Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.24 น.
40 ตอน
0 วิจารณ์
34.19K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 14.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) บทที่16 มหาวิทยาลัยเขียวชอุ่ม (5)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่16 มหาวิทยาลัยเขียวชอุ่ม (5)
หลังจากอี้เป่ยซีกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าห้องเรียนไปกับถังเสวี่ยอย่างพออกพอใจ แถวหน้าไม่มีที่นั่งแล้ว ถังเสวี่ยเดินตามอี้เป่ยซีไปที่แถวหลังด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้น การสอนเศรษฐศาสตร์มหภาคที่น่าเบื่อทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องชวนให้ง่วงนอน
ขณะที่เรียนไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลานฉือเซวียนก็เพิ่งมาถึง ห้องเรียนเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองผู้คนในห้องเรียน เม้มปาก แล้วนั่งลงตรงที่นั่งผู้ช่วยสอน
อาจารย์พูดขึ้น“ตอนนี้ขอให้TA หลานบรรยายให้พวกเราหน่อย”
หลานฉือเซวียนกระแอมไอ เริ่มพูดจาฉะฉานมั่นใจ อี้เป่ยซีตั้งใจฟัง แต่ก่อนทำไมไม่รู้เลยว่าเขามีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนาดนี้
“พี่หลานเก่งจริงๆ เลย” ถังเสวี่ยพูด อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตของคนด้านข้าง มันว่างเปล่า นั่นสินะ ถ้าหากคนที่ตัวเองชอบมาล่ะก็ ผลลัพธ์คงเป็นแบบนี้ เธอนึกถึงอี้เป่ยเฉินที่พูดจาคล่องแคล่วอยู่บนเวที มุมปากยกยิ้ม
“ไหนบอกพวกเธอจะไปกินข้าวกับรุ่นพี่ไง? ไหนดูหน่อยซิว่าตบหน้าแล้วเจ็บไหม” ฟางหมิ่นที่เป็นรูมเมทพวกเธอเดินมาด้านข้างอี้เป่ยซี “จุ๊ๆ บวมไปหมดแล้วนี่นา”
ถังเสวี่ยดึงๆ แขนเสื้อของเธอ“ฟางหมิ่น เธอไม่ต้องพูดแล้ว”
อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตในมือ ไม่ได้พูดอะไร แต่มือกำปากกาแน่น
ฟางหมิ่นเห็นท่าทีของอี้เป่ยซีก็โกรธมาก“ฉันกำลังพูดกับเธอ ไม่ได้ยินเหรอไง?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปอีก
“เธออย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ”
ถังเสวี่ยเอ่ยปาก“ที่เป่ยซีพูดแบบนี้ก็เพื่อฉัน ฟางหมิ่น นี่มันความผิดของฉันเอง เธออย่าไปหาเรื่องเป่ยซีเลย”
“ถังเสวี่ย เธอก็ยังใจดีอยู่ได้” ฟางหมิ่นดูถูก“อี้เป่ยซี จะทำอะไรก็อย่าให้ตัวเองเจอทางตันสิ แล้วก็อย่านึกว่าเอาใจคนอื่นแล้วจะปีนขึ้นไปที่สูงได้” เธอพูดพลางกวาดตามองถังเสวี่ย
ตอนอี้เป่ยซีวางปากกาในมือลง ต้องการจะเอ่ยปาก หลานฉือเซวียนก็เดินเข้ามาหาพวกเธอด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่หลาน” ฟางหมิ่นเก็บสีหน้าโมโห ก่อนจะไปยืนด้านข้าง ถังเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างอี้เป่ยซีรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโดดออกมานอกอก
พอเขาเห็นสมุดโน้ตที่ยังสะอาดของอี้เป่ยซี ก็พูดเหน็บแนม“อี้เป่ยซี ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิว่าคำพูดของฉันมีอะไรสำคัญแค่ไหน”
อี้เป่ยซีเงยหน้า“อืม แต่ว่ามีหลายจุดที่ฉันไม่เข้าใจ”
หลานฉือเซวียนมองถังเสวี่ย ได้ยินคำพูดที่พวกเธอคุยกันเมื่อครู่แว่วๆ เขากล่าวว่า “ไว้คุยกับเธอตอนกินข้าวกลางวันเถอะ เธอจะเลี้ยงฉันไม่ใช่เหรอ”
ฟางหมิ่นมองถังเสวี่ยเมื่อได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดูเหมือนจะวางใจได้แล้ว จึงก้าวเท้าออกไปจากห้องเรียน
อี้เป่ยซีกำลังจะขอบคุณเขาที่ช่วยเธอกู้สถานการณ์ แต่พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็กลืนคำพูดเมื่อครู่ลงไปทันที นี่คือการฉวยโอกาสบนความโชคร้ายของคนอื่นชัดๆ
เธอเก็บสมุดโน้ตอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นตามหลังเขาไป
“ศาสตราจารย์ พวกเราขอตัวก่อนนะครับ” หลานฉือเซวียนพูดด้วยความนอบน้อมมาก
“อือ ลูกศิษย์ของฉันก็โตกันหมดแล้ว” สายตาเอ็นดูของศาสตราจารย์หยุดอยู่ที่อี้เป่ยซี
“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ/ครับ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
ศาสตราจารย์พยักหน้า ทำท่าทางว่าฉันเข้าใจ หลานฉือเซวียนยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไร
อี้เป่ยซีมองเขา‘เฮ้อ นายจะเข้าใจอะไร นายมันไม่เข้าใจอะไรเลย’
ทั้งสามคนออกจากห้องเรียนด้วยกัน เดินไปพลาง หารือเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาเล็กๆ ไปพลาง
ถังเสวี่ยมองดูทั้งสองคนที่เดินคู่กัน มือกำชายเสื้อไว้แน่น ผ่านไปสักพักจึงรวบรวมความกล้พูดว่า“เป่ยซี รุ่นพี่คะ”
ทั้งสองคนต่างหันมามองเธอ
“ฉัน ฉัน…”เธอก้มหน้า กลอกตาไปมา“ฉันไม่ไปด้วยแล้วนะ”
อี้เป่ยซีอึ้งไปเล็กน้อย“ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ?”
ถังเสวี่ยกัดริมฝีปากมองไปที่หลานฉือเซวียน อ่านความคิดของเขาไม่ออกสักนิด เธอถอนหายใจอยู่ในใจอย่างยอมแพ้ เขาคงไม่ต้องการให้เธอไปรบกวนพวกเขาล่ะมั้ง“มะ ไม่ไปแล้ว”
“ไม่ง่ายเลยนะที่จะมีคนเลี้ยงข้าว มีคนขูดเลือดขูดเนื้อเขาเพิ่มมาคนนึงจะได้สะใจหน่อย”หลานฉือเซวียนเอ่ยปาก แต่สายตากลับมองไปที่อื่น
ได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดวงตาของถังเสวี่ยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที“งั้น เอ่อ...” เธอพยักหน้าแรงๆ พยายามข่มความคิดชั่ววูบที่อยากกระโดดขึ้นไว้
“นายละอายใจบ้างไหม คิดจะเกาะฉันมาตลอดหลายปีนี้เนี่ย?” อีเป่ยซีบ่น
หลานฉือเซวียนยิ้มเจ้าเล่ห์“ถ้าเธอใจกว้างละก็ ฉันไม่คิดจะเกาะเธอแล้ว”
“ที่จริง มื้อนี้ฉันเลี้ยงก็ได้นะ” ถังเสวี่ยพูด หลานฉือเซวียนหมดความสนใจทันที เขาเดินอยู่ข้างหน้าเงียบๆ ถังเสวี่ยมีสีหน้าสงสัย เธอไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด จู่ๆ รุ่นพี่ถึงหมดความสนใจ มองอี้เป่ยซีแกมขอความช่วยเหลือ
อี้เป่ยซีส่ายหน้า แผ่นหลังของหลานฉือเซวียนมีความรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง เมื่อครู่ยืนข้างเขาก็ได้กลิ่นเหล้าด้วย เป็นเพราะว่าเรื่องที่พูดกับเธอเมื่อวานงั้นเหรอ? แต่เธอไม่เห็นเข้าใจเลย อี้เป่ยซีครุ่นคิด หรือว่าเป็นเรื่องความรัก? เธอไม่รู้ ทว่าเธอก็เข้าใจ ตัวเธอเองไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ส่วนอีกคน...
เธอเหลือบมองถังเสวี่ย อีกฝ่ายก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามคนต่างมีความคิดของตัวเอง ข้าวมื้อนี้จบลงด้วยความอึดอัดใจ
“เป่ยซี” หลังจากทานข้าวเสร็จ หลานฉือเซวียนที่นั่งอยู่ตามอำเภอใจมองเธอ
“งั้นฉันไปก่อนนะ” ถังเสวี่ยบอกลาทั้งสองคนแล้วก็หนีออกไปจากที่นั่น
อี้เป่ยซีนั่งลง เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดมา“ฉันรู้สึกว่ารูมเมททำแบบนี้มันเกินไปหน่อย”
หลานฉือเซวียนคิดไม่ถึงว่าเธอจะอธิบายเรื่องอย่างว่าง่ายแบบนี้ หลังชะงักไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “อืม แต่เธอคิดว่าแบบนี้จะช่วยถังเสวี่ยได้เหรอ?”
อี้เป่ยซีเอามือเท้าคาง“ฉันไม่ได้คิดเยอะแบบนั้น อีกอย่างฉันก็ชอบเขามากด้วย”
“เป่ยซี เธอเพิ่งกลับประเทศมา” เขาดื่มชาไปอึกหนึ่ง“เธอคิดว่าคุณหนูใหญ่บ้านถังจะยอมให้ใครรังแกง่ายๆ อย่างที่เธอเห็นเหรอ?”
“ฉันรู้แล้วน่า” อี้เป่ยซีเบ้ปาก เพราะตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง“นายอยากพูดแค่นี้เหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่อยากพาเธอไปดูห้องเธอหน่อย” หลานฉือเซวียนพูด
อี้เป่ยซีตาเป็นประกาย ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด“ไปสิ ไปสิ”
อพาร์ทเมนต์โทนสีขาวดำ บรรยากาศเรียบง่ายเยือกเย็น อี้เป่ยซีเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นมินต์จางๆ สดชื่นมาก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับการตกแต่งแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ตอนนี้จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“ห้องไม่เลวนี่นา ตามีแวว” หลานฉือเซวียนสอดส่ายสายตา
“ฉันรู้จักกับเจ้าของห้อง ทุกเดือนจะเก็บค่าเช่าเธอบ้าง น้ำไฟออกเอง หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย”
“อือ” อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วบอกข้าวของบางอย่างเพิ่มเติมกับคนที่อยู่ข้างหลัง
ในเวลานี้เอง รถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างอพาร์ทเมนต์อีกหลัง เมื่อลั่วจื่อหานลงจากรถก็เห็นแผ่นหลังของพวกอี้เป่ยซีที่จากไป เขายืนอยู่เนิ่นนาน เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็บปีสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเขาจึงมองตามสายตาไป
“นั่นมันหลานฉือเซวียนไม่ใช่เหรอ? คนข้างๆ เขา…”ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้ สองมือบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลังผ่านไปนาน ลั่วจื่อหานละสายตากลับมาพร้อมสูดหายใจ ที่แท้อพาร์ทเมนต์ก็ให้เธอเช่า
“ฉู่ซ่ง ฉันจะพานายไปดู” ฉู่ซ่งได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองก็พยักหน้า แต่ในสมองกลับขบคิดอย่างรวดเร็ว ในเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องมีโอกาสได้เจอหน้าแน่ๆ เขาคิดพลางผ่อนคลายมือ รู้สึกโล่งอกแล้ว
“ฉู่ซ่ง” ลั่วจื่อหานรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ
ฉู่ซ่งส่ายหัว“ผมนึกถึงพี่สาวน่ะ ตอนนี้น่าจะเข้ามหา’ลัยแล้วมั้ง”
ลั่วจื่อหานยิ้มขมขื่น เซี่ยเซี่ยของเขาก็น่าจะเป็นอย่างนั้น กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“อือ” เพียงคำเดียวของเขากลับมีพลังไม่สิ้นสุด ฉู่ซ่งพยักหน้าให้ลั่วจื่อหานอย่างวางใจ
------------
หลังจากอี้เป่ยซีกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าห้องเรียนไปกับถังเสวี่ยอย่างพออกพอใจ แถวหน้าไม่มีที่นั่งแล้ว ถังเสวี่ยเดินตามอี้เป่ยซีไปที่แถวหลังด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้น การสอนเศรษฐศาสตร์มหภาคที่น่าเบื่อทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องชวนให้ง่วงนอน
ขณะที่เรียนไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลานฉือเซวียนก็เพิ่งมาถึง ห้องเรียนเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองผู้คนในห้องเรียน เม้มปาก แล้วนั่งลงตรงที่นั่งผู้ช่วยสอน
อาจารย์พูดขึ้น“ตอนนี้ขอให้TA หลานบรรยายให้พวกเราหน่อย”
หลานฉือเซวียนกระแอมไอ เริ่มพูดจาฉะฉานมั่นใจ อี้เป่ยซีตั้งใจฟัง แต่ก่อนทำไมไม่รู้เลยว่าเขามีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนาดนี้
“พี่หลานเก่งจริงๆ เลย” ถังเสวี่ยพูด อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตของคนด้านข้าง มันว่างเปล่า นั่นสินะ ถ้าหากคนที่ตัวเองชอบมาล่ะก็ ผลลัพธ์คงเป็นแบบนี้ เธอนึกถึงอี้เป่ยเฉินที่พูดจาคล่องแคล่วอยู่บนเวที มุมปากยกยิ้ม
“ไหนบอกพวกเธอจะไปกินข้าวกับรุ่นพี่ไง? ไหนดูหน่อยซิว่าตบหน้าแล้วเจ็บไหม” ฟางหมิ่นที่เป็นรูมเมทพวกเธอเดินมาด้านข้างอี้เป่ยซี “จุ๊ๆ บวมไปหมดแล้วนี่นา”
ถังเสวี่ยดึงๆ แขนเสื้อของเธอ“ฟางหมิ่น เธอไม่ต้องพูดแล้ว”
อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตในมือ ไม่ได้พูดอะไร แต่มือกำปากกาแน่น
ฟางหมิ่นเห็นท่าทีของอี้เป่ยซีก็โกรธมาก“ฉันกำลังพูดกับเธอ ไม่ได้ยินเหรอไง?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปอีก
“เธออย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ”
ถังเสวี่ยเอ่ยปาก“ที่เป่ยซีพูดแบบนี้ก็เพื่อฉัน ฟางหมิ่น นี่มันความผิดของฉันเอง เธออย่าไปหาเรื่องเป่ยซีเลย”
“ถังเสวี่ย เธอก็ยังใจดีอยู่ได้” ฟางหมิ่นดูถูก“อี้เป่ยซี จะทำอะไรก็อย่าให้ตัวเองเจอทางตันสิ แล้วก็อย่านึกว่าเอาใจคนอื่นแล้วจะปีนขึ้นไปที่สูงได้” เธอพูดพลางกวาดตามองถังเสวี่ย
ตอนอี้เป่ยซีวางปากกาในมือลง ต้องการจะเอ่ยปาก หลานฉือเซวียนก็เดินเข้ามาหาพวกเธอด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่หลาน” ฟางหมิ่นเก็บสีหน้าโมโห ก่อนจะไปยืนด้านข้าง ถังเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างอี้เป่ยซีรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโดดออกมานอกอก
พอเขาเห็นสมุดโน้ตที่ยังสะอาดของอี้เป่ยซี ก็พูดเหน็บแนม“อี้เป่ยซี ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิว่าคำพูดของฉันมีอะไรสำคัญแค่ไหน”
อี้เป่ยซีเงยหน้า“อืม แต่ว่ามีหลายจุดที่ฉันไม่เข้าใจ”
หลานฉือเซวียนมองถังเสวี่ย ได้ยินคำพูดที่พวกเธอคุยกันเมื่อครู่แว่วๆ เขากล่าวว่า “ไว้คุยกับเธอตอนกินข้าวกลางวันเถอะ เธอจะเลี้ยงฉันไม่ใช่เหรอ”
ฟางหมิ่นมองถังเสวี่ยเมื่อได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดูเหมือนจะวางใจได้แล้ว จึงก้าวเท้าออกไปจากห้องเรียน
อี้เป่ยซีกำลังจะขอบคุณเขาที่ช่วยเธอกู้สถานการณ์ แต่พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็กลืนคำพูดเมื่อครู่ลงไปทันที นี่คือการฉวยโอกาสบนความโชคร้ายของคนอื่นชัดๆ
เธอเก็บสมุดโน้ตอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นตามหลังเขาไป
“ศาสตราจารย์ พวกเราขอตัวก่อนนะครับ” หลานฉือเซวียนพูดด้วยความนอบน้อมมาก
“อือ ลูกศิษย์ของฉันก็โตกันหมดแล้ว” สายตาเอ็นดูของศาสตราจารย์หยุดอยู่ที่อี้เป่ยซี
“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ/ครับ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
ศาสตราจารย์พยักหน้า ทำท่าทางว่าฉันเข้าใจ หลานฉือเซวียนยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไร
อี้เป่ยซีมองเขา‘เฮ้อ นายจะเข้าใจอะไร นายมันไม่เข้าใจอะไรเลย’
ทั้งสามคนออกจากห้องเรียนด้วยกัน เดินไปพลาง หารือเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาเล็กๆ ไปพลาง
ถังเสวี่ยมองดูทั้งสองคนที่เดินคู่กัน มือกำชายเสื้อไว้แน่น ผ่านไปสักพักจึงรวบรวมความกล้พูดว่า“เป่ยซี รุ่นพี่คะ”
ทั้งสองคนต่างหันมามองเธอ
“ฉัน ฉัน…”เธอก้มหน้า กลอกตาไปมา“ฉันไม่ไปด้วยแล้วนะ”
อี้เป่ยซีอึ้งไปเล็กน้อย“ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ?”
ถังเสวี่ยกัดริมฝีปากมองไปที่หลานฉือเซวียน อ่านความคิดของเขาไม่ออกสักนิด เธอถอนหายใจอยู่ในใจอย่างยอมแพ้ เขาคงไม่ต้องการให้เธอไปรบกวนพวกเขาล่ะมั้ง“มะ ไม่ไปแล้ว”
“ไม่ง่ายเลยนะที่จะมีคนเลี้ยงข้าว มีคนขูดเลือดขูดเนื้อเขาเพิ่มมาคนนึงจะได้สะใจหน่อย”หลานฉือเซวียนเอ่ยปาก แต่สายตากลับมองไปที่อื่น
ได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดวงตาของถังเสวี่ยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที“งั้น เอ่อ...” เธอพยักหน้าแรงๆ พยายามข่มความคิดชั่ววูบที่อยากกระโดดขึ้นไว้
“นายละอายใจบ้างไหม คิดจะเกาะฉันมาตลอดหลายปีนี้เนี่ย?” อีเป่ยซีบ่น
หลานฉือเซวียนยิ้มเจ้าเล่ห์“ถ้าเธอใจกว้างละก็ ฉันไม่คิดจะเกาะเธอแล้ว”
“ที่จริง มื้อนี้ฉันเลี้ยงก็ได้นะ” ถังเสวี่ยพูด หลานฉือเซวียนหมดความสนใจทันที เขาเดินอยู่ข้างหน้าเงียบๆ ถังเสวี่ยมีสีหน้าสงสัย เธอไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด จู่ๆ รุ่นพี่ถึงหมดความสนใจ มองอี้เป่ยซีแกมขอความช่วยเหลือ
อี้เป่ยซีส่ายหน้า แผ่นหลังของหลานฉือเซวียนมีความรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง เมื่อครู่ยืนข้างเขาก็ได้กลิ่นเหล้าด้วย เป็นเพราะว่าเรื่องที่พูดกับเธอเมื่อวานงั้นเหรอ? แต่เธอไม่เห็นเข้าใจเลย อี้เป่ยซีครุ่นคิด หรือว่าเป็นเรื่องความรัก? เธอไม่รู้ ทว่าเธอก็เข้าใจ ตัวเธอเองไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ส่วนอีกคน...
เธอเหลือบมองถังเสวี่ย อีกฝ่ายก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามคนต่างมีความคิดของตัวเอง ข้าวมื้อนี้จบลงด้วยความอึดอัดใจ
“เป่ยซี” หลังจากทานข้าวเสร็จ หลานฉือเซวียนที่นั่งอยู่ตามอำเภอใจมองเธอ
“งั้นฉันไปก่อนนะ” ถังเสวี่ยบอกลาทั้งสองคนแล้วก็หนีออกไปจากที่นั่น
อี้เป่ยซีนั่งลง เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดมา“ฉันรู้สึกว่ารูมเมททำแบบนี้มันเกินไปหน่อย”
หลานฉือเซวียนคิดไม่ถึงว่าเธอจะอธิบายเรื่องอย่างว่าง่ายแบบนี้ หลังชะงักไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “อืม แต่เธอคิดว่าแบบนี้จะช่วยถังเสวี่ยได้เหรอ?”
อี้เป่ยซีเอามือเท้าคาง“ฉันไม่ได้คิดเยอะแบบนั้น อีกอย่างฉันก็ชอบเขามากด้วย”
“เป่ยซี เธอเพิ่งกลับประเทศมา” เขาดื่มชาไปอึกหนึ่ง“เธอคิดว่าคุณหนูใหญ่บ้านถังจะยอมให้ใครรังแกง่ายๆ อย่างที่เธอเห็นเหรอ?”
“ฉันรู้แล้วน่า” อี้เป่ยซีเบ้ปาก เพราะตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง“นายอยากพูดแค่นี้เหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่อยากพาเธอไปดูห้องเธอหน่อย” หลานฉือเซวียนพูด
อี้เป่ยซีตาเป็นประกาย ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด“ไปสิ ไปสิ”
อพาร์ทเมนต์โทนสีขาวดำ บรรยากาศเรียบง่ายเยือกเย็น อี้เป่ยซีเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นมินต์จางๆ สดชื่นมาก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับการตกแต่งแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ตอนนี้จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“ห้องไม่เลวนี่นา ตามีแวว” หลานฉือเซวียนสอดส่ายสายตา
“ฉันรู้จักกับเจ้าของห้อง ทุกเดือนจะเก็บค่าเช่าเธอบ้าง น้ำไฟออกเอง หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย”
“อือ” อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วบอกข้าวของบางอย่างเพิ่มเติมกับคนที่อยู่ข้างหลัง
ในเวลานี้เอง รถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างอพาร์ทเมนต์อีกหลัง เมื่อลั่วจื่อหานลงจากรถก็เห็นแผ่นหลังของพวกอี้เป่ยซีที่จากไป เขายืนอยู่เนิ่นนาน เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็บปีสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเขาจึงมองตามสายตาไป
“นั่นมันหลานฉือเซวียนไม่ใช่เหรอ? คนข้างๆ เขา…”ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้ สองมือบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลังผ่านไปนาน ลั่วจื่อหานละสายตากลับมาพร้อมสูดหายใจ ที่แท้อพาร์ทเมนต์ก็ให้เธอเช่า
“ฉู่ซ่ง ฉันจะพานายไปดู” ฉู่ซ่งได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองก็พยักหน้า แต่ในสมองกลับขบคิดอย่างรวดเร็ว ในเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องมีโอกาสได้เจอหน้าแน่ๆ เขาคิดพลางผ่อนคลายมือ รู้สึกโล่งอกแล้ว
“ฉู่ซ่ง” ลั่วจื่อหานรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ
ฉู่ซ่งส่ายหัว“ผมนึกถึงพี่สาวน่ะ ตอนนี้น่าจะเข้ามหา’ลัยแล้วมั้ง”
ลั่วจื่อหานยิ้มขมขื่น เซี่ยเซี่ยของเขาก็น่าจะเป็นอย่างนั้น กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“อือ” เพียงคำเดียวของเขากลับมีพลังไม่สิ้นสุด ฉู่ซ่งพยักหน้าให้ลั่วจื่อหานอย่างวางใจ
------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ