แก้วนพคุณ
-
1) บทนำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เช้าแรกในรอบหลายเดือนที่นพคุณกลับมาอยู่บ้าน หลังจากอยู่โรงเรียนประจำมาตลอดเทอม แทนที่จะเป็นการนอนหลับอย่างเป็นสุข กลายเป็นว่ากว่าเด็กหนุ่มจะข่มตาหลับลงได้ ก็ปาไปเกือบเช้า เมื่อคืนเขามีเรื่องให้ต้องคิดจนนอน ไม่หลับ แต่พอจะหลับก็นอนไม่ได้ เขาจำได้ว่าตี 3 ยังตาสว่าง น่าจะหลับไปตอนตี 4 ตื่นมาอีกทีตอนตี 5 เพราะเสียงไก่! ไก่บ้านั่น! บ้านเขามีไก่ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือจะเป็นไก่ข้างบ้าน? แทนที่จะนอนเดาหาคำตอบ เพราะจะข่มตานอนตอนนี้ ก็คงจะหลับไม่ลง เด็กหนุ่มลุกพรวดด้วยอารมณ์ ที่ขุ่นมัว...เขาอยากจะเห็นกับตา
นั่นไงไก่! ไก่แจ้ตัวน้อยกำลังขันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ตายเถอะบ้านเขามีไก่! ไก่จริงๆ ตัวเป็นๆ ข้างไก่บ้านั่น...เด็กผู้หญิง! เฮ้ย! บ้านเขามีเด็กผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่? เด็กคนนั้นนั่นเอง นึกออกแล้ว จากที่ประเมินดูคร่าวๆ เด็กนั่นน่าจะเด็กกว่าเขาสักสองสามปี ตัวเล็กนิดเดียว เอ้? หรือจะอ่อนกว่าหลายปีกันนะ ฮึ! คงเป็นลูกติดของยายป้าปากแดงคนนั้น นพคุณสูดหายใจแรงจากที่เขายืนมอง เด็กคนนั้นกำลังหัวเราะ พลางเดินไปอุ้มเจ้าไก่ปีศาจที่ขันปลุกเขาจากการนอนหลับ “ฉันนอนไปได้ชั่วโมงเดียวเองนะ!” นพคุณสบถเสียงดังอยู่ในห้องขณะมองลงไปที่สวนหลังบ้าน
“ฮึ! เรียกไก่ปีศาจน่ะเหมาะกับแกแล้วล่ะ!” เด็กหนุ่มขบกรามแน่น เขาสาวเท้า ออกจากห้องนอนตรงไปที่สวนหลังบ้านทันที
“ไอ้ไก่ปีศาจบ้านี่ของเธอเหรอ?” นพคุณยิงคำถามทันทีที่เดินลงไปถึง ตัวต้นเหตุ...ทั้งคนทั้งสัตว์นั่นแหละ! ต้องโดนทั้งคู่! เขาเห็นเด็กหญิงคนนั้นกำลังง่วนอยู่กับการลูบขนลูบหางไก่น้อยของหล่อน ก่อนจะช้อนตามองเขาด้วยสายตาฉงน เด็กหญิงไม่เข้าใจนักว่าลูกชายของพ่อเลี้ยงหล่อนกำลังฉุนเฉียวอะไร แต่เห็นสายตาเอาเรื่องของเขาแล้ว พริมารีบขยับตัวบังเจ้าไก่แจ้ ของหล่อนไว้ทันที…ไก่ตัวนี้แม่หล่อนสั่งซื้อมาให้จากเพจหนึ่งในอินเทอร์เน็ต
“มาจากฟาร์มเลยนะ แม่ F มาเมื่อวาน ไม่น่าเชื่อ วันนี้มาส่งถึงบ้านจริงๆ แฮะ” แม่หล่อนนำเสนอ หญิงสาวปลาบปลื้มที่ได้ไก่มาสมใจ
“แม่เห็นใน YouTube เค้าเลี้ยงกันน่ารักดี มีคลิปแข่งไก่ด้วยนะ...ที่แม่ Tag ลูก ใน Facebook ไง จำได้ไหม? ลูกชอบรึเปล่า?” เด็กหญิงกำลังงงกับไก่แจ้ตัวน้อย ที่ตอนนี้บินมาเกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน พลางไซร้ขนตัวเองอย่างเมามัน
“ชอบค่ะ” พริมาตอบได้ทันที พลางหันไปมองไก่ของหล่อนอย่างหลงใหล...มันสวยมากจริงๆ
“แหม ไอ้เจ้านี่ รู้จักประจบด้วยนะ ดูมันสิ น่าเอ็นดู” คุณนพรักษ์เดินเข้ามาร่วมวงอีกคน
“แล้วหนูจะตั้งชื่อมันว่าอะไร” พ่อเลี้ยงถามยิ้มๆ
“อืม...คิดไม่ทันค่ะ คุณลุงช่วยคิดหน่อย” เด็กหญิงมองไก่ของตัวเองแล้วพยายามคิดหาชื่อที่เหมาะกับมัน...แต่ก็จนปัญญา
“นพคุณเป็นไง? แปลว่าทอง ไก่ของหนูก็สีสวยเหมือนทองคำเลย” คุณลุง ที่มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงของหล่อนเสนอ แววตาขบขัน
“คุณนพ!” ภารดีปรามสามี เมื่อเห็นว่าเขาน่าจะแกล้งอำลูกสาวหล่อนเข้าเสียแล้ว
“ลูกแก้วชอบชื่อนี้ค่ะ ความหมายดีจัง ดูสิคะนพคุณก็ชอบ” เอาแล้วไง คุณนพรักษ์เหลือบมองเด็กหญิงสลับกับไก่ เด็กหญิงมองมาแววตาสดใส ส่วนไก่แจ้แสนสวยที่ตอนแรกง่วนอยู่กับการไซร้ขน ตอนนี้กลับยืนนิ่งบนไหล่ มองตอบกลับมาอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันเข้าใจทุกอย่าง สุดท้ายกลายเป็นว่าไก่ตัวนั้นได้ชื่อ “นพคุณ” ไปโดยปริยาย และดูท่าว่ามันจะชอบชื่อนั้นมากเสียด้วย ขนาดพ่อเลี้ยงเด็กหญิงเรียกมันด้วยชื่ออื่น มันไม่เคยสนใจ แต่ถ้าเรียก “นพคุณ” เมื่อไหร่ มันจะวิ่งปรี่มาหาเขาทันที
แต่ตอนนี้นพคุณของหล่อนกำลังได้ชื่อใหม่...ไก่ปีศาจบ้า!
เมื่อยิงคำถามแล้ว เป็นครั้งแรกที่นพคุณเห็นหน้าเด็กหญิงคนนั้นอย่างชัดเจน ลูกครึ่ง? เด็กนี่เป็นลูกครึ่งนี่นา ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้ม แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นตา ตาสีแปลก...สีน้ำตาลอมเขียว ตัวหล่อนเล็กนิดเดียว เหอะ! เป็นฝรั่งทั้งที ดันไม่เอาส่วนสูงมาด้วย สงสัยพ่อจะเตี้ย เพราะแม่หล่อนเองก็ตัวเล็กเหมือนกัน...ส่วนสูง 160 ซ.ม. จะถึงหรือเปล่า หน้าตา... อืม ถ้าไม่อคติเกินไปนักก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้
ไอ้ไก่ปีศาจบ้า...ใครนะช่างคิดคำเรียกแบบนี้ได้ เป็นไก่ เป็นปีศาจ และเป็นบ้า รวมอยู่ในสิ่งเดียว เด็กหญิงสงสารไก่น้อยของตนจับใจ แค่เกิดเป็นสัตว์ ก็น่าสงสารพออยู่แล้ว คนใจร้ายคนนั้นยังสรรหาคำพูดมาว่าไก่ของหล่อนอีก
“ไม่ใช่ไก่ ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่บ้า เอ้อ...เป็นไก่ แต่ไม่เป็นปีศาจ และไม่บ้าค่ะ” เด็กหญิงเถียงน้ำตาคลอ
“พูดอะไรของเธอ?” เจอคำพูดประหลาดพร้อมท่าทางของเด็กผู้หญิงตรงหน้า ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่านพคุณแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ แต่ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มก็ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ไก่บ้านี่แหละ มันขันตั้งแต่ตีห้ายันหกโมงเช้า! ขันไม่หยุด ขันมาเป็นชุด ขันได้ยาวนานแบบนี้มันต้องเป็นไก่ปีศาจ!” เด็กหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่ไอ้ไก่ปีศาจของพริมา
“ไม่ใช่! ลูกแก้วกำลังฝึกมัน เมื่อก่อนมันแทบไม่ขันเลยด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้ มันขันเก่ง เพราะลูกแก้วฝึกมันค่ะ” เด็กหญิงเถียงเสียงสั่น
“งั้นคนที่บ้ากว่าไก่ก็คือเธอสินะ” นพคุณเปลี่ยนมุม หันมือชี้มาที่หล่อนแทน
“ลูกแก้วไม่ได้บ้านะคะ...นพคุณก็ไม่บ้า!” เด็กหญิงเถียงแทนไก่ของหล่อน
“ก็ไม่บ้าน่ะสิ! นี่เธอว่าฉันบ้าเหรอ?” คราวนี้คนถาม เริ่มมีน้ำเสียงโมโห ขึ้นมาอีกรอบ มีอย่างที่ไหน ยัยเด็กนี่เรียกชื่อเขาเฉยๆ ไม่พอ ยังหาว่าเขาบ้าอีก
พริมาได้แต่ยืนอึ้งมองหน้าลูกชายพ่อเลี้ยง...โอ้โห! ลูกคุณลุงเหรอเนี้ย หน้าตาก็ดี แต่ทำไมขี้โมโหจัง เมื่อวานเจอกันครั้งแรกก็ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน วันนี้ก็มาหาว่าไก่ของหล่อน ทั้งเป็นบ้า ทั้งเป็นปีศาจ ทำไมนิสัยร้ากาจแบบนี้นะ ใจร้ายจัง ไม่ใจเย็น ใจดี เหมือนพ่อเลย ตั้งแต่เขากลับมาถึงเมื่อวานก็วุ่นวายกันไปทั้งบ้าน
“ลูกแก้วไม่ได้ว่าคุณสักหน่อย มีแต่คุณนั่นแหละว่านพคุณอยู่ได้ ว่าบ้าบ้างล่ะ ว่าเป็นไก่ปีศาจบ้างล่ะ รู้ไหมว่านพคุณเป็นไก่ที่ฟังภาษาคนรู้เรื่องนะคะ มันได้ยินแบบนี้ต้องเสียใจมากแน่ๆ ทำไมคุณใจร้ายจัง” ชัดแล้ว...ถ้าเขาเดาไม่ผิด ไอ้ไก่บ้านี่ชื่อเดียวกับเขา!
“ไอ้ไก่บ้านี่ชื่ออะไรนะ?” ถึงจะพอเดาได้ เขาก็อยากถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“นพคุณ” ตอบห้วน ๆ ก็แล้วไงล่ะ หล่อนเองก็เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“นี่เธอตั้งชื่อไก่นี่ว่านพคุณเหรอ? เธอกวนประสาทฉันรึไง? ยัยฝรั่งแคระ!” ไม่พูดเปล่า นพคุณจับแขนพริมา ออกแรงดึงนิดเดียวตัวเด็กหญิงก็ปลิวมาติดตัวเขาแล้ว
“ปล่อยลูกแก้วนะ” เด็กหญิงตกใจ หล่อนคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มตัวผอม จะมีแรงเยอะ ถึงขนาดยกหล่อนปลิวมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้
“โอ้ย!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง พลางหันไปมองที่นิ้วเท้าตัวเอง ไอ้ไก่ปีศาจที่เขาเรียกก่อนหน้านี้ กำลังตั้งใจจิกลงมาที่นิ้วก้อยเท้าข้างขวาของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากขันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว การจิกก็ทำได้จริงจังไม่แพ้การขัน เลยทีเดียว
“นพคุณ อย่า!” เอาสิวะ! นี่ห้ามกูหรือห้ามไก่! เด็กหนุ่มคิดในใจ ให้ตายเถอะ! เขาไม่ใช่คนใจร้ายที่ชอบรังแกสัตว์ และก็ไม่ใช่คนโหดร้ายที่ชอบรังแกเด็ก ถ้าไม่เพราะเด็กนี่กวนประสาทตั้งชื่อไก่เหมือนชื่อเขา มีหรือเขาจะโกรธขนาดนี้ และไอ้ที่น่าโมโหมากกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือหล่อนไม่มีความรู้สึกเลยด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นการเสียมารยาทมากแค่ไหนที่เอาชื่อคนอื่น มาตั้งเป็นชื่อสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
“เอะอะอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างบนเลยตาคุณ” คุณนพรักษ์ถามหน้าเครียด เมื่อเห็นลูกชายกับลูกเลี้ยงยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง พักหลังๆ เขาจะลงมาฝึกไก่กับพริมาทุกเช้า ตั้งแต่นพคุณไปอยู่โรงเรียนประจำ คุณอารีก็จากไปแล้ว ชีวิตของเขาก็เหงาเหลือเกิน แต่พอมีสองสาวแม่ลูกมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ชีวิตของเขาก็สดใสขึ้นมาก ไม่เหงาปล่าวเปลี่ยวเหมือนแต่ก่อน
“ว่าไงตาคุณ เรามาหาเรื่องอะไรน้องถึงนี่ ?” นพคุณหันไปมองพ่ออย่างตัดพ้อ แค่เพียงเวลาไม่กี่เดือน เหมือนคำสุภาษิตที่เคยได้ยิน “สามวันจากนารีเป็นอื่น” ไม่ใช่แค่นารีเท่านั้น แต่นี่เป็นพ่อ...พ่อของเขาเอง อยู่กับแม่ลูกคู่นี้ไม่กี่เดือน แทนที่จะถามเขาว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร กลับฟันธงไปแล้ว ว่าเขามาหาเรื่อง
“คำถามของพ่อฟังดูยุติธรรมดีนะครับ เหมือนได้คำตอบอยู่แล้ว แค่ถามพอเป็นพิธี” คนสูงวัยที่สุดในนี้มีสีหน้าหนักใจ ส่วนคนอายุน้อยสุด ก็ยืนกอดไก่ (ปีศาจ) แน่น ก้มหน้านิ่ง จ้องมองที่นิ้วเท้าตัวเอง เด็กนี่ทำหน้าหยั่งกะถ้าจ้องมันนานๆ จะมีนิ้วโป้งเท้างอกออกมาอีกนิ้วอย่างนั้นแหละ
“งั้นไหนๆ ผมก็ผิดอยู่แล้ว ผมหาเรื่องพ่อก็ได้ พ่อรู้หรือเปล่าครับว่าเด็กนี่เรียกไอ้ไก่บ้านี่ว่าอะไร? ”หน้านิ่งๆ ของคนเป็นพ่อมองเลยติ่งหูของเขาไป ปีกจมูกปิดเข้าเปิดออกเล็กน้อย อาการแบบนี้เขารู้
“พ่อ! ไม่ต้องมากลั้นขำนะครับ งั้นแสดงว่าพ่อรู้สินะครับ” รู้แล้วยอม...อันนี้น่าโมโหมากกว่า คุณนพรักษ์คิดไว้อยู่แล้ว ถ้าลูกชายตัวดีรู้ชื่อไก่จะต้องโมโหแน่ๆ ความคึกคะนองที่อยากแกล้งลูกเลี้ยงในตอนแรกกลับสร้างความวุ่นวายน่าปวดหัวในภายหลัง เขารู้ดี...ถ้าลำพังไก่ตัวนี้เป็นของเขา และเขาไม่ได้มีเมียใหม่...ในบ้านมีแค่เขากับไก่ การตั้งชื่อไก่คงไม่เป็นปัญหาแบบนี้ และเขาเชื่ออีกด้วยว่านพคุณจะต้องชอบใจหรือขบขันแน่ที่พ่อเอาชื่อเขามาตั้งเป็นชื่อไก่
“พ่อรู้แล้วปล่อยให้เด็กนี่เอาชื่อผมไปตั้งเป็นชื่อไอ้ไก่ปีศาจนี่เหรอครับ ?” ได้ยินคำว่า “ปีศาจ” ทั้งเจ้าของไก่และไก่มีปฏิกิริยาพร้อมกันทีเดียว เด็กหญิงสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ส่วนไก่...ถ้าตาไม่ฝาด นพคุณเห็นมันถลึงตาใส่เขา
“เปล่าๆ ลูกเข้าใจผิดแล้ว ลูกแก้วไม่ได้ตั้งชื่อไก่ พ่อเอง! พ่อเป็นคนตั้ง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชื่อนี้หรอกนะ...ไก่มันชอบ”
“ไก่มันชอบ!? พ่อพูดอะไรครับ” นพคุณถามอย่างไม่เชื่อในคำตอบ
“จริงๆ นะ! พ่อพยายามจะเปลี่ยนชื่อแล้ว แต่มันไม่ชอบ คือ...เอ่อ...เรียกแล้วก็ไม่มาด้วย”
“ไอ้ไก่นี่มันจะไปรู้อะไร มันเป็นไก่นะครับ มันจะชอบชื่อนั้น ชื่อนี้ เหมือนคนได้ยังไง?”
“เอิ้กกก!!!.” เหมือนเก็บกดมานาน นพคุณเวอร์ชั่นไก่ส่งเสียงแหลมบาดหู ถ้าทันสังเกตจะเห็นว่า ไก่ปีศาจของนพคุณ มองจิกคนว่าจนตาแทบถลนออกจากเบ้า
“นพ เอ้ย..ไก่ตัวนี้มันฟังภาษาคนรู้เรื่องค่ะ มันไม่ชอบให้ใครมาว่า” เด็กหญิงที่ยืนฟังพ่อลูกเถียงกันอยู่นานเอ่ยขึ้น ความจริงหล่อนไม่รู้มาก่อนเลยว่าลูกชายของพ่อเลี้ยงหล่อนนั้นมีชื่อว่าอะไร ไม่แน่ใจด้วยว่าพ่อเลี้ยงหล่อนเคยบอกแล้วหล่อนลืมหรือเปล่า แต่พอมารู้ว่าไก่ที่พ่อเลี้ยงหล่อนเป็นคนตั้งชื่อให้นั้น ความจริงแล้วชื่อเดียวกับเขา หล่อนก็เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกรธขนาดนี้ แต่ครั้นจะเปลี่ยนชื่อไก่แจ้ของหล่อนตอนนี้ ก็น่าจะไม่ทันเสียแล้ว แถมยังดูท่าว่าเจ้าไก่ของหล่อนก็จะไม่ยอมให้เปลี่ยนเสียด้วย
“ลูกแก้วจะเปลี่ยนชื่อให้นพคุณ เอ้ย! ไก่ก็ได้ค่ะ” หล่อนปด กะว่าต่อหน้าเขา จะเรียกส่งๆ ไปก่อน แต่พอลับหลังก็คงต้องใช้ชื่อ ”นพคุณ” เหมือนเดิม ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ อย่างที่คุณลุงบอกนั่นแหละ...ไก่มันชอบ!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร ด้วยรู้ว่าถ้าพูดอะไรไปก็มีแต่จะเสีย ยังไงพ่อก็ไม่เข้าข้างเขาอยู่แล้ว ใช่สิ! ตอนนี้เขาก็กลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างสมบูรณ์แบบ มีทั้งเมียใหม่ ลูกใหม่ แถมไก่ผีอีกหนึ่งตัว อีกหน่อยลูกเก่าอย่างเขา คงไม่มีที่ยืนในบ้าน...เผลอๆ เขาอาจจะต้องระเห็จมาอยู่ในเล้าไก่ แล้วไอ้ไก่ผีนี่ก็อาจจะมายึดห้องของเขาแทนก็ได้
การพบกันครั้งแรกของนพคุณกับพริมา เขาโวยวายเสียงดัง ครั้งที่สอง ก็โวยวายเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขากระชากหล่อนด้วย ความรุนแรงค่อยๆ เพิ่มขึ้น ถ้าเจอกันครั้งหน้า พริมากลัวว่าเขาจะทำร้ายหล่อนอีก แค่เขาเหวี่ยงนิดเดียว หล่อนเชื่อว่าจะต้องกระเด็นไปไกลและเจ็บตัวมากแน่ๆ อารมณ์วัยรุ่นเกินจะคาดเดา ไม่ไหวๆ หล่อนควรจะอยู่ให้ห่างจากวัยรุ่นดีกว่า เด็กหญิงยังเล่นอยู่ที่เล้าไก่ ส่วนคนที่หล่อนนึกถึงอยู่นั้น ตอนนี้กระฟัดกระเฟียดเดินขึ้นห้องไปแล้ว...ดีเหมือนกันให้เขาอยู่ข้างบน หล่อนจะอยู่ข้างล่างเอง จะให้เอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้ก็ได้นะ แยกกันอยู่แบบนี้แหละ จะได้ไม่เกิดปัญหา พริมาไม่ชอบการปะทะกับใคร ตอนอยู่กับตายายที่บ้านหลังเก่านั้น มีแต่ความสบายใจ หล่อนไม่เคยต้องรบกับใครทั้งนั้น จะไปเล่นกับใครก็ไม่เคยทะเลาะกันสักที พริมาไม่เคยเจอคนแบบนพคุณ ที่เอะอะโวยวายเสียงดังแบบนี้ แต่พอมาคิดแล้วก็เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน ถ้าหล่อนโดนคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเอาชื่อตัวเองไปตั้งเป็นสัตว์เลี้ยง ก็คงมีเคืองเหมือนเขานั่นแหละ พริมายิ้มภูมิใจตัวเอง หล่อนมีใจยุติธรรมพอ...เรื่องนี้พอให้อภัยได้อยู่ ว่าแล้วเด็กหญิงก็หันไปคุยกับเจ้าไก่แจ้แสนสวย
“นพคุณ...ยังไงก็อย่าถือสาพี่คนนั้นเค้าเลยนะ เขาเป็นเด็กมีปัญหา เราสองคนควรจะเข้าใจเขาให้มากๆ ลองให้โอกาสเขาดู เราอาจจะพบด้านดีของเขาก็ได้” เด็กหญิงกระซิบเบาๆ กับไก่ของหล่อน หล่อนนั่งอยู่ตรงนั้นนานครึ่งค่อนวัน ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่ามีสายตาบางคนแอบมองลงมาจากบนระเบียง นพคุณกลับเข้าห้องจะไปนอนต่อ แต่ในใจเขายังขัดเคือง มีอย่างที่ไหน เอาชื่อเขาไปตั้งชื่อไก่ เขาไม่เชื่อเด็กนั่นหรอก พ่อน่าจะออกรับแทนมากกว่า เขาเชื่อว่า ความจริงแล้ว น่าจะเป็นความคิดพิเรนทร์ของเด็กนั่นนั่นแหละ นี่เขาไม่กลับบ้านมาแค่ 4 - 5 เดือน อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ เด็กหนุ่มเดินออกมาที่ระเบียง มองไปที่สวนหลังบ้าน ก่อนนี้มันเป็นสวนผัก แม่เขาชอบปลูกผัก ตอนที่เขาอยู่บ้าน การรดน้ำผักเป็นหน้าที่ของเขา แต่ตอนนี้สวนผักของแม่หายไป กลายมาเป็นเล้าไก่...บ้านของไอ้ไก่ผีนั่น และมันเกลียดเขา! เขาไม่แน่ใจว่ามันฟังภาษาคนรู้เรื่องจริงหรือเปล่า แต่เขามั่นใจว่ามันเกลียดเขาแน่นอน เขาเห็นแววตามัน คิดมาถึงตรงนี้นพคุณขนลุก...ไอ้ไก่บ้านั่นน่ากลัวชะมัด! ขณะที่กำลังคิดถึงความหลัง เขาเห็นเด็กนั่น เฮอะ! ยังไม่ไปไหนอีกรึ แล้วดูนั่งคุยกับไก่ คุยอะไรกันเขาไม่ได้ยิน เพราะเด็กนั่นนั่งหันหลังให้เขา แต่! ไอ้ไก่ผีนั่นมองมา มันรู้! มันเห็นทุกอย่าง มันแหงนหน้าจ้องเขานิ่ง นพคุณแกล้งโยกตัวไปมาทดสอบดูว่าสายตาของมันมองมาที่เขาจริงหรือเปล่า และมันก็จริงดังคาด ไอ้ไก่นั่นมองตามตาไม่กระพริบ น่ากลัวมาก! มันหมายหัวเขาไว้แน่ๆ ถ้าเขาเล่าให้ใครฟังก็คงจะไม่มีใครเชื่อ แล้วถ้ามันคิดจะฆ่าเขาล่ะ...
“มาเลย ถ้าแกเข้ามาใกล้นะ ฉันจะเตะให้ปีกหักเลยคอยดู” เขาพูดโดยไม่ออกเสียง ตาก็จ้องตอบเจ้าไก่ที่มองขึ้นมาจากข้างล่าง หวังจะให้มันอ่านปากเขาออก และเข้าใจที่เขาพูดทุกคำ
“เอิ๊กกก!” อยู่ๆ เจ้าไก่นั่นก็ส่งเสียงดังโหยหวน มันรับคำท้าเขาหรือเปล่านะ? นพคุณตกใจหลบเข้ามาในห้อง พริมาที่กำลังคุยอยู่กับไก่ของหล่อนเพลินๆ สะดุ้งสุดตัวเหมือนกัน จู่ๆ ไก่ตัวน้อยของหล่อนก็แผดเสียงแหลมบาดหู เด็กหญิงหันตามไปมองยังทิศทางที่เจ้าไก่แจ้มองอยู่...ไม่เห็นมีอะไรเลย หล่อนจึงทึกทักเอาว่าไก่แจ้ตัวน้อยของหล่อนคงขานรับหรือคุยตอบเรื่องที่หล่อนกำลังพูดอยู่
“ฮ่าๆ นพคุณก็คิดแบบลูกแก้วใช่ไหม? นี่เดี๋ยวลูกแก้วจะเล่าอีกเรื่องให้ฟังนะ” เด็กหญิงนั่งคุยต่อไปอีกนานหลายชั่วโมงจนเจ้าไก่แจ้เริ่มเพลีย หลับคอพับคออ่อน หล่อนถึงยอมวางมันเข้าเล้าแล้วตัวเองก็กลับเข้าไปในบ้าน
นพคุณลงมาข้างล่างก็บ่ายแล้ว เขาไม่อยากออกจากห้อง แต่เขาหิว และพอมาคิดดูแล้วนี่ก็บ้านของเขา ทำไมเจ้าของบ้านต้องมาอยู่ แบบหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย เขาเจอพ่อ...พ่อพยายามชวนคุย แต่นพคุณไม่ตอบ กินข้าวเสร็จเด็กหนุ่มก็รีบกลับขึ้นห้อง ขณะเดินผ่านหน้าต่างห้องครัวเขาเห็นมัน...ไอ้ไก่ผี มันออกมานอกเล้า! ยืนโยกตัวอยู่บนพุ่มไม้ ที่สำคัญมันหันหน้าเข้าบ้าน มองผ่านกระจกมา...คนกับไก่สบตากันพอดี เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ? นพคุณรีบหลบขึ้นบนบ้าน ระหว่างวิ่งขึ้นบันไดเขาเกือบชนกับพริมา เด็กหญิงหลบเขาแทบจะแทรกตัวเข้าไปในฝาบ้านทีเดียว
“รีบไปไหนของเค้ากันนะ?” พริมามองตามเด็กหนุ่มที่วิ่งหายเข้าไปในห้องปิดประตูเสียงดัง เด็กหญิงยักไหล่...ว่าแล้วก็ไปดูนพ เอ้ย! ไก่แจ้ของหล่อนดีกว่า
นพคุณเข้าห้องมาแล้ว เขาวิ่งไปที่ระเบียง ดูสิ! เจ้าไก่นั่นอยู่ไหน? เขาทันเห็นเด็กหญิงวิ่งไปที่เล้าไก่ เด็กนี่! วันๆ ไม่คิดจะไปไหนเลยรึไงนะ เขาไม่ต้องแช่งมันหรอกไอ้ไก่นั่นน่ะ ไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็เฉามือตายไปเอง พริมาก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าลูกกรง แล้วคว้าตัวไก่ของหล่อนออกมา เฮ้ย!!! เมื่อกี้ข้างล่างตอนที่เขาอยู่แถวประตูครัว มันยังอยู่นอกกรงอยู่เลย เวลาไม่ถึง 2 นาที มันจะกลับเข้ากรงขังตัวเองอยู่ในเล้าได้อย่างไร? นพคุณหมดแรง นี่เขากำลังเล่นอยู่กับตัวอะไร? ถ้าเขาเล่าให้พ่อฟัง พ่อจะว่าเขาเพ้อเจ้อไหม? นอนหลับสักงีบดีกว่า สงสัยคงเพราะนอนน้อยเลยทำให้เห็นภาพหลอนไปเรื่อย...นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเกือบชั่วโมง แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เด็กหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...เหตุการณ์ที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา ใช่! เขาเองก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาทิ้งบ้านที่เขารักไปนานหลายเดือน รวมถึงทิ้งพ่อไว้ให้อยู่ตามลำพัง...หลายเดือนที่ผ่านมานี้นพคุณไม่ได้กลับบ้าน...เขากลัวบ้านตัวเอง
เมื่อห้าเดือนก่อนนพคุณพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ คุณอารีแม่ของเขาจากไปก่อนวัยอันควร เป็นจังหวะที่เขากำลังสอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำพอดีมันเป็นโรงเรียนที่เขาเลือกไว้แต่แรกอยู่แล้ว...โรงเรียนดังระดับประเทศที่เฝ้าใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนนักหนา และไม่ผิดหวังนพคุณสอบเข้าเรียนที่นั่นได้ด้วยคะแนนระดับต้นๆ ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอม...ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป นพคุณจึงตัดสินใจกลับบ้าน เขาจะมาอยู่กับพ่อตลอดช่วงปิดเทอมนี้...มีคนบอกว่าเวลาจะช่วยรักษาความเจ็บปวดได้...แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด และเขายังจำเหตุการณ์เมื่อวานได้ดี...
เมื่อวานเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขากลับบ้าน ตอนแม่ตายใหม่ๆ เขาแทบทนอยู่บ้านไม่ได้ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ แต่ตอนนี้ความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดมากมายให้กับเขาอีกต่อไปแล้ว...เด็กหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้าน จากตรงนี้ บ้านของเขายังเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อตอนที่เขาจากไป นพคุณเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน พ่อเขาหรือเปล่า? ผู้หญิง? มีผู้หญิงอยู่ในบ้าน? เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไขกุญแจเข้าบ้านบางทีอาจจะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนของพ่อที่มาทำธุระหรือเยี่ยมเยือนพอดี ระหว่างทางเข้าบ้านเขาเห็นรถจอดอยู่สองคัน แน่นอนคันหนึ่งของพ่อเขา...แต่อีกคันเขาไม่เคยเห็น
“ฮ่าๆ ลูกแก้ว หนูเก่งนะนี่ สอนเจ้าไก่นี่ขันได้เยอะเชียว”...เสียงพ่อของเขาดังมาจากสวนหลังบ้าน นพคุณเดินตามเสียงไปเขาเห็นพ่อกำลังคุยกับใครบางคน และเพราะคุณนพรักษ์หันหลังอยู่เขาจึงไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา...รวมถึงคู่สนทนาของเขาด้วย เพราะจากมุมนี้คุณนพรักษ์บังตัวใครคนนั้นไว้จนนพคุณมองไม่เห็น และใครคนนั้นก็ไม่เห็นเขาด้วยเหมือนกัน
“จะกินข้าวกันรึยังคะ?” เสียงผู้หญิงถามดังออกมาจากในครัว...ใช่ผู้หญิงที่เขาเห็นแวบๆ เมื่อกี้หรือเปล่านะ? นพคุณชะโงกหน้าไปมอง และตอนนี้ผู้หญิงคนนั้น เห็นเขาแล้ว หล่อนตาโตและอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!” ภารดีตกใจจริงๆ หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นนพคุณ...ภารดีไม่คิดว่าจะได้เจอลูกชายของคุณนพรักษ์ในวันนี้ ...อยู่กันพร้อมหน้าพอดี ช่างมาได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน คุณนพรักษ์เห็นภรรยาอุทานด้วยความแปลกใจ เขาจึงหันไปมองและได้เห็นว่าภารดีตกใจที่เห็นใคร
“ตาคุณ!” นพคุณแปลกใจ...พ่อเขาดูจะตกใจมากกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก และเพราะเขาเป็นคนช่างสังเกตจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น...ตลอดเวลาที่เขาจากบ้านไปนั้นเขาตกข่าวอะไรไปบ้างนะ?
“อะไรนะ!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเด็กหนุ่มดังลั่น ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ ภายในห้องรับแขกนั้น ผู้เป็นพ่อถอนใจยาวด้วยความที่รู้จักลูกชายของตนเองดีว่าเมื่อใดที่โมโหหรือต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยมีใครหรืออะไรสามารถขัดใจได้...แต่คราวนี้เขาเข้าใจ มาเจอแบบนี้นพคุณต้องโมโหเป็นธรรมดา...ภาพที่เห็นคือ เด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ ตาไม่กระพริบ คุณนพรักษ์รู้ดีว่าลูกชายโกรธ แต่เขาเลี้ยงดูอบรมลูกชายมาเป็นอย่างดี...ถึงนพคุณจะโกรธหรือไม่พอใจแค่ไหนเขาก็มีมารยาทพอ ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำลายข้าวของ เพียงแต่เขาจะดื้อและเถียงขาดใจถ้าเห็นว่าสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่นั้นตัวเองเป็นฝ่ายถูก
“เรามาคุยกันดีๆ นะตาคุณ” คุณนพรักษ์ขอร้องเสียงอ่อย เขาผิดเอง ที่ไม่ได้บอก ลูกชายตั้งแต่แรก เพราะเขารู้ดีว่านพคุณต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“พ่อมีเวลาคุยกับผมตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ จนเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีอะไรบอกผมอีกเหรอครับ” เด็กหนุ่มเถียงกลับด้วยเสียงอันดัง ไม่ต่างจากเดิม เขาโกรธพ่อมาก ปกตินพคุณเป็นคนใจเย็นเขาไม่ชอบทะเลาะหรือโวยวายเสียงดังกับใคร และไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่เขาจะตะโกนหรือก้าวร้าวใส่พ่อ แต่วันนี้เขาทำทุกอย่างที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำ นพคุณแปลกใจ... คุณนพรักษ์เป็นคนฉลาด และคิดทุกอย่างรอบคอบเสมอ แต่มาครั้งนี้มัน แปลกเกินไป คนที่คิดอะไรละเอียดรอบคอบและฉลาด ทำไมถึงทำแบบนี้ เขารู้ว่าเขาผิดที่ทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว แต่พ่อทำแบบนี้ก็เกินไป พ่อทำกับเขา...กับแม่แบบนี้ได้อย่างไร
ใช่แล้ว....ผู้เป็นพ่อเถียงไม่ออก จะให้เขาบอกลูกชายว่าอย่างไร? ว่าหลังจากแม่ของเขาตายไปไม่ถึงปี เขาก็มีรักใหม่ และที่สำคัญภรรยาใหม่ หรือแม่เลี้ยงของนพคุณนั้น คบหาดูใจกันไม่กี่เดือน...อย่าว่าแต่ลูกชายเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้น ถ้าพบคนที่ถูกใจและเข้าใจเราได้เป็นอย่างดี คำว่า “เวลา” จะมีความหมายอะไร
“เอาล่ะ พ่อยอมรับผิด ลูกจะให้พ่อทำยังไง?” คุณนพรักษ์ถามอย่างอ่อนใจ งานนี้เขาจนปัญญาจริงๆ เดิมทีเขากับภารดีตกลงกันไว้ว่าจะค่อยๆ บอกนพคุณทีละนิด และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาค่อยแนะนำให้ นพคุณกับภารดีรู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขาหวังว่าการที่ลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำเป็นเวลานาน น่าจะช่วยให้เขาสามารถทำใจได้ เพื่อให้การที่เขาแต่งงานใหม่ก็จะได้ไม่ดูรวดเร็วจนเกินไป แต่ที่ผิดคาดคือนพคุณกลับมาบ้านก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่วางแผนไว้จึงไม่เป็นดังคิด...จวนตัวแบบนี้เล่นเอาคุณนพรักษ์ปวดหัวอยู่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบห้องรับแขก ที่นั่งตรงข้ามกับตนคือพ่อของเขา ที่ยามนี้เขามีสีหน้าหนักใจ สม!...มีอย่างที่ไหน แอบจดทะเบียนอยู่กินกับผู้หญิงที่เจอกันได้ไม่กี่เดือน...ข้างกายพ่อนั้นคือผู้หญิงคนนั้น ไม่สิถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือแม่เลี้ยงของเขานั่นแหละ ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าหล่อนจะต้องใช้มารยาล่อลวงคนแก่ หวังจะจับพ่อเขาล่ะสิ! และหล่อนก็ทำได้สำเร็จอีกด้วย ผู้หญิงคนนี้คำนวณคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าด้วยซ้ำ ฮึ! มีอย่างที่ไหนจะมารักกับคนแก่กว่าที่อายุเกือบห้าสิบ...ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะมาชอบคนแก่รุ่นราวคราวพ่อ ถ้าไม่หวังสิ่งตอบแทน!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ กลับมาคราวนี้เขาเสียใจ...เสียใจจนเขาไม่สามารถรับฟังเหตุผลใดๆ ได้อีก จะมีเหตุผลอะไร? ก็แค่คนแก่ตัณหากลับ เจอผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ออดอ้อนเข้าหน่อย ก็หลงกลใจอ่อนจดทะเบียนพาเข้าบ้าน เขาอยากรู้นักว่าหล่อนไปทำอีท่าไหนนะถึงหลอกพ่อที่แสนดีและฉลาดของเขาได้สำเร็จ คุณนพรักษ์ไม่ใช่คนโง่ และถ้าผู้หญิงคนนั้นสามารถหลอกพ่อเขาได้แล้วล่ะก็ หล่อนจะต้องฉลาด...ฉลาดมาก!
“แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง” เขาสวนกลับไปด้วยคำถามเดียวกันของบิดา วันนี้นพคุณทำนิสัยหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาไม่เคยเสียงดังใส่พ่อ ไม่เคยเอะอะโวยวาย ปกติถ้าไม่พอใจ พวกเขาจะคุยกันด้วยเหตุผลเสมอ
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมบอกให้พ่อหย่า พ่อจะหย่าเหรอครับ?” เด็กหนุ่ม พูดเสียงดังพร้อมหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด...ผู้หญิงคนนั้น คนที่นั่งอยู่ข้างพ่อของเขา หลังจากระบายความโกรธไปพอสมควร เขาจึงมีเวลาพินิจพิเคราะห์ลักษณะของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงได้อย่างถนัดตาเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้ ชื่ออะไรนะ? ภารดี หล่อนจัดว่าเป็นคนสวยทีเดียว ผิวสีน้ำผึ้ง ร่างเล็กแบบที่ผู้ชายชอบนักหนาเพราะเห็นแล้วน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ผมตัดสั้นตามสมัยนิยมของผู้หญิงในยุคปัจจุบัน ดูรวมๆ แล้วเรียกได้ว่าสวยจัดทีเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่สมกับคำว่า “สวยจัด” นั้น คงจะเป็น...ปาก คนอะไรจะทาปากแดงได้ขนาดนั้น แต่ก็แปลกถ้าดูแค่ปากอย่างเดียว คงจะเรียกได้ว่าน่าเกลียดเหลือทน แต่พอดูรวมๆ กันแล้วกลับสวยเด่นสะดุดตา ถัดไป ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้น ตลอดเวลาที่เขาตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นพ่ออยู่นั้น เขาไม่ทันสังเกตเลย...เด็กผู้หญิง เขาเห็นหน้าหล่อนไม่ถนัดนัก เพราะเด็กหญิงเอาแต่ก้มหน้า เหอะ! แม่หม้ายลูกติด ถึงว่า...คงจะใช้มารยาหลอกพ่อเขาได้อย่าง ไม่ยากนัก พ่อนี่ก็แปลกเมียใหม่หรือแม่เลี้ยงเขาคนนี้ ถ้าเทียบกับแม่เขาแล้วต่างกันชนิดที่เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ไม่มีอะไรเหมือนกัน เลยสักนิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณนพรักษ์เห็นสายตาของลูกชายก็รีบตัดบท
“ลูกเพิ่งมาถึง คงจะเหนื่อย ขึ้นห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ให้ลูกชายเขาได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่น่าจะดีกว่า คุยกันตอนนี้ ในขณะที่เต็มไปด้วยอารมณ์มีแต่จะพูดอะไรให้เสียใจกันเปล่าๆ
“ก็ยังดีนะครับที่ยังเหลือห้อง...เหลือที่ไว้ให้ผม” นพคุณพูดจบ เขาลุกเดินขึ้นห้องตัวเองไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีกเลย ตลอดทั้งคืนเขาต้องทนอยู่กับความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน ใครจะไปคิดว่ากลับบ้านมาคราวนี้ เขาจะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้...ทำไมพ่อทำแบบนี้กับเขา นพคุณคิดเรื่องนี้วนเวียนอยู่ทั้งคืนก็ไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อ...กว่าจะข่มตานอนได้ก็เกือบเช้า แต่ก็ไม่วายเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
คุณนพรักษ์เข้าบ้านมาแล้ว หลังจากลูกชาย “เหวี่ยง” และ “วีน” อยู่เมื่อครู่ เขาเข้าใจนพคุณอย่างที่สุด แต่จะให้ทำอย่างไรได้...
“เฮ้อ....” เสียงผู้เป็นพ่อนั่งถอนใจ
“คิก คิก” เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น เมื่อแน่ใจว่าเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาไม่อยู่ในรัศมีการได้ยินแล้ว ตลอดเวลาภารดียืนดูสองพ่อลูก (และลูกสาวของหล่อน) จากในบ้าน ฉากที่เห็นทำให้หล่อนอดขำไม่ได้ แม่เลี้ยงนพคุณได้ยินทุกอย่าง แต่แทนที่จะมีอารมณ์โมโหหรือไม่ชอบใจในพฤติกรรมของหนุ่มน้อยคนนั้น หล่อนกลับรู้สึกสนุกและท้ายทายมากกว่า ภารดีเข้าใจหัวอกของนพคุณดี เพราะถ้าเป็นหล่อนก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา หรืออาจจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพูดจาร้ายกาจกว่านี้หลายเท่า ภารดีดูออกถึงแม้จะโมโหเพียงใด อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังมีมารยาท ไม่แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดด่าทอ หรือบริพาสถ้อยคำหยาบคายใดๆ ออกมา ซึ่งถ้าเป็นหล่อนตอนอายุเท่าเขา คงจะอาละวาดบ้านแตก ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแน่ๆ
“คุณพิมพ์! ยังจะมานั่งขำอีก” คุณนพรักษ์ถอนใจ
“ก็มันน่าสนุกนี่คะ” ภารดีหัวเราะ เสียงหัวเราะของหล่อนกังวานใสพร้อมกันกับรอยยิ้ม...ซึ่งเมื่อมันอยู่ด้วยกันแล้วช่างน่ามองยิ่งนัก
“สนุกอะไรกัน ผมบอกคุณแล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ ๆ“ คุณนพรักษ์ ท้อใจ ปัญหานี้เขาไม่รู้จะเริ่มแก้ไขอย่างไรก่อนดี
“เอาน่า! รอดูไปสักพัก...ให้เวลากับแกหน่อย ช่วงนี้แกอาจจะเหวี่ยง ไปบ้าง แต่พอนานวันไปพิมพ์ว่าแกต้องเข้าใจแน่ๆ ค่ะ คุณรู้ไหมลูกชายคุณน่ะยังแรงไม่ถึงครึ่งของพิมพ์ตอนอายุเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะแสบกว่าเขาก็พิมพ์ตอนอายุสิบหกนี่แหละค่ะ แบบลูกชายคุณน่ะจิ๊บๆ”
“ผมเชื่อว่าคุณแสบ แต่ผมแก่แล้วยังไงก็เพลาๆ พลังกันบ้างนะ”
ภารดีเป็นสาววัย 32 ปี แม่หม้ายสาวสวยที่ใครๆ ก็หมายปอง ตอนที่ใครๆ รู้ข่าวว่าหล่อนจดทะเบียนอยู่กินกับคนที่แก่กว่าหล่อนเป็นสิบปี...ข้าราชการหนุ่มใหญ่ ที่พบกันได้ไม่กี่เดือน หลายคนก็ได้แต่เดากันไปต่างๆ นาๆ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ไม่เคยสนใจ และไม่คิดจะแก้ต่างในเรื่องที่ใครๆ คาดเดากันไปอีกด้วย หล่อนคิดแต่เพียงว่าถ้าหล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคนดี และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดต้องเข้ากับลูกสาวของหล่อนได้ และคุณนพรักษ์มีทั้งหมด เมื่อโอกาสพาคนดีๆ เข้ามา ภารดีจึงไม่ลังเล เลยสักนิดที่จะเลือกเขา...แต่ภารดีกับคุณนพรักษ์มีข้อตกลงกันว่าถ้าลูกของพวกเขามีปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ พวกเขาตกลงจะจบความสัมพันธ์กันแต่โดยดี เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือลูก!
พริมา...ลูกสาวของหล่อนนั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆ โชคดีที่ เด็กหญิงเป็นคนหัวอ่อน หล่อนรักและเชื่อแม่ทุกอย่าง พริมาเชื่อว่าสิ่งที่แม่เลือกให้ คือสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่หล่อนจะคัดค้าน ส่วนนพคุณ...คนนี้แหละ ที่น่าเป็นห่วง นพคุณเป็นลูกชายคนเดียว เขารักแม่มากและเอาแต่ใจตัวเองตามประสาคนโดนตามใจมาตลอดชีวิต การจะให้เขายอมรับแม่ใหม่หรือเมียใหม่ ของพ่อ ย่อมเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่ภารดีก็ยังเชื่อว่าถ้ามีเหตุผลและเวลาเพียงพอ นพคุณจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ภารดีรู้ว่า...หล่อนจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่พอสมควรรออยู่ในอนาคต เพียงแต่หล่อนจะต้องวางแผนรับมือให้ดีเท่านั้นเอง
นั่นไงไก่! ไก่แจ้ตัวน้อยกำลังขันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ตายเถอะบ้านเขามีไก่! ไก่จริงๆ ตัวเป็นๆ ข้างไก่บ้านั่น...เด็กผู้หญิง! เฮ้ย! บ้านเขามีเด็กผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่? เด็กคนนั้นนั่นเอง นึกออกแล้ว จากที่ประเมินดูคร่าวๆ เด็กนั่นน่าจะเด็กกว่าเขาสักสองสามปี ตัวเล็กนิดเดียว เอ้? หรือจะอ่อนกว่าหลายปีกันนะ ฮึ! คงเป็นลูกติดของยายป้าปากแดงคนนั้น นพคุณสูดหายใจแรงจากที่เขายืนมอง เด็กคนนั้นกำลังหัวเราะ พลางเดินไปอุ้มเจ้าไก่ปีศาจที่ขันปลุกเขาจากการนอนหลับ “ฉันนอนไปได้ชั่วโมงเดียวเองนะ!” นพคุณสบถเสียงดังอยู่ในห้องขณะมองลงไปที่สวนหลังบ้าน
“ฮึ! เรียกไก่ปีศาจน่ะเหมาะกับแกแล้วล่ะ!” เด็กหนุ่มขบกรามแน่น เขาสาวเท้า ออกจากห้องนอนตรงไปที่สวนหลังบ้านทันที
“ไอ้ไก่ปีศาจบ้านี่ของเธอเหรอ?” นพคุณยิงคำถามทันทีที่เดินลงไปถึง ตัวต้นเหตุ...ทั้งคนทั้งสัตว์นั่นแหละ! ต้องโดนทั้งคู่! เขาเห็นเด็กหญิงคนนั้นกำลังง่วนอยู่กับการลูบขนลูบหางไก่น้อยของหล่อน ก่อนจะช้อนตามองเขาด้วยสายตาฉงน เด็กหญิงไม่เข้าใจนักว่าลูกชายของพ่อเลี้ยงหล่อนกำลังฉุนเฉียวอะไร แต่เห็นสายตาเอาเรื่องของเขาแล้ว พริมารีบขยับตัวบังเจ้าไก่แจ้ ของหล่อนไว้ทันที…ไก่ตัวนี้แม่หล่อนสั่งซื้อมาให้จากเพจหนึ่งในอินเทอร์เน็ต
“มาจากฟาร์มเลยนะ แม่ F มาเมื่อวาน ไม่น่าเชื่อ วันนี้มาส่งถึงบ้านจริงๆ แฮะ” แม่หล่อนนำเสนอ หญิงสาวปลาบปลื้มที่ได้ไก่มาสมใจ
“แม่เห็นใน YouTube เค้าเลี้ยงกันน่ารักดี มีคลิปแข่งไก่ด้วยนะ...ที่แม่ Tag ลูก ใน Facebook ไง จำได้ไหม? ลูกชอบรึเปล่า?” เด็กหญิงกำลังงงกับไก่แจ้ตัวน้อย ที่ตอนนี้บินมาเกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน พลางไซร้ขนตัวเองอย่างเมามัน
“ชอบค่ะ” พริมาตอบได้ทันที พลางหันไปมองไก่ของหล่อนอย่างหลงใหล...มันสวยมากจริงๆ
“แหม ไอ้เจ้านี่ รู้จักประจบด้วยนะ ดูมันสิ น่าเอ็นดู” คุณนพรักษ์เดินเข้ามาร่วมวงอีกคน
“แล้วหนูจะตั้งชื่อมันว่าอะไร” พ่อเลี้ยงถามยิ้มๆ
“อืม...คิดไม่ทันค่ะ คุณลุงช่วยคิดหน่อย” เด็กหญิงมองไก่ของตัวเองแล้วพยายามคิดหาชื่อที่เหมาะกับมัน...แต่ก็จนปัญญา
“นพคุณเป็นไง? แปลว่าทอง ไก่ของหนูก็สีสวยเหมือนทองคำเลย” คุณลุง ที่มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงของหล่อนเสนอ แววตาขบขัน
“คุณนพ!” ภารดีปรามสามี เมื่อเห็นว่าเขาน่าจะแกล้งอำลูกสาวหล่อนเข้าเสียแล้ว
“ลูกแก้วชอบชื่อนี้ค่ะ ความหมายดีจัง ดูสิคะนพคุณก็ชอบ” เอาแล้วไง คุณนพรักษ์เหลือบมองเด็กหญิงสลับกับไก่ เด็กหญิงมองมาแววตาสดใส ส่วนไก่แจ้แสนสวยที่ตอนแรกง่วนอยู่กับการไซร้ขน ตอนนี้กลับยืนนิ่งบนไหล่ มองตอบกลับมาอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันเข้าใจทุกอย่าง สุดท้ายกลายเป็นว่าไก่ตัวนั้นได้ชื่อ “นพคุณ” ไปโดยปริยาย และดูท่าว่ามันจะชอบชื่อนั้นมากเสียด้วย ขนาดพ่อเลี้ยงเด็กหญิงเรียกมันด้วยชื่ออื่น มันไม่เคยสนใจ แต่ถ้าเรียก “นพคุณ” เมื่อไหร่ มันจะวิ่งปรี่มาหาเขาทันที
แต่ตอนนี้นพคุณของหล่อนกำลังได้ชื่อใหม่...ไก่ปีศาจบ้า!
เมื่อยิงคำถามแล้ว เป็นครั้งแรกที่นพคุณเห็นหน้าเด็กหญิงคนนั้นอย่างชัดเจน ลูกครึ่ง? เด็กนี่เป็นลูกครึ่งนี่นา ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้ม แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นตา ตาสีแปลก...สีน้ำตาลอมเขียว ตัวหล่อนเล็กนิดเดียว เหอะ! เป็นฝรั่งทั้งที ดันไม่เอาส่วนสูงมาด้วย สงสัยพ่อจะเตี้ย เพราะแม่หล่อนเองก็ตัวเล็กเหมือนกัน...ส่วนสูง 160 ซ.ม. จะถึงหรือเปล่า หน้าตา... อืม ถ้าไม่อคติเกินไปนักก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้
ไอ้ไก่ปีศาจบ้า...ใครนะช่างคิดคำเรียกแบบนี้ได้ เป็นไก่ เป็นปีศาจ และเป็นบ้า รวมอยู่ในสิ่งเดียว เด็กหญิงสงสารไก่น้อยของตนจับใจ แค่เกิดเป็นสัตว์ ก็น่าสงสารพออยู่แล้ว คนใจร้ายคนนั้นยังสรรหาคำพูดมาว่าไก่ของหล่อนอีก
“ไม่ใช่ไก่ ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่บ้า เอ้อ...เป็นไก่ แต่ไม่เป็นปีศาจ และไม่บ้าค่ะ” เด็กหญิงเถียงน้ำตาคลอ
“พูดอะไรของเธอ?” เจอคำพูดประหลาดพร้อมท่าทางของเด็กผู้หญิงตรงหน้า ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่านพคุณแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ แต่ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มก็ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ไก่บ้านี่แหละ มันขันตั้งแต่ตีห้ายันหกโมงเช้า! ขันไม่หยุด ขันมาเป็นชุด ขันได้ยาวนานแบบนี้มันต้องเป็นไก่ปีศาจ!” เด็กหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่ไอ้ไก่ปีศาจของพริมา
“ไม่ใช่! ลูกแก้วกำลังฝึกมัน เมื่อก่อนมันแทบไม่ขันเลยด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้ มันขันเก่ง เพราะลูกแก้วฝึกมันค่ะ” เด็กหญิงเถียงเสียงสั่น
“งั้นคนที่บ้ากว่าไก่ก็คือเธอสินะ” นพคุณเปลี่ยนมุม หันมือชี้มาที่หล่อนแทน
“ลูกแก้วไม่ได้บ้านะคะ...นพคุณก็ไม่บ้า!” เด็กหญิงเถียงแทนไก่ของหล่อน
“ก็ไม่บ้าน่ะสิ! นี่เธอว่าฉันบ้าเหรอ?” คราวนี้คนถาม เริ่มมีน้ำเสียงโมโห ขึ้นมาอีกรอบ มีอย่างที่ไหน ยัยเด็กนี่เรียกชื่อเขาเฉยๆ ไม่พอ ยังหาว่าเขาบ้าอีก
พริมาได้แต่ยืนอึ้งมองหน้าลูกชายพ่อเลี้ยง...โอ้โห! ลูกคุณลุงเหรอเนี้ย หน้าตาก็ดี แต่ทำไมขี้โมโหจัง เมื่อวานเจอกันครั้งแรกก็ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน วันนี้ก็มาหาว่าไก่ของหล่อน ทั้งเป็นบ้า ทั้งเป็นปีศาจ ทำไมนิสัยร้ากาจแบบนี้นะ ใจร้ายจัง ไม่ใจเย็น ใจดี เหมือนพ่อเลย ตั้งแต่เขากลับมาถึงเมื่อวานก็วุ่นวายกันไปทั้งบ้าน
“ลูกแก้วไม่ได้ว่าคุณสักหน่อย มีแต่คุณนั่นแหละว่านพคุณอยู่ได้ ว่าบ้าบ้างล่ะ ว่าเป็นไก่ปีศาจบ้างล่ะ รู้ไหมว่านพคุณเป็นไก่ที่ฟังภาษาคนรู้เรื่องนะคะ มันได้ยินแบบนี้ต้องเสียใจมากแน่ๆ ทำไมคุณใจร้ายจัง” ชัดแล้ว...ถ้าเขาเดาไม่ผิด ไอ้ไก่บ้านี่ชื่อเดียวกับเขา!
“ไอ้ไก่บ้านี่ชื่ออะไรนะ?” ถึงจะพอเดาได้ เขาก็อยากถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“นพคุณ” ตอบห้วน ๆ ก็แล้วไงล่ะ หล่อนเองก็เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“นี่เธอตั้งชื่อไก่นี่ว่านพคุณเหรอ? เธอกวนประสาทฉันรึไง? ยัยฝรั่งแคระ!” ไม่พูดเปล่า นพคุณจับแขนพริมา ออกแรงดึงนิดเดียวตัวเด็กหญิงก็ปลิวมาติดตัวเขาแล้ว
“ปล่อยลูกแก้วนะ” เด็กหญิงตกใจ หล่อนคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มตัวผอม จะมีแรงเยอะ ถึงขนาดยกหล่อนปลิวมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้
“โอ้ย!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง พลางหันไปมองที่นิ้วเท้าตัวเอง ไอ้ไก่ปีศาจที่เขาเรียกก่อนหน้านี้ กำลังตั้งใจจิกลงมาที่นิ้วก้อยเท้าข้างขวาของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากขันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว การจิกก็ทำได้จริงจังไม่แพ้การขัน เลยทีเดียว
“นพคุณ อย่า!” เอาสิวะ! นี่ห้ามกูหรือห้ามไก่! เด็กหนุ่มคิดในใจ ให้ตายเถอะ! เขาไม่ใช่คนใจร้ายที่ชอบรังแกสัตว์ และก็ไม่ใช่คนโหดร้ายที่ชอบรังแกเด็ก ถ้าไม่เพราะเด็กนี่กวนประสาทตั้งชื่อไก่เหมือนชื่อเขา มีหรือเขาจะโกรธขนาดนี้ และไอ้ที่น่าโมโหมากกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือหล่อนไม่มีความรู้สึกเลยด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นการเสียมารยาทมากแค่ไหนที่เอาชื่อคนอื่น มาตั้งเป็นชื่อสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
“เอะอะอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างบนเลยตาคุณ” คุณนพรักษ์ถามหน้าเครียด เมื่อเห็นลูกชายกับลูกเลี้ยงยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง พักหลังๆ เขาจะลงมาฝึกไก่กับพริมาทุกเช้า ตั้งแต่นพคุณไปอยู่โรงเรียนประจำ คุณอารีก็จากไปแล้ว ชีวิตของเขาก็เหงาเหลือเกิน แต่พอมีสองสาวแม่ลูกมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ชีวิตของเขาก็สดใสขึ้นมาก ไม่เหงาปล่าวเปลี่ยวเหมือนแต่ก่อน
“ว่าไงตาคุณ เรามาหาเรื่องอะไรน้องถึงนี่ ?” นพคุณหันไปมองพ่ออย่างตัดพ้อ แค่เพียงเวลาไม่กี่เดือน เหมือนคำสุภาษิตที่เคยได้ยิน “สามวันจากนารีเป็นอื่น” ไม่ใช่แค่นารีเท่านั้น แต่นี่เป็นพ่อ...พ่อของเขาเอง อยู่กับแม่ลูกคู่นี้ไม่กี่เดือน แทนที่จะถามเขาว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร กลับฟันธงไปแล้ว ว่าเขามาหาเรื่อง
“คำถามของพ่อฟังดูยุติธรรมดีนะครับ เหมือนได้คำตอบอยู่แล้ว แค่ถามพอเป็นพิธี” คนสูงวัยที่สุดในนี้มีสีหน้าหนักใจ ส่วนคนอายุน้อยสุด ก็ยืนกอดไก่ (ปีศาจ) แน่น ก้มหน้านิ่ง จ้องมองที่นิ้วเท้าตัวเอง เด็กนี่ทำหน้าหยั่งกะถ้าจ้องมันนานๆ จะมีนิ้วโป้งเท้างอกออกมาอีกนิ้วอย่างนั้นแหละ
“งั้นไหนๆ ผมก็ผิดอยู่แล้ว ผมหาเรื่องพ่อก็ได้ พ่อรู้หรือเปล่าครับว่าเด็กนี่เรียกไอ้ไก่บ้านี่ว่าอะไร? ”หน้านิ่งๆ ของคนเป็นพ่อมองเลยติ่งหูของเขาไป ปีกจมูกปิดเข้าเปิดออกเล็กน้อย อาการแบบนี้เขารู้
“พ่อ! ไม่ต้องมากลั้นขำนะครับ งั้นแสดงว่าพ่อรู้สินะครับ” รู้แล้วยอม...อันนี้น่าโมโหมากกว่า คุณนพรักษ์คิดไว้อยู่แล้ว ถ้าลูกชายตัวดีรู้ชื่อไก่จะต้องโมโหแน่ๆ ความคึกคะนองที่อยากแกล้งลูกเลี้ยงในตอนแรกกลับสร้างความวุ่นวายน่าปวดหัวในภายหลัง เขารู้ดี...ถ้าลำพังไก่ตัวนี้เป็นของเขา และเขาไม่ได้มีเมียใหม่...ในบ้านมีแค่เขากับไก่ การตั้งชื่อไก่คงไม่เป็นปัญหาแบบนี้ และเขาเชื่ออีกด้วยว่านพคุณจะต้องชอบใจหรือขบขันแน่ที่พ่อเอาชื่อเขามาตั้งเป็นชื่อไก่
“พ่อรู้แล้วปล่อยให้เด็กนี่เอาชื่อผมไปตั้งเป็นชื่อไอ้ไก่ปีศาจนี่เหรอครับ ?” ได้ยินคำว่า “ปีศาจ” ทั้งเจ้าของไก่และไก่มีปฏิกิริยาพร้อมกันทีเดียว เด็กหญิงสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ส่วนไก่...ถ้าตาไม่ฝาด นพคุณเห็นมันถลึงตาใส่เขา
“เปล่าๆ ลูกเข้าใจผิดแล้ว ลูกแก้วไม่ได้ตั้งชื่อไก่ พ่อเอง! พ่อเป็นคนตั้ง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชื่อนี้หรอกนะ...ไก่มันชอบ”
“ไก่มันชอบ!? พ่อพูดอะไรครับ” นพคุณถามอย่างไม่เชื่อในคำตอบ
“จริงๆ นะ! พ่อพยายามจะเปลี่ยนชื่อแล้ว แต่มันไม่ชอบ คือ...เอ่อ...เรียกแล้วก็ไม่มาด้วย”
“ไอ้ไก่นี่มันจะไปรู้อะไร มันเป็นไก่นะครับ มันจะชอบชื่อนั้น ชื่อนี้ เหมือนคนได้ยังไง?”
“เอิ้กกก!!!.” เหมือนเก็บกดมานาน นพคุณเวอร์ชั่นไก่ส่งเสียงแหลมบาดหู ถ้าทันสังเกตจะเห็นว่า ไก่ปีศาจของนพคุณ มองจิกคนว่าจนตาแทบถลนออกจากเบ้า
“นพ เอ้ย..ไก่ตัวนี้มันฟังภาษาคนรู้เรื่องค่ะ มันไม่ชอบให้ใครมาว่า” เด็กหญิงที่ยืนฟังพ่อลูกเถียงกันอยู่นานเอ่ยขึ้น ความจริงหล่อนไม่รู้มาก่อนเลยว่าลูกชายของพ่อเลี้ยงหล่อนนั้นมีชื่อว่าอะไร ไม่แน่ใจด้วยว่าพ่อเลี้ยงหล่อนเคยบอกแล้วหล่อนลืมหรือเปล่า แต่พอมารู้ว่าไก่ที่พ่อเลี้ยงหล่อนเป็นคนตั้งชื่อให้นั้น ความจริงแล้วชื่อเดียวกับเขา หล่อนก็เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกรธขนาดนี้ แต่ครั้นจะเปลี่ยนชื่อไก่แจ้ของหล่อนตอนนี้ ก็น่าจะไม่ทันเสียแล้ว แถมยังดูท่าว่าเจ้าไก่ของหล่อนก็จะไม่ยอมให้เปลี่ยนเสียด้วย
“ลูกแก้วจะเปลี่ยนชื่อให้นพคุณ เอ้ย! ไก่ก็ได้ค่ะ” หล่อนปด กะว่าต่อหน้าเขา จะเรียกส่งๆ ไปก่อน แต่พอลับหลังก็คงต้องใช้ชื่อ ”นพคุณ” เหมือนเดิม ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ อย่างที่คุณลุงบอกนั่นแหละ...ไก่มันชอบ!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร ด้วยรู้ว่าถ้าพูดอะไรไปก็มีแต่จะเสีย ยังไงพ่อก็ไม่เข้าข้างเขาอยู่แล้ว ใช่สิ! ตอนนี้เขาก็กลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างสมบูรณ์แบบ มีทั้งเมียใหม่ ลูกใหม่ แถมไก่ผีอีกหนึ่งตัว อีกหน่อยลูกเก่าอย่างเขา คงไม่มีที่ยืนในบ้าน...เผลอๆ เขาอาจจะต้องระเห็จมาอยู่ในเล้าไก่ แล้วไอ้ไก่ผีนี่ก็อาจจะมายึดห้องของเขาแทนก็ได้
การพบกันครั้งแรกของนพคุณกับพริมา เขาโวยวายเสียงดัง ครั้งที่สอง ก็โวยวายเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขากระชากหล่อนด้วย ความรุนแรงค่อยๆ เพิ่มขึ้น ถ้าเจอกันครั้งหน้า พริมากลัวว่าเขาจะทำร้ายหล่อนอีก แค่เขาเหวี่ยงนิดเดียว หล่อนเชื่อว่าจะต้องกระเด็นไปไกลและเจ็บตัวมากแน่ๆ อารมณ์วัยรุ่นเกินจะคาดเดา ไม่ไหวๆ หล่อนควรจะอยู่ให้ห่างจากวัยรุ่นดีกว่า เด็กหญิงยังเล่นอยู่ที่เล้าไก่ ส่วนคนที่หล่อนนึกถึงอยู่นั้น ตอนนี้กระฟัดกระเฟียดเดินขึ้นห้องไปแล้ว...ดีเหมือนกันให้เขาอยู่ข้างบน หล่อนจะอยู่ข้างล่างเอง จะให้เอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้ก็ได้นะ แยกกันอยู่แบบนี้แหละ จะได้ไม่เกิดปัญหา พริมาไม่ชอบการปะทะกับใคร ตอนอยู่กับตายายที่บ้านหลังเก่านั้น มีแต่ความสบายใจ หล่อนไม่เคยต้องรบกับใครทั้งนั้น จะไปเล่นกับใครก็ไม่เคยทะเลาะกันสักที พริมาไม่เคยเจอคนแบบนพคุณ ที่เอะอะโวยวายเสียงดังแบบนี้ แต่พอมาคิดแล้วก็เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน ถ้าหล่อนโดนคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเอาชื่อตัวเองไปตั้งเป็นสัตว์เลี้ยง ก็คงมีเคืองเหมือนเขานั่นแหละ พริมายิ้มภูมิใจตัวเอง หล่อนมีใจยุติธรรมพอ...เรื่องนี้พอให้อภัยได้อยู่ ว่าแล้วเด็กหญิงก็หันไปคุยกับเจ้าไก่แจ้แสนสวย
“นพคุณ...ยังไงก็อย่าถือสาพี่คนนั้นเค้าเลยนะ เขาเป็นเด็กมีปัญหา เราสองคนควรจะเข้าใจเขาให้มากๆ ลองให้โอกาสเขาดู เราอาจจะพบด้านดีของเขาก็ได้” เด็กหญิงกระซิบเบาๆ กับไก่ของหล่อน หล่อนนั่งอยู่ตรงนั้นนานครึ่งค่อนวัน ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่ามีสายตาบางคนแอบมองลงมาจากบนระเบียง นพคุณกลับเข้าห้องจะไปนอนต่อ แต่ในใจเขายังขัดเคือง มีอย่างที่ไหน เอาชื่อเขาไปตั้งชื่อไก่ เขาไม่เชื่อเด็กนั่นหรอก พ่อน่าจะออกรับแทนมากกว่า เขาเชื่อว่า ความจริงแล้ว น่าจะเป็นความคิดพิเรนทร์ของเด็กนั่นนั่นแหละ นี่เขาไม่กลับบ้านมาแค่ 4 - 5 เดือน อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ เด็กหนุ่มเดินออกมาที่ระเบียง มองไปที่สวนหลังบ้าน ก่อนนี้มันเป็นสวนผัก แม่เขาชอบปลูกผัก ตอนที่เขาอยู่บ้าน การรดน้ำผักเป็นหน้าที่ของเขา แต่ตอนนี้สวนผักของแม่หายไป กลายมาเป็นเล้าไก่...บ้านของไอ้ไก่ผีนั่น และมันเกลียดเขา! เขาไม่แน่ใจว่ามันฟังภาษาคนรู้เรื่องจริงหรือเปล่า แต่เขามั่นใจว่ามันเกลียดเขาแน่นอน เขาเห็นแววตามัน คิดมาถึงตรงนี้นพคุณขนลุก...ไอ้ไก่บ้านั่นน่ากลัวชะมัด! ขณะที่กำลังคิดถึงความหลัง เขาเห็นเด็กนั่น เฮอะ! ยังไม่ไปไหนอีกรึ แล้วดูนั่งคุยกับไก่ คุยอะไรกันเขาไม่ได้ยิน เพราะเด็กนั่นนั่งหันหลังให้เขา แต่! ไอ้ไก่ผีนั่นมองมา มันรู้! มันเห็นทุกอย่าง มันแหงนหน้าจ้องเขานิ่ง นพคุณแกล้งโยกตัวไปมาทดสอบดูว่าสายตาของมันมองมาที่เขาจริงหรือเปล่า และมันก็จริงดังคาด ไอ้ไก่นั่นมองตามตาไม่กระพริบ น่ากลัวมาก! มันหมายหัวเขาไว้แน่ๆ ถ้าเขาเล่าให้ใครฟังก็คงจะไม่มีใครเชื่อ แล้วถ้ามันคิดจะฆ่าเขาล่ะ...
“มาเลย ถ้าแกเข้ามาใกล้นะ ฉันจะเตะให้ปีกหักเลยคอยดู” เขาพูดโดยไม่ออกเสียง ตาก็จ้องตอบเจ้าไก่ที่มองขึ้นมาจากข้างล่าง หวังจะให้มันอ่านปากเขาออก และเข้าใจที่เขาพูดทุกคำ
“เอิ๊กกก!” อยู่ๆ เจ้าไก่นั่นก็ส่งเสียงดังโหยหวน มันรับคำท้าเขาหรือเปล่านะ? นพคุณตกใจหลบเข้ามาในห้อง พริมาที่กำลังคุยอยู่กับไก่ของหล่อนเพลินๆ สะดุ้งสุดตัวเหมือนกัน จู่ๆ ไก่ตัวน้อยของหล่อนก็แผดเสียงแหลมบาดหู เด็กหญิงหันตามไปมองยังทิศทางที่เจ้าไก่แจ้มองอยู่...ไม่เห็นมีอะไรเลย หล่อนจึงทึกทักเอาว่าไก่แจ้ตัวน้อยของหล่อนคงขานรับหรือคุยตอบเรื่องที่หล่อนกำลังพูดอยู่
“ฮ่าๆ นพคุณก็คิดแบบลูกแก้วใช่ไหม? นี่เดี๋ยวลูกแก้วจะเล่าอีกเรื่องให้ฟังนะ” เด็กหญิงนั่งคุยต่อไปอีกนานหลายชั่วโมงจนเจ้าไก่แจ้เริ่มเพลีย หลับคอพับคออ่อน หล่อนถึงยอมวางมันเข้าเล้าแล้วตัวเองก็กลับเข้าไปในบ้าน
นพคุณลงมาข้างล่างก็บ่ายแล้ว เขาไม่อยากออกจากห้อง แต่เขาหิว และพอมาคิดดูแล้วนี่ก็บ้านของเขา ทำไมเจ้าของบ้านต้องมาอยู่ แบบหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย เขาเจอพ่อ...พ่อพยายามชวนคุย แต่นพคุณไม่ตอบ กินข้าวเสร็จเด็กหนุ่มก็รีบกลับขึ้นห้อง ขณะเดินผ่านหน้าต่างห้องครัวเขาเห็นมัน...ไอ้ไก่ผี มันออกมานอกเล้า! ยืนโยกตัวอยู่บนพุ่มไม้ ที่สำคัญมันหันหน้าเข้าบ้าน มองผ่านกระจกมา...คนกับไก่สบตากันพอดี เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ? นพคุณรีบหลบขึ้นบนบ้าน ระหว่างวิ่งขึ้นบันไดเขาเกือบชนกับพริมา เด็กหญิงหลบเขาแทบจะแทรกตัวเข้าไปในฝาบ้านทีเดียว
“รีบไปไหนของเค้ากันนะ?” พริมามองตามเด็กหนุ่มที่วิ่งหายเข้าไปในห้องปิดประตูเสียงดัง เด็กหญิงยักไหล่...ว่าแล้วก็ไปดูนพ เอ้ย! ไก่แจ้ของหล่อนดีกว่า
นพคุณเข้าห้องมาแล้ว เขาวิ่งไปที่ระเบียง ดูสิ! เจ้าไก่นั่นอยู่ไหน? เขาทันเห็นเด็กหญิงวิ่งไปที่เล้าไก่ เด็กนี่! วันๆ ไม่คิดจะไปไหนเลยรึไงนะ เขาไม่ต้องแช่งมันหรอกไอ้ไก่นั่นน่ะ ไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็เฉามือตายไปเอง พริมาก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าลูกกรง แล้วคว้าตัวไก่ของหล่อนออกมา เฮ้ย!!! เมื่อกี้ข้างล่างตอนที่เขาอยู่แถวประตูครัว มันยังอยู่นอกกรงอยู่เลย เวลาไม่ถึง 2 นาที มันจะกลับเข้ากรงขังตัวเองอยู่ในเล้าได้อย่างไร? นพคุณหมดแรง นี่เขากำลังเล่นอยู่กับตัวอะไร? ถ้าเขาเล่าให้พ่อฟัง พ่อจะว่าเขาเพ้อเจ้อไหม? นอนหลับสักงีบดีกว่า สงสัยคงเพราะนอนน้อยเลยทำให้เห็นภาพหลอนไปเรื่อย...นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเกือบชั่วโมง แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เด็กหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...เหตุการณ์ที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา ใช่! เขาเองก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาทิ้งบ้านที่เขารักไปนานหลายเดือน รวมถึงทิ้งพ่อไว้ให้อยู่ตามลำพัง...หลายเดือนที่ผ่านมานี้นพคุณไม่ได้กลับบ้าน...เขากลัวบ้านตัวเอง
เมื่อห้าเดือนก่อนนพคุณพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ คุณอารีแม่ของเขาจากไปก่อนวัยอันควร เป็นจังหวะที่เขากำลังสอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำพอดีมันเป็นโรงเรียนที่เขาเลือกไว้แต่แรกอยู่แล้ว...โรงเรียนดังระดับประเทศที่เฝ้าใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนนักหนา และไม่ผิดหวังนพคุณสอบเข้าเรียนที่นั่นได้ด้วยคะแนนระดับต้นๆ ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอม...ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป นพคุณจึงตัดสินใจกลับบ้าน เขาจะมาอยู่กับพ่อตลอดช่วงปิดเทอมนี้...มีคนบอกว่าเวลาจะช่วยรักษาความเจ็บปวดได้...แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด และเขายังจำเหตุการณ์เมื่อวานได้ดี...
เมื่อวานเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขากลับบ้าน ตอนแม่ตายใหม่ๆ เขาแทบทนอยู่บ้านไม่ได้ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ แต่ตอนนี้ความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดมากมายให้กับเขาอีกต่อไปแล้ว...เด็กหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้าน จากตรงนี้ บ้านของเขายังเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อตอนที่เขาจากไป นพคุณเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน พ่อเขาหรือเปล่า? ผู้หญิง? มีผู้หญิงอยู่ในบ้าน? เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไขกุญแจเข้าบ้านบางทีอาจจะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนของพ่อที่มาทำธุระหรือเยี่ยมเยือนพอดี ระหว่างทางเข้าบ้านเขาเห็นรถจอดอยู่สองคัน แน่นอนคันหนึ่งของพ่อเขา...แต่อีกคันเขาไม่เคยเห็น
“ฮ่าๆ ลูกแก้ว หนูเก่งนะนี่ สอนเจ้าไก่นี่ขันได้เยอะเชียว”...เสียงพ่อของเขาดังมาจากสวนหลังบ้าน นพคุณเดินตามเสียงไปเขาเห็นพ่อกำลังคุยกับใครบางคน และเพราะคุณนพรักษ์หันหลังอยู่เขาจึงไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา...รวมถึงคู่สนทนาของเขาด้วย เพราะจากมุมนี้คุณนพรักษ์บังตัวใครคนนั้นไว้จนนพคุณมองไม่เห็น และใครคนนั้นก็ไม่เห็นเขาด้วยเหมือนกัน
“จะกินข้าวกันรึยังคะ?” เสียงผู้หญิงถามดังออกมาจากในครัว...ใช่ผู้หญิงที่เขาเห็นแวบๆ เมื่อกี้หรือเปล่านะ? นพคุณชะโงกหน้าไปมอง และตอนนี้ผู้หญิงคนนั้น เห็นเขาแล้ว หล่อนตาโตและอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!” ภารดีตกใจจริงๆ หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นนพคุณ...ภารดีไม่คิดว่าจะได้เจอลูกชายของคุณนพรักษ์ในวันนี้ ...อยู่กันพร้อมหน้าพอดี ช่างมาได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน คุณนพรักษ์เห็นภรรยาอุทานด้วยความแปลกใจ เขาจึงหันไปมองและได้เห็นว่าภารดีตกใจที่เห็นใคร
“ตาคุณ!” นพคุณแปลกใจ...พ่อเขาดูจะตกใจมากกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก และเพราะเขาเป็นคนช่างสังเกตจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น...ตลอดเวลาที่เขาจากบ้านไปนั้นเขาตกข่าวอะไรไปบ้างนะ?
“อะไรนะ!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเด็กหนุ่มดังลั่น ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ ภายในห้องรับแขกนั้น ผู้เป็นพ่อถอนใจยาวด้วยความที่รู้จักลูกชายของตนเองดีว่าเมื่อใดที่โมโหหรือต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยมีใครหรืออะไรสามารถขัดใจได้...แต่คราวนี้เขาเข้าใจ มาเจอแบบนี้นพคุณต้องโมโหเป็นธรรมดา...ภาพที่เห็นคือ เด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ ตาไม่กระพริบ คุณนพรักษ์รู้ดีว่าลูกชายโกรธ แต่เขาเลี้ยงดูอบรมลูกชายมาเป็นอย่างดี...ถึงนพคุณจะโกรธหรือไม่พอใจแค่ไหนเขาก็มีมารยาทพอ ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำลายข้าวของ เพียงแต่เขาจะดื้อและเถียงขาดใจถ้าเห็นว่าสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่นั้นตัวเองเป็นฝ่ายถูก
“เรามาคุยกันดีๆ นะตาคุณ” คุณนพรักษ์ขอร้องเสียงอ่อย เขาผิดเอง ที่ไม่ได้บอก ลูกชายตั้งแต่แรก เพราะเขารู้ดีว่านพคุณต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“พ่อมีเวลาคุยกับผมตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ จนเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีอะไรบอกผมอีกเหรอครับ” เด็กหนุ่มเถียงกลับด้วยเสียงอันดัง ไม่ต่างจากเดิม เขาโกรธพ่อมาก ปกตินพคุณเป็นคนใจเย็นเขาไม่ชอบทะเลาะหรือโวยวายเสียงดังกับใคร และไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่เขาจะตะโกนหรือก้าวร้าวใส่พ่อ แต่วันนี้เขาทำทุกอย่างที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำ นพคุณแปลกใจ... คุณนพรักษ์เป็นคนฉลาด และคิดทุกอย่างรอบคอบเสมอ แต่มาครั้งนี้มัน แปลกเกินไป คนที่คิดอะไรละเอียดรอบคอบและฉลาด ทำไมถึงทำแบบนี้ เขารู้ว่าเขาผิดที่ทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว แต่พ่อทำแบบนี้ก็เกินไป พ่อทำกับเขา...กับแม่แบบนี้ได้อย่างไร
ใช่แล้ว....ผู้เป็นพ่อเถียงไม่ออก จะให้เขาบอกลูกชายว่าอย่างไร? ว่าหลังจากแม่ของเขาตายไปไม่ถึงปี เขาก็มีรักใหม่ และที่สำคัญภรรยาใหม่ หรือแม่เลี้ยงของนพคุณนั้น คบหาดูใจกันไม่กี่เดือน...อย่าว่าแต่ลูกชายเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้น ถ้าพบคนที่ถูกใจและเข้าใจเราได้เป็นอย่างดี คำว่า “เวลา” จะมีความหมายอะไร
“เอาล่ะ พ่อยอมรับผิด ลูกจะให้พ่อทำยังไง?” คุณนพรักษ์ถามอย่างอ่อนใจ งานนี้เขาจนปัญญาจริงๆ เดิมทีเขากับภารดีตกลงกันไว้ว่าจะค่อยๆ บอกนพคุณทีละนิด และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาค่อยแนะนำให้ นพคุณกับภารดีรู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขาหวังว่าการที่ลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำเป็นเวลานาน น่าจะช่วยให้เขาสามารถทำใจได้ เพื่อให้การที่เขาแต่งงานใหม่ก็จะได้ไม่ดูรวดเร็วจนเกินไป แต่ที่ผิดคาดคือนพคุณกลับมาบ้านก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่วางแผนไว้จึงไม่เป็นดังคิด...จวนตัวแบบนี้เล่นเอาคุณนพรักษ์ปวดหัวอยู่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบห้องรับแขก ที่นั่งตรงข้ามกับตนคือพ่อของเขา ที่ยามนี้เขามีสีหน้าหนักใจ สม!...มีอย่างที่ไหน แอบจดทะเบียนอยู่กินกับผู้หญิงที่เจอกันได้ไม่กี่เดือน...ข้างกายพ่อนั้นคือผู้หญิงคนนั้น ไม่สิถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือแม่เลี้ยงของเขานั่นแหละ ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าหล่อนจะต้องใช้มารยาล่อลวงคนแก่ หวังจะจับพ่อเขาล่ะสิ! และหล่อนก็ทำได้สำเร็จอีกด้วย ผู้หญิงคนนี้คำนวณคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าด้วยซ้ำ ฮึ! มีอย่างที่ไหนจะมารักกับคนแก่กว่าที่อายุเกือบห้าสิบ...ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะมาชอบคนแก่รุ่นราวคราวพ่อ ถ้าไม่หวังสิ่งตอบแทน!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ กลับมาคราวนี้เขาเสียใจ...เสียใจจนเขาไม่สามารถรับฟังเหตุผลใดๆ ได้อีก จะมีเหตุผลอะไร? ก็แค่คนแก่ตัณหากลับ เจอผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ออดอ้อนเข้าหน่อย ก็หลงกลใจอ่อนจดทะเบียนพาเข้าบ้าน เขาอยากรู้นักว่าหล่อนไปทำอีท่าไหนนะถึงหลอกพ่อที่แสนดีและฉลาดของเขาได้สำเร็จ คุณนพรักษ์ไม่ใช่คนโง่ และถ้าผู้หญิงคนนั้นสามารถหลอกพ่อเขาได้แล้วล่ะก็ หล่อนจะต้องฉลาด...ฉลาดมาก!
“แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง” เขาสวนกลับไปด้วยคำถามเดียวกันของบิดา วันนี้นพคุณทำนิสัยหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาไม่เคยเสียงดังใส่พ่อ ไม่เคยเอะอะโวยวาย ปกติถ้าไม่พอใจ พวกเขาจะคุยกันด้วยเหตุผลเสมอ
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมบอกให้พ่อหย่า พ่อจะหย่าเหรอครับ?” เด็กหนุ่ม พูดเสียงดังพร้อมหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด...ผู้หญิงคนนั้น คนที่นั่งอยู่ข้างพ่อของเขา หลังจากระบายความโกรธไปพอสมควร เขาจึงมีเวลาพินิจพิเคราะห์ลักษณะของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงได้อย่างถนัดตาเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้ ชื่ออะไรนะ? ภารดี หล่อนจัดว่าเป็นคนสวยทีเดียว ผิวสีน้ำผึ้ง ร่างเล็กแบบที่ผู้ชายชอบนักหนาเพราะเห็นแล้วน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ผมตัดสั้นตามสมัยนิยมของผู้หญิงในยุคปัจจุบัน ดูรวมๆ แล้วเรียกได้ว่าสวยจัดทีเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่สมกับคำว่า “สวยจัด” นั้น คงจะเป็น...ปาก คนอะไรจะทาปากแดงได้ขนาดนั้น แต่ก็แปลกถ้าดูแค่ปากอย่างเดียว คงจะเรียกได้ว่าน่าเกลียดเหลือทน แต่พอดูรวมๆ กันแล้วกลับสวยเด่นสะดุดตา ถัดไป ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้น ตลอดเวลาที่เขาตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นพ่ออยู่นั้น เขาไม่ทันสังเกตเลย...เด็กผู้หญิง เขาเห็นหน้าหล่อนไม่ถนัดนัก เพราะเด็กหญิงเอาแต่ก้มหน้า เหอะ! แม่หม้ายลูกติด ถึงว่า...คงจะใช้มารยาหลอกพ่อเขาได้อย่าง ไม่ยากนัก พ่อนี่ก็แปลกเมียใหม่หรือแม่เลี้ยงเขาคนนี้ ถ้าเทียบกับแม่เขาแล้วต่างกันชนิดที่เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ไม่มีอะไรเหมือนกัน เลยสักนิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณนพรักษ์เห็นสายตาของลูกชายก็รีบตัดบท
“ลูกเพิ่งมาถึง คงจะเหนื่อย ขึ้นห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ให้ลูกชายเขาได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่น่าจะดีกว่า คุยกันตอนนี้ ในขณะที่เต็มไปด้วยอารมณ์มีแต่จะพูดอะไรให้เสียใจกันเปล่าๆ
“ก็ยังดีนะครับที่ยังเหลือห้อง...เหลือที่ไว้ให้ผม” นพคุณพูดจบ เขาลุกเดินขึ้นห้องตัวเองไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีกเลย ตลอดทั้งคืนเขาต้องทนอยู่กับความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน ใครจะไปคิดว่ากลับบ้านมาคราวนี้ เขาจะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้...ทำไมพ่อทำแบบนี้กับเขา นพคุณคิดเรื่องนี้วนเวียนอยู่ทั้งคืนก็ไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อ...กว่าจะข่มตานอนได้ก็เกือบเช้า แต่ก็ไม่วายเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
คุณนพรักษ์เข้าบ้านมาแล้ว หลังจากลูกชาย “เหวี่ยง” และ “วีน” อยู่เมื่อครู่ เขาเข้าใจนพคุณอย่างที่สุด แต่จะให้ทำอย่างไรได้...
“เฮ้อ....” เสียงผู้เป็นพ่อนั่งถอนใจ
“คิก คิก” เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น เมื่อแน่ใจว่าเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาไม่อยู่ในรัศมีการได้ยินแล้ว ตลอดเวลาภารดียืนดูสองพ่อลูก (และลูกสาวของหล่อน) จากในบ้าน ฉากที่เห็นทำให้หล่อนอดขำไม่ได้ แม่เลี้ยงนพคุณได้ยินทุกอย่าง แต่แทนที่จะมีอารมณ์โมโหหรือไม่ชอบใจในพฤติกรรมของหนุ่มน้อยคนนั้น หล่อนกลับรู้สึกสนุกและท้ายทายมากกว่า ภารดีเข้าใจหัวอกของนพคุณดี เพราะถ้าเป็นหล่อนก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา หรืออาจจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพูดจาร้ายกาจกว่านี้หลายเท่า ภารดีดูออกถึงแม้จะโมโหเพียงใด อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังมีมารยาท ไม่แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดด่าทอ หรือบริพาสถ้อยคำหยาบคายใดๆ ออกมา ซึ่งถ้าเป็นหล่อนตอนอายุเท่าเขา คงจะอาละวาดบ้านแตก ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแน่ๆ
“คุณพิมพ์! ยังจะมานั่งขำอีก” คุณนพรักษ์ถอนใจ
“ก็มันน่าสนุกนี่คะ” ภารดีหัวเราะ เสียงหัวเราะของหล่อนกังวานใสพร้อมกันกับรอยยิ้ม...ซึ่งเมื่อมันอยู่ด้วยกันแล้วช่างน่ามองยิ่งนัก
“สนุกอะไรกัน ผมบอกคุณแล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ ๆ“ คุณนพรักษ์ ท้อใจ ปัญหานี้เขาไม่รู้จะเริ่มแก้ไขอย่างไรก่อนดี
“เอาน่า! รอดูไปสักพัก...ให้เวลากับแกหน่อย ช่วงนี้แกอาจจะเหวี่ยง ไปบ้าง แต่พอนานวันไปพิมพ์ว่าแกต้องเข้าใจแน่ๆ ค่ะ คุณรู้ไหมลูกชายคุณน่ะยังแรงไม่ถึงครึ่งของพิมพ์ตอนอายุเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะแสบกว่าเขาก็พิมพ์ตอนอายุสิบหกนี่แหละค่ะ แบบลูกชายคุณน่ะจิ๊บๆ”
“ผมเชื่อว่าคุณแสบ แต่ผมแก่แล้วยังไงก็เพลาๆ พลังกันบ้างนะ”
ภารดีเป็นสาววัย 32 ปี แม่หม้ายสาวสวยที่ใครๆ ก็หมายปอง ตอนที่ใครๆ รู้ข่าวว่าหล่อนจดทะเบียนอยู่กินกับคนที่แก่กว่าหล่อนเป็นสิบปี...ข้าราชการหนุ่มใหญ่ ที่พบกันได้ไม่กี่เดือน หลายคนก็ได้แต่เดากันไปต่างๆ นาๆ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ไม่เคยสนใจ และไม่คิดจะแก้ต่างในเรื่องที่ใครๆ คาดเดากันไปอีกด้วย หล่อนคิดแต่เพียงว่าถ้าหล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคนดี และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดต้องเข้ากับลูกสาวของหล่อนได้ และคุณนพรักษ์มีทั้งหมด เมื่อโอกาสพาคนดีๆ เข้ามา ภารดีจึงไม่ลังเล เลยสักนิดที่จะเลือกเขา...แต่ภารดีกับคุณนพรักษ์มีข้อตกลงกันว่าถ้าลูกของพวกเขามีปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ พวกเขาตกลงจะจบความสัมพันธ์กันแต่โดยดี เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือลูก!
พริมา...ลูกสาวของหล่อนนั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆ โชคดีที่ เด็กหญิงเป็นคนหัวอ่อน หล่อนรักและเชื่อแม่ทุกอย่าง พริมาเชื่อว่าสิ่งที่แม่เลือกให้ คือสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่หล่อนจะคัดค้าน ส่วนนพคุณ...คนนี้แหละ ที่น่าเป็นห่วง นพคุณเป็นลูกชายคนเดียว เขารักแม่มากและเอาแต่ใจตัวเองตามประสาคนโดนตามใจมาตลอดชีวิต การจะให้เขายอมรับแม่ใหม่หรือเมียใหม่ ของพ่อ ย่อมเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่ภารดีก็ยังเชื่อว่าถ้ามีเหตุผลและเวลาเพียงพอ นพคุณจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ภารดีรู้ว่า...หล่อนจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่พอสมควรรออยู่ในอนาคต เพียงแต่หล่อนจะต้องวางแผนรับมือให้ดีเท่านั้นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ