Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.24 น.
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 14.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) บทที่16 มหาวิทยาลัยเขียวชอุ่ม (5)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่16 มหาวิทยาลัยเขียวชอุ่ม (5)
หลังจากอี้เป่ยซีกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าห้องเรียนไปกับถังเสวี่ยอย่างพออกพอใจ แถวหน้าไม่มีที่นั่งแล้ว ถังเสวี่ยเดินตามอี้เป่ยซีไปที่แถวหลังด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้น การสอนเศรษฐศาสตร์มหภาคที่น่าเบื่อทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องชวนให้ง่วงนอน
ขณะที่เรียนไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลานฉือเซวียนก็เพิ่งมาถึง ห้องเรียนเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองผู้คนในห้องเรียน เม้มปาก แล้วนั่งลงตรงที่นั่งผู้ช่วยสอน
อาจารย์พูดขึ้น“ตอนนี้ขอให้TA หลานบรรยายให้พวกเราหน่อย”
หลานฉือเซวียนกระแอมไอ เริ่มพูดจาฉะฉานมั่นใจ อี้เป่ยซีตั้งใจฟัง แต่ก่อนทำไมไม่รู้เลยว่าเขามีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนาดนี้
“พี่หลานเก่งจริงๆ เลย” ถังเสวี่ยพูด อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตของคนด้านข้าง มันว่างเปล่า นั่นสินะ ถ้าหากคนที่ตัวเองชอบมาล่ะก็ ผลลัพธ์คงเป็นแบบนี้ เธอนึกถึงอี้เป่ยเฉินที่พูดจาคล่องแคล่วอยู่บนเวที มุมปากยกยิ้ม
“ไหนบอกพวกเธอจะไปกินข้าวกับรุ่นพี่ไง? ไหนดูหน่อยซิว่าตบหน้าแล้วเจ็บไหม” ฟางหมิ่นที่เป็นรูมเมทพวกเธอเดินมาด้านข้างอี้เป่ยซี “จุ๊ๆ บวมไปหมดแล้วนี่นา”
ถังเสวี่ยดึงๆ แขนเสื้อของเธอ“ฟางหมิ่น เธอไม่ต้องพูดแล้ว”
อี้เป่ยซีมองดูสมุดโน้ตในมือ ไม่ได้พูดอะไร แต่มือกำปากกาแน่น
ฟางหมิ่นเห็นท่าทีของอี้เป่ยซีก็โกรธมาก“ฉันกำลังพูดกับเธอ ไม่ได้ยินเหรอไง?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปอีก
“เธออย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ”
ถังเสวี่ยเอ่ยปาก“ที่เป่ยซีพูดแบบนี้ก็เพื่อฉัน ฟางหมิ่น นี่มันความผิดของฉันเอง เธออย่าไปหาเรื่องเป่ยซีเลย”
“ถังเสวี่ย เธอก็ยังใจดีอยู่ได้” ฟางหมิ่นดูถูก“อี้เป่ยซี จะทำอะไรก็อย่าให้ตัวเองเจอทางตันสิ แล้วก็อย่านึกว่าเอาใจคนอื่นแล้วจะปีนขึ้นไปที่สูงได้” เธอพูดพลางกวาดตามองถังเสวี่ย
ตอนอี้เป่ยซีวางปากกาในมือลง ต้องการจะเอ่ยปาก หลานฉือเซวียนก็เดินเข้ามาหาพวกเธอด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่หลาน” ฟางหมิ่นเก็บสีหน้าโมโห ก่อนจะไปยืนด้านข้าง ถังเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างอี้เป่ยซีรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโดดออกมานอกอก
พอเขาเห็นสมุดโน้ตที่ยังสะอาดของอี้เป่ยซี ก็พูดเหน็บแนม“อี้เป่ยซี ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิว่าคำพูดของฉันมีอะไรสำคัญแค่ไหน”
อี้เป่ยซีเงยหน้า“อืม แต่ว่ามีหลายจุดที่ฉันไม่เข้าใจ”
หลานฉือเซวียนมองถังเสวี่ย ได้ยินคำพูดที่พวกเธอคุยกันเมื่อครู่แว่วๆ เขากล่าวว่า “ไว้คุยกับเธอตอนกินข้าวกลางวันเถอะ เธอจะเลี้ยงฉันไม่ใช่เหรอ”
ฟางหมิ่นมองถังเสวี่ยเมื่อได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดูเหมือนจะวางใจได้แล้ว จึงก้าวเท้าออกไปจากห้องเรียน
อี้เป่ยซีกำลังจะขอบคุณเขาที่ช่วยเธอกู้สถานการณ์ แต่พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็กลืนคำพูดเมื่อครู่ลงไปทันที นี่คือการฉวยโอกาสบนความโชคร้ายของคนอื่นชัดๆ
เธอเก็บสมุดโน้ตอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นตามหลังเขาไป
“ศาสตราจารย์ พวกเราขอตัวก่อนนะครับ” หลานฉือเซวียนพูดด้วยความนอบน้อมมาก
“อือ ลูกศิษย์ของฉันก็โตกันหมดแล้ว” สายตาเอ็นดูของศาสตราจารย์หยุดอยู่ที่อี้เป่ยซี
“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ/ครับ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
ศาสตราจารย์พยักหน้า ทำท่าทางว่าฉันเข้าใจ หลานฉือเซวียนยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไร
อี้เป่ยซีมองเขา‘เฮ้อ นายจะเข้าใจอะไร นายมันไม่เข้าใจอะไรเลย’
ทั้งสามคนออกจากห้องเรียนด้วยกัน เดินไปพลาง หารือเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาเล็กๆ ไปพลาง
ถังเสวี่ยมองดูทั้งสองคนที่เดินคู่กัน มือกำชายเสื้อไว้แน่น ผ่านไปสักพักจึงรวบรวมความกล้พูดว่า“เป่ยซี รุ่นพี่คะ”
ทั้งสองคนต่างหันมามองเธอ
“ฉัน ฉัน…”เธอก้มหน้า กลอกตาไปมา“ฉันไม่ไปด้วยแล้วนะ”
อี้เป่ยซีอึ้งไปเล็กน้อย“ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ?”
ถังเสวี่ยกัดริมฝีปากมองไปที่หลานฉือเซวียน อ่านความคิดของเขาไม่ออกสักนิด เธอถอนหายใจอยู่ในใจอย่างยอมแพ้ เขาคงไม่ต้องการให้เธอไปรบกวนพวกเขาล่ะมั้ง“มะ ไม่ไปแล้ว”
“ไม่ง่ายเลยนะที่จะมีคนเลี้ยงข้าว มีคนขูดเลือดขูดเนื้อเขาเพิ่มมาคนนึงจะได้สะใจหน่อย”หลานฉือเซวียนเอ่ยปาก แต่สายตากลับมองไปที่อื่น
ได้ยินคำพูดของหลานฉือเซวียน ดวงตาของถังเสวี่ยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที“งั้น เอ่อ...” เธอพยักหน้าแรงๆ พยายามข่มความคิดชั่ววูบที่อยากกระโดดขึ้นไว้
“นายละอายใจบ้างไหม คิดจะเกาะฉันมาตลอดหลายปีนี้เนี่ย?” อีเป่ยซีบ่น
หลานฉือเซวียนยิ้มเจ้าเล่ห์“ถ้าเธอใจกว้างละก็ ฉันไม่คิดจะเกาะเธอแล้ว”
“ที่จริง มื้อนี้ฉันเลี้ยงก็ได้นะ” ถังเสวี่ยพูด หลานฉือเซวียนหมดความสนใจทันที เขาเดินอยู่ข้างหน้าเงียบๆ ถังเสวี่ยมีสีหน้าสงสัย เธอไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด จู่ๆ รุ่นพี่ถึงหมดความสนใจ มองอี้เป่ยซีแกมขอความช่วยเหลือ
อี้เป่ยซีส่ายหน้า แผ่นหลังของหลานฉือเซวียนมีความรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง เมื่อครู่ยืนข้างเขาก็ได้กลิ่นเหล้าด้วย เป็นเพราะว่าเรื่องที่พูดกับเธอเมื่อวานงั้นเหรอ? แต่เธอไม่เห็นเข้าใจเลย อี้เป่ยซีครุ่นคิด หรือว่าเป็นเรื่องความรัก? เธอไม่รู้ ทว่าเธอก็เข้าใจ ตัวเธอเองไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ส่วนอีกคน...
เธอเหลือบมองถังเสวี่ย อีกฝ่ายก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามคนต่างมีความคิดของตัวเอง ข้าวมื้อนี้จบลงด้วยความอึดอัดใจ
“เป่ยซี” หลังจากทานข้าวเสร็จ หลานฉือเซวียนที่นั่งอยู่ตามอำเภอใจมองเธอ
“งั้นฉันไปก่อนนะ” ถังเสวี่ยบอกลาทั้งสองคนแล้วก็หนีออกไปจากที่นั่น
อี้เป่ยซีนั่งลง เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดมา“ฉันรู้สึกว่ารูมเมททำแบบนี้มันเกินไปหน่อย”
หลานฉือเซวียนคิดไม่ถึงว่าเธอจะอธิบายเรื่องอย่างว่าง่ายแบบนี้ หลังชะงักไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “อืม แต่เธอคิดว่าแบบนี้จะช่วยถังเสวี่ยได้เหรอ?”
อี้เป่ยซีเอามือเท้าคาง“ฉันไม่ได้คิดเยอะแบบนั้น อีกอย่างฉันก็ชอบเขามากด้วย”
“เป่ยซี เธอเพิ่งกลับประเทศมา” เขาดื่มชาไปอึกหนึ่ง“เธอคิดว่าคุณหนูใหญ่บ้านถังจะยอมให้ใครรังแกง่ายๆ อย่างที่เธอเห็นเหรอ?”
“ฉันรู้แล้วน่า” อี้เป่ยซีเบ้ปาก เพราะตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง“นายอยากพูดแค่นี้เหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่อยากพาเธอไปดูห้องเธอหน่อย” หลานฉือเซวียนพูด
อี้เป่ยซีตาเป็นประกาย ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด“ไปสิ ไปสิ”
อพาร์ทเมนต์โทนสีขาวดำ บรรยากาศเรียบง่ายเยือกเย็น อี้เป่ยซีเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นมินต์จางๆ สดชื่นมาก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับการตกแต่งแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ตอนนี้จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“ห้องไม่เลวนี่นา ตามีแวว” หลานฉือเซวียนสอดส่ายสายตา
“ฉันรู้จักกับเจ้าของห้อง ทุกเดือนจะเก็บค่าเช่าเธอบ้าง น้ำไฟออกเอง หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย”
“อือ” อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วบอกข้าวของบางอย่างเพิ่มเติมกับคนที่อยู่ข้างหลัง
ในเวลานี้เอง รถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างอพาร์ทเมนต์อีกหลัง เมื่อลั่วจื่อหานลงจากรถก็เห็นแผ่นหลังของพวกอี้เป่ยซีที่จากไป เขายืนอยู่เนิ่นนาน เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็บปีสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเขาจึงมองตามสายตาไป
“นั่นมันหลานฉือเซวียนไม่ใช่เหรอ? คนข้างๆ เขา…”ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้ สองมือบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลังผ่านไปนาน ลั่วจื่อหานละสายตากลับมาพร้อมสูดหายใจ ที่แท้อพาร์ทเมนต์ก็ให้เธอเช่า
“ฉู่ซ่ง ฉันจะพานายไปดู” ฉู่ซ่งได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองก็พยักหน้า แต่ในสมองกลับขบคิดอย่างรวดเร็ว ในเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องมีโอกาสได้เจอหน้าแน่ๆ เขาคิดพลางผ่อนคลายมือ รู้สึกโล่งอกแล้ว
“ฉู่ซ่ง” ลั่วจื่อหานรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ
ฉู่ซ่งส่ายหัว“ผมนึกถึงพี่สาวน่ะ ตอนนี้น่าจะเข้ามหา’ลัยแล้วมั้ง”
ลั่วจื่อหานยิ้มขมขื่น เซี่ยเซี่ยของเขาก็น่าจะเป็นอย่างนั้น กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“อือ” เพียงคำเดียวของเขากลับมีพลังไม่สิ้นสุด ฉู่ซ่งพยักหน้าให้ลั่วจื่อหานอย่างวางใจ
------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ