Twin แฝดเลือดผสม
8.0
เขียนโดย Shinman33
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.05 น.
39 ตอน
3 วิจารณ์
31.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 16.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) ภาค2 ตามหาคนหาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตามหาคนหาย
“สรุปเราจะไปทางไหนกันล่ะชายน์?” เชดโด้ที่อยู่ตู้ด้านหลังโผล่ออกมาถามชายน์หลังจากที่เขาเดินทางมาทั้งคืนจนขณะนี้แสงอรุณสาดส่องไปทั่วฟ้าแล้ว
“เริ่มจาก เอิ่มม จุดที่ฉันรู้สึกได้ชัดที่สุดนะ อยู่ในหุบเขาทางโน้นอ่ะ” ชายน์ตอบ
“แล้วว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าชิ้นส่วนอัญมณีแต่ละชิ้นอยู่ที่ไหน?” เบลก็ยังคงสงสัย
“หลังจากที่ฉันได้สัมผัสก้อนผลึกนั่นในคืนนั้น เหมือนมีบางอย่างมันเรียกฉันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งชัดเจน” ชายน์ตอบตามที่เขารู้สึกได้
“แล้วคู่แฝดนาย เอิ่ม ชินอ่ะ เขาจะออกตามหาอัญมณีเหมือนพวกเรามั๊ย?” เซฟานี่ถามในสิ่งที่เขาคิดและพอจะมีคำตอบในใจไว้แล้ว
“หมอนั่นก็สัมผัสกับผลึกนั่นเช่นกัน ก็น่าจะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอัญมณีแหละ คงขึ้นอยู่กับว่าทางนั้นจะเอายังไงมากกว่า” ชินตอบพร้อมความกังวลที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“นายกำลัง.. กังวล?”
“อืม ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นอยู่เหนือกว่าฉัน เขาเก่งกว่าฉันและ…”
“ยังไม่ทันจะเริ่มก็ฝ่อซะแล้ว” ขณะที่ชายน์เอ่ยพร้อมความกังวลเดวี่ก็ขัดขึ้นมาเตือนสติมาให้เพื่อนเสียสติไปมากกว่านี้
“ทำไมนายถึงคิดว่าเขาเก่งกว่าล่ะ ที่ผ่านมานายก็รับมือหมอนั่นได้นี่ พี่น้องกันจะเก่งกว่ากันแค่ไหนเชียว” ฮันนี่ปลอบเพื่อน
“มีคนอยู่คนหนึ่งเขาสอนเวทย์ทุกอย่างให้ฉันเพราะเขาอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา วันหนึ่งเขาหายไปพร้อมกับชินที่ปรากฏตัวขึ้น ใช่ ฉันรู้ว่าคนที่อยู่กับฉันในช่วงที่ผ่านมาคือชิน เขาคือคนที่สอนเวทย์และการต่อสู้ต่างๆให้ฉัน เพียงแต่ว่าวันนี้เขาไม่เหมือนชินคนที่ฉันรู้จักเลย ชินเขาอ่อนโยนกว่านี้ สุภาพและเก่งมาก แต่ดูชินที่โผล่ออกมาสิว่าน่ากลัวขนาดไหน เพราะแบบนี้ไงฉันถึงกลัว กลัวว่าเขาจะโดนบางสิ่งบางอย่างคลอบงำอยู่และสิ่งนั้นกำลังใช้ชินเป็นเครื่องมือ”
“นายจะบอกว่านายเก่งได้เพราะหมอนั่นหรอ ฮ่าๆๆ” ฮันนี่เอ่ยแซว
“ก็ถูกนะ เท่าที่เจอหมอนั่นไม่เป็นตัวของตัวเอง” เดวี่เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“เราต้องรู้ให้ได้ว่าหมอนั่นเจออะไรมา” เบลที่นั่งฟังอยู่กับเชโด้เอ่ยบ้างเพราะเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมแฝดกันถึงต่างกันขนาดนี้
“เอาล่ะทุกคน อีกซักครู่จะถึงหมู่บ้านชายป่า เราจะแวะพักและหาข้อมูลกันที่นั่นนะ” ฮันนี่เอ่ยขัดขึ้นทุกคนจึงหยุดเรื่องที่กำลังคุยแล้วหันมาสนใจหมู่บ้านที่กำลังจะไปเยือนแทน
………………………………………
ณ หมู่บ้านชายป่า
“แคท อยู่ไหนลูก?” เสียงเรียกหาของผู้เป็นแม่ดังขึ้นหลังจากลูกสาวคนเล็กหายตัวไปเฉยๆ จากบ้านตั้งแต่เช้าจนบัดนี้กำลังจะพลบค่ำแล้วแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของเด็กน้อยนามว่าแคทจนผู้เป็นแม่ได้แต่ออกตามหาลูกสาวอย่างกระวนกระวาย
“แม่จะไปดูน้องทางชายป่านะ ลูกอยู่บ้านเผื่อน้องกลับมาเดี๋ยวจะไม่พบใคร” สั่งลูกชายพร้อมกับภาวนาขออย่าให้สิ่งที่กลัวตามที่เขาล่ำลือนั้นเป็นจริงเลย
“ให้ผมไปด้วยนะฮะแม่ ผมไม่อยากให้แม่ไปไหนคนเดียว” ลูกชายเอ่ยด้วยความกังวล
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านเราแล้วลูก แม่คงอยู่ไม่ได้ ถ้า..” ผู้เป็นแม่ยังไม่ทันจะพูดจบลูกชายก็ชิงตัดบทก่อน
“ผมก็เป็นห่วงน้องและแม่นะครับ ผมเป็นลูกชาย ผมควรทำอะไรมากกว่าอยู่บ้าน งั้นให้ผมออกไปดูน้องและแม่อยู่บ้านดีกว่านะครับ”
“ระวังแล้วกันนะลูก อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แม่ไม่อยากให้ใครต้องหายไปอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่านางไม่สามารถขัดความตั้งใจของลูกชายได้
“ผมจะรีบกลับครับแม่” หนุ่มน้อยผู้เป็นลูกชายคนโตเอ่ยพร้อมกับคว้าอาวุธคู่กายวิ่งออกจากบ้านไปยังชายป่าศักดิ์สิทธิอันเป็นพื้นที่ซึ่งชาวบ้านละแวกนี้ไม่นิยมจะเฉียดกายเข้าไปใกล้ เมื่อลูกชายหายลับสายตาไปแล้ว ผู้เป็นแม่ก็จัดแจงจุดคบเพลิงรอบๆบ้านเพื่อให้แสงสว่าง แต่ทว่ายังไม่ทันเสร็จก็แว่วเสียงรถม้าวิ่งมาทางบ้านนาง และใครกันที่สัญจรมาทางนี้ ทางที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆชายป่า หมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่ไม่ใช่ทางผ่านการเดินทาง
“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั๊ย?” เสียงเด็กหนุ่มตะโกนเรียกหลังจากขบวนรถม้าวิ่งมาหยุดที่หน้าบ้าน
“มีการจุดไฟคบเพลิงยังไม่ครบเลย แสดงว่ามีคนอยู่แน่นอน แต่หายไปไหนนะ” ฮันนี่บ่นพรางครุ่นคิด
“หรืออาจเกิดเหตุไม่ดีกับเจ้าของบ้านก่อนที่เราจะมาถึง แยกกันเดินดูเลย” เบลเอ่ยพร้อมเดินจ้ำออกไปดูรอบๆ บ้าน และนั่นทำให้คนอื่นๆ ทำตามเช่นกัน
“ขออนุญาตเข้าบ้านนะค่ะ” เซฟานี่เอ่ยพร้อมกับผลักประตูไม้บานเก่าที่เหมือนจะผุพังอย่างเบามือ และเดินนำฮันนี่เข้าสำรวจภายในบ้านท่ามกลางความมืดสลัวที่กำลังจะพลบค่ำ
“จะมีคนอยู่จริงๆหรือเซ ชั้นว่าเหมือนบ้านผีสิงยังไงก็ไม่รู้” ฮันนี่เอ่ยอย่างกลัวๆ
“อ่ะ งั้นชั้นจุดคบเพลิงก็ได้ จะได้เห็นว่ามันไม่น่ากลัว” เซฟานี่กล่าวพลางเอื่อมมือหยิบตะเกียงใกล้ๆมือมาจุดไฟเพื่อสร้างความสว่างให้เพื่อนหายกลัว แต่ทว่า..
“ว้าย!!” เสียงร้องตกใจของผู้หญิงที่มากกว่า 1 เสียงเรียกให้ผู้ชายที่เดินสำรวจอยู่รอบๆ บ้านวิ่งเข้ามาทันที
”เกิดอะไรขึ้น เซ ฮันนี่” ชายน์วิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงถาม
“คุณน้าเป็นเจ้าของบ้าน เอ่อ ชะ ใช่ รึปล่าว ค่ะ” ฮันนี่ถามเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงรุ่นราวคราวแม่ที่แต่งตัวมอซอ ผมเผ้ารุงรังกำลังนั่งแอบมองพวกเธออยู่ซอกลังเก็บของ ใบหน้าหญิงผู้นั้นมีทั้งคราบน้ำตาและแววตาที่หวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวพวกเรานะครับ เราไม่ใช่คนร้าย เรามาดีครับคุณน้า” เชโด้เอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนๆ จนเรียกความสบายใจให้หญิงเจ้าของบ้านออกมาได้บ้าง แต่นางก็ยังคงหวาดกลัวและรนลานอยู่
“ใช่ ชั้นเป็นเจ้าของบ้านนี้ พวกเธอมาทำอะไร? ฉันเป็นชาวบ้านยากจน บ้านฉันเล็ก ต้อนรับใครไม่ได้หรอกนะ” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ย
“เอิ่ม คือพวกเราอยากจะสอบถามว่าหมู่บ้านนี้มีห้องพักรึเปล่า? แต่ถ้าคุณน้าไม่สะดวกพูดคุยเดี๋ยวพวกเราเข้าหมู่บ้านไปหาที่พักเองก็ได้ครับ” ชายน์เอ่ยอย่างนอบน้อม
“เชิญ” คำกล่าวสั้นๆของเจ้าของบ้านยิ่งสร้างความงุนงงให้เด็กๆยิ่งนัก ทำไมนางดูสับสนแบบนี้ ทั้งสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัวเมื่อแรกพบ ทั้งสายตาเพียงชั่วครู่ที่ฉายแววดีใจเมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนร้ายและคำพูดที่พูดคุยราวกับไม่ต้อนรับแขกนี้ ทำไมมันแย้งกันนัก
"งั้นพวกเราไม่รบกวนคุณน้าแล้ว ขอตัวเลยนะครับ" เดวี่กล่าวแล้วคำนับทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนและเดินนำออกไปและเพื่อนๆที่เหลือก็ทำตามก่อนจะพากันออกมาจากบ้าน
“นายว่าแปลกๆมั๊ย?” เซฟานี่ถามชายน์ขณะที่เดินมาถึงรถม้า
“แปลกเลยแหละ” ชายน์ตอบ
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะ” เบลถาม
“เอาแบบนี้ดีกว่า...” ชายน์เอ่ยกับเพื่อนๆ ก่อนจะพากันขึ้นรถมาและพาขบวนรถมาวิ่งออกไปจากบ้านหญิงแปลกวัยกลางคน
“ไปกันแล้ว..” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเดินไปมาอย่างกระวนกระวายเมื่อคิดถึงลูกสาวที่หายไปและลูกชายที่ออกตามหา นี่มันอะไรกัน หลายวันก่อนมีข่าวลือว่าชาวบ้านหลายคนที่มีอาชีพเก็บสมุนไพรมักเห็นแสงแปลกๆ ส่องสว่างมาจากแนวป่า หลายคนบอกว่ามีเสียงเรียกและตนเดินตามไปอย่างไม่รู้ตัว ชาวบ้านหลายคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องลอย ต่อมามีกลุ่มคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน และนี่ก็มีอีกกลุ่มแล้ว… หรือเรื่องที่เขาว่ากันมันจะเป็นความจริง!!
“พวกเจ้ากลับกันมาได้แล้วนะ แม่เป็นห่วง”
………………………………………
“แคท น้องอยู่ไหน?” เสียงพี่ชายตะโกนเรียกน้องสาวไม่ขาดสาย บัดนี้ หนุ่มน้อยเดินบุกป่าไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ส่วนใดของป่าแล้ว และลืมไปแล้วว่า ป่านี้มีอันตรายอะไรบ้าง
“ได้ยินพี่มั๊ย?” แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ จนกระทั่งหางตาเหลือบไปพบบางอย่างที่ชวนให้หนุ่มน้อยต้องชะงักหยุดหันมองพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เบื้องหน้าที่ปรากฏคือซากสัตว์หลายชนิดที่โดนตัดหัวทุกตัววางกองไว้บนลานหินพร้อมคราบเลือดที่ยังไม่แห้งสนิทดี
“นี่มันอะไรกัน? การเซ่นไหว้รึ?” ได้แต่อุทานและตั้งคำถาม ตอนนี้หนุ่มน้อยเริ่มหวาดกลัวมิใช่น้อย กลัวว่าคนที่ตามหาจะไม่ปลอดภัยและกลัวในสิ่งที่ตนจะต้องเผชิญแม้ว่าจะมั่นใจในตัวเองอยู่บ้างก็ตาม ทว่าท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะสะกดรอยตามร่องรอยที่ปรากฎนั้นไป
…………………………………………………
“เห็นอะไรบ้าง?”
“ใจเย็นๆ ซิ”
“แน่ใจนะว่าจะได้ผลอ่ะ?”
“ไม่ชัดเลย ต้องมากกว่านี้” บทสนทนาของฮันนี่และชายน์ที่โต้ตอบกันหลังจากขบวนรถม้าวิ่งเข้าไปยังในหมู่บ้านแล้ว ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นกลลวงที่เขาแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่มเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านและอยู่สังเกตการณ์หญิงวัยกลางคนที่มีพิรุธคนนี้ และพวกเขาก็เริ่มได้เบาะแสแล้ว
“ชั้นว่าคุณน้าแกรอคอยอะไรบ้างอย่างอยู่นะ ท่าทางแกกังวลมากๆเลย ฮันนี่” ชายน์เอ่ย แต่ฮันนี่ยังคงเพ่งจิตอยู่กับการกระทำของตนโดยไม่ได้ใส่ใจชายน์แต่อย่างใด
“ชายน์” เพียงชั่วครู่ที่ฮันนี่เพ่งมองยังลูกแก้วของตนที่มันสะท้อนภาพต่างๆ อยู่ในนั่น ทว่ามันไม่ชัดเจนนักจนเจ้าตัวเอ่ยเรียกเพื่อนเชิงขอความช่วยเหลือ
“ว่าไง รู้เรื่องแล้วใช่ป่าว?”
“ป่าว มันเลือนราง ฉันต้องการเข้าไปยังพื้นที่ คือในบ้านของหญิงคนนั้นอีกครั้ง” ฮันนี่กล่าว
“สบายมาก” ชายน์เอ่ยพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะลากฮันนี่วิ่งอ้อมไปทางหลังบ้าน
“ทำไมไม่ใช้เวทย์ล่ะชายน์?” ฮันนี่ถามเพราะสงสัยวิธีการของชายน์
“ฟังนะฮันนี่ เราไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง คุณน้าแกเป็นใครกันแน่เราก็ไม่รู้ เชื่อชั้นนะ วิธีนี้ปลอดภัยสุด”
“เสี่ยงตายเป็นบ้า ฮึ!!” ฮันนี่บ่นกับตัวเองแต่ก็ไม่วายทำตามที่ชายน์บอก ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้ามายังภายในบ้านของหญิงวัยกลางคนที่บัดนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว แสงจากตะเกียงที่จุดไว้รอบๆ บ้านกลับไม่อาจส่องให้ผู้แปลกหน้าปรากฎตัวได้
“เดี๋ยวฉันจะใช้เวทย์กับลูกแก้วตรงนี้ เพราะฉันเชื่อว่าต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นในบ้านนี้ ซึ่งวิธีนี้ฉันจะรับรู้ได้แม่นที่สุด โอเคน้ะ” ฮันนี่ว่าพลางหยิบลูกแก้วออกมาจากกระป๋า
“ถ้าไม่มีลูกแก้วเธอจะสามารถเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ป่าว?” ชายน์สงสัย
“ไม่รู้ ฉันไม่เคยลอง แต่ลูกแก้วเป็นสื่อหรือเรียกว่าเป็นเครื่องมือของเราชาวแม่มดหน่ะ ถ้าจะไม่ใช้ลูกแก้วคนที่ทำแบบนั้นได้ก็คงต้องเก่งจริงๆ ซึ่งคนนั้นยังไม่ใช่ฉัน หึหึ” ฮันนี่กล่าวพร้อมเริ่มร่ายคาถา ฉับพลันรอบๆตัวของทั้งคู่ก็อบอวลไปด้วยกลุ่มควันสีม่วงพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนลูกแก้ว
“แม่จะไปดูน้องทางชายป่านะ ลูกอยู่บ้านเผื่อน้องกลับมาเดี๋ยวจะไม่พบใคร”
“ให้ผมไปด้วยนะฮะแม่ ผมไม่อยากให้แม่ไปไหนคนเดียว”
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านเราแล้วลูก แม่คงอยู่ไม่ได้ ถ้า..” ผู้เป็นแม่ยังไม่ทันจะพูดจบลูกชายก็ชิงตัดบทก่อน
“ผมก็เป็นห่วงน้องและแม่นะครับ ผมเป็นลูกชาย ผมควรทำอะไรมากกว่าอยู่บ้าน งั้นให้ผมออกไปดูน้องและแม่อยู่บ้านดีกว่านะครับ”
“ระวังแล้วกันนะลูก อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แม่ไม่อยากให้ใครต้องหายไปอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเสียงอ่อน
“ผมจะรีบกลับครับแม่” จากนั้นภาพที่แสดงก็จางหายไปพร้อมกับหมอกควันสีม่วงที่ค่อยๆมลายไปเช่นกัน
“แบบนี้นี่เอง”
“มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เจ้าหมอนั่นไป ในป่า คนเดียว รึ” ฮันนี่เอ่ยเสียงเครียด แต่ทว่าขณะที่ทั่งคู่กำลังจมอยู่กับความคิดนั้นพลันก็ต้องตกใจเมื่อเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยเสียงเข้ม
“กลับมาที่นี่อีกทำไม?”
“เอิ่ม คือ” ฮันนี่เอ่ยติดขัด
“ลูกชายคุณน้าออกไปชายป่า ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีกรึครับ” ชายน์เอ่ยแทรกทำให้หญิงวัยกลางคนชะงักไปทันที
“พวกเราเลยคิดว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณน้า หรือคุณน้าจะให้พวกเราออกไปช่วยตามหาลูกสาวคนเล็กดีครับ” ชายน์เอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าตนถือไพ่เหนือกว่า
“พวกเธอเป็นใครกัน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเมื่อลดอารมณ์โมโหลงแล้ว
“พวกเราเป็นเด็กนักนักเรียนครับ บังเอิญผ่านมาทางนี้และรับรู้ถึงบางอย่างที่แปลก แค่นั้นครับ”
“และขอให้สบายใจได้ว่า พวกเราไม่ใช่คนไม่ดีแน่นอนค่ะ” ฮันนี่เอ่ยเสียงใส
“แล้วเพื่อนๆ พวกเธอ…” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยถามถึงเด็กที่เหลือ
“อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอกค่ะ เขาไปหาข่าวหาเบาะแสนิดหน่อย คิดว่าเดี๋ยวคงย้อนกลับมาค่ะ” ฮันนี่เอ่ย
“คุณน้ามีอะไรจะบอกพวกเรามั๊ยครับ?” ชายน์ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คือ…ฉัน… ฮือๆๆ” เมื่อเริ่มพูดหญิงเจ้าของบ้านก็ปล่อยโฮร้องไห้เพราะความเป็นห่วงลูกชายหญิงของตน เธอเล่าไปปาดน้ำหูน้ำตาไปและสุดท้ายก็จบอย่างที่ทุกคนคิด
“ถ้าพวกเธอไม่ใช่คนร้าย พวกเธอไปช่วยลูกชายฉันหน่อยได้ไหม ในเขตป่านั้นอันตรายมาก ฉันเป็นห่วงเขา” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างน่าสงสาร และเมื่อเห็นว่าเด็กชายหญิงยังคงนิ่งอยู่ นางจึงกล่าวต่อ
“เรามีกันสามแม่ลูก ฉันเสียพ่อเขาไปแล้ว ฉันไม่อยากเสียพวกเขาไปอีก ฮือๆๆ” หญิงเจ้าของบ้านเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงอดีตตนเอง
“เรียกพวกเรากลับมาเลย ฮันนี่” ชายน์เอ่ยกับฉันนี่ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงเจ้าของบ้านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โอเคครับ เราจะตามเข้าไปช่วยลูกๆ ของคุณน้า ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมและเพื่อนๆ เก่งมาก 555” ชายน์เอ่ยพลางคุยโวอย่างน่ารักเพื่อให้หญิงเจ้าของบ้านลดความโศกเศร้าและผ่อนคลายขึ้น และก็ได้ผลไม่ใช่น้อย
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เพราะเมื่อครู่นี้ฉันเห็นพวกเธอใช้เวทย์มนต์ได้” หญิงเจ้าของบ้านกล่าวขณะพากันเดินออกมานอกบ้านเพื่อส่งเด็กแปลกหน้าที่พึ่งพบเจอให้ไปช่วยบุตรของตน
“ค่ะ พวกเราเก่งค่ะ 555” ฮันนี่เอ่ยบ้าง
“แล้วลูกชายคุณน้า เอ่อ ใช้เวทย์ได้มั๊ยครับ”ชายน์ถาม
“ลูกชายฉันมีพลังเวทย์ เขาเก่งนะ แต่ลูกสาวคนเล็กฉันไม่มีหรอก” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“อ้อ ลูกชายฉันชื่อคิม ส่วนลูกสาวคนที่หายไปชื่อแคท ฝากด้วยนะ” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ที่เข้าไปในหมู่บ้านพากันออกมาแล้ว
“ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อ้อ เราขอฝากรถม้าและข้าวของไว้ที่นี่นะครับ” ชายน์เอ่ยขออนุญาตขณะที่ฮันนี่เลี่ยงไปแจ้งเรื่องแก่เซฟานี่ เดวี่ เชโด้และเบลแล้ว
“ได้สิ ฉันยินดีช่วย” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างกระตือรือร้นและยืนยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อมองกลุ่มเด็กๆเดินหายไปในความมืดทางด้านป่าใหญ่
“ขอให้ลูกๆของแม่ปลอดภัยนะ คิม แคท”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
“สรุปเราจะไปทางไหนกันล่ะชายน์?” เชดโด้ที่อยู่ตู้ด้านหลังโผล่ออกมาถามชายน์หลังจากที่เขาเดินทางมาทั้งคืนจนขณะนี้แสงอรุณสาดส่องไปทั่วฟ้าแล้ว
“เริ่มจาก เอิ่มม จุดที่ฉันรู้สึกได้ชัดที่สุดนะ อยู่ในหุบเขาทางโน้นอ่ะ” ชายน์ตอบ
“แล้วว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าชิ้นส่วนอัญมณีแต่ละชิ้นอยู่ที่ไหน?” เบลก็ยังคงสงสัย
“หลังจากที่ฉันได้สัมผัสก้อนผลึกนั่นในคืนนั้น เหมือนมีบางอย่างมันเรียกฉันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งชัดเจน” ชายน์ตอบตามที่เขารู้สึกได้
“แล้วคู่แฝดนาย เอิ่ม ชินอ่ะ เขาจะออกตามหาอัญมณีเหมือนพวกเรามั๊ย?” เซฟานี่ถามในสิ่งที่เขาคิดและพอจะมีคำตอบในใจไว้แล้ว
“หมอนั่นก็สัมผัสกับผลึกนั่นเช่นกัน ก็น่าจะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอัญมณีแหละ คงขึ้นอยู่กับว่าทางนั้นจะเอายังไงมากกว่า” ชินตอบพร้อมความกังวลที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“นายกำลัง.. กังวล?”
“อืม ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นอยู่เหนือกว่าฉัน เขาเก่งกว่าฉันและ…”
“ยังไม่ทันจะเริ่มก็ฝ่อซะแล้ว” ขณะที่ชายน์เอ่ยพร้อมความกังวลเดวี่ก็ขัดขึ้นมาเตือนสติมาให้เพื่อนเสียสติไปมากกว่านี้
“ทำไมนายถึงคิดว่าเขาเก่งกว่าล่ะ ที่ผ่านมานายก็รับมือหมอนั่นได้นี่ พี่น้องกันจะเก่งกว่ากันแค่ไหนเชียว” ฮันนี่ปลอบเพื่อน
“มีคนอยู่คนหนึ่งเขาสอนเวทย์ทุกอย่างให้ฉันเพราะเขาอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา วันหนึ่งเขาหายไปพร้อมกับชินที่ปรากฏตัวขึ้น ใช่ ฉันรู้ว่าคนที่อยู่กับฉันในช่วงที่ผ่านมาคือชิน เขาคือคนที่สอนเวทย์และการต่อสู้ต่างๆให้ฉัน เพียงแต่ว่าวันนี้เขาไม่เหมือนชินคนที่ฉันรู้จักเลย ชินเขาอ่อนโยนกว่านี้ สุภาพและเก่งมาก แต่ดูชินที่โผล่ออกมาสิว่าน่ากลัวขนาดไหน เพราะแบบนี้ไงฉันถึงกลัว กลัวว่าเขาจะโดนบางสิ่งบางอย่างคลอบงำอยู่และสิ่งนั้นกำลังใช้ชินเป็นเครื่องมือ”
“นายจะบอกว่านายเก่งได้เพราะหมอนั่นหรอ ฮ่าๆๆ” ฮันนี่เอ่ยแซว
“ก็ถูกนะ เท่าที่เจอหมอนั่นไม่เป็นตัวของตัวเอง” เดวี่เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“เราต้องรู้ให้ได้ว่าหมอนั่นเจออะไรมา” เบลที่นั่งฟังอยู่กับเชโด้เอ่ยบ้างเพราะเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมแฝดกันถึงต่างกันขนาดนี้
“เอาล่ะทุกคน อีกซักครู่จะถึงหมู่บ้านชายป่า เราจะแวะพักและหาข้อมูลกันที่นั่นนะ” ฮันนี่เอ่ยขัดขึ้นทุกคนจึงหยุดเรื่องที่กำลังคุยแล้วหันมาสนใจหมู่บ้านที่กำลังจะไปเยือนแทน
………………………………………
ณ หมู่บ้านชายป่า
“แคท อยู่ไหนลูก?” เสียงเรียกหาของผู้เป็นแม่ดังขึ้นหลังจากลูกสาวคนเล็กหายตัวไปเฉยๆ จากบ้านตั้งแต่เช้าจนบัดนี้กำลังจะพลบค่ำแล้วแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของเด็กน้อยนามว่าแคทจนผู้เป็นแม่ได้แต่ออกตามหาลูกสาวอย่างกระวนกระวาย
“แม่จะไปดูน้องทางชายป่านะ ลูกอยู่บ้านเผื่อน้องกลับมาเดี๋ยวจะไม่พบใคร” สั่งลูกชายพร้อมกับภาวนาขออย่าให้สิ่งที่กลัวตามที่เขาล่ำลือนั้นเป็นจริงเลย
“ให้ผมไปด้วยนะฮะแม่ ผมไม่อยากให้แม่ไปไหนคนเดียว” ลูกชายเอ่ยด้วยความกังวล
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านเราแล้วลูก แม่คงอยู่ไม่ได้ ถ้า..” ผู้เป็นแม่ยังไม่ทันจะพูดจบลูกชายก็ชิงตัดบทก่อน
“ผมก็เป็นห่วงน้องและแม่นะครับ ผมเป็นลูกชาย ผมควรทำอะไรมากกว่าอยู่บ้าน งั้นให้ผมออกไปดูน้องและแม่อยู่บ้านดีกว่านะครับ”
“ระวังแล้วกันนะลูก อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แม่ไม่อยากให้ใครต้องหายไปอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่านางไม่สามารถขัดความตั้งใจของลูกชายได้
“ผมจะรีบกลับครับแม่” หนุ่มน้อยผู้เป็นลูกชายคนโตเอ่ยพร้อมกับคว้าอาวุธคู่กายวิ่งออกจากบ้านไปยังชายป่าศักดิ์สิทธิอันเป็นพื้นที่ซึ่งชาวบ้านละแวกนี้ไม่นิยมจะเฉียดกายเข้าไปใกล้ เมื่อลูกชายหายลับสายตาไปแล้ว ผู้เป็นแม่ก็จัดแจงจุดคบเพลิงรอบๆบ้านเพื่อให้แสงสว่าง แต่ทว่ายังไม่ทันเสร็จก็แว่วเสียงรถม้าวิ่งมาทางบ้านนาง และใครกันที่สัญจรมาทางนี้ ทางที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆชายป่า หมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่ไม่ใช่ทางผ่านการเดินทาง
“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั๊ย?” เสียงเด็กหนุ่มตะโกนเรียกหลังจากขบวนรถม้าวิ่งมาหยุดที่หน้าบ้าน
“มีการจุดไฟคบเพลิงยังไม่ครบเลย แสดงว่ามีคนอยู่แน่นอน แต่หายไปไหนนะ” ฮันนี่บ่นพรางครุ่นคิด
“หรืออาจเกิดเหตุไม่ดีกับเจ้าของบ้านก่อนที่เราจะมาถึง แยกกันเดินดูเลย” เบลเอ่ยพร้อมเดินจ้ำออกไปดูรอบๆ บ้าน และนั่นทำให้คนอื่นๆ ทำตามเช่นกัน
“ขออนุญาตเข้าบ้านนะค่ะ” เซฟานี่เอ่ยพร้อมกับผลักประตูไม้บานเก่าที่เหมือนจะผุพังอย่างเบามือ และเดินนำฮันนี่เข้าสำรวจภายในบ้านท่ามกลางความมืดสลัวที่กำลังจะพลบค่ำ
“จะมีคนอยู่จริงๆหรือเซ ชั้นว่าเหมือนบ้านผีสิงยังไงก็ไม่รู้” ฮันนี่เอ่ยอย่างกลัวๆ
“อ่ะ งั้นชั้นจุดคบเพลิงก็ได้ จะได้เห็นว่ามันไม่น่ากลัว” เซฟานี่กล่าวพลางเอื่อมมือหยิบตะเกียงใกล้ๆมือมาจุดไฟเพื่อสร้างความสว่างให้เพื่อนหายกลัว แต่ทว่า..
“ว้าย!!” เสียงร้องตกใจของผู้หญิงที่มากกว่า 1 เสียงเรียกให้ผู้ชายที่เดินสำรวจอยู่รอบๆ บ้านวิ่งเข้ามาทันที
”เกิดอะไรขึ้น เซ ฮันนี่” ชายน์วิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงถาม
“คุณน้าเป็นเจ้าของบ้าน เอ่อ ชะ ใช่ รึปล่าว ค่ะ” ฮันนี่ถามเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงรุ่นราวคราวแม่ที่แต่งตัวมอซอ ผมเผ้ารุงรังกำลังนั่งแอบมองพวกเธออยู่ซอกลังเก็บของ ใบหน้าหญิงผู้นั้นมีทั้งคราบน้ำตาและแววตาที่หวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวพวกเรานะครับ เราไม่ใช่คนร้าย เรามาดีครับคุณน้า” เชโด้เอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนๆ จนเรียกความสบายใจให้หญิงเจ้าของบ้านออกมาได้บ้าง แต่นางก็ยังคงหวาดกลัวและรนลานอยู่
“ใช่ ชั้นเป็นเจ้าของบ้านนี้ พวกเธอมาทำอะไร? ฉันเป็นชาวบ้านยากจน บ้านฉันเล็ก ต้อนรับใครไม่ได้หรอกนะ” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ย
“เอิ่ม คือพวกเราอยากจะสอบถามว่าหมู่บ้านนี้มีห้องพักรึเปล่า? แต่ถ้าคุณน้าไม่สะดวกพูดคุยเดี๋ยวพวกเราเข้าหมู่บ้านไปหาที่พักเองก็ได้ครับ” ชายน์เอ่ยอย่างนอบน้อม
“เชิญ” คำกล่าวสั้นๆของเจ้าของบ้านยิ่งสร้างความงุนงงให้เด็กๆยิ่งนัก ทำไมนางดูสับสนแบบนี้ ทั้งสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัวเมื่อแรกพบ ทั้งสายตาเพียงชั่วครู่ที่ฉายแววดีใจเมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนร้ายและคำพูดที่พูดคุยราวกับไม่ต้อนรับแขกนี้ ทำไมมันแย้งกันนัก
"งั้นพวกเราไม่รบกวนคุณน้าแล้ว ขอตัวเลยนะครับ" เดวี่กล่าวแล้วคำนับทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนและเดินนำออกไปและเพื่อนๆที่เหลือก็ทำตามก่อนจะพากันออกมาจากบ้าน
“นายว่าแปลกๆมั๊ย?” เซฟานี่ถามชายน์ขณะที่เดินมาถึงรถม้า
“แปลกเลยแหละ” ชายน์ตอบ
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะ” เบลถาม
“เอาแบบนี้ดีกว่า...” ชายน์เอ่ยกับเพื่อนๆ ก่อนจะพากันขึ้นรถมาและพาขบวนรถมาวิ่งออกไปจากบ้านหญิงแปลกวัยกลางคน
“ไปกันแล้ว..” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเดินไปมาอย่างกระวนกระวายเมื่อคิดถึงลูกสาวที่หายไปและลูกชายที่ออกตามหา นี่มันอะไรกัน หลายวันก่อนมีข่าวลือว่าชาวบ้านหลายคนที่มีอาชีพเก็บสมุนไพรมักเห็นแสงแปลกๆ ส่องสว่างมาจากแนวป่า หลายคนบอกว่ามีเสียงเรียกและตนเดินตามไปอย่างไม่รู้ตัว ชาวบ้านหลายคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องลอย ต่อมามีกลุ่มคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน และนี่ก็มีอีกกลุ่มแล้ว… หรือเรื่องที่เขาว่ากันมันจะเป็นความจริง!!
“พวกเจ้ากลับกันมาได้แล้วนะ แม่เป็นห่วง”
………………………………………
“แคท น้องอยู่ไหน?” เสียงพี่ชายตะโกนเรียกน้องสาวไม่ขาดสาย บัดนี้ หนุ่มน้อยเดินบุกป่าไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ส่วนใดของป่าแล้ว และลืมไปแล้วว่า ป่านี้มีอันตรายอะไรบ้าง
“ได้ยินพี่มั๊ย?” แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ จนกระทั่งหางตาเหลือบไปพบบางอย่างที่ชวนให้หนุ่มน้อยต้องชะงักหยุดหันมองพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เบื้องหน้าที่ปรากฏคือซากสัตว์หลายชนิดที่โดนตัดหัวทุกตัววางกองไว้บนลานหินพร้อมคราบเลือดที่ยังไม่แห้งสนิทดี
“นี่มันอะไรกัน? การเซ่นไหว้รึ?” ได้แต่อุทานและตั้งคำถาม ตอนนี้หนุ่มน้อยเริ่มหวาดกลัวมิใช่น้อย กลัวว่าคนที่ตามหาจะไม่ปลอดภัยและกลัวในสิ่งที่ตนจะต้องเผชิญแม้ว่าจะมั่นใจในตัวเองอยู่บ้างก็ตาม ทว่าท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะสะกดรอยตามร่องรอยที่ปรากฎนั้นไป
…………………………………………………
“เห็นอะไรบ้าง?”
“ใจเย็นๆ ซิ”
“แน่ใจนะว่าจะได้ผลอ่ะ?”
“ไม่ชัดเลย ต้องมากกว่านี้” บทสนทนาของฮันนี่และชายน์ที่โต้ตอบกันหลังจากขบวนรถม้าวิ่งเข้าไปยังในหมู่บ้านแล้ว ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นกลลวงที่เขาแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่มเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านและอยู่สังเกตการณ์หญิงวัยกลางคนที่มีพิรุธคนนี้ และพวกเขาก็เริ่มได้เบาะแสแล้ว
“ชั้นว่าคุณน้าแกรอคอยอะไรบ้างอย่างอยู่นะ ท่าทางแกกังวลมากๆเลย ฮันนี่” ชายน์เอ่ย แต่ฮันนี่ยังคงเพ่งจิตอยู่กับการกระทำของตนโดยไม่ได้ใส่ใจชายน์แต่อย่างใด
“ชายน์” เพียงชั่วครู่ที่ฮันนี่เพ่งมองยังลูกแก้วของตนที่มันสะท้อนภาพต่างๆ อยู่ในนั่น ทว่ามันไม่ชัดเจนนักจนเจ้าตัวเอ่ยเรียกเพื่อนเชิงขอความช่วยเหลือ
“ว่าไง รู้เรื่องแล้วใช่ป่าว?”
“ป่าว มันเลือนราง ฉันต้องการเข้าไปยังพื้นที่ คือในบ้านของหญิงคนนั้นอีกครั้ง” ฮันนี่กล่าว
“สบายมาก” ชายน์เอ่ยพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะลากฮันนี่วิ่งอ้อมไปทางหลังบ้าน
“ทำไมไม่ใช้เวทย์ล่ะชายน์?” ฮันนี่ถามเพราะสงสัยวิธีการของชายน์
“ฟังนะฮันนี่ เราไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง คุณน้าแกเป็นใครกันแน่เราก็ไม่รู้ เชื่อชั้นนะ วิธีนี้ปลอดภัยสุด”
“เสี่ยงตายเป็นบ้า ฮึ!!” ฮันนี่บ่นกับตัวเองแต่ก็ไม่วายทำตามที่ชายน์บอก ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้ามายังภายในบ้านของหญิงวัยกลางคนที่บัดนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว แสงจากตะเกียงที่จุดไว้รอบๆ บ้านกลับไม่อาจส่องให้ผู้แปลกหน้าปรากฎตัวได้
“เดี๋ยวฉันจะใช้เวทย์กับลูกแก้วตรงนี้ เพราะฉันเชื่อว่าต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นในบ้านนี้ ซึ่งวิธีนี้ฉันจะรับรู้ได้แม่นที่สุด โอเคน้ะ” ฮันนี่ว่าพลางหยิบลูกแก้วออกมาจากกระป๋า
“ถ้าไม่มีลูกแก้วเธอจะสามารถเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ป่าว?” ชายน์สงสัย
“ไม่รู้ ฉันไม่เคยลอง แต่ลูกแก้วเป็นสื่อหรือเรียกว่าเป็นเครื่องมือของเราชาวแม่มดหน่ะ ถ้าจะไม่ใช้ลูกแก้วคนที่ทำแบบนั้นได้ก็คงต้องเก่งจริงๆ ซึ่งคนนั้นยังไม่ใช่ฉัน หึหึ” ฮันนี่กล่าวพร้อมเริ่มร่ายคาถา ฉับพลันรอบๆตัวของทั้งคู่ก็อบอวลไปด้วยกลุ่มควันสีม่วงพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนลูกแก้ว
“แม่จะไปดูน้องทางชายป่านะ ลูกอยู่บ้านเผื่อน้องกลับมาเดี๋ยวจะไม่พบใคร”
“ให้ผมไปด้วยนะฮะแม่ ผมไม่อยากให้แม่ไปไหนคนเดียว”
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านเราแล้วลูก แม่คงอยู่ไม่ได้ ถ้า..” ผู้เป็นแม่ยังไม่ทันจะพูดจบลูกชายก็ชิงตัดบทก่อน
“ผมก็เป็นห่วงน้องและแม่นะครับ ผมเป็นลูกชาย ผมควรทำอะไรมากกว่าอยู่บ้าน งั้นให้ผมออกไปดูน้องและแม่อยู่บ้านดีกว่านะครับ”
“ระวังแล้วกันนะลูก อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แม่ไม่อยากให้ใครต้องหายไปอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างเสียงอ่อน
“ผมจะรีบกลับครับแม่” จากนั้นภาพที่แสดงก็จางหายไปพร้อมกับหมอกควันสีม่วงที่ค่อยๆมลายไปเช่นกัน
“แบบนี้นี่เอง”
“มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เจ้าหมอนั่นไป ในป่า คนเดียว รึ” ฮันนี่เอ่ยเสียงเครียด แต่ทว่าขณะที่ทั่งคู่กำลังจมอยู่กับความคิดนั้นพลันก็ต้องตกใจเมื่อเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยเสียงเข้ม
“กลับมาที่นี่อีกทำไม?”
“เอิ่ม คือ” ฮันนี่เอ่ยติดขัด
“ลูกชายคุณน้าออกไปชายป่า ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีกรึครับ” ชายน์เอ่ยแทรกทำให้หญิงวัยกลางคนชะงักไปทันที
“พวกเราเลยคิดว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณน้า หรือคุณน้าจะให้พวกเราออกไปช่วยตามหาลูกสาวคนเล็กดีครับ” ชายน์เอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าตนถือไพ่เหนือกว่า
“พวกเธอเป็นใครกัน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเมื่อลดอารมณ์โมโหลงแล้ว
“พวกเราเป็นเด็กนักนักเรียนครับ บังเอิญผ่านมาทางนี้และรับรู้ถึงบางอย่างที่แปลก แค่นั้นครับ”
“และขอให้สบายใจได้ว่า พวกเราไม่ใช่คนไม่ดีแน่นอนค่ะ” ฮันนี่เอ่ยเสียงใส
“แล้วเพื่อนๆ พวกเธอ…” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยถามถึงเด็กที่เหลือ
“อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอกค่ะ เขาไปหาข่าวหาเบาะแสนิดหน่อย คิดว่าเดี๋ยวคงย้อนกลับมาค่ะ” ฮันนี่เอ่ย
“คุณน้ามีอะไรจะบอกพวกเรามั๊ยครับ?” ชายน์ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คือ…ฉัน… ฮือๆๆ” เมื่อเริ่มพูดหญิงเจ้าของบ้านก็ปล่อยโฮร้องไห้เพราะความเป็นห่วงลูกชายหญิงของตน เธอเล่าไปปาดน้ำหูน้ำตาไปและสุดท้ายก็จบอย่างที่ทุกคนคิด
“ถ้าพวกเธอไม่ใช่คนร้าย พวกเธอไปช่วยลูกชายฉันหน่อยได้ไหม ในเขตป่านั้นอันตรายมาก ฉันเป็นห่วงเขา” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างน่าสงสาร และเมื่อเห็นว่าเด็กชายหญิงยังคงนิ่งอยู่ นางจึงกล่าวต่อ
“เรามีกันสามแม่ลูก ฉันเสียพ่อเขาไปแล้ว ฉันไม่อยากเสียพวกเขาไปอีก ฮือๆๆ” หญิงเจ้าของบ้านเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงอดีตตนเอง
“เรียกพวกเรากลับมาเลย ฮันนี่” ชายน์เอ่ยกับฉันนี่ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงเจ้าของบ้านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โอเคครับ เราจะตามเข้าไปช่วยลูกๆ ของคุณน้า ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมและเพื่อนๆ เก่งมาก 555” ชายน์เอ่ยพลางคุยโวอย่างน่ารักเพื่อให้หญิงเจ้าของบ้านลดความโศกเศร้าและผ่อนคลายขึ้น และก็ได้ผลไม่ใช่น้อย
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เพราะเมื่อครู่นี้ฉันเห็นพวกเธอใช้เวทย์มนต์ได้” หญิงเจ้าของบ้านกล่าวขณะพากันเดินออกมานอกบ้านเพื่อส่งเด็กแปลกหน้าที่พึ่งพบเจอให้ไปช่วยบุตรของตน
“ค่ะ พวกเราเก่งค่ะ 555” ฮันนี่เอ่ยบ้าง
“แล้วลูกชายคุณน้า เอ่อ ใช้เวทย์ได้มั๊ยครับ”ชายน์ถาม
“ลูกชายฉันมีพลังเวทย์ เขาเก่งนะ แต่ลูกสาวคนเล็กฉันไม่มีหรอก” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“อ้อ ลูกชายฉันชื่อคิม ส่วนลูกสาวคนที่หายไปชื่อแคท ฝากด้วยนะ” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ที่เข้าไปในหมู่บ้านพากันออกมาแล้ว
“ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อ้อ เราขอฝากรถม้าและข้าวของไว้ที่นี่นะครับ” ชายน์เอ่ยขออนุญาตขณะที่ฮันนี่เลี่ยงไปแจ้งเรื่องแก่เซฟานี่ เดวี่ เชโด้และเบลแล้ว
“ได้สิ ฉันยินดีช่วย” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างกระตือรือร้นและยืนยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อมองกลุ่มเด็กๆเดินหายไปในความมืดทางด้านป่าใหญ่
“ขอให้ลูกๆของแม่ปลอดภัยนะ คิม แคท”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ