นรกบนดิน(yuri)
-
เขียนโดย themockingjay
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.54 น.
29 ตอน
0 วิจารณ์
23.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2563 14.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เสียงรอบๆบ้านๆ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"คืองี้นะ......... " เเล้วเพื่อนเธอก็เล่าอย่างตะกุกตะกัก ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนฉันเกือบจะจับใจความไม่ได้
" คือแกกำลังจะบอกฉันว่าระหว่างที่ฉันกำลังขับรถอยู่ แกก็บังเอิญไปเห็นคนประมาณ2-3คนกำลังแย่งกันกินไส้ของคนที่นอนนิ่งอยู่แล้วจากนั้นคนในกลุ่มที่แย่งกันกินไส้ก็เหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่างเลยแยกจากคนกลุ่มนั้นและกำลังเดินข้ามถนนงี้หรอ"
"อื้อใช่ ผู้ชายที่กำลังข้ามถนนอะฉันเห็นลำไส้ไหลออกมาจากท้องตอนที่เขาเดินอยู่ มันเป็นไปได้ยังไง! " เพื่อนของเธอเริ่มจะควบคุมสติไม่อยู่เเล้ว ตะโกนใส่หน้าเธออย่างจัง
" เฮ้ ใจเย็นเพื่อน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่มีทางที่คนมีเครื่องใน ลำใส้ไหลออกจากท้องขนาดนั้นเเล้วเดินได้อยู่นะ " เธอค่อยๆ ลูบหลังเพื่อนของเธอ ในตอนนี้สติสำคัญมากถ้าสติแตกไปด้วยกันทั้งคู่เเล้วละก็ น่าจะแย่ทั้งคู่
" แกที่ฉันเห็นมันคือเรื่องจริ... "
" ตื้ดดด ตื้ดดดด"
"แกแปบนะ เอ่อแม่ฉันโทรมาน่ะ" เธอเอ่ยและเดินออกจากห้องรับแขกไปหน้าประตูบ้านเพื่อไปรับโทรศัพท์ ระหว่างที่เดินออกมา บังเอิญหรืออะไรไม่รู้สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงท้องแก่ใส่ชุดคนไข้สีเขียว เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดรึเปล่าเธอก็ไม่แน่ใจเพราะเธอเห็นเป็นสีแดงซีดๆ เหมือนเลือดแห้งๆ ติดอยู่ทั่วร่างกายของผู้หญิงคนนี้ อีกทั้งยังหัวยุ่งดูสกปรก ลูกตาสีขาวขุ่น ปากบนกับปากล่างดูเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันเพราะปากล่างห้อยเเกว่งไปมาตามจังหวะการเดิน และระหว่างขาของผู้หญิงคนนั้นได้มีสายสะดือห้อยยาวจนลากพื้นถนนจลดปลายสุดของสายสะดือเป็นเด็กทารกอายุประมาณ8เดือนน่าจะได้ถูกลากไปตามพื้น สร้างความสยดสยองให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เธอที่เห็นภาพนี้ปิดปากเกือบเเทบไม่ทัน
"ป.. ป.. เป็นไปได้ยังไง ท.. ทำไมถึงยังเดินอยู่ได้"เธอคิดอย่างเดียวคือเหลือเชื่อมาก คนตายไม่น่าจะฝื้นคืนชีพขึ้นมาเดินได้ขนาดนี้ อันเป็นหลายนาทีที่กว่าเธอจะได้สติได้ยินเสียงแม่ของเธอ
' มันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเป็นอะไรกันไปหมด'
"รินลูกได้ยินแม่ไห..... "
" ฮ.. ฮ.. ฮัลโหลค่ะแม่ ได้ยินค่ะ แม่คะเสียงอะไรคะทำไมดูวุ่นวายมากเลย ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นคะแม่ "เสียงคนวุ่นวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาจากสายของฝั่งแม่เธอ เธอที่ยังไม่รู้ว่าบนโลกนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนตายถึงคืนชีพมาเดินดุ่มๆ เหมือนคนปกติได้ สติของเธอตอนนี้แทบจะไม่เหลือ อยากจะกริ๊ดก็ทำไม่ได้ได้แต่ยืนนิ่งๆ มองดูผู้หญิงคนนั้นเดินตามถนนที่ตัดผ่านหน้าบ้านเธอไปเรื่อยๆ
" รินตอนนี้แม่ไม่มีเวลาจะอธิบายมากนะ ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่บนรถที่ถูกป้องกันเป็นพิเศษเพื่อที่จะย้ายไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เดี๋ยวอีกสัก30นาทีแม่จะโทรไปอีกที เพราะตอนนี้แม่กำลังจะไปรับลูก เตรียมของที่สำคัญให้พร้อมนะ แล้วตอนนี้ลูกอยู่กับใครไหม"
"อ.. เอ่อ อยู่กับแพรวค่ะ"
"ดีมากระวังตัวด้วยนะลูกเดี๋ยวแม่ไปรับแล้วจะอธิบายทั้งหมดให้ฟัง แม่รักลูกนะ"
"หนูก็รั... ตู้ดดดตู้ดดด" เธอมองดูโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลังจากเธอแม่ของเธอวางสายเสร็จเธอก็ยืนตั้งสติอยู่เกือบ2นาทีและทำให้เธอมีสติพอที่จะก้าวขาเข้าไปบอกเพื่อนเธอให้รีบเก็บข้าวของที่สำคัญทุกอย่างเข้ากระเป๋าเเละเตรียมออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
"ก๊อกก๊อก"เธอที่เดินเข้ามาเห็นเพื่อนเธอนั่งซึมเลยเคาะประตูก่อนที่จะเข้าไปและไปนั่งข้างเพื่อนเธอ
"แม่แกว่าไงบ้าง"
"เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะอธิบายทีหลังนะแพรว ตอนนี้แม่ฉันบอกให้เก็บของทุกอย่างที่สำคัญทั้งหมดเข้ากระเป๋า เพราะอีกเดี๋ยวแม่ฉันจะมารับ ตอนนี้แกเอาอะไรในบ้านฉันไปได้หมดเลยนะ เดี๋ยวฉันเอากระเป๋าให้"
เธอบอกเพื่อนเธอด้วยสติที่มีทั้งหมดเเละรีบตั้งสติให้กำลังใจกันก่อนเธอจะไปเอากระเป๋าให้เพื่อน จากนั้นอยู่ร่วม20นาทีเธอก็เก็บจนเสร็จ
"แกเสร็จยังวะแพรว"
"เสร็จเเล้วๆ ฉันกำลังลงไป"
"เราออกไปรอแม่ที่ประตูกัน"
เพื่อนเธอพยักหน้าจากนั้นก็เดินออกไปนอกประตูแต่ก่อนที่จะออกไปที่ประตู จู่ๆ ก็มีเสียงครางของในลำคอเหมือนเสียงสัตย์อยู่รอบๆ ตัวบ้าน
"อือออออ กัซซซ กรรรร์"
" เสียงอะไรริน"เพื่อนเธอกอดแขนเธอแน่นอย่างหวาดผวา
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันว่าเราเงียบๆ ไว้ดีกว่า"
'เมื่อไรแม่จะมาถึงเนี่ย แล้วคราวนี้มีตัวอะไรไม่รู้อยู่นอกบ้าน ให้ตายเถอะมันอะไรกันวะเนี่ย!! ' เธอสบถในใจ
พวกเธอเดินจนมาถึงหน้าประตูและเอียงหูฟังว่าเสียงมาจากไหน
"กรรรร์! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! "
" โอ้ยบ้าเอ้ย!! มันรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ตรงนี้ เเรงเยอะจริงๆ ให้ตายเหอะ! " เธอที่เอียงหูฟังอย่างเงียบๆ ตกใจจนตัวโยนจู่ๆ ตัวอะไรไม่รู้มาทุบประตูหวังที่จะเข้ามาในบ้านเธอให้ได้ เธอทั้งสองคนช่วยกันดันประตูอย่างสุดกำลัง
'แกร็ก กะ.. แกร็ก....แกร็ก เพ้งงงงงง" กระจกที่ร้าวเพราะการทุบตีก็แตกออก ทั้งเธอและเพื่อนของเธอก็ถอยหลังหนีจนตัวสั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร เราจะต้องมาตายที่นี่หรอ นี่มันคือตัวอะไร คนแต่ก็ไม่ใช่ ตัวสกปรก เนื้อหนังหลุดลุ่ยเหมือนตายไปแล้วแต่ก็ยังเดินได้
"ฮืออออๆ ฮืออออๆ ฮืออออ" เพื่อนเธอร้องไห้ฟูมฟายกอดเธอจนแน่น ตอนนี้สติเริ่มจะเรือนลางไปทุกที เพื่อนเธอตอนนี้น่าจะหลุดไปแล้วด้วย เราถอยจนมาสุดทางเดินเเล้ว ไม่มีทางไปต่อแล้ว ศพเดินได้ก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ
"บ้าเอ้ยนี่เธอจะต้องมาตายจริงๆ หรอ ฮึก"
'ใครก็ได้ช่วยด้วยย'
"ใครก็ได้ช่วยด้วยยย!!! ปังๆๆ!!! " เธอตะโกนจนสุดเสียงจู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาด้านหน้าของเธอ ปรากฏว่าเป็นทหาร4คนใส่ชุดเต็มสูท จ่อปืนยิงตัวนั้นจนล้มลงไปแนบนิ่งในที่สุด
และจากนั้นภาพก็ค่อยๆ เลือนลางลงไป เธอเห็นแม่ของเธอวิ่งเข้ามา เหมือนจะตะโกนอะไรสักอย่างแต่เธอฟังไม่รู้เรื่องเลย เธอรู้ง่วงมากจนในที่สุดก็หลับไป
"... น ริน.. .. ก ริน.. ลูก ได้ยินแม่ไหม รินน!!! " เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นภาพแม่ลางๆ เธอต่อยๆ กระพริบตาให้ปรับโฟกัสจนชัดจากนั้นเหมือนร่างกายเธอฟื้นจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอก็รู้สึกหิวน้ำมาก
" ม... แม่ แค่ก ห...หิวน้ำ"
"นี่ๆ อะดื่มนะ " เธอดื่มน้ำอย่างหิวโหยไปจนหมด3แก้วเต็มๆ
“แค่กๆๆ”
" ค่อยๆ กินก็ได้ลูก น้ำไม่หายไปไหนหรอก" แม่เธอเอาแก้วน้ำที่กินจนหมดเเล้วจากเธอมาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียง
"เอ่อคือ... แม่! แพรวล่ะ แพรวอยู่ไหนคะแม่! " เธอจับมือแม่อย่างแน่น ถ้าเกิดเพื่อนเธออะไรขึ้นมาเเล้วละก็ เธอคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตจริงๆ
" ใจเย็นๆ ลูก ใจเย็นๆ ตอนนี้ลูกต้องตั้งสตินะ เพื่อนลูกไม่เป็นอะไรหรอก หลับอยู่ห้องข้างๆ นี่แหละ ถ้าเพื่อนลูกตื่นเดี๋ยวแม่จะพามาให้ดูเต็มตาเลยว่าเพื่อนลูกไม่เป็นอะไร เพราะงั้นตอนนี้อย่าเครียดและใจเย็นๆ ก่อนนะลูก " แม่เธอลูบหัวเธอเบาๆ
" ฮึก ฮึก แล้วพ่อละคะแม่" เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอได้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือครอบครัวและเพื่อนสนิทจริงๆ
"นั่งทำงานจนหัวปั่นอยู่จ้ะ ตอนนี้แม่อยากให้ลูกกินยาและพักผ่อนนะ เดี๋ยวพอลูกตื่นมาสภาพจิตใจดีแล้ว แม่จะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ต้องห่วงนะที่ที่เราอยู่นี้เป็นค่ายทหารที่อพยบประชาชนส่วนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นสบายใจได้นะลูก เราปลอดภัยเเล้ว" เเม่เธอยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเเล้วยื่นยารู้สึกจะเป็นยาพาราปกตินี่แหละยื่นมาให้เธอกิน พอเธอกินเสร็จเรื่องที่อยากจะถามมีอยู่เต็มหัวไปหมดแต่เหมือนว่าร่างกายของเธอเริ่มอ่อนเพลียจากการประทะกับตัวอะไรไม่รู้จากนั้นหนังตาเธอก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็หลับลงอย่างอ่อนล้า
"แซ้ด แซ้ดๆๆๆ " เสียงคนผู้คุยกันประมาณ2-3คน เริ่มดังขึ้นจนเธอเริ่มรู้สึกตัวและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นภาพรางๆ จากนั้นเธอค่อยๆ กระพริบตาปรับแสงจนภาพชัดขึ้น
"อ้าวลูกตื่นเเล้วหรอ"พ่อเธอเริ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกเริ่มมีการขยับตัว
"ค่ะพ่อ นี่อยู่กันครบเลยหรอคะ" เธอที่พยายามดันตัวเองขึ้นเพื่อจะลุกขึ้นมานั่งคุยกับพ่อ แม่และเพื่อนของเธอที่ดูตอนนี้เเล้วคงหายดีเป็นปริดทิ้ง ให้ตายเถอะเธอรู้สึกอยากจะร้องให้จริงๆ เธอรู้สึกมีความสุขมากที่ครอบครัวและเพื่อนของเธอยังไม่เป็นอะไร
"ลูกร้องไห้ทำไม! " แม่เธอที่พยายามช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นมาเอ่ยถามอย่างตกใจ ส่วนพ่อช่วยประคองอีกด้านและเพื่อนเธอช่วยปรับระดับเตียงฝั่งด้านบนให้สูงขึ้น เพื่อให้เธอลุกขึ้นมานั่งได้อย่างสบาย
" ขอบใจแกมาก"
"เต็มใจ" พวกเธอสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย เธอรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ และเพื่อนเธอก็คงจะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
"ขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยนะคะ"
"ไม่เป็นไรหรอกลูกเรื่องแค่นี้" จากนั้นเธอก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพ่อ แม่และเพื่อนของเธอ ได้ความว่า เธอพึ่งรู้ว่าเธอนอนอยู่ที่ค่ายทหารมาเป็นเวลา4วันเต็ม
ในส่วนของพ่อและแม่ของเธอนั้นกำลังทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิมนุษยชน ตอนนั้นแม่กำลังหารือเรื่องการออกกฎหมายการแต่งงานของเพศที่สามให้เท่าเทียมกันอยู่ แต่จู่ๆ ไฟสัญญาณฉุกเฉินก็เสียงดังขึ้นและมีเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่าจะมีกำลังทหารส่วนหนึ่งนำเจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้เคลื่อนย้ายออกไปจากสำนักงานไปยังค่ายทหาร ซึ่งตัวพ่อกับแม่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นและก็โดนทหารนำตัวไปขึ้นรถ จากนั้นก็ถามเจ้าหน้าที่ทหารจนรู้ความมาและทางทหารบอกว่าถ้ามีลูกให้ไปรับลูกก่อนจะมาที่ค่ายทหารนี้ ซึ่งแม่ก็ซาบซึ้งมากเพราะนึกว่าจะต้องโดนแยกออกจากเธอเเล้ว ส่วนทางเพื่อนสนิทของเธอนั้นก็เล่าว่าหลังจากที่เธอสลบไปเพื่อนของเธอก็สติแตกไปเลยจนเจ้าหน้าที่ทหารต้องฉีดยาสลบให้เธอ ซึ่งกว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร จนมาตื่นที่ค่ายทหารนี้แหละ ดีนะที่พ่อแม่ของเธอดูเเลแพรวดีจนสุขภาพจิตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายจากอาการสั่นกลัวตลอดเวลา มันเป็นเรื่องที่พูดยากเพราะพวกเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไงให้เข้าใจและพวกเธอเองก็พึ่งพ้นผ่านจากสถานการณ์ที่อีกนิดชะตาพวกเธอจะขาดถ้าหากไม่ได้แม่เธอมาช่วยไว้ก่อนที่ตัวอะไรไม่รู้จะมาทำร้ายพวกเธอ
"แม่คะเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเรากันแน่" ซึ่งหลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปพอสมควร เธอจึงเห็นสมควรสักทีว่าเธอกับเพื่อนเธอควรได้รู้เรื่องนี้สักที เพราะดูเหมือนพ่อกับแม่จะเลี่ยงประเด็นนี้ตลอดจนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม
"แม่คะ" เธอทำหน้าซีเรียส พอหลังจากเธอถามคำถามนี้แล้วหน้าของพ่อและแม่เธอก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เรื่องนี้คงแย่พอสมควรเลยสินะ
"โอเค ลูกเเละแพรวตั้งใจฟังกันให้ดีๆ นะ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาแค่เฉพาะประเทศเรา แต่มันเป็นปัญหาสำหรับคนทั่วโลก! "
" คือแกกำลังจะบอกฉันว่าระหว่างที่ฉันกำลังขับรถอยู่ แกก็บังเอิญไปเห็นคนประมาณ2-3คนกำลังแย่งกันกินไส้ของคนที่นอนนิ่งอยู่แล้วจากนั้นคนในกลุ่มที่แย่งกันกินไส้ก็เหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่างเลยแยกจากคนกลุ่มนั้นและกำลังเดินข้ามถนนงี้หรอ"
"อื้อใช่ ผู้ชายที่กำลังข้ามถนนอะฉันเห็นลำไส้ไหลออกมาจากท้องตอนที่เขาเดินอยู่ มันเป็นไปได้ยังไง! " เพื่อนของเธอเริ่มจะควบคุมสติไม่อยู่เเล้ว ตะโกนใส่หน้าเธออย่างจัง
" เฮ้ ใจเย็นเพื่อน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่มีทางที่คนมีเครื่องใน ลำใส้ไหลออกจากท้องขนาดนั้นเเล้วเดินได้อยู่นะ " เธอค่อยๆ ลูบหลังเพื่อนของเธอ ในตอนนี้สติสำคัญมากถ้าสติแตกไปด้วยกันทั้งคู่เเล้วละก็ น่าจะแย่ทั้งคู่
" แกที่ฉันเห็นมันคือเรื่องจริ... "
" ตื้ดดด ตื้ดดดด"
"แกแปบนะ เอ่อแม่ฉันโทรมาน่ะ" เธอเอ่ยและเดินออกจากห้องรับแขกไปหน้าประตูบ้านเพื่อไปรับโทรศัพท์ ระหว่างที่เดินออกมา บังเอิญหรืออะไรไม่รู้สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงท้องแก่ใส่ชุดคนไข้สีเขียว เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดรึเปล่าเธอก็ไม่แน่ใจเพราะเธอเห็นเป็นสีแดงซีดๆ เหมือนเลือดแห้งๆ ติดอยู่ทั่วร่างกายของผู้หญิงคนนี้ อีกทั้งยังหัวยุ่งดูสกปรก ลูกตาสีขาวขุ่น ปากบนกับปากล่างดูเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันเพราะปากล่างห้อยเเกว่งไปมาตามจังหวะการเดิน และระหว่างขาของผู้หญิงคนนั้นได้มีสายสะดือห้อยยาวจนลากพื้นถนนจลดปลายสุดของสายสะดือเป็นเด็กทารกอายุประมาณ8เดือนน่าจะได้ถูกลากไปตามพื้น สร้างความสยดสยองให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เธอที่เห็นภาพนี้ปิดปากเกือบเเทบไม่ทัน
"ป.. ป.. เป็นไปได้ยังไง ท.. ทำไมถึงยังเดินอยู่ได้"เธอคิดอย่างเดียวคือเหลือเชื่อมาก คนตายไม่น่าจะฝื้นคืนชีพขึ้นมาเดินได้ขนาดนี้ อันเป็นหลายนาทีที่กว่าเธอจะได้สติได้ยินเสียงแม่ของเธอ
' มันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเป็นอะไรกันไปหมด'
"รินลูกได้ยินแม่ไห..... "
" ฮ.. ฮ.. ฮัลโหลค่ะแม่ ได้ยินค่ะ แม่คะเสียงอะไรคะทำไมดูวุ่นวายมากเลย ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นคะแม่ "เสียงคนวุ่นวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาจากสายของฝั่งแม่เธอ เธอที่ยังไม่รู้ว่าบนโลกนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนตายถึงคืนชีพมาเดินดุ่มๆ เหมือนคนปกติได้ สติของเธอตอนนี้แทบจะไม่เหลือ อยากจะกริ๊ดก็ทำไม่ได้ได้แต่ยืนนิ่งๆ มองดูผู้หญิงคนนั้นเดินตามถนนที่ตัดผ่านหน้าบ้านเธอไปเรื่อยๆ
" รินตอนนี้แม่ไม่มีเวลาจะอธิบายมากนะ ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่บนรถที่ถูกป้องกันเป็นพิเศษเพื่อที่จะย้ายไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เดี๋ยวอีกสัก30นาทีแม่จะโทรไปอีกที เพราะตอนนี้แม่กำลังจะไปรับลูก เตรียมของที่สำคัญให้พร้อมนะ แล้วตอนนี้ลูกอยู่กับใครไหม"
"อ.. เอ่อ อยู่กับแพรวค่ะ"
"ดีมากระวังตัวด้วยนะลูกเดี๋ยวแม่ไปรับแล้วจะอธิบายทั้งหมดให้ฟัง แม่รักลูกนะ"
"หนูก็รั... ตู้ดดดตู้ดดด" เธอมองดูโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลังจากเธอแม่ของเธอวางสายเสร็จเธอก็ยืนตั้งสติอยู่เกือบ2นาทีและทำให้เธอมีสติพอที่จะก้าวขาเข้าไปบอกเพื่อนเธอให้รีบเก็บข้าวของที่สำคัญทุกอย่างเข้ากระเป๋าเเละเตรียมออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
"ก๊อกก๊อก"เธอที่เดินเข้ามาเห็นเพื่อนเธอนั่งซึมเลยเคาะประตูก่อนที่จะเข้าไปและไปนั่งข้างเพื่อนเธอ
"แม่แกว่าไงบ้าง"
"เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะอธิบายทีหลังนะแพรว ตอนนี้แม่ฉันบอกให้เก็บของทุกอย่างที่สำคัญทั้งหมดเข้ากระเป๋า เพราะอีกเดี๋ยวแม่ฉันจะมารับ ตอนนี้แกเอาอะไรในบ้านฉันไปได้หมดเลยนะ เดี๋ยวฉันเอากระเป๋าให้"
เธอบอกเพื่อนเธอด้วยสติที่มีทั้งหมดเเละรีบตั้งสติให้กำลังใจกันก่อนเธอจะไปเอากระเป๋าให้เพื่อน จากนั้นอยู่ร่วม20นาทีเธอก็เก็บจนเสร็จ
"แกเสร็จยังวะแพรว"
"เสร็จเเล้วๆ ฉันกำลังลงไป"
"เราออกไปรอแม่ที่ประตูกัน"
เพื่อนเธอพยักหน้าจากนั้นก็เดินออกไปนอกประตูแต่ก่อนที่จะออกไปที่ประตู จู่ๆ ก็มีเสียงครางของในลำคอเหมือนเสียงสัตย์อยู่รอบๆ ตัวบ้าน
"อือออออ กัซซซ กรรรร์"
" เสียงอะไรริน"เพื่อนเธอกอดแขนเธอแน่นอย่างหวาดผวา
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันว่าเราเงียบๆ ไว้ดีกว่า"
'เมื่อไรแม่จะมาถึงเนี่ย แล้วคราวนี้มีตัวอะไรไม่รู้อยู่นอกบ้าน ให้ตายเถอะมันอะไรกันวะเนี่ย!! ' เธอสบถในใจ
พวกเธอเดินจนมาถึงหน้าประตูและเอียงหูฟังว่าเสียงมาจากไหน
"กรรรร์! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! "
" โอ้ยบ้าเอ้ย!! มันรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ตรงนี้ เเรงเยอะจริงๆ ให้ตายเหอะ! " เธอที่เอียงหูฟังอย่างเงียบๆ ตกใจจนตัวโยนจู่ๆ ตัวอะไรไม่รู้มาทุบประตูหวังที่จะเข้ามาในบ้านเธอให้ได้ เธอทั้งสองคนช่วยกันดันประตูอย่างสุดกำลัง
'แกร็ก กะ.. แกร็ก....แกร็ก เพ้งงงงงง" กระจกที่ร้าวเพราะการทุบตีก็แตกออก ทั้งเธอและเพื่อนของเธอก็ถอยหลังหนีจนตัวสั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร เราจะต้องมาตายที่นี่หรอ นี่มันคือตัวอะไร คนแต่ก็ไม่ใช่ ตัวสกปรก เนื้อหนังหลุดลุ่ยเหมือนตายไปแล้วแต่ก็ยังเดินได้
"ฮืออออๆ ฮืออออๆ ฮืออออ" เพื่อนเธอร้องไห้ฟูมฟายกอดเธอจนแน่น ตอนนี้สติเริ่มจะเรือนลางไปทุกที เพื่อนเธอตอนนี้น่าจะหลุดไปแล้วด้วย เราถอยจนมาสุดทางเดินเเล้ว ไม่มีทางไปต่อแล้ว ศพเดินได้ก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ
"บ้าเอ้ยนี่เธอจะต้องมาตายจริงๆ หรอ ฮึก"
'ใครก็ได้ช่วยด้วยย'
"ใครก็ได้ช่วยด้วยยย!!! ปังๆๆ!!! " เธอตะโกนจนสุดเสียงจู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาด้านหน้าของเธอ ปรากฏว่าเป็นทหาร4คนใส่ชุดเต็มสูท จ่อปืนยิงตัวนั้นจนล้มลงไปแนบนิ่งในที่สุด
และจากนั้นภาพก็ค่อยๆ เลือนลางลงไป เธอเห็นแม่ของเธอวิ่งเข้ามา เหมือนจะตะโกนอะไรสักอย่างแต่เธอฟังไม่รู้เรื่องเลย เธอรู้ง่วงมากจนในที่สุดก็หลับไป
"... น ริน.. .. ก ริน.. ลูก ได้ยินแม่ไหม รินน!!! " เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นภาพแม่ลางๆ เธอต่อยๆ กระพริบตาให้ปรับโฟกัสจนชัดจากนั้นเหมือนร่างกายเธอฟื้นจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอก็รู้สึกหิวน้ำมาก
" ม... แม่ แค่ก ห...หิวน้ำ"
"นี่ๆ อะดื่มนะ " เธอดื่มน้ำอย่างหิวโหยไปจนหมด3แก้วเต็มๆ
“แค่กๆๆ”
" ค่อยๆ กินก็ได้ลูก น้ำไม่หายไปไหนหรอก" แม่เธอเอาแก้วน้ำที่กินจนหมดเเล้วจากเธอมาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียง
"เอ่อคือ... แม่! แพรวล่ะ แพรวอยู่ไหนคะแม่! " เธอจับมือแม่อย่างแน่น ถ้าเกิดเพื่อนเธออะไรขึ้นมาเเล้วละก็ เธอคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตจริงๆ
" ใจเย็นๆ ลูก ใจเย็นๆ ตอนนี้ลูกต้องตั้งสตินะ เพื่อนลูกไม่เป็นอะไรหรอก หลับอยู่ห้องข้างๆ นี่แหละ ถ้าเพื่อนลูกตื่นเดี๋ยวแม่จะพามาให้ดูเต็มตาเลยว่าเพื่อนลูกไม่เป็นอะไร เพราะงั้นตอนนี้อย่าเครียดและใจเย็นๆ ก่อนนะลูก " แม่เธอลูบหัวเธอเบาๆ
" ฮึก ฮึก แล้วพ่อละคะแม่" เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอได้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือครอบครัวและเพื่อนสนิทจริงๆ
"นั่งทำงานจนหัวปั่นอยู่จ้ะ ตอนนี้แม่อยากให้ลูกกินยาและพักผ่อนนะ เดี๋ยวพอลูกตื่นมาสภาพจิตใจดีแล้ว แม่จะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ต้องห่วงนะที่ที่เราอยู่นี้เป็นค่ายทหารที่อพยบประชาชนส่วนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นสบายใจได้นะลูก เราปลอดภัยเเล้ว" เเม่เธอยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเเล้วยื่นยารู้สึกจะเป็นยาพาราปกตินี่แหละยื่นมาให้เธอกิน พอเธอกินเสร็จเรื่องที่อยากจะถามมีอยู่เต็มหัวไปหมดแต่เหมือนว่าร่างกายของเธอเริ่มอ่อนเพลียจากการประทะกับตัวอะไรไม่รู้จากนั้นหนังตาเธอก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็หลับลงอย่างอ่อนล้า
"แซ้ด แซ้ดๆๆๆ " เสียงคนผู้คุยกันประมาณ2-3คน เริ่มดังขึ้นจนเธอเริ่มรู้สึกตัวและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นภาพรางๆ จากนั้นเธอค่อยๆ กระพริบตาปรับแสงจนภาพชัดขึ้น
"อ้าวลูกตื่นเเล้วหรอ"พ่อเธอเริ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกเริ่มมีการขยับตัว
"ค่ะพ่อ นี่อยู่กันครบเลยหรอคะ" เธอที่พยายามดันตัวเองขึ้นเพื่อจะลุกขึ้นมานั่งคุยกับพ่อ แม่และเพื่อนของเธอที่ดูตอนนี้เเล้วคงหายดีเป็นปริดทิ้ง ให้ตายเถอะเธอรู้สึกอยากจะร้องให้จริงๆ เธอรู้สึกมีความสุขมากที่ครอบครัวและเพื่อนของเธอยังไม่เป็นอะไร
"ลูกร้องไห้ทำไม! " แม่เธอที่พยายามช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นมาเอ่ยถามอย่างตกใจ ส่วนพ่อช่วยประคองอีกด้านและเพื่อนเธอช่วยปรับระดับเตียงฝั่งด้านบนให้สูงขึ้น เพื่อให้เธอลุกขึ้นมานั่งได้อย่างสบาย
" ขอบใจแกมาก"
"เต็มใจ" พวกเธอสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย เธอรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ และเพื่อนเธอก็คงจะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
"ขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยนะคะ"
"ไม่เป็นไรหรอกลูกเรื่องแค่นี้" จากนั้นเธอก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพ่อ แม่และเพื่อนของเธอ ได้ความว่า เธอพึ่งรู้ว่าเธอนอนอยู่ที่ค่ายทหารมาเป็นเวลา4วันเต็ม
ในส่วนของพ่อและแม่ของเธอนั้นกำลังทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิมนุษยชน ตอนนั้นแม่กำลังหารือเรื่องการออกกฎหมายการแต่งงานของเพศที่สามให้เท่าเทียมกันอยู่ แต่จู่ๆ ไฟสัญญาณฉุกเฉินก็เสียงดังขึ้นและมีเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่าจะมีกำลังทหารส่วนหนึ่งนำเจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้เคลื่อนย้ายออกไปจากสำนักงานไปยังค่ายทหาร ซึ่งตัวพ่อกับแม่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นและก็โดนทหารนำตัวไปขึ้นรถ จากนั้นก็ถามเจ้าหน้าที่ทหารจนรู้ความมาและทางทหารบอกว่าถ้ามีลูกให้ไปรับลูกก่อนจะมาที่ค่ายทหารนี้ ซึ่งแม่ก็ซาบซึ้งมากเพราะนึกว่าจะต้องโดนแยกออกจากเธอเเล้ว ส่วนทางเพื่อนสนิทของเธอนั้นก็เล่าว่าหลังจากที่เธอสลบไปเพื่อนของเธอก็สติแตกไปเลยจนเจ้าหน้าที่ทหารต้องฉีดยาสลบให้เธอ ซึ่งกว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร จนมาตื่นที่ค่ายทหารนี้แหละ ดีนะที่พ่อแม่ของเธอดูเเลแพรวดีจนสุขภาพจิตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายจากอาการสั่นกลัวตลอดเวลา มันเป็นเรื่องที่พูดยากเพราะพวกเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไงให้เข้าใจและพวกเธอเองก็พึ่งพ้นผ่านจากสถานการณ์ที่อีกนิดชะตาพวกเธอจะขาดถ้าหากไม่ได้แม่เธอมาช่วยไว้ก่อนที่ตัวอะไรไม่รู้จะมาทำร้ายพวกเธอ
"แม่คะเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเรากันแน่" ซึ่งหลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปพอสมควร เธอจึงเห็นสมควรสักทีว่าเธอกับเพื่อนเธอควรได้รู้เรื่องนี้สักที เพราะดูเหมือนพ่อกับแม่จะเลี่ยงประเด็นนี้ตลอดจนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม
"แม่คะ" เธอทำหน้าซีเรียส พอหลังจากเธอถามคำถามนี้แล้วหน้าของพ่อและแม่เธอก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เรื่องนี้คงแย่พอสมควรเลยสินะ
"โอเค ลูกเเละแพรวตั้งใจฟังกันให้ดีๆ นะ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาแค่เฉพาะประเทศเรา แต่มันเป็นปัญหาสำหรับคนทั่วโลก! "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ