่ายก็พร้อมจะลดพลังตัวเองลงมาเดินข้างเต่าเช่นกัน ภารดีเหมือนกระต่ายส่วนพ่อเขาเป็นเต่า...แต่ถ้าภารดีเป็นกระต่าย พริมาก็ต้องเป็นลูกกระต่าย? ไม่เหมือนเลย หล่อนไม่มีความกระตือรือร้นและพลังมากมายเหมือนภารดี พริมาเชื่องช้ากว่ามาก อย่างพริมาเป็นกระต่ายไม่เหมาะ หล่อนน่าจะเป็นตัวสลอธ คิดมาถึงตรงนี้นพคุณเผลอยิ้มขำออกมา รถมาจอดหน้าสะพานไม้ที่รถยนต์น่าจะขึ้นและข้ามไปไม่ได้ นพคุณดีใจที่ภารดีไม่ได้คะยั้นคะยอให้พ่อเขาขับรถข้ามสะพานไป ไม่งั้นคืนนี้พวกเขาคงจะเป็นข่าวหรือไม่ก็ดังในโลกออนไลน์อย่างแน่นอน ลงจากรถแล้วเขาสังเกตเห็นมีรถยนต์จอดอยู่ประมาณสามคัน แสดงว่ามีคนเข้ามาหรืออาจจะตั้งใจไปร้านอาหารของภารดีเหมือนกัน
“รถพวกนี้ของคนแถวนี้หรือว่าจะมาตะลอนทัวร์แบบเรากันนะ” คุณนพรักษ์หันไปมองรอบๆ เขาถามคำถามที่อยู่ในความคิดของทุกคน
“แบบนี้ต้องลองไปดูให้เห็นกับตาค่ะ ไป!” ภารดีหันไปจูงมือสามีเดินขึ้นสะพานไม้ไป ทิ้งนพคุณกับพริมาให้เดินตามอยู่เบื้องหลัง พริมายืนเงอะงะอยู่ตรงตีนสะพานหล่อนไม่เคยเดินข้ามสะพานไม้แบบนี้ มันสวยดีและก็แปลกด้วย สะพานไม้ไม่ได้ดูเก่าหรือทรุดโทรม...มันดูแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้มีที่จับให้เดินได้ถนัดนัก มีเพียงเชือกสลิงเส้นใหญ่เส้นเดียวและมันค่อนข้างแกว่งไกวไปตามลม นพคุณเดินนำไปก่อน เขาหันมามองพริมาที่ยังยืนอยู่
“คงไม่ต้องให้จูงใช่ไหม?” เขาหันมาเลิกคิ้วถาม พริมาเผลอทำปากยื่น เหมือนเวลาที่หล่อนไม่พอใจหรือขัดใจ สาวน้อยเดินขึ้นสะพานและเดินผ่านเขาไปโดยไม่หันไปมอง นพคุณยิ้มขำเขาชอบเวลาพริมาทำหน้าแบบนี้มันดูน่ารักดี พริมาเดินเกาะสายสลิงไปเรื่อยๆ ความจริงถ้าเดินไปสักพักก็จะเริ่มทรงตัวได้
“ไม่ได้ยากเหมือนที่เห็นแฮะ” พริมาเดินไปถึงกลางสะพาน มองไปรอบๆ บรรยากาศสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ต้นจากที่ดูเหมือนต้นมะพร้าวที่ไม่มีลำต้นขึ้นเรียงรายไล่ไปตามริมตลิ่งอยู่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ มองไปไกลๆ เห็นชาวบ้านยังใช้เรือสัญจรไปมาด้วย แม่น้ำวันนี้ใสเป็นสีเขียวเข้มและไหลนิ่งๆ เอื่อยๆ อยู่ด้านล่าง นี่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนแม่น้ำคงจะมีสีขุ่นและไหลแรงกว่านี้แน่นอน
“ถ้าบ้านอยู่แถวนี้จะมากระโดดสะพานเล่นน้ำทุกวันเลย” พริมามองกลับไปที่นพคุณ เพราะหล่อนยืนดูวิวอยู่ตรงนี้ก็นานแล้ว นพคุณก็ยังไม่เดินผ่านมาหรือเดินมาถึงตรงนี้สักที
“อ้าว?” พริมาพึมพำเบาๆ หล่อนเห็นนพคุณยังยืนอยู่ที่เดิม...อืม อาจจะเลยจากที่เดิมมานิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นเขาจะเดินมาต่ออีกเลย เพียงแต่ยืนเกาะสายสลิงอยู่นิ่งๆ ตรงนั้น และดูเหมือนหน้าเขาจะซีดเล็กน้อยด้วย
“ต้องให้จูงไหมคะ?” พริมาตะโกนกลับไป หล่อนเห็นเขาหรี่ตามองมาแต่ไม่ได้ตอบอะไร สาวน้อยยิ้มกริ่ม...แน่นอน! คุณชายใหญ่กลัว!
“ฉันว่ายน้ำเป็นนะ...แต่ไม่ชอบความสูง” นพคุณอธิบายเสียงเบาขณะที่พริมาเดินไปจูงมือและออกแรงลากเขาให้เดินตามหล่อนไป หล่อนไม่ได้พูดอะไร...ไม่อยากให้คุณชายใหญ่เสียหน้า
“และมันก็แกว่งๆ แบบนี้” นพคุณจับมือพริมาแน่นขึ้น อีกมือก็จับลวดสลิงไว้แน่น พริมาเหลือบมองเห็นเขามีเหงื่อผุดเต็มหน้าไหลลงมาตามขมับ...น่าสงสารเหมือนกันนะ นี่ถ้าเป็นหล่อนเขาคงจะเหน็บให้เจ็บใจ แต่หล่อนไม่ทำหรอก หล่อนไม่ใช่คนใจร้าย กว่าจะเดินข้ามสะพานไปถึงอีกฝั่งได้ ก็เล่นเอาพริมาหอบแฮ่กอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าสะพานข้ามแม่น้ำนี้จะยาวมากมายอะไร ความกว้างของแม่น้ำไม่ถึง 300 เมตรด้วยซ้ำ แต่เพราะกว่าจะเดินได้แต่ละก้าวนั่นแหละที่ทำให้เหนื่อย ถ้าหล่อนเดินมาคนเดียวป่านนี้ถึงนานแล้ว “ถึงแล้วค่ะ” พริมาบอกเมื่อเดินลงมาถึงตีนสะพานอีกฝั่งของแม่น้ำ นพคุณปล่อยมือ...เขาเสียหน้าเล็กน้อย เอาเข้าจริงคนที่ไม่กลัวกลับเป็นพริมา ทั้งสองคนดูงงๆ เพราะฝั่งนี้ของสะพานแตกต่างจากอีกฝั่งอย่างสิ้นเชิง ฝั่งนี้ดูคึกคัก มีรถจอดอยู่มากมาย และร้านอาหารก็อยู่ตรงตีนสะพานฝั่งนี้นี่เอง
“น่าจะมีทางเข้าสองทาง ฝั่งนี้น่าจะสะดวกกว่า” พริมาพูดพลางมองไปรอบๆ รถมากมายและถนนก็ดูดีกว่าฝั่งที่พวกหล่อนเข้ามามาก
“ลูกแก้วทางนี้” เสียงภารดีเรียกมาจากในร้าน พริมามองเห็นแม่โบกมือจากโต๊ะที่อยู่บนแพยื่นลงไปในแม่น้ำ บรรยากาศรอบข้างดูดีสมราคาคุยจริงๆ งานนี้ภารดีไม่ได้โม้
“ต้องให้จูงไหมคะ?” พริมาหันมาบอกนพคุณ หล่อนเห็นเขายืนอื้งกับร้านอาหารและบรรยากาศที่แตกต่างกันของอีกฝั่งอย่างงงๆ ก็อดแซวเล่นไม่ได้ ยังไงคุณชายใหญ่ก็อารมณ์เสียตลอดเวลาอยู่แล้ว และไม่ต้องรอให้เขาตอบกลับ พริมารีบเดินหนีเข้าร้านอาหารตรงไปยังโต๊ะของแม่กับพ่อเลี้ยงที่นั่งคุยกันอยู่ในแพ “ลงมากันช้าจัง แม่นั่งรออยู่ตั้งนานแล้ว” ภารดีหันมาถามขณะลูกสาว เดินมานั่งที่โต๊ะ พริมาเหลือบไปมองด้านหลังนพคุณเดินมาถึงพอดี
“ก็...พอดีวิวสวยน่ะค่ะ เลยแวะยืนดูซะนาน” พริมาไม่ได้บอกแม่ว่าหล่อนมัวแต่ลากคุณชายใหญ่ให้ข้ามสะพานตามมาถึงได้ใช้เวลานานไปหน่อย
“วิวสวยจริงๆ นั่นแหละ คราวหน้าเรามากันอีกนะคุณพิมพ์ ผมว่าเราเข้าทางฝั่งนี้น่าจะใกล้กว่า”
“ก็ทางนั้นมันมาจากวัดนี่คะ ถ้ามาจากทางบ้านเราก็เข้าทางนี้แหละ”
“ลูกแก้วกับตาคุณจะกินอะไรก็สั่งเลยนะ แม่ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย รอให้เจ้าของวันเกิดมาสั่ง ไหนๆ ก็เลี้ยงพร้อมกันสองคนแล้ว สั่งให้สะใจไปเลย...คุณพ่อเขาจ่าย ฮิฮิ” ภารดีหันไปยิ้มบอกสามี นพคุณมีสีหน้างงเล็กน้อยเจ้าของวันเกิด?
“เมื่อต้นเดือนวันเกิดลูกแก้วน่ะ แต่น้องบอกว่าให้เลี้ยงพร้อมของลูกไปเลย” คุณนพรักษ์บอกวันเกิดพริมาเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของลูกชาย
“แม่สั่งให้เลยค่ะ ลูกแก้วกินได้หมด ระหว่างรอขอลูกแก้วไปดูวิวตรงโน้นนะคะ ฝั่งนั้นวิวสวยดีจัง” พริมาชี้ไปที่ริมแพอีกฝั่งที่พวกเขานั่ง ตรงนั้นวิวคงสวย หล่อนเห็นมีคนไปยืนถ่ายรูปเต็มไปหมด
“ไปซิ แม่เพิ่งไปดูมาสวยมากเลย อย่าลืมถ่ายรูปมาให้แม่ดูมั่งนะ”
พริมาเดินไปดูตรงมุมที่คนยืนอยู่...ตรงนี้เห็นแม่น้ำชัดเจน แม่น้ำใสมองเห็นตั้งแต่อยู่บนสะพานแล้ว แต่พอลงมายืนดูตรงนี้ยิ่งใส มันเห็นไปถึงพื้นดินข้างล่าง ริมฝั่งน้ำน่าจะไม่ลึกมาก เพราะมันมองเห็นพื้นดิน แต่พอมองเลยไปเรื่อยๆ พื้นดินเริ่มหายไป มีฝูงปลาเข็มว่ายน้ำผ่านมา สาวน้อยชะโงกหน้าโน้มตัวลงไปเพื่อถ่ายรูปให้ชัดเจนจนเกือบเสียหลัก
“โอ๊ะ!” พริมาใจหายวาบ หล่อนนึกว่าตัวเองจะลงไปเล่นน้ำกับปลาซะแล้ว แต่มีแรงดึงมาจากด้านหลัง นพคุณนั่นเอง! เขาดึงคอเสื้อพริมาจากด้านหลัง นพคุณเดินตามมา เขาเห็นท่าถ่ายรูปของพริมาแล้วและไม่ผิดหวัง ถ้าเขาไม่จับไว้รับรองลูกเลี้ยงพ่อเขาได้ลงไปเล่นน้ำกับปลาอย่างแน่นอน
“เธอนี่เดาทางได้ตลอดเลยนะ” นพคุณพูดขณะออกแรงดึงเบาๆ ก็ยกสาวน้อยกลับมายืนบนพื้นได้อย่างง่ายดาย พริมายิ้มแหยๆ นพคุณมาได้จังหวะพอดีทุกครั้งจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ” พริมากล่าวขณะดึงคอเสื้อให้กลับมาอยู่ถูกที่
“พี่คุณอยากถ่ายรูปไหมคะ ลูกแก้วถ่ายให้?” สาวน้อยถามแก้เขิน
“ไม่!” สั้นๆ ชัดเจน พริมาคิดไว้แล้วว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร แต่ทำไมล่ะ วันนี้วันเกิดเขาอย่างน้อยก็ต้องมีรูปเขาไว้บ้าง สาวน้อยคว้ามือถือถ่ายรูปเขาไปเสียหลายรูปโดยไม่ต้องขออนุญาต...จะขอไปทำไมยังไงเขาก็ไม่ยอมอยู่แล้ว
“ทำอะไรน่ะ? บอกว่าไม่ถ่ายไง” นพคุณหันมาตาขวางใส่ เขาพยายามจะเข้าไปแย่งมือถือจากมือของพริมา สาวน้อยหลบหนีพัลวันจนไปชนเข้ากับผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่แถวนั้น
“ขอโทษค่ะ” พริมายกมือไหว้ นพคุณเดินตามมายืนข้างๆ พริมาทันที ผู้ชายคนนี้ตัวสูงใหญ่ เขาตัวสูงกว่านพคุณและตอนนี้เขาเองก็ยังดูงงๆ อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษแทนน้องด้วยครับ เด็กนี่ไม่ค่อยระวังอะไรเท่าไหร่” นพคุณบอกพร้อมหันมาทำสายตาตำหนิพริมา สาวน้อยก็รู้ตัวดีไม่ได้เถียงแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไรหรอกน้อง พี่เห็นตั้งแต่จะลงน้ำเมื่อกี้นี้แล้ว ดีนะที่คว้าไว้ทัน จะเดินจะเหินก็ระวังหน่อยแล้วกัน” พริมาหน้าสลดแต่นพคุณดูจะชอบใจไม่เบา
“พี่...ผมรบกวนถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมครับ” นพคุณแย่งมือถือจากมือพริมาพร้อมส่งให้ผู้ชายคนนั้น
“ได้สิ เอาตรงไหนดี?” ชายร่างใหญ่รับมือถือมาถ่ายรูป เขาช่วยเด็กสองคนมองหาวิวสวยๆ
“ตรงนั้นแล้วกัน เห็นคนมายืนถ่ายกันเยอะเลย” เขาชี้บอก นพคุณลากพริมามายืนตรงมุมนั้น
“ยิ้มสิ! อยากถ่ายนักไม่ใช่เหรอรูปน่ะ” นพคุณโอบไหล่สาวน้อยยืนถ่ายรูปตรงมุมที่มีคนชอบมาถ่ายกันนักหนา พริมาเงยหน้ามองเขา นพคุณไม่ได้มองลงมาแต่กำลังมองไปยังกล้องที่กำลังถ่ายอยู่
“เอ้า! มองกล้องสิ จะมามองหน้าฉันอยู่ทำไม?”
“น้องผู้หญิงยิ้มหน่อยครับ นับนะ 1 2 3 “ พริมาทำหน้าไม่ถูก หล่อนยิ้มแต่ไม่รู้ว่ายิ้มที่ออกมาจะเป็นอย่างไร....คุณชายใหญ่เดาใจยาก บทจะไม่ก็ไม่ บทจะถ่ายก็ถ่ายซะอย่างนั้น นพคุณรับมือถือคืนและกล่าวขอบคุณผู้ชายคนนั้น เขาส่งมือถือคืนให้พริมาแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ พริมามองตาม...ดีนะที่เขาไม่หันกลับมามองหน้าหล่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะเห็นว่าแก้มสาวน้อยแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“หุ๊ย! ร้อนจริง ยืนอยู่ตรงนี้อีกแป๊บดีกว่า” สาวน้อยเอามือพัดหน้า...ทำไมมันร้อนอยู่ที่เดียวนะ หล่อนเอามือลูบแก้มตัวเองที่ตอนนี้มันร้อนวาบๆ พริมาดูรูปในมือถือ...ดูเหมือนนพคุณจะมือไวลบรูปเขาที่หล่อนถ่ายไว้เสียหมดแล้ว เหลือไว้แค่รูปคู่ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันเมื่อกี้เท่านั้น รูปถ่ายออกมาได้สวยทีเดียว ผู้ชายคนนั้นถ่ายไว้หลายรูปเขาคงกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง เลยมีทั้งรูปที่เผลอและรูปที่ตั้งใจ เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารเริ่มมาแล้ว พริมาลงไปนั่งข้างๆ นพคุณที่กลับมานั่งอยู่ก่อนนานแล้ว ภารดีเห็นลูกสาวหายไปนานเลยทักขึ้น
“ได้มากี่รูปล่ะ หายไปซะนานเลย”
“เดี๋ยวส่งไลน์ให้ค่ะ ได้มาเยอะแยะเลย เสียดายไม่มีรูป 4 คน”
“เดี๋ยวก่อนกลับให้ที่ร้านถ่ายให้ก็ได้” คุณนพรักษ์หันไปบอกลูกเลี้ยง อาหารอร่อยจริงๆ ภารดีหาข้อมูลมาแน่นสมราคาคุย หล่อนยังอวดรีวิวร้านอื่นๆ ในละแวกนี้ที่ยังไม่ได้ไปลอง ภารดีเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนหล่อนกับพริมามักจะออกตามล่าหาของกินแกะรอยตามรีวิวกันตลอดถ้ามีเวลา แต่แถวๆ นี้ยังไม่เคยมา
“ถ้าเป็นร้านแถวๆ บ้านก็ไปมาหมดแล้วค่ะ วันหลังไปเที่ยวบ้านโน้นจะพาไปนะคะ” ภารดียังคุยไม่หยุด นพคุณคิดว่าถ้าวันนี้ร้านนี้ที่หล่อน พาพวกเขาดั้นด้นแหวกป่าเข้ามาซะไกลโขแล้วไม่ได้ดีจริงอย่างที่หล่อนคุยไว้ภารดีจะว่าอย่างไร
“วันนี้เราลืมของขวัญไม่ได้นะ ไม่ได้จัดงานเลี้ยงอะไรมากมาย แต่ของขวัญก็ต้องมี” ภารดีหยิบกล่องของขวัญออกมาจากกระเป๋าส่งให้ นพคุณดูจะอึ้งๆ เล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะมีของขวัญด้วย
“ของพ่อก็มีนะนี่ไง” คุณนพรักษ์ส่งกล่องของขวัญให้เหมือนกัน เขาไม่ทันสังเกต เพราะพ่อเอาของขวัญไปใส่ไว้ในกระเป๋าภารดี และหล่อนก็หิ้วไปไหนมาไหนตลอดเวลา ส่วนพริมานั่งยิ้มเฉยๆ หล่อนไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้ให้ของขวัญเขาเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้หวังของขวัญอะไรจากใครอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ” นพคุณยกมือไหว้พ่อเขารวมถึงภารดีด้วย เด็กหนุ่มยังไม่ได้แกะของขวัญ เขาแค่เอามาถือไว้เฉยๆ และทุกคนก็ไม่ได้รบเร้าอะไร ก่อนกลับคุณนพรักษ์ให้พนักงานที่ร้านมาถ่ายรูปให้พวกเขาที่ริมน้ำ มุมเดียวกับที่พริมาไปยืนถ่ายในตอนแรก...เพราะมันเป็นมุมยอดนิยม พวกเขาใช้มือถือภารดีถ่ายรูปเพราะมันดูจะนำสมัยที่สุดในนี้แล้ว นพคุณสังเกตภารดีนำแฟชั่นเสมอ หล่อนมักจะมีของใหม่ๆ บางครั้งก็ของที่มีก็เฉพาะกลุ่ม หรือไม่ก็ของ Limited Editon เสียด้วยซ้ำ ของพวกนั้นราคาไม่ใช่น้อยๆ เลย บางอย่างเงินเดือนพ่อเขาดูไม่น่าจะพอซื้อหาให้หล่อนได้เสียด้วยซ้ำ
พวกพ่อแม่เดินนำขึ้นสะพานกลับไปแล้ว นพคุณลืมนึกไปขามาเขามาอย่างไรขากลับก็ต้องกลับไปอย่างนั้น...นี่เขาต้องเดินกลับไปบนสะพาน บ้านี่อีกอย่างนั้นหรือ? ขากลับไปนี่ค่อนข้างจะมืดแล้ว แต่ทางร้านก็มีพนักงานเอาไฟฉายเดินไปส่งลูกค้าที่จอดรถอยู่ฝั่งโน้น ส่วนฝั่งนี้ถนนหนทางดีแล้ว มีไฟส่องสว่างตลอดทาง พริมาเดินมายืนอยู่ข้างๆ นพคุณที่ตอนนี้ยืนมองไปในความมืดเบื้องหน้า ขนาดสว่างเขายังกลัว แล้วมืดขนาดนี้มีหรือจะกล้า
“ไปค่ะ กลับบ้านกันดีกว่า” พริมาจับมือพร้อมส่องไฟ นพคุณไม่รู้ว่าหล่อนไปเอาไฟฉายมาจากไหน คราวนี้เขาไม่ดื้อเลย ปล่อยให้หล่อนจูงเดินนำขึ้นสะพานไปอย่างว่าง่าย ขากลับไปถึงไวกว่าขามามาก อาจจะเป็นเพราะพวกเขารู้ทางแล้วหรือไม่ก็เพราะนพคุณเดินตามมาไม่ได้ขัดขืนเหมือนตอนขามา พอถึงฝั่งที่พวกเขาจอดรถไว้ พริมาปล่อยมือตรงตีนสะพานแล้วเดินไปหาพนักงานพร้อมส่งไฟฉายคืน คนอื่นๆ จึงไม่มีใครเห็นว่าพริมาจูงมือนพคุณ พาข้ามสะพานมา...อย่างน้อยหล่อนก็ยังไว้หน้าเขา ถือซะว่าหล่อนให้ของขวัญวันเกิดเขาก็แล้วกัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม ทุกคนกลับเข้าห้องไม่เว้นแม้แต่พริมาที่วันนี้แวะทักทายไก่แจ้ของหล่อนแค่แป๊บเดียว นพคุณกลับขึ้นห้อง เขาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอน ตอนจะนอนนั้นเอง เขาถึงเห็นว่ามีห่อของวางไว้บนเตียง มันวางไว้พิงหมอนบนเตียงเขานั่นเอง ตอนเข้ามาตอนแรก เขาไม่ทันสังเกต มาสังเกตเห็นก็ตอนจะขึ้นเตียงนอนนี่แหละ เขาหยิบขึ้นมาดูมันเป็นห่อของขวัญ มีการ์ดลายมือขยุกขยิกที่คุ้นเคยติดไว้ นพคุณยิ้มตั้งแต่เห็นลายมือแล้ว ลายมือนี้เขาจำได้เพราะเขาได้รับจดหมายลายมือนี้เป็นสิบฉบับเมื่อเทอมก่อน...แต่ถึงยังไงลายมือน่าเกลียดแบบนี้ เห็นแค่ครั้งเดียวก็คงจะจำได้แน่นอน
ถึง พี่คุณ
สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้วันเกิดปีนี้พี่คุณได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ลูกแก้วตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้ให้พี่คุณนะคะ (ความจริงปลาทูเป็นคนทำซะมากกว่า) หวังว่าพี่คุณจะชอบ
รัก
ลูกแก้ว
“รัก? ยัยนี่เขียนหนังสือประหลาดอีกแล้ว” นพคุณยิ้ม ถ้ามีใครมาเห็นหน้าเขาตอนนี้ก็คงจะประหลาดใจไม่น้อย เพราะนพคุณไม่ได้ยิ้มแบบนี้ ที่บ้านมาเกือบ 2 ปีแล้ว เขาหยิบของขวัญทั้งหมดวันนี้มาวางรวมกัน แล้วนั่งมอง...ครอบครัวที่เขามีตอนนี้ก็ไม่เลวนัก ทุกคนดูจะใส่ใจเขาเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำ เขาจะดีใจจริงเหรอ? ที่อยู่ๆ ก็มีแม่...มีน้องสาวโผล่ขึ้นมา นพคุณแกะของขวัญที่ได้มาในวันนี้ เขาเริ่มจากของพ่อก่อน คุณนพรักษ์ให้ของขวัญลูกชายเป็นนาฬิกาสายเหล็กเรือนงาม ดูแล้วราคาน่าจะไม่เบาทีเดียว ส่วนของภารดีนั้นเป็นปากกาที่สลักเป็นชื่อของเขา ดูราคาแล้วน่าจะแพงกว่านาฬิกาของพ่อเขาเสียอีก มาอันสุดท้าย...ของพริมานั่นเองนพคุณแกะห่อออก มันเป็นขอบแข็งๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า เขาเอาหูแนบฟังไม่มีเสียง คงจะไม่ใช่นาฬิกาแขวนอย่างแน่นอน ตอนแรกนพคุณคิดว่า ถ้าเขาจะได้ของขวัญจากพริมาสักชิ้น มันน่าจะเป็นเค้กก้อนโตที่หล่อนเป็นคนทำเสียด้วยซ้ำ แถมวันนี้ที่ร้านอาหารเขายังแอบหวังนิดๆ ว่าหล่อนจะเป็นคนถือเค้กออกมาพร้อมจุดเทียนและร้องเพลงอวยพรวันเกิดด้วยสำเนียงและเสียงร้องเพี้ยนๆ ของหล่อน แต่พริมาก็ไม่ได้ให้อะไร แต่ก็อย่างว่านั่นแหละเขาไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว ก็แค่คิดภาพขำๆ เท่านั้น
“หืม? กรอบรูปแฮะ” นพคุณแกะห่อออกเห็นเป็นกรอบรูป เขาพลิกหงายมาดูมันเป็นรูปแม่ของเขา...รูปแม่ของเขาที่ขาดนั่นเอง พริมาวาดมาคืนเขาอย่างนั้นเหรอ? นพคุณนั่งพินิจรูปนี้มันวาดถอดแบบออกมาจากรูปใบนั้นแน่นอน เป็นภาพวาดสีน้ำที่สวยงามยิ่งนัก แต่มันมีขนาดใหญ่กว่ารูปต้นแบบจริงสักสองสามเท่าเห็นจะได้ เขากลับไปอ่านการ์ด
“อ่อ...ยัยปลาทู” พริมาบอกว่ายามาเป็นคนทำ นพคุณจึงพอจะเดาได้ว่าคนที่วาดรูปนี้น่าจะเป็นยามา นพคุณเดาว่าพริมาคงจะโดนบ่นไม่น้อยที่เอารูปนี้ไปให้เพื่อนหล่อนวาด เพราะดูเหมือนเพื่อนของพริมาคนนั้น จะไม่ชอบหน้าเขาเอามากๆ หล่อนจะต้องรักเพื่อนมากขนาดไหนกันถึงยอมวาดรูปนี้ให้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าฝีมือยัยปลาทูนั้นเก่งเกินวัย ไม่น่าเชื่อว่าคนที่โหวกเหวกโวยวายตลอดเวลาจะใจเย็นแล้ววาดรูปออกมาได้สวยงามขนาดนี้
“ปั้นบัวลอยให้กลมยังทำตั้งนาน ไม่น่าเชื่อว่าจะวาดรูปได้” นพคุณเอารูปไปแขวนไว้ที่หัวเตียง พออยู่บนผนังแล้วรูปนี้ยิ่งดูสวย แม่เขากำลังยิ้มให้เขาออกมาจากในรูป
“วันนี้แม่ก็มีความสุขเหมือนกันใช่ไหมครับ?” เสียงไลน์ดังเตือนว่ามีข้อความเข้า นพคุณจึงหยิบมือถือมาดู มันเป็นไลน์กลุ่ม 4 คนของบ้านนี้นั่นเอง ภารดีส่งรูปถ่ายพวกเขา 4 คนที่ให้พนักงานถ่ายไว้ก่อนกลับมาให้ สักพักพริมา ก็ส่งรูปถ่ายวิวที่หล่อนถ่ายวันนี้มาให้ เขานั่งรอดูแต่หล่อนก็ไม่ได้ส่งรูปคู่ ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันมาให้ แต่มีข้อความเข้ามาทางไลน์ส่วนตัวแทน พริมาส่งไลน์ส่วนตัวมาให้เขา เป็นรูปคู่ที่พวกเขาถ่ายกันในวันนี้
“ส่งให้ในนี้นะคะไม่ได้ส่งให้ในไลน์กลุ่ม ลูกแก้วไม่อยากโดนเทศน์ก่อนนอน”
ตอนได้ยินเสียงไลน์พริมากำลังคุยไลน์กับยามา หล่อนส่งรูปถ่ายวันนี้ไปอวดเพื่อน พร้อมคุยว่าร้านอาหารที่ไปมาวันนี้บรรยากาศดีขนาดไหน หล่อนจึงเห็นว่าภารดีส่งรูปลงไลน์กลุ่ม พริมาจึงส่งไปบ้าง แต่ก็ยังลังเลว่ารูปคู่กับนพคุณจะส่งไปในนี้ดีหรือไม่ คุณชายใหญ่บอกว่าไม่ชอบถ่ายรูปถ้าหล่อนส่งรูปนี้ไปให้ในไลน์กลุ่มเดี๋ยวเขาก็อารมณ์เสียก่อนนอนอีก
“งั้นส่งให้ส่วนตัวแล้วกัน ก็ตัวเองเป็นคนมายืนถ่ายด้วยเองนี่นา” พริมา ส่งไปแล้วก็เตรียมตัวดูว่าเขาจะวีนหรือเหวี่ยงให้ได้นอนหลับสบายก่อนนอนหรือเปล่า สักพักก็มีเสียงข้อความดังกลับมา เด็กหญิงต้องแปลกใจ เพราะมันเป็นสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนที่มีคำว่า “ขอบคุณ” ส่งกลับมา
“ว้าว” พริมาอ่านไลน์อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน หล่อนแอบเอาของขวัญไปวางไว้บนเตียงของเขา ต้องดูลาดเลาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาจังหวะเหมาะได้ หล่อนต้องกระซิบบอกคุณนพรักษ์ให้ดึงความสนใจเขาเอาไว้อย่าให้ขึ้นไปข้างบนอีก จนพวกเขาออกจากบ้านไปวัดนั่นแหละ เขาคงขอบคุณหล่อนเรื่องของขวัญแน่ๆ พริมาดีใจที่เขาไม่ได้โมโหโวยวาย ที่หล่อนแอบเอารูปแม่เขาไปวาด อย่างน้อยก็ถือว่าหล่อนได้ไถ่โทษที่ทำรูปแม่เขาขาดในตอนนั้น สาวน้อยเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วหยิบรูปคุณอารีออกมา แม่ของนพคุณยิ้มออกมาจากในรูป พริมายิ้มตอบ
“ขอบคุณนะคะคุณป้า” คืนนี้ไม่ได้โดนด่าก่อนนอนแถมยังมีเรื่องให้สบายใจ...คุ้มแล้วที่โดนยัยปลาทูบ่นเช้าบ่นเย็นบ่นจนวาดรูปเสร็จนั่นแหละ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ