แก้วนพคุณ

-

เขียนโดย เวลา

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.59 น.

  38 บท
  0 วิจารณ์
  30.02K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) ขี้ยา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พริมาออกมาเดินเล่นหน้าปากซอย วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน พ่อเลี้ยง กับแม่ออกไปข้างนอก ส่วนนพคุณหล่อนไม่แน่ใจเขาอาจจะไปซ้อมฟุตบอลที่โรงเรียนหรืออาจจะมีนัดกับเพื่อนๆ ตามปกติของเขา...ส่วนนพคุณ  อีกคนหนึ่งนั้นตอนนี้หลับ หล่อนไม่แน่ใจว่าไก่มันหลับกลางวันหรือเปล่า แต่นพคุณ ของหล่อนหลับไม่เป็นเวลา (รวมถึงตอนตื่นด้วยแหละ) ครั้นไม่มีคนคุยด้วย พริมาเลย ออกไปเดินเล่นหาอะไรกินหน้าปากซอย และครั้งนี้หล่อนจำได้แล้ว
            “ต้องข้ามถนนไปขึ้นสองแถวอีกฝั่งหนึ่ง” สาวน้อยท่องจำได้ขึ้นใจ คราวนี้หล่อนตั้งสติมาอย่างดีจากบ้าน ถ้าขืนยังขึ้นรถผิดฝั่งเหมือนเดิมอีกก็คงเกินเยียวยา นั่งรถสองแถวไปถึงปากซอยผู้คนเริ่มคึกคัก รถบนถนนก็เริ่มติด

“วันเสาร์แบบนี้ คนจะไปไหนกันนะ” หล่อนพึมพำกับตัวเอง สายตามองยาวไปบนท้องถนน ดูเหมือนรถจะหนาแน่นทั้งสองฝั่ง วันนี้อากาศร้อนเด็กสาวคิดว่าจะหาอะไรเย็นๆ กินก่อนแล้วค่อยไปเดินเล่นหาซื้อขนมอย่างอื่นต่อ

“น้ำแข็งใสแล้วกันคนไม่เยอะดี” พริมามองไปรอบๆ แล้วตัดสินใจได้ว่าหล่อน จะเลือกกินอะไรก่อนเป็นอันดับแรก...ขนาดว่าคนไม่เยอะมาก แต่ที่นั่งด้านในเต็มหมด สาวน้อยจึงได้ที่นั่งด้านนอกริมฟุตบาท นั่งกินน้ำแข็งใสไปสักพักเหมือนมีสายตามองอยู่ พริมาหันไปมองเห็นผู้ชายสองคนนั่งอยู่โต๊ะถัดไปทำไมคุ้นหน้าจัง? เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นั่งนึกอยู่นาน อ๋อ! ผู้ชายสองคนบนรถสองแถววันนั้น ขี้ยา!

“ไม่น่าจะมีอะไรหรอกมั้ง คนตั้งเยอะแยะ” เด็กหญิงปลอบใจตัวเองทั้งที่ตอนนี้ใจเต้นแรง หล่อนเห็นผู้ชายสองคนนั้นก็มีสีหน้าเหมือนจำหล่อนได้เหมือนกัน หนึ่งในสองคนนั่นชี้มือและซุบซิบ ส่วนอีกคนหันหน้ามามอง พริมารีบลุกทันที

   “กระเดือกไม่ลงแล้ววุ้ย!”

   “อ้าว ยัยหนูไม่เอาตังค์ทอนเหรอ?” ป้าเจ้าของร้านตะโกนเรียกตามหลัง แต่หล่อนไม่สน รีบไปให้ไกลจากสองคนนั่นก่อนดีกว่า สถานการณ์คล้ายเดิม เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ พริมาหันไปมองไอ้สองคนนั่น! ไม่บังเอิญแน่มันลุกตามหล่อนมา เด็กหญิงวิ่ง หล่อนไม่เข้าใจทำไมจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก รถสองแถว ขี้ยาสองคน กับการวิ่งมาราธอน หล่อนกลัว ถ้าพวกมันรู้ว่าบ้านหล่อนอยู่ไหนจะทำอย่างไร...วิ่งล่อไปทางอื่นก่อนดีกว่า พริมาวิ่งเลยปากซอยไปไกลพอควร ด้านหลังหันไปไม่มีแล้ว หรือพวกมันจะตามมาไม่ทัน หรือมันรู้ทางแล้วตามมาดักที่ซอยอื่น เด็กหญิงคิดไปต่างๆ นาๆ ตอนนี้หล่อนหยุดวิ่งแล้ว ไม่กล้าขยับไปไหน หล่อนกลัว! ถ้าโทรไปหาแม่ตอนนี้ แม่จะมารับหล่อนไหม...มาอยู่แล้ว แต่ว่าหล่อนไม่อยากให้แม่เป็นห่วง

   “ยัยเปี๊ยก!”...เสียงเรียกที่คุ้นเคย แต่วันนี้หล่อนมีความสุขเหมือนได้ยิน เสียงสวรรค์ พริมาหันไปมองตามเสียง นพคุณยืนมองหล่อนอยู่ด้วยสีหน้างงๆ ว่ายัยเปี๊ยกที่เขาเรียกนั้นมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้...ไกลจากปากซอยบ้าน หล่อนนัดใคร? แล้วมายืนทำไมคนเดียว ตอนแรกเขากะจะไม่ใส่ใจ แต่เขาสังเกตเห็นว่ามันแปลกๆ แล้วก็ไม่ทันคาดคิดสาวน้อยวิ่งพุ่งเข้าชนเขาอย่างแรง...พริมาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่หล่อนเห็นนพคุณแล้วจะดีใจได้ขนาดนี้...ตอนนี้หล่อนดีใจที่สุดที่เจอเขา เด็กหญิงทำสิ่งที่หล่อนเองก็แปลกใจ หล่อนวิ่งอย่างเร็วเข้าไปกอดเขา กอดแน่นที่สุด ต่างกันลิบลับ...นพคุณรู้สึกเหมือนโดนอัด เขาจุก! อาการแบบนี้เหมือนตอนที่เขาโดนอัดตอนเล่นรักบี้ที่โรงเรียนเก่าไม่มีผิด หล่อนพุ่งชนเขาทำไม? จุก...จุกชะมัดเลย!

   “อุก!” พูดได้คำเดียว เพราะตอนนี้นพคุณพูดอะไรไม่ออก เขาจุกเพราะแรงกระแทกไม่พอ ตอนนี้หายใจไม่ออกด้วย สองมือพยายามดันตัวเด็กหญิงออกไปอย่างสุดความสามารถ แต่น่าแปลก...เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้  พริมาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทำไมวันนี้ถึงได้แรงเยอะนัก...หล่อนจะฆ่าเขา เพราะคิดว่าเขามาเห็นความลับอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็วิ่งพุ่งเข้ามาชนเขาแบบนี้

   “ปล่อย...ยัยบ้า...ฉัน...หาย...ใจ...ไม่...ออก!” นพคุณพูดได้ทีละคำ เพราะถ้ามากกว่านั้นเขาคงขาดอากาศหายใจตาย แต่ทำยังไงก็ดูเหมือนคนที่พุ่งชนเขาจะยังไม่รู้ตัว ด่าก็แล้ว ดันก็แล้ว ไม่ได้ผล! ก่อนจะตายเพราะแรงกระแทกและอ้อมกอดพิฆาต เขาต้องทำอะไรสักอย่าง

   “โอ๊ย! เจ็บนะ...เขกหัวลูกแก้วทำไม?” คนที่พุ่งชนคนอื่น แล้วรัดจนหายใจไม่ออกในสายตาของนพคุณเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ

   “เธอนั่นแหละ พุ่งมาชนฉันทำไม? แล้วเข้ามารัดอีก เป็นงูเหลือมหรือไง? รู้ไหมฉันหายใจไม่ออก นี่เธอคิดจะฆ่ากันให้ตายเลยใช่ไหม?” นพคุณทั้งถาม ทั้งด่ามาเป็นชุด เด็กหญิงเงยหน้ามองเขาน้ำตารื้น

   “อะไร? ร้องไห้อีกแล้ว? นี่ตกลงฉันเป็นคนผิดใช่ไหม?”

   “ลูกแก้วกลัว” เด็กหญิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ

    “ฉันสิต้องกลัว! เธอจะมาพุ่งชนฉันแบบนี้ เอาแขนรัดฉันแบบนี้ แล้วก็มาบอกว่ากลัว นี่พฤติกรรมของคนกลัวเหรอ?” นพคุณตามไม่ทัน พริมากลัวอะไร

   “ลูกแก้วไม่ได้กลัวคุณ”

   “งั้นกลัวใคร?” นพคุณหันไปมองรอบๆ ตอนนี้เวลาเที่ยงวันเห็นจะได้ ผู้คนก็มากมาย ซอยก็ไม่ได้เปลี่ยว แล้วเด็กเพี้ยนนี่กลัวอะไร

   “กลัวขี้ยา” สาวน้อยยกมือขึ้นป้ายน้ำตาอีกรอบ พักหลังมานี้หล่อนร้องไห้ต่อหน้าเขาบ่อย จากที่เคยอายหรือโมโหตัวเองที่ร้องไห้ให้เขาเห็น ตอนนี้หล่อนเริ่มชินแล้ว ถ้าจะต้องร้องอีกบ่อยๆ หล่อนก็จะทำ ช่างเขาสิ!     เขาจะว่าอะไร หล่อนไม่สนแล้ว ก็หล่อนอยากร้อง

    “ขี้ยาที่ไหนกลางวันแสกๆ เธอมั่วมโนไปเองรึเปล่า?” นพคุณไม่เชื่อหล่อน เขามองเหมือนหล่อนโง่ ดูคนไม่ออก แล้วก็ชอบมโนคิดอะไรไปเอง คราวนี้น้ำตาเด็กหญิงเริ่มมาอีกรอบ นพคุณหน้าเหวออาการแบบนี้เขาเคยเจอ...คืนนั้นที่เล้าไก่ หน้าตาท่าทางแบบนี้เลย หล่อนกำลังจะร้องไห้แหกปากอีกแล้ว ไม่เอานะ!      เขารับไม่ไหว ท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้ ถ้ายัยนี่แผลงฤทธิ์เขาจะทำยังไง

   “ลูกแก้ว! ลูกแก้วไปๆ เรากลับบ้านกันนะ” เด็กหนุ่มดึงมือลากสาวน้อย เดินไปทางปากซอยบ้าน สาวน้อยเดินตามไปโดยดี แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้า     นพคุณแปลกใจหันไปมอง

   “ลูกแก้วจะออกมาซื้อขนม แต่ตอนนี้หิวข้าว” ไม่ต้องถามสินะ นี่เขาซวยเองหรืออย่างไรที่เดินไปเรียกยัยเด็กนี่ สุดท้ายก็ต้องกลายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก พายัยนี่ไปซื้อขนมแล้วก็กินข้าว เอาเข้าจริงนพคุณก็หิวข้าวเหมือนกัน เขากะว่าจะแวะกินข้าวก่อนเข้าบ้าน แต่มาเจอยัยเด็กนี่เสียก่อน แต่จะให้หล่อนรู้ได้อย่างไร

    “น่ารำคาญจริงๆ รีบๆ กินล่ะ ฉันเหนื่อยอยากจะกลับบ้านแล้ว” เขาหาเรื่อง ว่าสาวน้อยตามความเคยชิน หล่อนก็ไม่ได้เถียงอะไร...ไม่รู้ว่าชินหรือเพราะยังตกใจอยู่ พวกเขาเลือกร้านอาหารตามสั่ง พริมาสั่งสุกี้และข้าวผัด หล่อนบอกว่าหิวมากและอยากกินทั้งสองอย่าง นพคุณกินราดหน้า แต่พอกินเข้าจริงพริมา กินข้าวผัดไปแต่สองสามคำหล่อนก็อิ่ม นพคุณกินต่อจนหมด...ปากก็บอกว่าหล่อนกินเสียของทีหลังอย่าสั่งอะไรตอนหิวแบบนี้อีก เมื่อบ่นไปตามสไตล์  สาวน้อยร้องขอขนม เขาก็พาไปอย่างเสียมิได้ แต่คนไม่เต็มใจพาไปจัดขนมถึง 3 อย่าง...บิงซู บราวนี่และฮันนี่โทสต์ พริมาเห็นเขาสั่งก็เลยไม่ได้สั่งอะไร      จากที่คุณชายใหญ่ขี้บ่นบอกอยากรีบกลับบ้าน เอาเขาจริงพวกเขาใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง หาอะไรกินกันอยู่หน้าปากซอย กำลังจะกลับเข้าบ้านแล้วเชียว สาวน้อยที่นพคุณชอบแซะว่า “น่ารำคาญ” ดึงชายเสื้อเขา

   “พี่...คุณนพคุณ รอแป๊บนึงได้ไหมคะ?” รู้แล้วว่าต้องถูกบ่น แต่ยังไงก็ออกมาปากซอยแล้ว จะให้หล่อนออกมาใหม่ก็ยังไงอยู่ เห็นเขาไม่ตอบอะไรแค่ยืนมองเฉยๆ หล่อนจึงเสริมว่า

   “ลูกแก้วแวะซื้อของฝั่งโน้นแป๊บเดียวค่ะ” สาวน้อยชี้ไปยังร้านค้าฝั่งตรงข้ามของถนนในซอย ร้านค้าที่หล่อนชี้นั้นเป็นร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่

   “เร็วๆ ล่ะ ฉันรออยู่ตรงนี้แล้วกัน”

   เด็กหญิงวิ่งข้ามถนนเร็วปรื๋อตรงไปยังร้านประจำของหล่อน เจ้าของร้านจำสาวน้อยได้ เพราะหล่อนเป็นที่จดจำ สาวน้อยลูกครึ่งตัวเล็กเหมือนตุ๊กตา และหล่อนแวะมาที่ร้านเกือบทุกอาทิตย์ นี่ถ้ามีลูกชายคุณป้าคงจะจีบมาเป็นลูกสะใภ้แน่นอน เพราะเด็กสาวน่ารักเหลือเกิน

   “อ้าว! คริสตัลคนสวยนี่เอง” เจ้าของร้านตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้พริมา เพราะเห็นว่าชื่อลูกแก้วนี่ความหมายดี แต่ไม่เข้ากับหน้าตาของสาวน้อยเท่าไหร่ สาวน้อยได้ยินคุณป้าเจ้าของร้านเรียกก็ยิ้มหวานหันไปยกมือไหว้

   “ลูกแก้วจะมาซื้อแป้งท้าวกับแป้งถั่วเขียวค่ะ วันนี้อยู่นานไม่ได้รีบมารีบไปค่ะ เดี๋ยวค่อยมาใหม่” เด็กหญิงบอกสินค้าที่ต้องการอย่างไว คุณป้ายิ้มให้ หล่อนเองก็ชอบทำขนมเหมือนกัน...เดาจากส่วนผสม

   “วันนี้ทำขนมไทยหรือจ๊ะ?”

   “ใช่ค่ะ ลูกแก้วว่าจะลองทำอาลัวสด” เจ้าของร้านเลิกคิ้วนิดหนึ่ง อาลัวหล่อนรู้จัก แต่อาลัวสดนี่เพิ่งเคยได้ยิน

   “ก็เปียกๆ แบบอาลัวไม่ตากแดดนั่นแหละค่ะ เหมือนแกะเปลือกอาลัวด้านนอกออกแล้วกิน” เด็กหญิงอธิบาย ขนมสมัยนี้ประยุกต์จากภาพลักษณ์แบบดั้งเดิมออกมาไกลพอสมควรเพื่อให้สามารถขายคนได้หลายๆ วัย และเป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

   “พรุ่งนี้จะแวะเอามาให้กินค่ะ แต่วันนี้ลูกแก้วรีบมากๆๆๆ” เด็กหญิงจ่ายเงินด้วยแบงค์พัน หล่อนรับเงินทอนที่ได้ใส่ไว้ในถุงแบบลวกๆ แล้วยกมือไหว้ผู้อาวุโสเป็นการบอกลา ออกจากร้านมาแล้วหล่อนมองหานพคุณที่รออยู่ฝั่งตรงข้าม และเพราะรีบมากๆ อย่างที่เด็กสาวบอกคุณป้า หล่อนจึงลืมเอาตังค์ทอนทั้งหมดเก็บไว้ในกระเป๋า จึงมองเห็นเงินที่มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวอยู่ในถุงใสๆ ที่สาวน้อยตัวกะเปี๊ยกถือแบบไม่ใส่ใจ จังหวะนั้นเองที่พริมากำลังจะข้ามถนน มีมอเตอร์ไซค์มาจากไหนไม่รู้เทียบมาใกล้และกระชากถุงในมือหล่อน เด็กหญิงตัวเล็กนิดเดียว หล่อนจึงกระเด็นไปกองอยู่ริมถนนแบบงงๆ นพคุณเห็นแล้ว เขาวิ่งข้ามถนนตรงมาหาอย่างตกใจ

   “คริสตัล!!!” คุณป้าร้านอุปกรณ์เบเกอรี่ก็เห็นเหตุการณ์เช่นกัน หล่อนกำลังจัดของอยู่ระหว่างที่พริมากำลังรอข้ามถนน ข้างๆ ร้านหล่อนเป็นร้านเกมส์ มีเด็กวัยรุ่นมามั่วสุมเป็นจำนวนมาก หล่อนเองก็ต้องคอยระวังเหมือนกัน เพราะเด็กพวกนี้บางทีก็กินอยู่หลับนอนกันอยู่ที่ร้านไม่กลับบ้านกลับช่อง หล่อนเคยเห็นในข่าวว่าพวกนี้บางคนก็ติดเกมส์ขนาดเล่นจนตายคาเก้าอี้ไปก็มี และหล่อนมั่นใจคนที่กระชากถุงของพริมา น่าจะมาจากร้านเกมส์ข้างๆ นี่แน่นอน             พริมายังนั่งงงอยู่ แต่ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามอง นพคุณเห็นมอเตอร์ไซค์ขี่ไปอย่างไว...แต่ไม่มีใครคาดคิด ก่อนที่พวกนั้นจะหนีออกไปถึงถนนใหญ่          มีผู้ชายสองคนกระโดดถีบจนรถมอเตอร์ไซค์ล้มคว่ำไม่เป็นท่า จากผู้คนที่มองพริมา หันเหความสนใจไปที่ปากซอยแทน พริมาชะเง้อมองตามทิศทางนั้น หล่อนเห็นเด็กวัยรุ่นสองคนนอนเกลือกกลิ้งอยู่กลางถนน ท่าทางหมดสภาพไม่ต่างกับหล่อนเลย...เวรกรรมติดจรวดจริงๆ แต่งานนี้เรียกว่าเวรกรรมติดฝ่าเท้าดูจะเหมาะสมกว่า

   “ลูกแก้ว!” มีมือแข็งๆ มาดึงหล่อนให้ลุกขึ้นยืน พริมาหันไปมองตามเสียงเรียกว่าใครกันที่มาช่วยฉุดหล่อน เพราะหล่อนเห็นนพคุณกำลังวิ่งมาจากอีกฝั่ง...ยังมาไม่ถึง

   “พี่ตุลย์!!!” สาวน้อยโผเข้ากอดเขาแน่น หล่อนดีใจที่เจอเขา ดีใจมากๆ เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ เขาลูบหัวหล่อนอย่างเอ็นดู

   “ไหนดูซิ มีแผลรึเปล่า?” คเชนทร์พลิกแขนหล่อนไปมา โชคดีที่หล่อนสวมกางเกงขายาว จึงมีแค่ลอยถลอกที่ฝ่ามือเล็กน้อยตอนที่ล้มเท่านั้น

    “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” นพคุณมาถึงแล้ว แล้วก็เช่นเคยเขามีหน้าเดียว หน้ายุ่งคิ้วผูกโบว์ คเชนทร์ยักคิ้วให้ กวนประสาทใครก็ไม่สนุกเท่านพคุณ     และการที่คเชนทร์ไม่ตอบ กลับไปสนใจแต่แม่สาวตัวเล็กข้างหน้านั่นยิ่งทำให้นพคุณหงุดหงิดเข้าไปอีก

   “เดินไหวไหม? ไปดูอะไรเด็ดๆ ดีกว่า” นพคุณไม่แน่ใจว่าคเชนทร์     พูดกับใคร เพราะหมอนั่นจูงมือพริมาแต่หันหน้ามาคุยกับเขา คเชนทร์ดึงมือพาพริมาไปทางที่รถมอเตอร์ไซค์ล้มคว่ำอยู่ ภาพที่เห็นคือเด็กวัยรุ่นสองคน     ลุกขึ้นได้แล้ว พวกนั้นยืนโหวกเหวกโวยวายด่าทอผู้ชายสองคนที่เป็นต้นตอ   ของการเจ็บตัวของพวกเขา

   “มึงมาถีบรถกูทำไมวะ?” เด็กหนึ่งในนั้นชี้หน้าด่า

   “กูจะอัดให้เละเลย รู้ไหมกูเป็นใคร?” ผู้คนรอบข้างมองอย่างเอือมระอา เพราะว่ามีคำตอบในคำถามนั้นดีทีเดียว ไอ้เดี่ยว! หัวหน้าเด็กแว๊น ที่ทุกๆ วันหยุดจะเป็นหัวหอกชวนคนอื่นออกไปแข่งมอเตอร์ไซค์ เขาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่แน่ใจว่าโดนไล่ออกหรือเพราะเหมือนเด็กมีปัญหาทั่วไปที่ทางบ้านไม่ได้สนใจ ตอนนี้เขาอายุ 18 แล้ว...18 ยังร้ายขนาดนี้ โตไปจะเป็นปัญหาสังคมขนาดไหน คเชนทร์พาพริมา...ที่มีนพคุณเดินตามมาติดๆ อย่างหัวเสีย มาหยุดดูได้ทันพอดีกับตอนที่ไอ้เดี่ยวถามหาความเป็นตัวเองกับคนอื่น

   “ขนาดมันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร” คเชนทร์พูดตามที่คนทั่วไปพูดกันเวลาเจอคนกร่างที่ลืมตัวตนทั้งของตัวเองและของพ่อแม่ไปชั่วขณะ      ขนาดต้องตะโกนถามคนรอบข้างว่าตัวเองเป็นใครพ่อแม่เป็นใครกันเลยทีเดียว คนพวกนี้นอกจากจะชั่วแล้วยังน่าสมเพช!!! ผู้คนรอบตัวเงียบดูสถานการณ์ บางคนก็เอามือถือออกมาถ่าย พริมาเห็นแล้วผู้ชายสองคนที่กำลังเป็นเป้าหมายของเด็กเหลือขอสองคนนั้นคือใคร...ขี้ยา!!! ขี้ยาสองคนที่หล่อนวิ่งหนีเข้าซอยไปเจอนพคุณนั่นเอง ขี้ยาที่วิ่งไล่หล่อนในซอยวันก่อน พริมาหันไปมองคเชนทร์ที่ตอนนี้ยืนดูเหตุการณ์เหมือนยืนดูมวยอยู่ใกล้ๆ ชนิดติดขอบ

   “พี่ตุลย์...สองคนนั่น” พริมากระซิบเสียงเบา คเชนทร์หันมาเลิกคิ้ว นพคุณมองพริมาแล้วมองสองคนที่หล่อนพูดถึงอย่างสงสัย...มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่เขาไม่รู้มาก่อนกันแน่? ด้วยความลืมตัวหรืออย่างไรไม่รู้พริมาเอื้อมมือมาจับมือนพคุณแน่น หล่อนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคเชนทร์ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างเต็มที่ นพคุณไม่เข้าใจ พริมารู้จัก “ฮีโร่”สองคนนั่นด้วยหรือ? เพราะตอนนี้ในสายตาของหลายๆ คน ขี้ยาของพริมากลายเป็นฮีโร่ไปเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่ผู้คนกำลังตะลึงเพราะสองเด็กเหลือขอผนึกกำลังกันเข้าเล่นงานสองฮีโร่ที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมรออยู่ พริมาไม่รู้จะเชียร์ใคร เพราะตอนนี้ที่หล่อนเห็นคือขี้ยาสี่คนแบ่งเป็นสองฝ่ายกำลังตีกัน แต่ดูเหมือนฝั่งขี้ยาเยาวชนจะเล่นไม่ซื่อ เพราะแทนที่จะหนึ่งต่อหนึ่ง แต่พวกนั้นกลับหันไปเล่นงานขี้ยาผู้ใหญ่ตัวดำที่ตัวเล็กกว่าแทนคนตัวขาวที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มคนทั้งสี่...จะรุมให้เจ็บไปทีละคนสินะ

   “กูจะอัดมึงให้หยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นเดือนเลยคอยดู” ไม่พูดเปล่า เยาวชนเหลือขอจับมือกันเข้าไปอย่างหมายมั่น เรียกเสียงร้องห้ามจากคนรอบข้างกันระงม แต่ภาพที่เห็นมันเกิดขึ้นเร็วมาก และหักมุมเป็นอย่างมากเช่นกัน จากการที่เยาวชนทั้งสองคิดและคำนวณพร้อมส่งสัญญาณกันอย่างมืออาชีพแล้วว่าจะเล่นงานคนตัวเล็กกว่านั้น กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย คนตัวเล็กกว่าที่พวกนั้นคิด...ความจริงไม่เล็กเลย ถึงเขาจะไม่สูงแต่ก็รูปร่างสันทัด ดูสมส่วนกับส่วนสูงของเขา อาจจะเพราะว่าเขามากับคนที่ตัวสูง...สูงมาก จึงทำให้ดูเหมือนเขาตัวเตี้ยไปเท่านั้นเอง พริมาได้ยินเสียงแว่วๆ จากด้านหลังหัวเราะกันคิกคัก

   “พี่บัวขาวว่ะ แต่เวอร์ชั่นนี้หล่อกว่านิดหน่อย ฮิฮิ” หลายคนได้ยินแล้วยิ้มตาม พริมาเองก็สังเกตตามเช่นกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นมวย! และตอนนี้ก็ใช้ทักษะแม่ไม้มวยไทยออกลีลาท่าทางอย่างช่ำชองสอยสองเยาวชนน่าสมเพชลงไปกองอีกเป็นครั้งที่สองในรอบวัน ไอ้สองคนนี่ดวงซวยดีแท้ และรอบสองที่ลงไปกลิ้งอยู่ข้างถนนนั้นหนักกว่ารอบแรกทีเดียว

   “โอ๊ย!!!” เยาวชนคนเก่งนอนโอดโอย เสียงร้องครวญครางผสานเสียงกันได้อย่างลงตัว เด็กคนอื่นๆ ในร้านเกมส์ยืนดูอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งหรือออกตัว พวกเขาคงคำนวณดูแล้วว่าไม่มีทางสู้ได้แน่นอน

   “โอ๊ย!!!” คราวนี้ไม่ใช่เสียงเยาวชน แต่เป็นเสียงขี้ยาผู้ใหญ่ตัวขาวร้องขึ้นมาแทน

   “ไม่เหลือไว้ให้ผมสักคนเลยเหรออาจารย์” ขี้ยาตัวขาวโอดครวญ เพราะพี่บัวขาวของสาวๆ เล่นสอยเยาวชนคนเก่งลงไปกองกับพื้นคนเดียวหมด...เหมาหมด!!! พริมาแปลกใจขี้ยาเป็นอาจารย์ด้วยหรือ? ระหว่างช่วงชุลมุนนี้เอง สายตรวจก็มาถึงพอดี...อย่างทีหนังไทยว่า “ตำรวจมักมาตอนจบ” เด็กสองคนยังนอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นตอนที่ตำรวจไปแงะออกมาจากถนน ดูเหมือนสลับกันจากที่ขู่เขาว่าจะอัดให้น่วมจนหยอดน้ำข้าวต้มในตอนแรก แต่สุดท้ายตัวเองนั่นแหละ ต้องโดนหยอดน้ำข้าวต้มเสียเอง พอตำรวจมาถึง เด็กแว๊นรอบตัวก็พากันหายไปอย่างพร้อมเพรียง พวกนี้สื่อสารกันทางไหนนะ มีโทรจิตหรือไง         พริมาไม่เห็นพวกนี้คุยกันสักคำ แต่พวกเขาเข้าใจตรงกันได้ยังไงนะ            ทุกคนแปลกใจ เพราะหนึ่งในตำรวจสายตรวจยกมือไหว้อาจารย์ตัวดำ          ที่คนตัวขาวเรียก คเชนทร์ที่ตอนแรกยืนอยู่ข้างพริมาเดินแหวกคนเข้าไปข้างในแล้ว นพคุณลากมือหล่อนเดินตามเขาไป

    “ผมผ่านมาพอดี เห็นไอ้นี่มันฉกเงินเด็กผู้หญิงตรงโน้น นั่นไงน้องคนนั้น” อาจารย์ดำชี้มือมาที่พริมาที่ตอนนี้หลบอยู่หลังนพคุณ ตำรวจเดินไปเก็บหลักฐานพร้อมส่งสัญญาณวิทยุเรียกกำลังเสริม เพราะเขามากันแค่สองคน จะจับเยาวชนหมดสภาพขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คงไม่ไหว

   “เดี๋ยวเชิญไปให้ปากคำที่โรงพักกันทั้งหมดนี่เลยนะครับ” พริมาตกใจ หล่อนไม่เคยขึ้นโรงพักมาก่อน

   “พี่คุณ...” เด็กหญิงมือสั่นกำมือเขาไว้แน่น นพคุณบีบมือกลับเป็นสัญญาณให้หล่อนใจเย็น ๆ

   “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน” กลับเป็นเสียงคเชนทร์ที่แย่งตอบกลับมาแทน ตอนนี้เขาเดินกลับมายืนข้างพริมาเหมือนเดิมแล้ว นพคุณหน้าหงิกเหมือนเคย...แต่ไอ้ตุลย์กลับยืนยิ้มเหมือนขำอะไรซะเต็มประดา           รถตำรวจมาแล้ว ทั้งหมด...ขี้ยาผู้ใหญ่สองคน ขี้ยาเยาวชนสองคน พริมาและนพคุณนั่งรถตำรวจไปโรงพัก ส่วนคเชนทร์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามรถตำรวจไปอีกที นพคุณกับพริมานั่งตอนหน้าไปกับตำรวจ ส่วนขี้ยาของพริมาทั้งสี่คน นั่งไปด้านหลัง แต่ต่างกันที่สองในสี่ไม่ได้ใส่กุญแจมือ...เหมือนช่วยตำรวจดูคนร้ายเสียมากกว่า ระหว่างทางนพคุณโทรหาบิดา เขาเล่าคร่าว ๆ แล้วนัดแนะให้ทุกคนไปพบกันที่โรงพัก เป็นอันว่าสองเยาวชนอายุเกิน 18 ปีแล้วทั้งคู่ ตำรวจพาไปตรวจร่างกาย แต่ก็มีแค่รอยฟกช้ำทั่วไปไม่ได้ร้ายแรงอะไร...ทั้งสองไปนอนรออยู่ในคุกที่โรงพัก รอเช็คประวัติและประกันตัวอีกที แต่ในเบื้องต้นนั้นพยานรอบด้านให้การตรงกันหมด และยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดอีกด้วย        ส่วนพริมาและสองนักมวยค่ายนรสิงห์นั้น ตำรวจกันไว้ในฐานะพยานและเจ้าทุกข์ ไม่นานภารดีและคุณนพรักษ์ก็มาถึงโรงพัก ทั้งสองคนเข้าไปคุยกับตำรวจ    พริมา นพคุณ และคเชนทร์ออกมานั่งรอที่เก้าอี้ด้านนอก

   “พี่ตุลย์!!!” นพคุณแปลกใจที่อยู่ๆ พริมาก็เรียกคเชนทร์เสียงแข็ง   แต่ดูเหมือนคเชนทร์เองจะรู้อยู่แล้ว เขาหัวเราะแล้วทำท่าขอโทษขอโพยเด็กหญิงยกใหญ่

   “ฮ่าๆ พี่ก็ลืมไปแล้วนะเนี้ย จนมาเจอกันพร้อมหน้าวันนี้แหละ” คเชนทร์ก็ยังคงพูดในสิ่งที่นพคุณไม่เข้าใจอยู่ดี ตอนนี้เขากลับไปหน้าหงิกตามเคยแล้ว สองนักมวยค่ายนรสิงห์เดินมานั่งสมทบ สองหนุ่มมองคเชนทร์แล้วก็พริมาสลับกัน วันนี้พวกเขาเจอเด็กหญิง ว่าจะเข้าไปทักทาย             แต่เด็กหญิงวิ่งหนีพวกเขา...วิ่งทำไมก็ไม่เข้าใจ วิ่งตลอดทุกครั้งที่เจอกัน

   “น้อง...น้องลืมไอ้นี่ไว้ที่ร้านน้ำแข็งใส พวกพี่จะตามเอาไปคืนให้   เราก็หนีเข้าซอยไปไหนก็ไม่รู้ตามไม่เจอ” คนตัวขาวที่ตอนนี้หล่อนรู้แล้วเขาชื่อชำนาญหรือที่คนตัวดำเรียกว่าไอ้ชาญ ชูกุญแจในมือ พริมามองตามแล้วเอามือล้วงกระเป๋าตัวเอง แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่จะมีกุญแจบ้านสองพวงซ้ำกันและในพวงกุญแจยังมีไก่แจ้ที่เหมือนของหล่อนไม่มีผิด

   “คราวก่อนที่เจอในซอยก็ว่าจะเข้าไปถามว่าหลงทางรึเปล่า น้องก็วิ่งหนีพวกพี่นะจำได้ไหม?” คราวนี้คนตัวดำที่สาวๆ ในซอยเรียกว่าบัวขาว     เป็นคนพูดบ้าง เขาแนะนำตัวว่าชื่อทอง แต่ตำรวจเรียกพี่อำนาจ ระหว่างที่นั่งคุยกันพริมา มารู้ทีหลังว่าถ้าหล่อนวิ่งจากตรงนั้นไปอีกประมาณ 500 เมตร    ก็จะเข้าเขตชุมชน อีกนิดเดียวก็ถึงตลาด และสุดทางของรถสองแถว แค่นั่งไปจนถึงสุดทางแล้วต่อรถออกมาใหม่จากตรงนั้นหล่อนก็กลับปากซอยได้ตามเดิมแล้ว ความจริงสองคนจะไปลงตลาด แต่เห็นว่าพริมาลงในดงกล้วยก็เป็นห่วง จึงปรึกษากันกะว่าจะเข้าไปถาม ถ้าหล่อนหลงทางก็จะเดินพาขึ้นรถไปที่ตลาด แต่เด็กหญิงก็วิ่งหนีพวกเขาเสียก่อน จนคเชนทร์ขี่มอเตอร์ไซค์สวนมา พวกเขาจึงบอกคเชนทร์ว่าสงสัยเด็กหญิงจะหลงทาง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าคเชนทร์บอกพริมาว่าพวกเขาสองคน เป็นขี้ยา

   “นี่แกว่าฉันสองคนเป็นขี้ยาเหรอไอ้ตุลย์! ตัวพ่อด้วย? ถึงว่าวันนี้น้องเค้าวิ่งหนีพวกฉันไม่คิดชีวิตเลย” นรสิงห์ตัวดำถามคเชนทร์ที่ตอนนี้ได้แต่นั่งยิ้มขำ พริมารู้สึกผิดที่มองคนที่ช่วยหล่อนในทางที่ไม่ดี คเชนทร์เองก็ยกมือไหว้     ขอโทษสองหนุ่มด้วยเช่นกัน แต่ถึงจะไหว้ขอโทษไปเขาก็ยังขำไปอยู่นั่นเอง

   ภารดีกับคุณนพรักษ์ออกมาแล้ว หล่อนขอบคุณชำนาญกับอำนาจที่ช่วยลูกสาว และบอกว่าวันนี้ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารพวกเขาเอง ตอนแรกสองหนุ่มปฏิเสธ แต่ภารดีคะยั้นคะยอพวกเขาเลยตกลง นพคุณมองเฉยๆ     แต่เขาคิดว่า “เจ้ามือ” ที่หล่อนพูดนั้น สุดท้ายก็คงใช้เงินพ่อเขานั่นแหละ      แต่เขาไม่พูดออกไปน่าจะดีกว่า พริมาชวนคเชนทร์ไปด้วย นพคุณคิดว่าถึงไม่ชวน ไอ้ตุลย์หน้าหมาก็คงจะตามไปอยู่ดี

   “ตุลย์รู้จักร้านใช่ไหม? งั้นไปเจอกันที่ร้านเลยนะ” ภารดีหันไปบอก หล่อนได้โอกาสเลี้ยงเขาด้วยพอดี จะให้ลูกสาวนัดคงอีกนาน

    “สบายมากครับพี่ เดี๋ยวผมขี่ตามไปครับเจอกันที่ร้านได้เลย” ภารดียิ้มขำ เพื่อนพริมาเรียกหล่อนว่าพี่อีกคนแล้ว นพคุณเบ้ปาก เขาหมั่นไส้ไอ้ตุลย์...และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัว เขาหันมายักคิ้วให้นพคุณเหมือนทุกครั้ง นพคุณหน้าหงิก...เขาเกลียดนักไอ้ท่ายักคิ้วของคเชนทร์ และดูเหมือนคเชนทร์จะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบ...ไม่ชอบยิ่งทำ...สนุกดี!!!

    ทุกคนนั่งกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย สองนักมวยเองก็กินได้มากเช่นกัน แม้แต่พริมากับนพคุณ ที่กินข้าวและขนมไปตั้งเยอะ ก็กินได้เยอะเหมือนไม่ได้กินข้าวมาก่อน ส่วนคเชนทร์นั้นดูมีความสุขที่สุด พวกเขานั่งคุยกันไปเรื่อยจนถึงเรื่องที่เจอพริมาในสวนกล้วยลึกเข้าไปในซอย...เด็กสาวได้แต่ยิ้มแหย ความลับหล่อนแตกซะแล้ว หล่อนไม่ได้โกหกแม่แต่เล่าไม่หมด แล้วดูเอาเองแล้วกัน เรื่องน่าจะจบไปแล้ว หล่อนไม่บอกก็ยังมีคนมาบอกจนแม่รู้อยู่ดี ภารดีไม่พูดอะไร หล่อนแค่เหลือบมองลูกสาว แต่นพคุณฉลาดเขาปะติดปะต่อเรื่องราวจนเข้าใจได้ดี...เขานั่งยิ้มสะใจ เป็นไงยัยตัวแสบทำเรื่องไว้แล้วกะจะปิด แต่สุดท้ายก็ปิดไม่มิดอยู่ดี กินข้าวอร่อยขึ้นมาอีกหน่อย    ถึงแม้จะต้องมานั่งกินข้าวกับไอ้ตุลย์ก็เหอะ

   “วันหลังเชิญไปเที่ยวค่ายมวยพวกผมได้นะครับ”

   “อยู่ใกล้กับบ้านผมนี่แหละ” คเชนทร์เสนอหน้าอีกแล้ว (ในความคิดของนพคุณ) บ้านลุงเจริญอยู่ติดกับค่ายมวยนรสิงห์แค่ไม่กี่ก้าว

   “วันหลังคุณลุงกับพี่พิมพ์ไปเที่ยวบ้านผมนะครับ พ่อน่าจะชอบ     ผมเคยเล่าเรื่องลูกแก้วให้พ่อฟัง แกขำใหญ่บอกว่าอยากเจอ” พริมาชี้ตัวเองแล้วยิ้มแหยๆ ไม่รู้คเชนทร์ไปเล่าว่าอย่างไร ลุงเจริญถึงอยากเจอหล่อน ทั้งหมดกินข้าวจนอิ่ม ภารดีเช็คบิลแล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คเชนทร์พาสองหนุ่มค่ายมวยนรสิงห์ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเขา ภารดีคะยั้นคะยอจะไปส่งแต่คเชนทร์บอกดึกแล้วตำรวจไม่จับ เขาจะพาสองหนุ่มไปส่งเอง เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน

   “พี่สะพายเป้ให้ผมหน่อย” คเชนทร์ส่งเป้เขาให้ชำนาญที่นั่งหลังสุด และอำนาจนั่งตรงกลาง ระหว่างที่ชำนาญสะพายเป้ นพคุณเห็นพวงกุญแจไก่น่ารักแบบเดียวกับพริมาไม่มีผิด...เฮอะ! มีพวงกุญแจคู่ด้วยแฮะ แต่ทำไมหงุดหงิดจังวะ เขาหันไปมองพริมาเห็นหล่อนมองพวงกุญแจจากเป้ แล้วมองพวงกุญแจในมือยิ้มสดใส...ยิ้มดีใจอะไรขนาดนั้น

   “กุญแจบ้านเที่ยวเอาไปทิ้งไว้มั่วซั่ว...ดีนะพี่เค้าเป็นคนดี ถ้าเป็นโจรคงไขเข้าบ้าน ยกเค้าขนของออกมาหมดแล้ว” นพคุณเดินมาเมื่อไหร่ไม่รู้     แต่เขาพูดถูก พริมาหน้าสลดลงมาทันที หล่อนทำเสียเรื่องอีกแล้ว วันนี้...โดนฉกเงิน เข้าโรงพัก แล้วยังจะลืมกุญแจบ้านอีก วันเดียวหล่อนทำเรื่องไว้มากมายเหลือเกิน นพคุณเดินไปแล้ว...เขาพูดให้หล่อนสลดแล้วก็เดินไปขึ้นรถนั่งเรียบร้อย พริมาเห็นเขานั่งยิ้มเพราะได้หาเรื่องว่าหล่อน สาวน้อยหน้ามุ่ยเดินตามเขาเข้าไปนั่งในรถอย่างเซ็งๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา