แก้วนพคุณ

-

เขียนโดย เวลา

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.59 น.

  38 บท
  0 วิจารณ์
  30.03K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) หลงทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันนี้คุณนพรักษ์และภารดีไปทำธุระแต่เช้า พริมาจึงต้องไปโรงเรียนเอง      “ลูกไปเองได้ใช่ไหม? แม่เป็นห่วง” ภารดีถามลูกสาวเมื่อคืน       ความจริงโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลจากบ้านมากนัก พริมาเคยขอมารดาปั่นจักรยานไปด้วยซ้ำ แต่ภารดีไม่ยอม

“ลูกจะขี่จักรยานไปได้ยังไง? นี่เมืองไทยนะ! จักรยานน่ะจากถนนบางทีก็ไปอยู่ใต้ท้องรถ” ภารดีไม่ได้ดูถูกประเทศตัวเอง แต่ความจริงก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ขนาดนักปั่นจักรยานที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ปั่นมาแล้วหลายประเทศ       กลับต้องมาจบชีวิตที่ประเทศนี้ ข่าวก็ดังครึกโครมอยู่หลายปีก่อน

“งั้นลูกแก้วไปแท็กซี่ก็ได้ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง” เด็กหญิงไม่ใช่คนดื้อ แม่ว่ายังไงก็ว่าหยั่งงั้น ความจริงถ้าแม่จะไปส่งที่โรงเรียนก่อนไปทำธุระ     แล้วให้หล่อนรอจนประตูโรงเรียนเปิดหล่อนยังทำได้เลย

“เดี๋ยวผมฝากตาคุณให้พาน้องไปด้วยก็แล้วกันนะคุณพิมพ์” คุณนพรักษ์พยายามหาทางแก้ปัญหา

“ถ้าได้อย่างนั้นฉันก็วางใจค่ะ” ภารดีหันไปยิ้มให้สามี

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ลูกแก้วไปเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกแก้วโตแล้ว โรงเรียนก็ไม่ไกลเลย ลูกแก้วไปเองได้สบายมาก” เด็กหญิงปฏิเสธทันควัน   ให้หล่อนไปกับคุณชายใหญ่เหรอ? ไม่ไหวๆ มีหวังทะเลาะกันไปตลอดทางแน่

“ตามนั้นแหละลูกแก้ว ยังไงก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน ไปกับพี่เขานั่นแหละ เดี๋ยวลุงไปบอกตาคุณเอง” พ่อเลี้ยงหล่อนตัดบท

“ไปกันเถอะคุณพิมพ์เราไปนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า”       คุณนพรักษ์ดันหลังภรรยาออกจากห้องลูกสาว ไปกันแล้ว...ไม่ถามความสมัครใจของหล่อนสักคำ ด้วยความที่คิดวางแผนการไปโรงเรียนทำให้พริมา นอนไม่ค่อยหลับ คิดไปคิดมาหล่อนก็ได้คำตอบ ให้แม่ออกไปก่อนแล้วหล่อนตามออกไปติดๆ...ไปเองนี่แหละ ภารดีออกแต่เช้าหล่อนก็ตื่นเช้าหน่อย...คุณชายใหญ่น่าจะยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ ถึงโรงเรียนแล้วค่อยไลน์บอก...น่าจะโดนบ่นชุดใหญ่ แต่ช่างเถอะ ไม่ไปก็บ่น ไปด้วยกันก็บ่นเหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ

“ไปโรงเรียนยังไงนะ?” พริมานั่งวางแผนการเดินทางอยู่พักใหญ่ ถ้าไปแท็กซี่ ก็ง่ายหน่อย แต่ถ้ามีเวลาหล่อนอยากลองดู...รถสองแถวไปปากซอย ต่อรถเมล์สายเดียวก็ถึงโรงเรียนแล้วสบายมาก คิดได้แล้วก็เข้านอน แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย พริมาทำตามแผน หล่อนรอให้ภารดีออกจากบ้าน ตัวเองก็เตรียมพร้อมแต่งตัวเสร็จก่อนแม่ซะอีก ดูนาฬิกาตีห้าครึ่ง...ตามปกติหล่อนออกจากบ้านหกโมงครึ่ง

“ออกก่อนตั้งชั่วโมงหนึ่งแน่ะ ดีแล้วเผื่อหลง จะได้มีเวลาเผื่อไว้ก่อน” ว่าแล้ว ก็จัดแจงออกจากห้อง ตอนออกไปนั้นหล่อนเห็นประตูห้องนพคุณแง้มอยู่

“ตายแล้ว คุณชายใหญ่ตื่นแล้วเหรอเนี้ย” แบบนี้แผนหล่อนก็ล่มสิ แต่เอ๊ะ! ประตูแง้มไว้ไฟไม่ได้เปิดนี่นา หรือว่ายังไม่ตื่น แต่ปิดประตูไม่สนิท แอบดูหน่อยดีกว่า

“ไม่มีคนนี่นา?” พริมามองรอบห้อง เงียบสนิท นพคุณออกไปแล้ว โธ่! ที่แท้ เขาก็วางแผนไว้แบบหล่อนนั่นแหละ เขาเองก็คงไม่อยากไปโรงเรียนกับหล่อนเหมือนกัน ดี! จะได้ไม่รู้สึกผิดที่ขัดคำสั่งแม่ สาวน้อยออกจากบ้านอย่างสบายใจ ถนนในซอยบ้านคึกคักพอสมควร แม้จะยังเช้าอยู่มาก นั่นไง! สองแถวหล่อนจำได้     เคยเห็นประจำตอนนั่งรถไปโรงเรียนทุกเช้า อารามดีใจพริมารีบวิ่งขึ้นสองแถวนั่งยิ้มสบายใจ ด้วยความที่ยังเช้าถนนโล่ง รถจึงไม่ติด สองแถวของหล่อนวิ่งปรื๋ออย่างไว

“แป๊บเดียวก็ถึงโรงเรียนแล้วสิ น่าจะขอแม่มาโรงเรียนเองแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ ออกเช้าๆ แบบนี้แหละไม่วุ่นวายดี” นั่งไปก็สังเกตบนรถมีหล่อน คุณป้ากับถุงแกง ถุงกับข้าวเต็มสองมือ ผู้ชายสองคนนั่งคุยกัน รวมแล้วทั้งคันมีกันอยู่ 4 คน แปลกจังไม่มีคนนั่งสองแถวกันเหรอ? นั่งไปเรื่อยๆ หล่อนเริ่มจะสังเกตเห็นว่าถนนหนทางมันไม่คุ้นเลย บ้านของพ่อเลี้ยงหล่อนนั้นอยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่มากนัก นั่งรถสองแถวเวลาเช้าแบบนี้ยิ่งถึงเร็ว แต่ทว่าตอนนี้ยิ่งนั่งนานเท่าไรบ้านคนก็น้อยลงทุกที กลายเป็นสวน...บ้านสวนทั้งนั้นเลย คุณป้ากับถุงกับข้าวลงรถแล้วมองหล่อนด้วยสายตาประหลาดใจ...เด็กนักเรียนนั่งรถเข้ามาทำอะไรในซอยลึกแบบนี้ พริมานั่งรถไปสักพัก หล่อนก็คิดได้แล้วว่าคงจะหลงทางแน่ๆ

“ลงดีกว่า ก่อนจะไปไกลกว่านี้” ดูนาฬิกาใกล้จะหกโมงแล้ว ดีนะที่หล่อนเผื่อเวลาออกจากบ้าน แล้วก็เป็นจริงตามคาดซะด้วย...หล่อนหลงทาง! พริมาลงมายืนงง...เหมือนที่วัยรุ่นสมัยนี้ชอบพูดกันว่า “ยืนงงในดงกล้วย” เพราะตอนนี้รอบตัวมีแต่สวนกล้วยสวนมะพร้าว...สวนทั้งนั้น หล่อนไม่เคยเข้ามาในซอยบ้านฝั่งนี้เลย ปกติเคยไปแต่ถนนใหญ่ พอเข้ามาฝั่งนี้เล่นเอางงอยู่เหมือนกัน ยืนรออยู่ตรงนี้ดีกว่าเดี๋ยวก็น่าจะมีรถผ่านมาบ้างแหละ       จากหางตาหล่อนมองเห็นคนพอหันไปดูถึงรู้ว่าผู้ชายสองคนบนรถสองแถว คันเดียวกันก็ลงตรงนี้เหมือนกัน...บังเอิญน่า! บ้านพวกเขาอาจจะอยู่แถวนี้พอดี ผู้ชายทั้งสองคนนั้นต่างกันลิบลับคนหนึ่งตัวสูงขาว อีกคนตัวดำไม่สูงนัก ร่างกายกำยำล่ำสัน แต่แน่นอนว่าทั้งสองคนตัวใหญ่กว่าหล่อน แค่คนตัวดำที่สูงเพียงไหล่คนตัวขาวก็ยังสูงกว่าหล่อนมากมายนัก รอบตัวตอนนี้ไม่มีใครผ่านมาเลย...มีแค่หล่อนกับผู้ชายสองคนนั้น

“เดินไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า” พริมาเริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ พลางเหลือบตามองผู้ชายสองคนที่เดินอยู่ด้านหลัง ตอนนี้หกโมงกว่าๆ เช้าแล้ว สว่างแล้ว หล่อนพูดปลอบใจตัวเองอยู่ในใจ แต่พริมาเห็น...สองคนนั่นกำลังซุบซิบอะไรกันสักอย่าง หล่อนเห็นพวกเขาคุยกันและมองมาทางหล่อน...เด็กหญิงเร่งฝีเท้า พวกเขาก็ดูเหมือนเร่งฝีเท้าเหมือนกัน งั้นวิ่งดีกว่า! พริมาออกแรงวิ่งสุดกำลังเท่าที่เท้าของหล่อนจะพาไปได้  และดูเหมือนด้านหลัง ผู้ชายสองคนก็วิ่งด้วยเหมือนกัน หล่อนกลัว...กลัวมาก ตอนนี้หล่อนโทษตัวเองถ้าหล่อนไปแท็กซี่ ไม่คิดอยากลองเดินทางเองแบบนี้ หรือถ้าจะให้ถูกยอมถูกบ่นไปตลอดทาง แล้วไปกับนพคุณอย่างที่แม่บอก หล่อนคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้    คิดแล้วน้ำตาเด็กหญิงก็ไหลพราก ถ้าหล่อนเป็นอะไรไปแม่จะอยู่อย่างไร ความผิดหล่อนเอง ตลอดเวลาที่วิ่งอยู่นั้น พริมาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกด้านหลัง แต่หล่อนไม่กล้าแม้จะหันไปมอง ทันใดนั้นข้างหน้า...ถนนฝั่งด้านหน้า          มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังวิ่งสวนมา และดูเหมือนว่าจะเห็นเหตุการณ์พอดี รถวิ่งสวนเลยหล่อนไปแล้วเด็กหญิงยังวิ่งต่อไป ผู้ชายสองคนด้านหลังก็ดูเหมือนยังวิ่งตามมาอยู่ อย่างน้อยถ้าวันนี้หรือพรุ่งนี้มีข่าวหล่อนโดนฆ่าหมกป่า ก็ยังดีที่อาจจะมีคนพอเห็นเหตุการณ์อยู่บ้าง

“นี่! เธอ เด็กนักเรียน” เสียงผู้ชาย! พริมาไม่หันไปมอง หล่อนวิ่งต่อไป...ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ แต่หยุดไม่ได้ เด็กหญิงภาวนา...อย่างน้อยก็น่าจะมีบ้านคนบ้างแหละ

“เด็กนักเรียน!” คราวนี้น้ำเสียงขุ่น หล่อนชินแล้ว ที่บ้านก็มีอยู่คนหนึ่งที่ชอบให้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อน...นั่นไง! บ้านคนอีกนิดเดียว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เด็กหญิงหยุดฝีเท้าแทบไม่ทัน มอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งมาดักหน้าหล่อนแบบเฉียดฉิว พริมาใจหายยืนหายใจหอบมองคนบนมอเตอร์ไซค์อย่างกังวล ผู้ชายแน่ๆ ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันนี้ ใช่แล้ว!มอเตอร์ไซค์คันที่ขี่สวนทางไปเมื่อกี้นั่นเอง เขาเห็น! เขากลับมาช่วยหล่อน พริมายิ้มใส่รถมอเตอร์ไซค์ จนตาหยี ถ้าตอนนี้หล่อนวิ่งเข้าไปกอดเขาได้คงทำไปแล้ว

“จะวิ่งทำไมนักหนาเนี้ย เรียกตั้งนานแล้วนะ” คนขี่มอเตอร์ไซค์เปิดหน้ากากหมวกกันน็อค เผยให้เห็นโฉมหน้าคนพูดอย่างชัดเจน ถ้าดูจากหน้าตา เขาน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนพคุณ แต่ถ้าดูจากชุด...พริมามองไม่เห็น เพราะเด็กหนุ่มใส่เสื้อผ้ามิดชิด

“โรงเรียนสารสินทร์ใช่มะ? “ เด็กหนุ่มถามเสียงห้วน น้ำเสียงดีขึ้นกว่าตอนแรก คงเพราะจากสภาพที่เห็นเด็กผู้หญิงตรงหน้า...ผมเปียสองข้างชี้โด่เด่ เหงื่อแตกชุ่มจนเสื้อเปียกไปหมด ดีว่าหล่อนใส่เสื้อสองชั้นไม่งั้นเสื้อนักเรียน  สีขาวที่ผ้าบางแบบนั้นคงเห็นไปถึงไหนต่อไหน แล้วคราบน้ำตา... เด็กนี่คงกลัวน่าดู วิ่งไปร้องไห้ไป แต่ตอนที่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปนั้น ถ้าไม่เห็นว่ามีผู้ชายสองคนวิ่งไล่ตามเด็กผู้หญิง เขาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วย หรือร้องโวยวายจากเด็กหญิงเลย หล่อนเพียงแต่มองมาเท่านั้น ...อึดเป็นบ้า

“ใช่ค่ะ” พริมาตอบเสียงแผ่ว เพราะยังเหนื่อยจากการวิ่ง หล่อนตอบพลางหอบหน้าดำหน้าแดงไปด้วย

“งั้นก็ขึ้นมาสิ ไม่มีหมวกกันน็อคให้นะ เดี๋ยวเลี่ยงทางที่ไม่มีตำรวจ”

“__”

“เอ้า! จะยืนอยู่อีกนานไม๊น้อง? ถ้าไม่ไปพี่จะไปแล้วนะ แล้วแถวนี้มันเปลี่ยว จะตายมาวิ่งออกกำลังกายอะไรแถวนี้ หน้าตาก็ไม่คุ้น หลงทางมาล่ะซิ นั่นอ่ะ! ไอ้สองตัวข้างหลังนั่น น้องรู้รึเปล่าว่าตัวท๊อปเลยนา น้องนี่โชคดีจริงเชียว มาวิ่งออกกำลังกายใส่ชุดนักเรียนกับขี้ยาร่างกำยำสองคน งั้นพี่ไม่ขัดแล้วนะไปล่ะ” ว่าจบเด็กหนุ่มก็หันหัวรถมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว พริมาไม่พูดมากหล่อนกระโดดขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ทันที ในชีวิตหล่อนยังไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ใครเลย ไปไหนแม่ก็ไปส่งตลอด แถมมอเตอร์ไซค์นี่ก็คันใหญ่ชะมัดยาด

“กอดเอวด้วย รถพี่แรงเดี๋ยวก็ร่วงลงไปกองกับพื้นหรอก” ไม่ว่าเปล่า เด็กหนุ่มจับมือพริมามาโอบเอว เด็กหญิงขืนตัวด้วยความตกใจ หนีจากขี้ยา สงสัยจะมาเจอหัวงู ไม่ต้องรอแก่เฒ่าก็เป็นหัวงูได้

“ถ้าไม่จับก็ลงไป พลาดพลั้งตกรถไปเป็นคดีความวุ่นวายพี่ไม่เอาด้วยหรอกนะ แล้วแต่เลยเอาที่สบายใจนะน้อง...หรือจะไปวิ่งเล่นกับขี้ยาอีกรอบก็ได้นะ” เด็กหนุ่มเหลียวหน้ามามอง พร้อมกับหลิ่วตาไปยังขี้ยาสองคนที่ยืนมองอยู่ พริมาไม่คิดนานหล่อนเอื้อมมือไปจับเอวเด็กหนุ่มไว้ทันที

“ไปค่ะไป จับแน่นเลยค่ะพี่”

หนุ่มน้อยบิ๊กไบค์พาหล่อนกลับไปทางเดิมที่รถสองแถวพามา หุย...ผ่านหน้าบ้านด้วย พริมายิ้มแห้งๆ นี่ถ้าแม่มาเห็นคงช็อคน่าดู อยู่ๆ ลูกสาวคนเดียว มานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แถมโอบเอวผู้ชายอีกต่างหาก ว่าแล้วก็ก้มหน้าไว้ก่อนดีกว่า พริมา เริ่มจะคิดได้ก็ตอนนั่งรถย้อนกลับออกไป...หล่อนคงขึ้นรถสองแถวผิดฝั่ง แทนที่จะไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม...ฝั่งที่พาไปหน้าปากซอย กลับขึ้นรถฝั่งที่พาเข้าไปในซอยแทน คงเพราะอารามดีใจที่รถมา หล่อนเลยวิ่งขึ้นรถทันที...ไม่ทันคิด!!!

“บ้านอยู่ซอยนี้เหรอ?” หนุ่มบิ๊กไบค์ถามตอนที่รถจอดนิ่งติดไฟแดง เพราะใกล้จะเจ็ดโมงเช้ารถเริ่มจะติดในซอยแล้ว

“ค่ะ” พริมมาตอบสั้นๆ หล่อนไม่กล้าบอกเขาว่าขึ้นรถผิดฝั่ง ไม่รู้ว่าจะน่าสงสารหรือสมน้ำหน้าดี ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว มันเป็นการหลงทางแบบไม่น่าให้อภัย จะเล่าให้ใครฟังก็คงจะน่าอาย

“พี่ล่ะคะ?” ถ้าให้เขาชวนคุยอยู่ฝ่ายเดียวก็จะเสียมารยาทเกินไปหน่อย

“ก็เลยจากตรงที่เจอน้องไม่ไกลหรอก บ้านลุงเจริญอ่ะ...รู้จักป่ะ?”

“ไม่รู้จักค่ะ แหะๆ ลูกแก้วไม่เคยเข้าไปในซอยลึกขนาดนั้นมาก่อน     เพิ่งได้เข้าไปวันนี้วันแรกเลยค่ะ”

“นั่งรถสองแถวผิดฝั่งอ่ะดิ ฮ่าๆ” หมอนี่เป็นหมอดูรึไงนะ รู้ได้ยังไงว่าหล่อนนั่งรถผิดฝั่ง...ไม่ตอบดีกว่า บางทีเขาอาจจะเดามั่วไปเรื่อย จังหวะรถในซอย ขยับพอดีจึงเป็นอันว่าสิ้นสุดการสนทนา หนุ่มบิ๊กไบค์พาหล่อนเข้าซอยอีกซอย หลบจากถนนใหญ่ ไปโผล่หน้าโรงเรียนได้เหมือนกัน เขาขี่รถไปจอดในโรงเรียน ล็อคล้อเก็บหมวกถอดเสื้อคลุมเก็บเรียบร้อย หล่อนจึงได้รู้ว่าเขาก็เป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันนั่นเอง

“ขอบคุณนะคะพี่...คเชนทร์” พริมาเหลือบมองชื่อเด็กหนุ่มพร้อมยกมือไหว้ เด็กหนุ่มยิ้มรับ พร้อมมองหน้าเด็กหญิงนิ่ง

“พี่ว่าเราไปล้างหน้าซะหน่อยดีกว่านะ ดูไม่ได้เลยขอบอก” เขาบอกพร้อมหัวเราะเบาๆ พริมาก็พอจะเดาออก สภาพหล่อนตอนนี้คงดูแย่ เด็กหญิงยิ้มแหยๆ ให้เขาพร้อมโบกมือลา ตาก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ที่กระเป๋าเป้ของเขา

“อุ๊ยนั่น! นพคุณ” หล่อนอุทานเบาๆ พร้อมทำตาโต พวงกุญแจนั่นน่ารักเหลือเกิน

“นพคุณ? อะไร?” คเชนทร์สงสัย เด็กนี่เพี้ยนหรือเปล่า ตั้งแต่วิ่งในดงกล้วยแล้ว

“อ้อ...ขอโทษค่ะ พอดีพวงกุญแจของพี่เชนเหมือนไก่แจ้ที่บ้านเลยค่ะ ลูกแก้วก็มีไก่แบบนี้ที่บ้าน ชื่อนพคุณ” เด็กหญิงตอบข้อสงสัยของเขา      พร้อมอวดรูปไก่ในมือถือ

“อ๋อชื่อไก่นี่เอง...ว่าแต่เรียกพี่ว่าตุลย์ก็ได้นะ พี่ชื่อตุลย์ไม่ใช่เชน        พวงกุญแจนี่พี่สาวพี่ทำเองล่ะ นางชอบประดิดประดอย ช่วงนี้ก็บ้าทำพวงกุญแจ มีสัตว์ทุกอย่างแหละแต่ที่พี่เลือกไก่ก็เพราะที่บ้านก็มีอยู่ฝูงหนึ่งเหมือนกัน...นี่ไง” คเชนทร์เอารูปไก่ในมือถืออวดพริมาเช่นกัน เขาเริ่มถูกชะตาเด็กนี่แล้วสิ    เจอเซียนไก่ด้วยกันแบบนี้ค่อยคุยกันยาวหน่อย เขาขอเบอร์เด็กหญิงไว้       ซึ่งตอนนี้ดูหล่อนจะพูดไม่หยุดเรื่องไก่แจ้ของหล่อน แต่ใกล้เวลาเข้าเรียนพอดี คงต้องไว้เจอกันคราวหน้า แลกเบอร์เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียน      พริมารีบวิ่งไปอย่างไว หล่อนจะต้องไปล้างหน้า พร้อมกับถักเปียใหม่เสียหน่อย คเชนทร์มองตามเอียงคอสงสัย

“เด็กนี่...น่าจะไปสมัครวิ่งมาราธอนนะ อึดดี” เด็กหนุ่มมองตามจนเด็กหญิงวิ่งหายลับตาไป

 

   ตอนเย็นแม่มารอรับหล่อนเช่นเคย พอเห็นรถแม่หล่อนแทบ     อยากจะพุ่งเข้าไปกอด...ไม่เอาแล้วไปโรงเรียนเองก็สนุกดี แต่น่ากลัวมากกว่า ต่อไปนี้หล่อนจะไม่ดื้อกับแม่แล้ว เกือบเหลือแต่ชื่อแล้วไหมล่ะ

“แม่ทำธุระเสร็จแล้วเหรอคะ? มาถึงกี่โมงคะ? เหนื่อยไหมคะ?” พริมา ถามแม่มาเป็นชุด ภารดีรู้แล้วว่าลูกสาวไม่ได้มาโรงเรียนพร้อมกับนพคุณเมื่อเช้านี้ เพราะหนุ่มน้อยโทรมารายงานพ่อเขาตั้งแต่เช้า

“ลูกเลี้ยงพ่อออกจากบ้านไปก่อนแล้วนะครับ ผมไปดูที่ห้องก็ไม่เจอ ไม่ใช่ความผิดผมนะ ยัยนั่นไม่อยากไปกับผมเอง” นพคุณโทรไปรายงาน     คุณนพรักษ์ตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้า นพคุณออกไปวิ่งตั้งแต่ตีห้า เมื่อคืนพ่อเข้ามา บอกเขาแล้วว่าตอนเช้าให้พายัยลูกแก้วไปโรงเรียนด้วย เดี๋ยวนี้พ่อเห็นเขาเป็นอะไร พี่เลี้ยงเด็กหรือยังไง? อีกอย่างเด็กนั่นก็โตแล้ว ทำไมไม่ให้ไปเอง ถึงจะเป็นเด็กหญิงอายุ 14 แต่ไม่เกินปีนี้เจ้าหล่อนก็น่าจะเปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กหญิงเป็นนางสาวแล้วแน่นอน น่าจะหัดทำอะไรเองบ้างได้แล้ว             เขาอยากจะเถียงและไม่ยอม...แต่ก็นะ ถ้าสถานการณ์มันจำเป็นเขาก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตเกินไปนัก

“ครับ” นพคุณรับคำสั้นๆ กลับเข้าห้อง แล้วนั่งคิดทางไปโรงเรียนที่อ้อมไปไกลกว่าเดิมสักหน่อย แถมขึ้นรถก็หลายๆ ต่อ ดูสิยัยตัวปัญหาจะทำหน้ายังไง ไม่เคยลำบากแบบนั้นต้องเล่นให้หนักๆ ว่าแล้วก็เข้านอน พรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าไปวิ่งก่อน แล้วค่อยไปโรงเรียน เขากลับเข้าบ้านมาก็เกือบๆ หกโมงเช้า บ้านเงียบจัง หรือว่ายัยเพี้ยนยังไม่ตื่น ไอ้ไก่บ้าก็ยังไม่ตื่น พักหลังๆ มานี้มันขันมั่วไปหมด ขันตามใจมันนั่นแหละ เลี้ยงตามใจจนเสียไก่ ว่าแล้วก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่ไม่วายแวะไปเคาะประตูห้องยัยตัวปัญหาก่อน ถ้ายัยนั่นยังไม่ตื่นจะพลอยทำเขาไปโรงเรียนสาย

“ก๊อกๆ” เงียบ ไม่มีเสียงตอบ...หรือจะนอนขี้เซา

“ก๊อกๆๆ” คราวนี้เคาะดังและถี่ขึ้น...ก็ยังเงียบไม่มีเสียงตอบรับจากในห้อง เขาจึงลองบิดลูกบิดประตูดู

“ไม่ได้ล็อกแฮะ” ภาพในห้องคือเตียงพับเก็บเรียบร้อย ห้องน้ำก็ไม่มีคนอยู่ เฮอะ! เด็กนั่นไปโรงเรียนแล้ว ไม่บอกกันสักคำให้ตายเถอะ ยัยเด็กนี่ไร้มารยาทที่สุด แต่ก็ดี...เขาเองก็ไม่ได้อยากจะไปโรงเรียนพร้อมกับหล่อนนักหรอก

“อยากไปเองก็ตามใจ” นพคุณออกมาจากห้องของเด็กหญิงแล้วก็หยิบโทรศัพท์โทรหาพ่อ จะได้บอกให้รู้ว่าลูกเลี้ยงคนดีของพ่อเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ลับหลังพวกเขา หล่อนไม่ได้แสนดีว่านอนสอนง่ายอย่างที่แม่เลี้ยงปากแดงของเขาชอบพูดโอ้อวดเลยสักนิด แล้วพ่อจะมาโทษหรือกล่าวหาเขา            ในภายหลังไม่ได้เด็ดขาด หลังจากเสร็จภารกิจรายงานความประพฤติของลูกเลี้ยงพ่อเขาแล้ว นพคุณก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว จะหกโมงครึ่งแล้ว           เขาเสียเวลามามาก กว่าจะออกจากบ้านก็เกือบเจ็ดโมง ขณะเดินไปเรียกแท็กซี่นั่นเอง เขาเห็นพริมานั่งมอเตอร์ไซค์โอบเอวผู้ชายผ่านหน้าไป

“ฮึ! อยากให้ยัยภารดีปากแดงนั่นมาเห็นธาตุแท้ลูกสาวตัวเองจัง      นัดผู้ชายแว๊นไปโรงเรียนแบบนี้ ดูท่าว่าเด็กนั่นจะใช่ย่อยทีเดียว” พริมาคงไม่ต่างจากแม่หล่อนนักหรอก...คงแรดไม่ต่างกัน!

 

ภารดีรู้ข่าวจากคุณนพรักษ์แล้วว่าพริมาไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกับนพคุณ     แต่ลูกสาวตัวดีของหล่อนหนีไปโรงเรียนก่อนตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า       ภารดีอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติพริมาไม่เคยขัดคำสั่งหล่อนเลย หล่อนจึงอยากถามเหตุผลของลูกสาวก่อนจะว่ากล่าวอะไร

“เมื่อเช้าเป็นยังไงมั่งล่ะ มาโรงเรียนเองวันแรก” ภารดีถามลูกสาวเสียงเรียบ เหมือนชวนคุยเรื่องธรรมดาทั่วไป

“สนุกดีค่ะ แต่ไม่ไหวน่ากลัวเกินไปลูกแก้วมากับแม่เหมือนเดิมดีกว่า” เด็กหญิงตอบไปเรื่อยๆ เพราะไม่คิดว่ามารดาจะรู้เรื่องอะไร นพคุณเองก็คงไม่ได้บอกพ่อเขากระมังว่าไม่ได้มาพร้อมกัน ก็เขาเล่นหนีไปโรงเรียนก่อนเหมือนกันนี่นา ยังไงซะเงียบๆ ไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า

“น่ากลัว? มีอะไรน่ากลัวเหรอลูก ก็แค่นั่งรถไปโรงเรียนพร้อมพี่เค้า” ภารดีถามไปเรื่อยๆ หล่อนรู้ว่าลูกสาวโกหกไม่เก่ง หลอกถามไปเรื่อยๆ       เดี๋ยวความลับก็แตกก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ตัวซะอีก

“เอ่อ...ก็ถนนน่ะค่ะ ลูกแก้วว่าสมัยนี้คนขับรถกันน่ากลัว” เหงื่อเริ่มแตกแล้ว หล่อนรู้ตัวดีว่าไม่เคยโกหกแม่ได้สำเร็จ มีทางเดียวคือต้องชวนแม่คุยเรื่องอื่นไม่อย่างนั้นความลับหล่อนแตกแน่นอน

“แม่ไปทำธุระเป็นยังไงบ้างคะ ไปอยุธยาซื้อโรตีสายไหมมาฝากลูกแก้วรึเปล่า” ลูกสาวพยายามชวนคุยเปลี่ยนเรื่องอย่างสุดฤทธิ์

“มีสิคะ แม่รู้ว่าลูกชอบโรตีสายไหมอยุธยาซื้อมาให้เต็มเลย เจ้าอร่อยเหมือนเดิมโอเคมะ?” ภารดียิ้มหวานให้ลูกสาว แม่ของหล่อนสวย พริมาอยากสวยเหมือนแม่ แต่เสียดายที่หล่อนเป็นลูกครึ่ง แล้วหน้าตาก็น่าจะไปทางพ่อมากกว่า โดยเฉพาะตา...ตาสีน้ำตาลอมเขียว

“แล้วเมื่อเช้าลูกออกจากบ้านกี่โมงล่ะ รถติดไหม? กรุงเทพฯ นี่น่าเบื่อนะ รถติดได้ทุกวัน วันทำงานก็ติด วันหยุดยิ่งแล้วใหญ่ ติดหนักกว่าวันทำงาน เมื่อเช้าแม่ว่าแม่ออกแต่เช้าแล้วนะ ให้ตายสิยังไปติดแหงก อยู่ปากซอยตั้งนาน สงสัยคราวหน้าถ้ามีธุระเร่งด่วนคงต้องวางแผนออกจากบ้านให้เร็วกว่านี้อีกนะเนี้ย”

“จริงเหรอคะ? แต่ตอนลูกแก้วออกไปตีห้าครึ่ง รถยังโล่งอยู่เลยนะคะ ลูกแก้วออกตามหลังแม่ไปติดๆ ทำไมรถติดไม่เหมือนกัน” เด็กหญิงแปลกใจ เพราะตอนที่หล่อนออกจากบ้าน รถบนถนนแทบจะยังไม่มี

“ตีห้าครึ่ง? ลูกออกจากบ้านตีห้าครึ่งเหรอ? แปลกจัง แต่ตาคุณบอกคุณนพว่าออกจากบ้านเจ็ดโมง แล้วลูกออกไปทำอะไรตีห้าครึ่งเหรอคะ” อยากจะตบปากตัวเองนัก พริมารู้แล้วว่าแม่หล่อนต้องรู้อะไรมาแน่ นพคุณ...คุณชายใหญ่ตัวดีโทรฟ้องพ่อสินะว่าหล่อนไม่ได้ไปกับเขา เขาทำได้ยังไงตัวเองหนีไปก่อนแท้ๆ ยังมีหน้าไปฟ้องพ่ออีก

“เอ้อ...ความจริง อืม...ลูกแก้วไม่ได้มาโรงเรียนพร้อมคุณชาย เอ้ย!   คุณนพคุณหรอกค่ะ ลูกแก้วนั่งรถมาเอง” หล่อนยั้งไว้ไม่เล่าทั้งหมดดีกว่า      ไม่งั้นมีหวังแม่หล่อนหัวใจวายตายพอดี

“แล้วทำไมลูกไม่มาพร้อมตาคุณล่ะ รับปากแม่ไว้แล้ว ถ้าไม่อยากมาก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก” คราวนี้ภารดีหันมามองหน้าลูกสาวตรงๆ หล่อนแค่อยากรู้...ไม่ได้ถามคาดคั้นอะไรนัก

“ลูกแก้วขอโทษค่ะที่ไม่ได้บอก เพราะว่าลูกแก้วไม่อยากให้แม่เป็นห่วง แล้วก็ไม่อยากให้แม่กับคุณลุงไม่สบายใจ ลูกแก้วคิดว่าโรงเรียนก็ใกล้แค่นี้เองน่าจะไปเองได้ แต่ตอนนี้ไม่อยากมาเองแล้วค่ะ ลำบากแหะๆ มากับแม่สะดวกกว่าเยอะ” พริมาเข้าไปหอมแก้มภารดีฟอดใหญ่

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย ความจริงถ้าลูกจะมาเอง แม่ก็ไม่ว่านะ ลูกโตแล้ว แต่ขอให้บอกกันตรงๆ แม่เข้าใจ” ภารดีพูดจากใจจริง หล่อนอยากให้ลูกสาวทำอะไรเองได้ตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดเวลาภารดีเลี้ยงลูกตามใจก็จริง แต่ก็มีขอบเขต และดูเหมือนว่าขอบเขตของหล่อนจะใหญ่กว่าความต้องการของลูกสาวด้วยซ้ำ พริมาไม่เคยเรียกร้องอะไรหรือทำอะไรให้หล่อนลำบากใจเลย อาจเป็นเพราะหล่อนอายุห่างจากลูกสาวไม่มากนัก จนหลายคนก็ยังทักว่าเป็นพี่สาวกับน้องสาวด้วยซ้ำ ก่อนจะมาอยู่กินกับคุณนพรักษ์ ภารดีมักหากิจกรรมทำพร้อมลูกสาวตลอดที่มีเวลาว่าง ถึงแม้จะมาอยู่ที่นี่หล่อนก็ยังหาอะไรที่จะสามารถทำด้วยกันได้...เพียงแต่ตอนนี้ต้องคิดกิจกรรมเพิ่มเพราะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น แม้สมาชิกบางคนจะดูไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม พริมาหัวเราะเสียงใส หล่อนรักแม่...แม่เข้าใจหล่อนเสมอ แม่บอกว่าไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถ้าพริมาอยากได้อะไร อยากเป็นอะไร แม่จะเข้าใจทุกอย่าง...ภารดีเคยบอกถึงขนาดว่าถ้าพริมาใจแตก แล้วมีลูกก่อนวัยอันควร หล่อนก็จะไม่ว่าสักคำ เพราะภารดีเองก็เคยทำ ถ้ากรรมจะตามทันหล่อน ก็พร้อมรับเสมอ

“ทำไมแม่พูดแบบนั้นล่ะคะ ลูกแก้วไม่มีแฟนหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ใจแตก ไม่มีลูกก่อนวัยอันควรแน่นอน ลูกแก้วจะตั้งใจเรียน (แม้จะไม่ค่อยชอบ)      จะเป็นเด็กดี เชื่อฟังแม่ คุณตาแล้วก็คุณยายนะคะ” เด็กหญิงตอบแบบนี้หล่อนก็ปลื้มใจ หล่อนคิดไม่ออกว่าถ้าพริมาแสบแบบหล่อน หล่อนจะรับได้จริงอย่างที่พูดหรือเปล่า แต่ยังไงก็ถือว่าหล่อนโชคดีมากที่มีลูกสาวที่น่ารักและเชื่อฟัง เมื่อนึกถึงตอนนี้ทีไรหล่อนยิ้มได้ทุกที ลูกสาวตัวน้อยของหล่อนพูดเรื่องนี้ไว้หลายปีแล้ว และตอนนี้พริมากำลังเข้าสู่วัยรุ่น...อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเด็กหญิงก็จะกลายเป็นนางสาว...เป็นสาวเต็มตัว คิดถึงเรื่องเก่าที่เคยคุยกันนานมาแล้ว ภารดีนั่งมองลูกสาว พริมาจะโตขึ้นมาเป็นสาวสวยแน่นอน จากเด็กหญิงตอนนี้...หล่อนจะกลายเป็นหญิงสาวสวยน่ารัก ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้ม...ตัวเล็กนิดเดียว ที่โดดเด่นน่าจะเป็นตา...ตาสีน้ำตาลอมเขียว หล่อนชอบมองตาของลูกสาว มันมีเสน่ห์ชวนมอง ยิ่งตอนเด็กๆ พริมาน่ารักเหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด และเพราะลูกสาวคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้หล่อนเข้าบ้านได้ ภารดีเป็นลูกคนเดียว ด้วยความที่พ่อกับแม่เลี้ยงหล่อนตามใจ ทำให้ภารดี เอาแต่ใจตัวเองและดื้อพอตัว และเพราะความดื้อแพ่งของหล่อนนี่แหละ       ที่ทำให้หล่อนทำเรื่องร้ายๆ มากมายนัก ใครว่าอะไรหล่อนไม่เคยสนใจและ หาเรื่องเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบ สมัยเด็กๆ เรียกได้ว่าถ้าใครมีเรื่องกับหล่อนถือว่าดวงซวยสุดๆ เพราะถ้าหล่อนไม่ปล่อย อย่าหวังว่าเรื่องจะจบง่ายๆ     จากเด็กที่ร้ายกาจกลายเป็นสาว...ภารดีจัดว่าเป็นคนสวย มีหนุ่มๆ มาตามจีบหล่อนมากมาย และภารดีก็ชอบมันทำให้หล่อนเป็นที่สนใจ...ใครๆ ก็สนใจ พ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้หล่อนมากนัก กว่าพ่อกับแม่จะรู้ตัวภารดีก็เกินเยียวยา...กว่าจะมาสำนึกได้ก็เกือบสาย...ในภายหลังความร้ายกาจของหล่อนก็ยังเป็นที่พูดถึงอยู่ในหมู่เครือญาติ

“มีลูกสาวแบบนี้ก็ลำบากอยู่เหมือนกันนะ ดื้อน่าดูเลยสิ?” ป้าข้างบ้านถามพ่อกับแม่หล่อน ตอนที่หล่อนหอบลูกกลับบ้านมานั้น พริมาอายุได้ 2 ขวบ

“ก็ลำบากอยู่นะ แต่ก็ยังดีที่มันคิดได้” คุณประภาศรีตอบ ขณะพาหลานสาวตัวน้อยของหล่อนไปเดินเล่น เด็กหญิงเลี้ยงง่ายน่ารัก ใครผ่านมาเห็นก็เหลียวมองทุกคน

“ถ้าเป็นลูกฉันนะ ฉันตัดขาดไปนานแล้ว” ป้ายังไม่วายเสี้ยมต่อ   สายตาไม่วายเหลือบมองเด็กหญิงตัวน้อย ที่ตอนนี้หยอกล้ออยู่กับคุณตา

“ตัดไม่ได้หรอก ก็มันเป็นลูก...อีกอย่างฉันมีลูกคนเดียว ถ้าตัดขาดมันแล้ว แก่ไปใครจะมาดูแล นี่ก็ดีซะอีกที่มันไม่เอาผัวฝรั่งกลับมาด้วย เอาแต่หลานมาให้เลี้ยงแก้เหงา ดูสิหลานตาหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเลย” คนเป็นตาหันไปหยอกล้อกับหลานสาวคนสวย เด็กหญิงหัวเราะร่า ตอนพริมา มาใหม่ๆ หล่อนยังพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่หล่อนเข้าใจทุกคำและหลานสาวดูจะติดคุณตาคุณยายมากกว่าแม่เสียอีก

“ตา...ตา” เด็กหญิงเรียกคุณตา ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะชอบใจ เข้าไปอุ้มพาเด็กหญิงเดินเลี่ยง“ ป้าเสี้ยม” ไปทางอื่น

“ไปเดินเล่นไกลๆ กันดีกว่าเน๊อะ อะไร? หนูอยากลงเดินเหรอ? ไปๆ   จับมือจูงตาไปเลย หนูอยากจะไปทางไหน” สองตาหลานเดินห่างออกไป เหลือผู้เป็นยายยืนรับหน้าป้าข้างบ้าน

“โชคดีแล้วล่ะที่มันกลับมา แล้วก็โชคดีไปอีกที่มันกลับใจได้ ตอนนี้    ลูกสาวฉันน่ะมันดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ฉันก็ไม่รู้มันจะคิดได้รึเปล่า อีกอย่างได้หลานมาก็ไม่เสียหายอะไร เด็กฝรั่งนี่น่ารักดีเน๊อะ” คนเป็นยายปลื้มหลานสาวมาก...ดูเหมือนป้าเสี้ยมจะเหนื่อยเปล่า พอนานวันเข้าหล่อนรวมถึงชาวบ้านก็ลืม อย่างที่เค้าว่ากันนั่นแหละ คนไทยลืมง่าย กลายเป็นว่าหลังจากนั้นสองตายายกลายเป็นที่อิจฉาของคนรอบข้าง เพราะจากความผิดพลาดของลูกสาว ภารดีกลับมาแก้ตัวใหม่ หล่อนก็เหมือนคนหลงทางที่พอหาทางกลับมาได้...มาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง หล่อนก็ไปได้ไกลจนหลายคนคิดไม่ถึง จากการหลงทางในวันนั้นทำให้หล่อนมีวันนี้ วันที่มีลูกสาวแสนดีที่น่ารักรวมถึงมีอะไรดีๆ อีกหลายอย่าง ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ หล่อนก็คงจะไม่แก้ไขอะไร อ้อ...อาจจะทำตัวดีกับพ่อแม่ให้มากกว่านี้สักหน่อย อย่างอื่นหล่อนไม่อยากเปลี่ยน บ่อยครั้งที่ภารดีชอบนั่งคิดถึงความหลัง   เพราะมันทำให้หล่อนนำมาใช้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

“เดี๋ยวเราแวะหาซื้อของกันก่อนกลับบ้านนะ วันนี้หนูอยากกินอะไร?” ภารดีถามลูกสาว แล้วเด็กหญิงก็ร่ายยาวถึงสิ่งที่อยากกินเยอะแยะไปหมด สองแม่ลูกถกกันไปตลอดทาง วันนี้ช่างยาวนานเหลือเกินและโชคดีที่เรื่องมันจบลงไปด้วยดี พริมาไม่อยากโกหกแม่และถึงหล่อนจะโกหกก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ...แม่มักจับโกหกหล่อนได้เสมอ พอถึงร้านอาหารที่ทั้งสองตกลงกันได้ เด็กหญิงก็เล่าเรื่องที่หล่อนไปเจอมาให้มารดาฟังอย่างออกอรรถรส พริมาเล่าให้ภารดีฟังว่าเมื่อเช้าหล่อนเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง (ยกเว้นตอนที่ขี้ยาสองคนวิ่งไล่หล่อน) ภารดีนั่งฟังตาโต แม่หล่อนตื่นเต้นไปด้วยจนพริมาเองนึกขำ

“แล้วหนุ่มบิ๊กไบค์หล่อไหม? อยู่โรงเรียนเดียวกันเหรอ วันหลังชวนมาบ้านนะแม่จะเลี้ยงข้าว” ภารดีตื่นเต้นถามมาเป็นชุด

“โรงเรียนเดียวกันกันค่ะ ชื่อพี่ตุลย์ อยู่ ม.ปลาย ตอนแรกลูกแก้วก็ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะพี่เค้าใส่เสื้อคลุมทับไว้ “ พริมาเล่าให้มารดาฟังแจ้วๆ หล่อนเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ประสบการณ์เดินทางคนเดียวครั้งแรกของหล่อนคงจะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน

“แล้วพี่เค้าก็หล่อมากกกกก” พริมาหัวเราะเสียงใสตอบคำถามมารดา

“หล่อเหมือนพระเอกหนังอินเดียเลยค่ะ คมเข้มมาดแมนแฮนซั่ม ตัวสูงใหญ่ นี่ถ้าแม่ยังไม่มีแฟนนะ ลูกแก้วจะจีบให้แม่ อิอิ” ภารดีหัวเราะขำไปกับความคิดลูกสาว

“เดี๋ยวก่อนๆ ใจเย็นๆ อยู่ๆ จะหาคุกหาตะรางมาให้ แม่ไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกนะ อืม...ยังไงก็อย่าลืมชวนมาเที่ยวบ้านล่ะ ชักอยากเจอแล้วสิ” เสร็จจากกินข้าว ภารดีควงแขนลูกสาวไปเดินเล่นซื้อของในห้างสรรพสินค้าอีกพักใหญ่ หญิงสาวโทรบอกสามีว่าไม่ต้องรอกินข้าวเย็น หล่อนกับลูกสาวจะหาอะไรกินกันนอกบ้านและอาจจะกลับค่ำหน่อย

“ช่วงนี้เราไม่ได้ออกมาช้อปปิ้งกันเลย วันนี้จัดให้หนักซะหน่อย ไปเร็ว...ลูกแก้ว วันนี้ลูกมีความผิดนะ แม่จะทำโทษด้วยการให้เดินถือของ” ลูกสาวแกล้งทำหน้าสำนึกผิดและเสียใจที่ถูกทำโทษ แต่แววตาวิบวับ

“ได้ค่ะ แล้วแต่แม่จะใช้เลย ลูกแก้วผิดไปแล้ว” พริมารีบประจบเอาใจแม่ หล่อนดีใจที่วันนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ประสบการณ์การหนีไปโรงเรียนเองวันนี้ หล่อนคงจำฝังใจไปอีกนาน...ไม่เอาแล้ว! เข็ดไปจนตาย!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา