Trap Demons หลุมพรางร้าย ปีศาจร้อน
-
เขียนโดย Piano_sp
วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 08.04 น.
14 ตอน
0 วิจารณ์
12.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2563 08.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) Trap Demons : 14
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ14
“กูว่าตอนนี้มึงเหมือนไอ้ภูเบศ ตอนที่โดนเมียมันเทตอนนั้นจริงๆ”
ไอ้ไตรทศจอมพูดมากกล่าวขึ้นหลังจากที่มันนั่งมองผมเป็นเวลานาน ตอนนี้เราก็อยู่ที่ผับของไอ้ราพณ์ และเรื่องที่มันกำลังพูดถึงอยู่นั้นมันเป็นเรื่องของไอ้ภูเบศเมื่อนานมาแล้วตอนที่มันยังไม่ได้คบกับบุหลันอย่างเป็นทางการและตอนนั้นมันก็โดนไอ้พันแสงพี่ชายของบุหลันกีดกันไม่ให้พวกมันคบกันอีก แต่แล้วพวกมันก็คืนดีกันโดยมีผมเป็นคนวางแผนลากไอ้ภูเบศไปทิ้งที่ห้องของบุหลัน ซึ่งผมก็เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้พวกมันเข้าใจกันถึงตอนนี้
“ไอ้ภูเบศมันก็ยังดีกว่ากูที่มีเพื่อนคอยช่วย แต่กูนี่ เพื่อนเหี้ยก็ช่วยไม่ได้สักคน”
ผมกล่าวเสียงเรียบนิ่งแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แต่คนที่ฟังผมอยู่อย่างไอ้ไตรทศถึงกลับสะดุ้งขึ้นเมื่อผมกล่าวประโยคที่มีแต่ความประชดประชันออกไป แต่ตอนนี้มีแต่เหล้าเท่านั้นแหละที่สามารถช่วยผมได้ตอนนี้มันอาจจะทำให้ผมลืมวาโยไปสักระยะ เมื่อก่อนมันช่วยผมได้ดีน่ะ แต่นี่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมยิ่งดื่มยิ่งคิดถึง
“มึงก็ใช้แผนที่มึงให้ไอ้ภูทำสิวะ”
ไอ้ไตรทศกล่าวเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าเรื่องมันง่ายเหมือนเรื่องไอ้ภูเบศก็ดีไปอย่าง แต่นี่วาโยน่ะไม่ใช่บุหลันเมียไอ้ภูเบศที่แสนจะใสซื่อ แต่คนที่ผมกำลังเผชิญอยู่เธอรู้ทันผมทุกอย่าง
“มึงก็น่าจะรู้ว่ายัยนั่นมีคนคอยเฝ้าตลอด”
ยิ่งช่วงนี้ยิ่งเข้าถึงตัววาโยยากเข้าไปใหญ่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องอยู่ติดกับผู้ชายตลอดเลยว่ะ
“ลักพาตัวมาขังไว้ที่ห้องแม่งเลยซิ”
ไอ้ไตรทศกล่าวประโยคที่เชิงพูดเล่นออกมา แต่มันทำให้ผมสนใจในสิ่งที่มันเสนอออกมาเป็นอย่างมาก
“มึงพูดเข้าท่าว่ะ”
“เฮ้ย กูพูดเล่น อย่าบอกน่ะว่ามึงเอาจริง”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็มองหน้าเหวอๆ ของไอ้ไตรทศกลับไป
“Oh no!!”
ไอ้ไตรทศอุทานแล้วยกมือขึ้นปกปากด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ที่มันชอบทำให้เห็นบ่อย
“กูเห็นมึงเป็นเพื่อนก็วันนี้แหละ”
“อ้าว แล้วที่ผ่านมากูไม่ใช่เพื่อนมึงเหรอ”
ผมไม่สนใจในสิ่งที่ไอ้ไตรทศพูดออกมาเลยสักนิดแต่ผมกลับยื่นมือไปคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแทนพลางคิดแผนที่จะชิงตัววาโยกลับมาเป็นของผมอีกครั้งเงียบๆ คนเดียวโดยไม่สนใส่เสียงที่ดังอยู่รอบข้างเลย
ในเวลาต่อมา
หลังจากที่ผมดื่มอยู่กับไอ้ไตรทศได้สักพักผมก็ขอตัวกลับก่อน เพราะเริ่มเบื่อๆ ขึ้นมาแล้ว พอผมเดินมาถึงบริเวณที่ผมจอดรถไว้ซึ่งเป็นบริเวณหลังผับมันเป็นที่จอดรถประจำของพวกผมที่ไอ้ราพณ์ได้สร้างไว้ให้โดยเฉพาะ เพราะบริเวณนี้มันไม่มีคนและการจราจรก็ถือว่าไม่แออัดเหมือนกับหน้าผับที่มีคนพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา และความปลอดภัยก็ถือว่าที่นี่ดีสุด
ผมเอื้อมมือล้วงไปหยิบบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงที่ผมใส่อยู่ออกมาแล้วจุดสูบก่อน เพราะผมไม่ค่อยชอบสูบบุหรี่ในรถซักเท่าไหร่
“อื้อ!”
“ฉันบอกให้เงียบถ้าไม่อยากตาย”
จู่ๆ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาทำลายความเงียบในบริเวณที่ผมกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ผมเลยหันไปมองตามเสียงก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโดนลวนลามขื่นใจอยู่ ซึ่งระยะห่างก็ไม่ได้ไกลจากผมมากนัก
“คนของไอ้ราพณ์ปล่อยให้คนแบบนี้ผ่านมาได้ไงว่ะ”
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปากอย่างใจเย็น แล้วกลอกตาขึ้นมองบนฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย
“ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วยแล้วยังจะขืนใจเขาอยู่อย่างนั้นเหรอ”
ผมกล่าวขึ้นเสียงเรียบแล้วหันไปมองทางที่ชายหญิงคู่นั้นยืนอยู่ แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้มันดันเข้ามาที่ผมหมด เพราะผมเคยขืนใจวาโยและตอนนี้เธอก็ไม่ได้สนใจผมแต่ผมดันไประรานเธออยู่อย่างนั้น เอ๊ะ เหมือนผมกำลังด่าตัวเองอยู่เลย
ผู้ชายคนนั้นที่กำลังขืนใจผู้หญิงคนนั้นอยู่หันมามองผมด้วยสายตาที่หาเรื่อง เหมือนว่าผมกำลังไปขัดจังหวะมันอยู่พอดี แต่ทันทีที่มันสบตาผมสายตาของมันก็เปลี่ยนเป็นความตกใจเข้ามาแทนที่
“ปักษา”
มันอุทานชื่อผมออกมาด้วยความตกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ มันรู้จักผมเหรอแต่ทำไมผมไม่เห็นจะรู้จักมันเลย
“จะไปดีๆ หรือต้องให้การ์ดมาลากออกไป”
ผมกล่าวแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก แล้วเอนหลังพิงกับรถของผมเองด้วยท่าทางสบายๆ
“ผมขอโทษครับ”
แล้วไอ้ผู้ชายคนนั้นก็รีบลนลานวิ่งออกไปโดยปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอิสระ ไอ้นั่นมันคงรู้จักผมไม่น้อยเพราะสังเกตจากท่าทางที่ดูกลัวผมสุดๆ แบบนั้นยิ่งยืนยันได้ว่ามันรู้จักผมแน่ๆ
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้”
ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาขอบคุณผมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะดีใจ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอไว้เลย แค่เห็นแบบนี้มันรกหูรกตา
“....”
ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไป กลับหันมาสนใจควันบุหรี่ที่ลอยอยู่บนอากาศแทน
“เอ่อ”
“ฉันไม่ได้ช่วยเธอ อย่างสำคัญตัวผิดไป พวกเธอมาบุกรุกที่ของฉัน ฉันเลยไล่ไปก็เท่านั้น”
ผมกล่าวขึ้นตัดหน้าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะพูดประโยคที่น่ารำคาญออกมาเสียก่อน
“แต่ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ”
หลังจากที่เธอพูดจบผมเลยหันไปมองด้วยหางตาอย่างไม่ค่อยใส่ใจซักเท่าไหร่ แต่ผู้หญิงคนนั้นจะดูเหมือนไม่กล้าที่จะสบตาผมเธอเอาแต่ทำท่าทางเขินอายแล้วเอาแต่หลบหน้าผม ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรกัน
“นั่นมันก็เรื่องของเธอ มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
ผมกล่าวเพียงแค่นั้นก็เดินขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีกมาก ไม่มีเวลามายืนคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก
หลังจากที่รถยนต์คันหรูวิ่งออกไปหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้แต่มองท้ายรถด้วยสายตาละห้อย เพราะผู้ชายที่เป็นเจ้าของรถคนนั้นเป็นคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากผู้ชายหื่นกามที่เธอพึ่งรู้จักได้ไม่นาน ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของใบหน้าที่หล่อเหล่า แต่แสนจะเย็นชาตอนนี้กำลังตราตรึงอยู่ในใจของผู้หญิงคนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันต้องเจอคุณอีกให้ได้ ปักษา”
หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองพลางมองไปยังทางที่รถคันนั้นวิ่งออกไปไม่วางตา
วาโย Talk
หลังจากวันนั้นผ่านมา วันที่ปักษากับพี่ตรีภพประชันหน้ากัน พี่ตรีภพก็เอาแต่ระแวงว่าปักษาจะมาทำตามคำพูดที่เขาเคยพูดไว้เมื่อไหร่ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพี่ตรีภพตัวติดฉันแจจนฉันเริ่มที่จะอึดอัด ดีที่วันนี้ฉันมีเรียนเราเลยต้องตัวห่างกันเพราะพี่เขามานั่งเรียนกับฉันไม่ได้ วันนี้ฉันเลยโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และวันนี้ฉันก็มีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่อีกด้วย
“ฉันขอถามอะไรพวกนายอย่างสิ”
ฉันกล่าวขึ้นกำลังจากที่อาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้องไปหลังจากที่ท่านสอนเสร็จ เมืองเหนือ เจ้าทัพ เทวา และนาวา หันมามองฉันเป็นตาเดียวหลังจากที่ฉันเอ่ยขึ้น
“อะไรเหรอ ว่ามาสิ”
เมืองเหนือเป็นคนกล่าวออกมา ฉันชั่งใจอยู่สักพักว่าจะถามออกไปดีไหม เรื่องที่พวกเพื่อนของฉันไปรุมทำร้ายปักษาอย่างที่ปักษาเขาได้บอกมา เอาล่ะ ถามไปก็สิ้นเรื่องเรื่องมันจะได้จบๆ ไป
“พวกนาย..ทำอะไรลับหลังฉันอยู่ไหม”
ฉันถามแล้วจ้องหน้าผู้ชายสี่คนที่เป็นเพื่อนสนิทของฉันด้วยสายตาที่จริงจังไม่มีแววล้อเล่น
“เอ่อ เธอพูดเรื่องอะไรเหรอวาโย”
“เรื่องที่พวกนายทำแล้วปิดฉันไว้ มันมีไหม”
ฉันถามแล้วจ้องหน้าพวกเขาทั้งสี่คน แต่พวกเขากลับหลบหน้าฉันแล้วไม่กล้าที่จะสบตา
“บอกฉันทีว่าพวกนายไม่ได้ทำ”
ฉันกล่าวเสียงเบา เพราะเรื่องที่ปักษาบอกฉันมาเหมือนจะเป็นเรื่องจริง พวกเขาทำแบบนั้นไปทำไมก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่าฉันไม่ชอบไม่ว่าจะไม่ชอบหน้าปักษาแบบนั้นก็เถอะ แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว
“พวกเราขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอ แต่ที่พวกเราทำไปก็เพื่อเธอน่ะ วาโย”
เมืองเหนือกล่าวแล้วมองมาที่ฉันตรงๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาทำเรื่องสกปรกแบบนั้นไปได้ไง น่าจะปรึกษาฉันก่อนน่ะเพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของฉันเองคนเดียว
“พวกนายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบวิธีที่สกปรกแบบนี้”
ฉันพูดแล้วมองหน้าเพื่อนของตัวเองด้วยสายตาตัดพ้อ
“แล้วต่อไปฉันจะเชื่อใครได้ ในเมื่อพวกนายยังทำอะไรลับหลังฉันแบบนี้”
“โย”
“เฮ้ยโย”
ฉันไม่ฟังเสียงของใครทั้งนั้นแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่หันกลับไปมองเพื่อนของตัวเองเลย แย่จัง ทำไมฉันต้องโกรธพวกเมืองเหนือมากถึงขนาดนี้ด้วยน่ะ ตอนนี้ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันตีกันจนสับสนไปหมด มันทำให้ฉันลืมไปเลยว่าสถานการณ์ของฉันตอนนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง กว่าฉันจะมารู้ตัวปักษาก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าฉันพอดี
“ว้าว ไอ้คู่หมั้นและเพื่อนของเธอปล่อยให้เธอมาเดินเพ่นพ่านคนเดียวได้ไง”
ปักษาพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอกมองมาที่ฉันแล้วยิ้มที่มุมปากเหมือนกับดีใจที่ได้เห็นฉัน แต่รอยยิ้มแบบนี้เหมือนกำลังแฝงความร้ายกาจเอาไว้เลย
“...”
“จะไม่พูดกับฉันสักคำหน่อยเหรอ”
ปักษาที่เห็นฉันยืนเงียบไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำก็เอียงคอถามฉันด้วยสีหน้าที่คิดว่าน่ารักที่สุดแล้ว แต่ในสายตาฉันหมอนี่กำลังทำตัวเหมือนคนโรคจิตอยู่เลย
“งั้นก็ดีสิ เวลาฉันลักพาตัวเธอไปจะได้ไม่เอะอะเสียงดังให้น่ารำคาญ”
แล้วต่อมาฉันก็ได้แต่อ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ ปักษาก็เดินเข้ามาประชิดตัวฉันแล้วอุ้มฉันขึ้นด้วยความรวดเร็วจนตัวฉันเองก็ตั้งตัวไม่ทัน หมอนี่กำลังคิดที่จะทำอะไร
“ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”
ฉันเอ่ยปากขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน ส่วนปักษาก็ทำหน้ามึนใส่ฉันเหมือนเรื่องที่เขากำลังทำเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอื่นทั่วไปเขานิยมทำกัน
“สายไปแล้ววาโย เธอปฏิเสธฉันช้าไป”
“ถ้านายไม่ปล่อยฉันลง ฉันร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”
หมอนี่คงไม่กล้าที่จะทำแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะๆ เป็นแน่
“เอาสิ ร้องเลยฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไร”
หมอนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยเขาไม่สนใจในสิ่งที่ฉันพูดเลยสักนิด กลับเดินอุ้มฉันออกไปอย่างหน้าตาเฉย ฉันได้แต่ดิ้นขัดขืนเขาอยู่ในอ้อมแขนของเขาเผื่อเขาจะได้ว่าฉันลง แต่เปล่าเลยปักษากลับอุ้มฉันเดินไปที่รถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกลอย่างหน้าตาเฉย
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้เขาลักพาตัวฉัน”
ฉันร้องขอความช่วยเหลือกับนักศึกษาที่อยู่บริเวณนี้ แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยฉันสักคน มิหนำซ้ำพวกเขากลับมองมาที่ฉันแล้วยิ้มๆ แทนคำช่วยเหลือ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน
“ฉันโดนลักพาตัวจริงๆ น่ะ ช่วยฉันหน่อยสิ”
ฉันร้องบอกไปแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าฉันโดนลักพาตัวจริงๆ นี่ฉันต้องทำยังไงถึงจะมีคนเชื่อ
“หึๆ”
“นายหัวเราะทำบ้าอะไร”
ฉันหันไปแว้ดใส่ปักษาอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดที่เขาทำให้ฉันกลายเป็นยัยบ้าที่ร้องขอความช่วยเหลือคนอื่นแล้วไม่มีใครเชื่อ หงุดหงิดที่เขาคนนี้ยังคงยิ้มได้ทั้งๆ ที่ฉันเจ็บขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ยังคงยิ้มได้งั้นเหรอ
“เปล่า”
ปักษาตอบปฏิเสธทั้งๆ ที่เขาก็ยังคงหัวเราะฉันอยู่ แต่ต่อมาฉันก็ต้องทำหน้าเหว่ออีกครั้งเมื่อปักษายัดฉันเข้ามาในรถของเขาทางด้านคนขับ เขาไม่ปล่อยโอกาสให้ฉันได้หนีเลยสักครั้ง
“นี่นายจะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไปกับนายเด็ดขาด”
ฉันกล่าวแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูออก แต่มันกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจฉันคิดเพราะประตูตอนนี้มันดันล็อก และตอนนี้ปักษาก็เคลื่อนย้ายตัวเขาเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันก็บอกเธอไปแล้วไง ว่าฉันลักพาตัวเธอมา ฉันก็ต้องพาเธอไปขังสิ”
ปักษาตอบเหมือนกับว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นมันเป็นเรื่องที่ธรรมดา พร้อมกับเคลื่อนย้ายรถของเขาออกจากรั่วมหาลัยด้วยความรวดเร็ว แต่นี่เขาจะพาฉันไปขังเหรอหรือยังไง
“ฉันไม่เล่นน่ะปักษา”
“ใครว่าฉันเล่น ฉันเอาจริง”
คำพูดที่เขาและน้ำเสียงที่เขาสื่อกับฉันมันไม่เหมือนจะจริงจังอะไรสักนิด แต่มันตรงกันข้ามเหมือนเขากำลังหลอกฉันเล่นอยู่ยังไงก็ไม่รู้
“เอาจริงมากด้วย”
ปักษากล่าวแล้วละสายตาที่กำลังมองท้องถนนอยู่มาสบตาฉันเพื่อยืนยันคำพูดของเขาว่าเขาไม่ได้พูดเล่น และนี่ฉันกำลังโดนลักพาตัวจริงๆ เหรอ
“หยุดรถเดี๋ยวนี้ฉันไม่ไปกับนาย”
ฉันต่อต้านมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ตัวว่าเรื่องที่ฉันกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เรื่องล้อแล่น ฉันกระโจนเข้าไปกระชากมือของปักษาให้หลุดจากพวงมาลัยรถเพื่อให้เขาได้หยุดรถให้ฉัน แต่ปักษาไหวตัวทันเขาใช้มือข้างหนึ่งของเขาจับมือฉันไว้แน่นก่อนที่มือฉันจะโดนแขนเขาซะอีก
“ปล่อยแขนฉันน่ะ”
ฉันไม่ได้ทำเพียงแค่พูดแต่มืออีกข้างของฉันที่ยังเป็นอิสระอยู่ก็พยายามแกะมือที่เหนียวเหมือนตุ๊กแกของปักษาออกไปด้วย แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากไปสำหรับฉันอยู่ดี
“เธอก็รู้ว่าเธอสั่งฉันไม่ได้ยังคิดจะสั่งอยู่อีก”
“นายทำไปเพื่ออะไรปักษา ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย”
ฉันกล่าวแล้วก็มองหน้าปักษาด้วยสายตาที่โกรธเคือง
“ของของฉันยังไงก็คือของฉัน เธอก็เหมือนกัน”
เมื่อไหร่ผู้ชายคนนี้จะเลิกนิสัยหวงของแบบนี้ซักที่ นิสัยที่ชอบทำให้ใจฉันต้องเจ็บอยู่ตลอด เมื่อไหร่กันน่ะที่ผู้ชายคนนี้จะมีหัวใจกับเขาบ้าง
“ฉันไม่ใช่สิ่งของ”
ฉันพึมพำเสียงเบาแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างรถ เพื่อหยุดบทสนทนาเพียงเท่านั้น แต่มือของฉันก็ยังคงโดนมือของปักษากุมไว้อย่างแน่นอยู่
“นี่นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ฉันกล่าวขึ้นหลังจากที่โดนปักษาลากฉันขึ้นมาบนคอนโดของเขาทั้งๆ ที่ตัวฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมา แต่คนที่อยู่ร่วมห้องฉันตอนนี้เป็นคนลากฉันมายังไงละ ใช่ว่าฉันไม่ได้ขัดขืนน่ะ แต่ฉันทำแล้วมันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง
สิ่งที่ทำให้ฉันอุทานออกมาแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าปักษาเขาขังฉันไว้จริงๆ เขาขังฉันไว้ในห้องนอนของเขาทันทีที่เข้ามาในห้องได้และขาก็ล็อกห้องนอนของเขาอย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้ฉันหนีออกไป หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่
“นายทำแบบนี้ไม่ได้น่ะปักษา ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้”
ตุบ ตุบ ตุบ
ฉันกล่าวพร้อมกับทุบประตูห้องไปด้วยเพื่อให้บุคคลที่อยู่ข้างนอกและเป็นเจ้าของห้องห้องนี้มาเปิดประตูให้ฉัน แต่มันกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
“นี่ปักษา นายขังฉันไว้คนเดียวไม่ได้น่ะ”
ฉันกล่าวขึ้นมาด้วยตกใจเมื่อคนที่อยู่ข้างนอกไม่ตอบกลับอะไรฉันมาเลย หรือว่าเขาจะทิ้งให้ฉันตายในห้องนี้คนเดียว
“ปักษา”
“....”
“ปักษา ปักษา”
ฉันยังคงเรียกชื่อเขาอยู่อย่างนั้น แต่มันกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
“นี่ ปักษา”
“เรียกอยู่ได้ กลัวจำชื่อผัวไม่ได้หรือไง”
ปักษาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หมอนี่อยู่ที่นี่อยู่เหรอ แล้วเขาเงียบไปเพื่ออะไร มันน่าไหมล่ะ
“นายไม่ใช่ผะ... สามีฉัน”
ฉันโต้กลับทันทีเมื่อจับใจความประโยคที่เขาตอบกลับมาว่าเขาพูดเรื่องอะไร ทำไมหมอนี่ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ฉันทุกทีนะ
“วาโย เธอไม่ต้องห่วงไป ระหว่างที่ฉันขังเธออยู่ที่นี่เธอจะได้รับรู้ว่าฉันเป็นผัวเธออย่างลึกซึ้งไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยละ”
อ๊ายยยย ปักษาจะทำอะไร
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
“กูว่าตอนนี้มึงเหมือนไอ้ภูเบศ ตอนที่โดนเมียมันเทตอนนั้นจริงๆ”
ไอ้ไตรทศจอมพูดมากกล่าวขึ้นหลังจากที่มันนั่งมองผมเป็นเวลานาน ตอนนี้เราก็อยู่ที่ผับของไอ้ราพณ์ และเรื่องที่มันกำลังพูดถึงอยู่นั้นมันเป็นเรื่องของไอ้ภูเบศเมื่อนานมาแล้วตอนที่มันยังไม่ได้คบกับบุหลันอย่างเป็นทางการและตอนนั้นมันก็โดนไอ้พันแสงพี่ชายของบุหลันกีดกันไม่ให้พวกมันคบกันอีก แต่แล้วพวกมันก็คืนดีกันโดยมีผมเป็นคนวางแผนลากไอ้ภูเบศไปทิ้งที่ห้องของบุหลัน ซึ่งผมก็เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้พวกมันเข้าใจกันถึงตอนนี้
“ไอ้ภูเบศมันก็ยังดีกว่ากูที่มีเพื่อนคอยช่วย แต่กูนี่ เพื่อนเหี้ยก็ช่วยไม่ได้สักคน”
ผมกล่าวเสียงเรียบนิ่งแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แต่คนที่ฟังผมอยู่อย่างไอ้ไตรทศถึงกลับสะดุ้งขึ้นเมื่อผมกล่าวประโยคที่มีแต่ความประชดประชันออกไป แต่ตอนนี้มีแต่เหล้าเท่านั้นแหละที่สามารถช่วยผมได้ตอนนี้มันอาจจะทำให้ผมลืมวาโยไปสักระยะ เมื่อก่อนมันช่วยผมได้ดีน่ะ แต่นี่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมยิ่งดื่มยิ่งคิดถึง
“มึงก็ใช้แผนที่มึงให้ไอ้ภูทำสิวะ”
ไอ้ไตรทศกล่าวเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าเรื่องมันง่ายเหมือนเรื่องไอ้ภูเบศก็ดีไปอย่าง แต่นี่วาโยน่ะไม่ใช่บุหลันเมียไอ้ภูเบศที่แสนจะใสซื่อ แต่คนที่ผมกำลังเผชิญอยู่เธอรู้ทันผมทุกอย่าง
“มึงก็น่าจะรู้ว่ายัยนั่นมีคนคอยเฝ้าตลอด”
ยิ่งช่วงนี้ยิ่งเข้าถึงตัววาโยยากเข้าไปใหญ่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องอยู่ติดกับผู้ชายตลอดเลยว่ะ
“ลักพาตัวมาขังไว้ที่ห้องแม่งเลยซิ”
ไอ้ไตรทศกล่าวประโยคที่เชิงพูดเล่นออกมา แต่มันทำให้ผมสนใจในสิ่งที่มันเสนอออกมาเป็นอย่างมาก
“มึงพูดเข้าท่าว่ะ”
“เฮ้ย กูพูดเล่น อย่าบอกน่ะว่ามึงเอาจริง”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็มองหน้าเหวอๆ ของไอ้ไตรทศกลับไป
“Oh no!!”
ไอ้ไตรทศอุทานแล้วยกมือขึ้นปกปากด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ที่มันชอบทำให้เห็นบ่อย
“กูเห็นมึงเป็นเพื่อนก็วันนี้แหละ”
“อ้าว แล้วที่ผ่านมากูไม่ใช่เพื่อนมึงเหรอ”
ผมไม่สนใจในสิ่งที่ไอ้ไตรทศพูดออกมาเลยสักนิดแต่ผมกลับยื่นมือไปคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแทนพลางคิดแผนที่จะชิงตัววาโยกลับมาเป็นของผมอีกครั้งเงียบๆ คนเดียวโดยไม่สนใส่เสียงที่ดังอยู่รอบข้างเลย
ในเวลาต่อมา
หลังจากที่ผมดื่มอยู่กับไอ้ไตรทศได้สักพักผมก็ขอตัวกลับก่อน เพราะเริ่มเบื่อๆ ขึ้นมาแล้ว พอผมเดินมาถึงบริเวณที่ผมจอดรถไว้ซึ่งเป็นบริเวณหลังผับมันเป็นที่จอดรถประจำของพวกผมที่ไอ้ราพณ์ได้สร้างไว้ให้โดยเฉพาะ เพราะบริเวณนี้มันไม่มีคนและการจราจรก็ถือว่าไม่แออัดเหมือนกับหน้าผับที่มีคนพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา และความปลอดภัยก็ถือว่าที่นี่ดีสุด
ผมเอื้อมมือล้วงไปหยิบบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงที่ผมใส่อยู่ออกมาแล้วจุดสูบก่อน เพราะผมไม่ค่อยชอบสูบบุหรี่ในรถซักเท่าไหร่
“อื้อ!”
“ฉันบอกให้เงียบถ้าไม่อยากตาย”
จู่ๆ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาทำลายความเงียบในบริเวณที่ผมกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ผมเลยหันไปมองตามเสียงก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโดนลวนลามขื่นใจอยู่ ซึ่งระยะห่างก็ไม่ได้ไกลจากผมมากนัก
“คนของไอ้ราพณ์ปล่อยให้คนแบบนี้ผ่านมาได้ไงว่ะ”
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปากอย่างใจเย็น แล้วกลอกตาขึ้นมองบนฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย
“ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วยแล้วยังจะขืนใจเขาอยู่อย่างนั้นเหรอ”
ผมกล่าวขึ้นเสียงเรียบแล้วหันไปมองทางที่ชายหญิงคู่นั้นยืนอยู่ แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้มันดันเข้ามาที่ผมหมด เพราะผมเคยขืนใจวาโยและตอนนี้เธอก็ไม่ได้สนใจผมแต่ผมดันไประรานเธออยู่อย่างนั้น เอ๊ะ เหมือนผมกำลังด่าตัวเองอยู่เลย
ผู้ชายคนนั้นที่กำลังขืนใจผู้หญิงคนนั้นอยู่หันมามองผมด้วยสายตาที่หาเรื่อง เหมือนว่าผมกำลังไปขัดจังหวะมันอยู่พอดี แต่ทันทีที่มันสบตาผมสายตาของมันก็เปลี่ยนเป็นความตกใจเข้ามาแทนที่
“ปักษา”
มันอุทานชื่อผมออกมาด้วยความตกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ มันรู้จักผมเหรอแต่ทำไมผมไม่เห็นจะรู้จักมันเลย
“จะไปดีๆ หรือต้องให้การ์ดมาลากออกไป”
ผมกล่าวแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก แล้วเอนหลังพิงกับรถของผมเองด้วยท่าทางสบายๆ
“ผมขอโทษครับ”
แล้วไอ้ผู้ชายคนนั้นก็รีบลนลานวิ่งออกไปโดยปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอิสระ ไอ้นั่นมันคงรู้จักผมไม่น้อยเพราะสังเกตจากท่าทางที่ดูกลัวผมสุดๆ แบบนั้นยิ่งยืนยันได้ว่ามันรู้จักผมแน่ๆ
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้”
ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาขอบคุณผมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะดีใจ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอไว้เลย แค่เห็นแบบนี้มันรกหูรกตา
“....”
ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไป กลับหันมาสนใจควันบุหรี่ที่ลอยอยู่บนอากาศแทน
“เอ่อ”
“ฉันไม่ได้ช่วยเธอ อย่างสำคัญตัวผิดไป พวกเธอมาบุกรุกที่ของฉัน ฉันเลยไล่ไปก็เท่านั้น”
ผมกล่าวขึ้นตัดหน้าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะพูดประโยคที่น่ารำคาญออกมาเสียก่อน
“แต่ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ”
หลังจากที่เธอพูดจบผมเลยหันไปมองด้วยหางตาอย่างไม่ค่อยใส่ใจซักเท่าไหร่ แต่ผู้หญิงคนนั้นจะดูเหมือนไม่กล้าที่จะสบตาผมเธอเอาแต่ทำท่าทางเขินอายแล้วเอาแต่หลบหน้าผม ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรกัน
“นั่นมันก็เรื่องของเธอ มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
ผมกล่าวเพียงแค่นั้นก็เดินขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีกมาก ไม่มีเวลามายืนคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก
หลังจากที่รถยนต์คันหรูวิ่งออกไปหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้แต่มองท้ายรถด้วยสายตาละห้อย เพราะผู้ชายที่เป็นเจ้าของรถคนนั้นเป็นคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากผู้ชายหื่นกามที่เธอพึ่งรู้จักได้ไม่นาน ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของใบหน้าที่หล่อเหล่า แต่แสนจะเย็นชาตอนนี้กำลังตราตรึงอยู่ในใจของผู้หญิงคนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันต้องเจอคุณอีกให้ได้ ปักษา”
หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองพลางมองไปยังทางที่รถคันนั้นวิ่งออกไปไม่วางตา
วาโย Talk
หลังจากวันนั้นผ่านมา วันที่ปักษากับพี่ตรีภพประชันหน้ากัน พี่ตรีภพก็เอาแต่ระแวงว่าปักษาจะมาทำตามคำพูดที่เขาเคยพูดไว้เมื่อไหร่ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพี่ตรีภพตัวติดฉันแจจนฉันเริ่มที่จะอึดอัด ดีที่วันนี้ฉันมีเรียนเราเลยต้องตัวห่างกันเพราะพี่เขามานั่งเรียนกับฉันไม่ได้ วันนี้ฉันเลยโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และวันนี้ฉันก็มีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่อีกด้วย
“ฉันขอถามอะไรพวกนายอย่างสิ”
ฉันกล่าวขึ้นกำลังจากที่อาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้องไปหลังจากที่ท่านสอนเสร็จ เมืองเหนือ เจ้าทัพ เทวา และนาวา หันมามองฉันเป็นตาเดียวหลังจากที่ฉันเอ่ยขึ้น
“อะไรเหรอ ว่ามาสิ”
เมืองเหนือเป็นคนกล่าวออกมา ฉันชั่งใจอยู่สักพักว่าจะถามออกไปดีไหม เรื่องที่พวกเพื่อนของฉันไปรุมทำร้ายปักษาอย่างที่ปักษาเขาได้บอกมา เอาล่ะ ถามไปก็สิ้นเรื่องเรื่องมันจะได้จบๆ ไป
“พวกนาย..ทำอะไรลับหลังฉันอยู่ไหม”
ฉันถามแล้วจ้องหน้าผู้ชายสี่คนที่เป็นเพื่อนสนิทของฉันด้วยสายตาที่จริงจังไม่มีแววล้อเล่น
“เอ่อ เธอพูดเรื่องอะไรเหรอวาโย”
“เรื่องที่พวกนายทำแล้วปิดฉันไว้ มันมีไหม”
ฉันถามแล้วจ้องหน้าพวกเขาทั้งสี่คน แต่พวกเขากลับหลบหน้าฉันแล้วไม่กล้าที่จะสบตา
“บอกฉันทีว่าพวกนายไม่ได้ทำ”
ฉันกล่าวเสียงเบา เพราะเรื่องที่ปักษาบอกฉันมาเหมือนจะเป็นเรื่องจริง พวกเขาทำแบบนั้นไปทำไมก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่าฉันไม่ชอบไม่ว่าจะไม่ชอบหน้าปักษาแบบนั้นก็เถอะ แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว
“พวกเราขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอ แต่ที่พวกเราทำไปก็เพื่อเธอน่ะ วาโย”
เมืองเหนือกล่าวแล้วมองมาที่ฉันตรงๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาทำเรื่องสกปรกแบบนั้นไปได้ไง น่าจะปรึกษาฉันก่อนน่ะเพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของฉันเองคนเดียว
“พวกนายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบวิธีที่สกปรกแบบนี้”
ฉันพูดแล้วมองหน้าเพื่อนของตัวเองด้วยสายตาตัดพ้อ
“แล้วต่อไปฉันจะเชื่อใครได้ ในเมื่อพวกนายยังทำอะไรลับหลังฉันแบบนี้”
“โย”
“เฮ้ยโย”
ฉันไม่ฟังเสียงของใครทั้งนั้นแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่หันกลับไปมองเพื่อนของตัวเองเลย แย่จัง ทำไมฉันต้องโกรธพวกเมืองเหนือมากถึงขนาดนี้ด้วยน่ะ ตอนนี้ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันตีกันจนสับสนไปหมด มันทำให้ฉันลืมไปเลยว่าสถานการณ์ของฉันตอนนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง กว่าฉันจะมารู้ตัวปักษาก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าฉันพอดี
“ว้าว ไอ้คู่หมั้นและเพื่อนของเธอปล่อยให้เธอมาเดินเพ่นพ่านคนเดียวได้ไง”
ปักษาพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอกมองมาที่ฉันแล้วยิ้มที่มุมปากเหมือนกับดีใจที่ได้เห็นฉัน แต่รอยยิ้มแบบนี้เหมือนกำลังแฝงความร้ายกาจเอาไว้เลย
“...”
“จะไม่พูดกับฉันสักคำหน่อยเหรอ”
ปักษาที่เห็นฉันยืนเงียบไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำก็เอียงคอถามฉันด้วยสีหน้าที่คิดว่าน่ารักที่สุดแล้ว แต่ในสายตาฉันหมอนี่กำลังทำตัวเหมือนคนโรคจิตอยู่เลย
“งั้นก็ดีสิ เวลาฉันลักพาตัวเธอไปจะได้ไม่เอะอะเสียงดังให้น่ารำคาญ”
แล้วต่อมาฉันก็ได้แต่อ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ ปักษาก็เดินเข้ามาประชิดตัวฉันแล้วอุ้มฉันขึ้นด้วยความรวดเร็วจนตัวฉันเองก็ตั้งตัวไม่ทัน หมอนี่กำลังคิดที่จะทำอะไร
“ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”
ฉันเอ่ยปากขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน ส่วนปักษาก็ทำหน้ามึนใส่ฉันเหมือนเรื่องที่เขากำลังทำเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอื่นทั่วไปเขานิยมทำกัน
“สายไปแล้ววาโย เธอปฏิเสธฉันช้าไป”
“ถ้านายไม่ปล่อยฉันลง ฉันร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”
หมอนี่คงไม่กล้าที่จะทำแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะๆ เป็นแน่
“เอาสิ ร้องเลยฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไร”
หมอนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยเขาไม่สนใจในสิ่งที่ฉันพูดเลยสักนิด กลับเดินอุ้มฉันออกไปอย่างหน้าตาเฉย ฉันได้แต่ดิ้นขัดขืนเขาอยู่ในอ้อมแขนของเขาเผื่อเขาจะได้ว่าฉันลง แต่เปล่าเลยปักษากลับอุ้มฉันเดินไปที่รถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกลอย่างหน้าตาเฉย
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้เขาลักพาตัวฉัน”
ฉันร้องขอความช่วยเหลือกับนักศึกษาที่อยู่บริเวณนี้ แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยฉันสักคน มิหนำซ้ำพวกเขากลับมองมาที่ฉันแล้วยิ้มๆ แทนคำช่วยเหลือ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน
“ฉันโดนลักพาตัวจริงๆ น่ะ ช่วยฉันหน่อยสิ”
ฉันร้องบอกไปแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าฉันโดนลักพาตัวจริงๆ นี่ฉันต้องทำยังไงถึงจะมีคนเชื่อ
“หึๆ”
“นายหัวเราะทำบ้าอะไร”
ฉันหันไปแว้ดใส่ปักษาอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดที่เขาทำให้ฉันกลายเป็นยัยบ้าที่ร้องขอความช่วยเหลือคนอื่นแล้วไม่มีใครเชื่อ หงุดหงิดที่เขาคนนี้ยังคงยิ้มได้ทั้งๆ ที่ฉันเจ็บขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ยังคงยิ้มได้งั้นเหรอ
“เปล่า”
ปักษาตอบปฏิเสธทั้งๆ ที่เขาก็ยังคงหัวเราะฉันอยู่ แต่ต่อมาฉันก็ต้องทำหน้าเหว่ออีกครั้งเมื่อปักษายัดฉันเข้ามาในรถของเขาทางด้านคนขับ เขาไม่ปล่อยโอกาสให้ฉันได้หนีเลยสักครั้ง
“นี่นายจะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไปกับนายเด็ดขาด”
ฉันกล่าวแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูออก แต่มันกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจฉันคิดเพราะประตูตอนนี้มันดันล็อก และตอนนี้ปักษาก็เคลื่อนย้ายตัวเขาเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันก็บอกเธอไปแล้วไง ว่าฉันลักพาตัวเธอมา ฉันก็ต้องพาเธอไปขังสิ”
ปักษาตอบเหมือนกับว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นมันเป็นเรื่องที่ธรรมดา พร้อมกับเคลื่อนย้ายรถของเขาออกจากรั่วมหาลัยด้วยความรวดเร็ว แต่นี่เขาจะพาฉันไปขังเหรอหรือยังไง
“ฉันไม่เล่นน่ะปักษา”
“ใครว่าฉันเล่น ฉันเอาจริง”
คำพูดที่เขาและน้ำเสียงที่เขาสื่อกับฉันมันไม่เหมือนจะจริงจังอะไรสักนิด แต่มันตรงกันข้ามเหมือนเขากำลังหลอกฉันเล่นอยู่ยังไงก็ไม่รู้
“เอาจริงมากด้วย”
ปักษากล่าวแล้วละสายตาที่กำลังมองท้องถนนอยู่มาสบตาฉันเพื่อยืนยันคำพูดของเขาว่าเขาไม่ได้พูดเล่น และนี่ฉันกำลังโดนลักพาตัวจริงๆ เหรอ
“หยุดรถเดี๋ยวนี้ฉันไม่ไปกับนาย”
ฉันต่อต้านมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ตัวว่าเรื่องที่ฉันกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เรื่องล้อแล่น ฉันกระโจนเข้าไปกระชากมือของปักษาให้หลุดจากพวงมาลัยรถเพื่อให้เขาได้หยุดรถให้ฉัน แต่ปักษาไหวตัวทันเขาใช้มือข้างหนึ่งของเขาจับมือฉันไว้แน่นก่อนที่มือฉันจะโดนแขนเขาซะอีก
“ปล่อยแขนฉันน่ะ”
ฉันไม่ได้ทำเพียงแค่พูดแต่มืออีกข้างของฉันที่ยังเป็นอิสระอยู่ก็พยายามแกะมือที่เหนียวเหมือนตุ๊กแกของปักษาออกไปด้วย แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากไปสำหรับฉันอยู่ดี
“เธอก็รู้ว่าเธอสั่งฉันไม่ได้ยังคิดจะสั่งอยู่อีก”
“นายทำไปเพื่ออะไรปักษา ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย”
ฉันกล่าวแล้วก็มองหน้าปักษาด้วยสายตาที่โกรธเคือง
“ของของฉันยังไงก็คือของฉัน เธอก็เหมือนกัน”
เมื่อไหร่ผู้ชายคนนี้จะเลิกนิสัยหวงของแบบนี้ซักที่ นิสัยที่ชอบทำให้ใจฉันต้องเจ็บอยู่ตลอด เมื่อไหร่กันน่ะที่ผู้ชายคนนี้จะมีหัวใจกับเขาบ้าง
“ฉันไม่ใช่สิ่งของ”
ฉันพึมพำเสียงเบาแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างรถ เพื่อหยุดบทสนทนาเพียงเท่านั้น แต่มือของฉันก็ยังคงโดนมือของปักษากุมไว้อย่างแน่นอยู่
“นี่นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ฉันกล่าวขึ้นหลังจากที่โดนปักษาลากฉันขึ้นมาบนคอนโดของเขาทั้งๆ ที่ตัวฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมา แต่คนที่อยู่ร่วมห้องฉันตอนนี้เป็นคนลากฉันมายังไงละ ใช่ว่าฉันไม่ได้ขัดขืนน่ะ แต่ฉันทำแล้วมันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง
สิ่งที่ทำให้ฉันอุทานออกมาแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าปักษาเขาขังฉันไว้จริงๆ เขาขังฉันไว้ในห้องนอนของเขาทันทีที่เข้ามาในห้องได้และขาก็ล็อกห้องนอนของเขาอย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้ฉันหนีออกไป หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่
“นายทำแบบนี้ไม่ได้น่ะปักษา ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้”
ตุบ ตุบ ตุบ
ฉันกล่าวพร้อมกับทุบประตูห้องไปด้วยเพื่อให้บุคคลที่อยู่ข้างนอกและเป็นเจ้าของห้องห้องนี้มาเปิดประตูให้ฉัน แต่มันกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
“นี่ปักษา นายขังฉันไว้คนเดียวไม่ได้น่ะ”
ฉันกล่าวขึ้นมาด้วยตกใจเมื่อคนที่อยู่ข้างนอกไม่ตอบกลับอะไรฉันมาเลย หรือว่าเขาจะทิ้งให้ฉันตายในห้องนี้คนเดียว
“ปักษา”
“....”
“ปักษา ปักษา”
ฉันยังคงเรียกชื่อเขาอยู่อย่างนั้น แต่มันกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
“นี่ ปักษา”
“เรียกอยู่ได้ กลัวจำชื่อผัวไม่ได้หรือไง”
ปักษาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หมอนี่อยู่ที่นี่อยู่เหรอ แล้วเขาเงียบไปเพื่ออะไร มันน่าไหมล่ะ
“นายไม่ใช่ผะ... สามีฉัน”
ฉันโต้กลับทันทีเมื่อจับใจความประโยคที่เขาตอบกลับมาว่าเขาพูดเรื่องอะไร ทำไมหมอนี่ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ฉันทุกทีนะ
“วาโย เธอไม่ต้องห่วงไป ระหว่างที่ฉันขังเธออยู่ที่นี่เธอจะได้รับรู้ว่าฉันเป็นผัวเธออย่างลึกซึ้งไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยละ”
อ๊ายยยย ปักษาจะทำอะไร
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ