ทวงรักนางซิน

-

เขียนโดย Phaky

วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.02 น.

  47 ตอน
  1 วิจารณ์
  37.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) หน้าชื่นอกตรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

ก็แค่เช้าถึง เย็นถึง ทำไมถึงคิดว่าคุณธัญญ์จีบพิมพ์ล่ะคะ? งงจัง
*******************************
 “ไหนพิมพ์บอกว่าไม่มีอะไรไง แล้วข้างหลังนั่นอะไรจ๊ะ”
กลัวเพื่อนรักเสทำมองไม่เห็นเหมือนตัวเอง เม็ดทรายเลยใจดีปรับกระจกมองหลังให้เทพิมพ์มองเห็นรถยนต์สีดำคันหรูที่จอดนิ่งอยู่หน้าบ้านตัวเองได้ถนัดๆ เม็ดทรายอมยิ้มล้อเลียนเมื่อเห็นอาการคนเถียงไม่ออกด้วยจำนนกับหลักฐาน กลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่เธอจะต้องมองกระจกหลังก่อนขับรถออกจากบ้านไปทำงาน อยากจะเชื่อตามคำแก้ตัวของเพื่อนว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่รถของธรธัญญ์มักมาโผล่ที่หน้าบ้านทุกเช้า แต่มาทุกวันตรงเวลาเป๊ะๆแบบนี้ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเจ้าของโรงแรมสุดหล่อน่ะตั้งใจมาดักรอเทพิมพ์
“ก็...”
“ถ้าบอกว่าเรื่องบังเอิญอีก จะหยิกให้”
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วทรายจะให้พิมพ์บอกว่าอะไร”
“ก็ยอมรับมาตรงๆเลยว่าคุณธัญญ์กำลังตามง้อพิมพ์อยู่ แค่นี้เอง ง่ายจะตาย”
เห็นเพื่อนกำลังจะได้ดีเม็ดทรายก็อยากช่วยผลักดัน แต่ไม่เข้าใจเลยว่าเทพิมพ์จะปฏิเสธทำไม ในเมื่อการกระทำของธรธัญญ์น่ะยิ่งกว่าชัดเจน ชายหนุ่มขับรถมาจอดรอหน้ารั้วบ้านเธอทุกเช้า รอจนเธอขับรถออกมา ชายหนุ่มจึงขับตาม จนไปถึงที่ทำงาน จากนั้นก็จะเดินตามเคียงข้างเพื่อนเธอไปยังห้องทำงาน ไม่ได้มโนแต่เรื่องนี้คือข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ เพราะเคยผ่านการทดลองมาแล้ว ด้วยการที่เธอกับเทพิมพ์แกล้งนั่งเอื่อยอยู่ในรถตั้งใจรอให้เจ้าของโรงแรมเข้าไปด้านในก่อน แล้วพวกเธอค่อยลงไปทีหลัง แต่ผลจากการทดลองออกมาว่าธรธัญญ์ก็ไม่ยอมลงจากรถเช่นกัน นั่งชะเง้อคอมองอยู่ร่วมสิบนาที ก็เป็นธรธัญญ์ที่คงเป็นห่วงจึงลงมายืนอยู่ข้างรถฝั่งเทพิมพ์แล้วเคาะกระจกเรียก เมื่อไม่มีเหตุผลไปอ้างที่จะนั่งแช่อยู่ในรถ สุดท้ายเทพิมพ์ก็ต้องเดินเข้าที่ทำงานพร้อมธรธัญญ์อยู่ดี ขากลับก็เช่นกัน นี่ยังไม่นับรวมที่ลากเพื่อนเธอไปนั่งหน้าห้องด้วยนะ ธรธัญญ์แสดงออกชัดเจนถึงขนาดนี้แล้ว หากเป็นเธอที่ถูกเจ้าของโรงแรมรูปหล่อตามจีบ เธอจะไม่มามัวถ่อมตัวแบบนี้แน่ แต่จะเดินควงชายหนุ่มอวดสายตาให้พนักงานทั้งโรงแรมเห็นคาตาไปเลย โดยเฉพาะพวกสาวแสบที่เคยพูดจากระแนะกระแหนแดกดันให้อับอายก่อนหน้า เธอจะเดินโฉบเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าแล้วทักทาย เอาให้ยายปากดีพวกนั้นตีสองหน้าไม่ทันเชียว!
‘ทรายบ้า จ้องอย่างกับเราเป็นนักโทษ’
“ไหนบอกทรายมาซิ ว่าอะไรทำให้คิดว่าคุณธัญญ์ไม่ได้คิดอะไรกับพิมพ์”
เป็นเพื่อนกันมานามนานทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเทพิมพ์มีความสุขทุกครั้งที่เห็นรถของธรธัญญ์จอดรออยู่หน้าบ้าน เพื่อนไม่ได้พูดแต่คนมีความสุขน่ะมันฟ้องได้จากนัยน์ตาที่วิบวับเหลือเกินยามแอบมองกระจกหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อผู้ชายที่เรารักเราชอบมาทำให้รู้ว่าใส่ใจแบบนี้ เป็นเธอก็คงอดดีใจไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่เจ้าตัวยังอ้ำอึ้ง คงเพราะมีเรื่องติดอยู่ในใจ ไม่รู้ว่ามีพวกปากหอยปากปูมาแอบปั่นอะไรให้เพื่อนเธอคิดมากหรือเปล่า
เทพิมพ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับสายตาคาดคั้นที่เพื่อนมองมาพลางข่อนคอดในใจ เม็ดทรายหวังดีกับเธอ เธอรู้ แต่จะให้เธอยอมรับว่าธรธัญญ์ตามจีบได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวยังไม่เคยพูดสักคำ
อืด... อืด...
จำเลยตาแป๋วมองหาทางออกเลิ่กลั่กเมื่อถูกเพื่อนสนิทสอบสวนไม่ลดละ แต่เหมือนสวรรค์ยังเมตตา โทรศัพท์ในกระเป๋าจึงดังขึ้นขัดจังหวะ เทพิมพ์ยักคิ้วกวนๆดูเจ้าเล่ห์ให้ทนายจำเป็น ก่อนล้วงมือหยิบผู้ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกรีดเค้นความจริงมากดรับเมื่อไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นเคย และเมื่อรับแล้ว ก็แทบอยากตัดสายทิ้งในวินาทีนั้นเลย      
“มอร์นิ่งจ้ะ เช้านี้ผัวฉันไปรับเธอแล้วใช่ไหม ไม่ต้องตกใจนะ ฉันไม่ได้โทร.มาต่อว่า แค่จะฝากบอกธัญญ์ว่าถุงยางหมด เกลี้ยงเลย เมื่อคืนเราเพลินกันไปหน่อย ยังไงฝากเธอเตือนผัวฉันด้วยว่าให้ซื้อมาเพิ่ม เดี๋ยวคืนนี้ไม่มีใช้ ฉันขี้เกียจกินยาคุม ขอบใจมากนะจ๊ะ ฉันต้องรีบนอนแล้ว เพลียมาก บาย”
โทร.มาตอกย้ำความสัมพันธ์ของเจ้าตัวกับธรธัญญ์เสร็จเรียบร้อย เวนิสาก็ตัดสายทิ้งทันที ปล่อยให้คนรับสายกำโทรศัพท์แนบหูค้างไว้อย่างคนกำลังช็อก นี่ไงเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อาจพูดได้เลยว่าธรธัญญ์กำลังตามจีบ เพราะชายหนุ่มมีเวนิสาเป็นคนรักอยู่แล้วทั้งคน เธอเองก็รู้ดีแก่ใจ ถ้าเธอกล้าคิดเข้าข้างตัวเองแล้วเล่นด้วยกับธรธัญญ์ ก็แสดงว่าเธอเต็มใจเป็นเมียน้อย เป็นมือที่สามทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่นน่ะสิ
“ใครโทร.มาแต่เช้าน่ะพิมพ์”
“คุณเวนิส”
“หือ? แม่นั่นโทร.มาทำไม!”
“ไม่มีอะไรหรอก ทรายรีบขับเถอะ เดี๋ยวสาย”
เทพิมพ์ลอบถอนหายใจก่อนส่งยิ้มบางๆให้เม็ดทรายคลายกังวล ก็ไม่มีอะไรจริงๆอย่างที่บอกเพื่อนนั่นแหละ เรื่องถุงยางนั่นเธอคงไม่จำเป็นต้องบอกธรธัญญ์ เพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น เวนิสาก็แค่ต้องการเตือนสติเธอว่าอะไรควรไม่ควร นับว่าเป็นเรื่องดีที่เธอยังยั้งใจไว้กับตัวเอง ไม่ได้เอนเอียงไปกับความอ่อนโยนของธรธัญญ์ มิเช่นนั้นตอนนี้คงต้องนั่งจมน้ำตาเมื่อถูกเจ้าของตัวจริงทวงคืน ในขณะที่เทพิมพ์คิดว่าตัวเองทำตัวปกติแล้ว แต่เปล่าเลย เทพิมพ์คงไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงที่พูดสั่นเครือ ขอบตาก็แดงช้ำ ชัดเจนแล้วว่าเวนิสาต้องพูดอะไรให้เพื่อนเธอเจ็บช้ำแน่นอน ยามปกติคงเป็นเรื่องยากที่จะให้เธอปล่อยผ่าน ทว่าเวลานี้อาการของเทพิมพ์ไม่ดีเลย หากยังฝืนคาดคั้นเอาความจริง คิดว่าคงได้เห็นน้ำตาเพื่อนแทนคำตอบ เม็ดทรายจึงเก็บปากไม่ซักไซ้อะไรแล้วขับรถไปเงียบๆ
“คุณจง พิมพ์เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
“หนูพิมพ์บอกว่าไม่เป็นอะไรค่ะ”
ตอบแบบนี้ แสดงว่าก่อนหน้าที่ธรธัญญ์จะเรียกเลขาฯคนสนิทเข้ามาถาม จงจิตต์ก็เห็นความผิดปกติของผู้ช่วยหน้าใสที่เงียบขรึมผิดไปจากทุกวันเช่นกัน ถึงคำตอบจะมาจากปากเจ้าตัว แต่ทั้งเจ้านายกับเลขาฯหาได้ให้ความเชื่อถือกับคำตอบบอกปัดนั้นเลย ยิ่งเทพิมพ์พยายามหลบตาเขาตั้งแต่ตอนเดินมายังห้องทำงานด้วยกันตอนเช้า ไหนจะอีกนับสิบรอบที่จงจิตต์ส่งผู้ช่วยมาเป็นเด็กเดินเอกสารเข้ามาให้เขาเซ็น ระหว่างรอ เทพิมพ์ก็จะนั่งก้มหน้าก้มตา ถ้าเขิน แก้มต้องแดง แต่นี่ใบหน้าเนียนเกลี้ยงมองกี่ครั้งก็ซีดขาว อยากรั้งตัวไว้ถาม แต่ดวงตากลมๆนั้นหมองเศร้าเกินกว่าที่เขาจะกล้าบังคับตัวไว้ ตัวช่วยสุดท้ายจึงเหลือแค่จงจิตต์ที่อาจมีเบาะแสบ้างจึงเรียกเข้ามาถามถึงในห้องทำงาน แต่ก็ผิดหวัง
“คุณจงเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว อีกสิบนาทีได้เวลาเข้าประชุมนะคะ”
“นานไหม”
ถึงกับต้องขยับแว่นมองเจ้าของคำถามใหม่อีกครั้งให้เต็มตา เห็นความพะว้าพะวงเหมือนอยากเลื่อนประชุมครั้งนี้ออกไปก่อน พอจะทราบว่าธรธัญญ์เป็นห่วงเรื่องเวลา เพราะอีกชั่วโมงเศษก็จะเลิกงาน คงกลัวออกมาไม่ทันตามไปส่งเทพิมพ์กลับบ้านเหมือนเคย แล้ววันนี้เจ้าตัวมีท่าทีแปลกๆก็ยิ่งห่วง จงจิตต์ยิ้มอ่อนให้เจ้านายเหนือหัวแทนคำตอบ เพราะรู้กันดีว่าอย่างไรก็คงออกมาไม่ทัน และเลื่อนไม่ได้ด้วยเพราะเป็นประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่
“คุณจงเข้าไปเตรียมตัวก่อนเลย อีกเดี๋ยวผมตามเข้าไป”
เลขาฯคู่ใจไม่ทู้ซี้ให้เสียเวลาเพราะทราบดีว่าธรธัญญ์จะไปไหน จงจิตต์จึงเดินหอบเอกสารที่ต้องใช้ในการประชุมล่วงหน้าเข้าไปก่อน คล้อยหลังเลขาฯคู่ใจ ธรธัญญ์เรียมๆไปแถวโต๊ะทำงานที่มีผู้ช่วยเลขาฯตัวเล็กๆ หน้าใสแจ๋วกำลังนั่งพิมพ์เอกสารอยู่ คนเดินเข้าไปหาพยายามลงน้ำหนักเท้าให้เสียงดังกว่าปกติหวังให้เทพิมพ์เงยหน้าขึ้นมอง แต่ไม่รู้เป็นเพราะหญิงสาวกำลังทำงานเพลินหรือแกล้งทำไม่ได้ยินกันแน่ ในขณะที่นิ้วน้อยๆรัวแป้นพิมพ์ ตากลมๆถึงจ้องเขม็งอยู่แต่หน้าจอคอมฯ ไม่ยอมเงยขึ้นสักที
“พิมพ์” สุดท้ายธรธัญญ์เลยต้องไปหยุดยืนหน้าโต๊ะแล้วเรียก ไม่อย่างนั้นเทพิมพ์คงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตา
“คะ”
“วันนี้เป็นอะไร ดูซึมๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
เทพิมพ์เกร็งตัวพลางกลั้นหายใจ เพราะธรธัญญ์ไม่ได้แค่ถาม แต่ชายหนุ่มยังโน้มใบหน้าลงมาเสมอกับใบหน้านวลๆ จนดวงตาทั้งสองคู่สบกันในระยะประชิดกะทันหัน จากนั้นก็ทาบหลังมือกับหน้าผากเนียนวัดอุณหภูมิของร่างเล็กที่นั่งตัวแข็ง ก็แค่หลังมือที่ไม่ได้นุ่มนิ่ม ซ้ำยังแตะเบาๆที่หน้าผาก แต่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันกลับทำให้เธออบอุ่นไปทั้งร่างได้ในพริบตาแบบนี้ โดยไม่ทันยั้งใจ ดวงตากลมเผลอช้อนขึ้นมองสบดวงตาสีเข้มที่จ้องอยู่ก่อน แวบหนึ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปนั่งอยู่ในโถน้ำตาลทราย เข้าใจมาเสมอว่าดวงตาสีเข้มของเขามีแต่ความเย็นชา ทว่าที่มองเห็นวันนี้ทำไมมันอ่อนโยนนัก ราวกับธรธัญญ์ที่เธอเคยคบหากับธรธัญญ์ตรงหน้าคือคนละคนกัน
“แค่จะฝากบอกธัญญ์ว่าถุงยางหมด... ยังไงฝากเธอเตือนผัวฉันด้วยว่าให้ซื้อมาเพิ่ม”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ คุณธัญญ์มีอะไรจะใช้พิมพ์หรือเปล่าคะ”
ทว่าถ้อยคำที่ริบคืนความสุขจากเธอไปทั้งวันมันรั้งสติ เทพิมพ์รีบดึงตัวออกห่างจากความปรารถนาดีของธรธัญญ์ ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ ก็ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เธอควรปล่อยตัวใกล้ชิดผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว
“เย็นนี้ผมมีประชุม พิมพ์... รอกลับพร้อมกันได้ไหม” ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงสั่ง แต่วันนี้กลับรู้สึก...ไม่กล้า
“พิมพ์เกรงใจทรายค่ะ”
“ไม่เป็นไร เลิกงานแล้วอย่าไปซนที่ไหน รีบกลับบ้าน ถึงแล้วโทร.บอกผมด้วย”
“ค่ะ” รับคำไปอย่างนั้น ถึงเวลาจริงๆก็คงไม่กล้าโทร.หาธรธัญญ์อยู่ดี เธอกลัวโทร.ไปในจังหวะที่ไม่สมควร
“พิมพ์ ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ค่ะ”
อยู่ๆบทสนทนาก็ตกหลุมอากาศ ต่างคนต่างเงียบไป หางตามองเห็นว่ากำลังถูกดวงตาของธรธัญญ์มองจ้อง เรียกร้องความสนใจ แต่เทพิมพ์ก็ทำเป็นไม่รับรู้แล้วก้มหน้าพิมพ์เอกสารต่อ จนได้เวลาเข้าประชุม ร่างสูงจึงยอมผละไปจากหน้าโต๊ะของผู้ช่วยเลขาฯ ธรธัญญ์จากไปด้วยใจครุ่นคิดกังวลถึงสาเหตุที่ทำให้เทพิมพ์สร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้น ชายหนุ่มจึงไม่เห็นว่าเพียงเขาหันหลังให้ ใบหน้าก้มต่ำอย่างที่มองออกว่าตั้งใจหลบก็เงยขึ้นมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไป สันมือบางกรีดน้ำตาที่ร่วงเผาะเลอะผิวแก้ม เพราะมันผิดที่ผิดเวลา หากคำขอด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนเมื่อครู่เกิดขึ้นในตอนที่เธอยังเป็นแฟนกับเขา ต่อให้ต้องนั่งรอดึกดื่นค่อนคืนเธอก็ยิ้มสู้ ทว่าในตอนนี้สถานะระหว่างเธอกับธรธัญญ์แค่เจ้านายลูกน้อง ซ้ำเจ้านายยังมีคนรักแล้ว ก็ถูกต้องแล้วที่เธอต้องเว้นระยะห่างจากเขา
‘ขอได้ไหมคะ พิมพ์ขออย่าให้คุณธัญญ์ทำดีกับพิมพ์แบบนี้อีก’
..................................................................................................................................................................
“วันนี้มีอะไรพิเศษเหรอคะ พี่พลถึงชวนเราสองคนมาทานข้าว”
เม็ดทรายเอ่ยถามอย่างสงสัย ถามแล้วก็อดกวาดตามองไปรอบๆห้องอาหารญี่ปุ่นแบบไพรเวทที่พลธวัชเดินนำเธอกับเทพิมพ์เข้ามานั่งไม่ได้ จากเครื่องเรือนหินอ่อนรอบห้องที่ใช้ตกแต่ง ทั้งต้นซากุระความสูงจรดเพดาน ซูชิบาร์จากไม้พันธุ์อิโนกิ และเชฟจากแดนอาทิตย์อุทัยแท้ๆที่เข้ามาปั้นซูชิให้รับประทานกันสดๆ แสดงว่าที่นี่ราคาค่าบริการคงไม่ธรรมดา ปกติเคยแต่เป็นพนักงานให้บริการ วันนี้ต้องมาคอยรับบริการเสียเองจึงรู้สึกขัดเขินหน่อยๆ เม็ดทรายทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะสีขาวนุ่มที่ปูรองด้วยเสื่อทาทามิตามสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมก่อนตบเบาะให้เทพิมพ์นั่งตาม
เห็นหน้าเพื่อนแล้วก็ลอบถอนหายใจ สาเหตุที่ใจง่าย ตกปากรับคำตามพลธวัชออกมารับประทานอาหารค่ำหลังเจอชายหนุ่มที่ลานจอดรถขณะกำลังจะกลับบ้าน ตัวต้นเหตุก็เพื่อนเธอนี่แหละ ตั้งแต่เช้าแล้วที่ใบหน้าน่ารักของเทพิมพ์เศร้าหมองจนแทบจะเห็นคำว่า ‘ทุกข์’ แปะอยู่ตรงหน้าผาก ชวนคุยก็แล้ว ทำตลกโปกฮาให้ดูหลายรอบก็ยังไม่ช่วยให้อาการเศร้าซึมของเทพิมพ์ดีขึ้นมา จึงหวังไปว่าหากได้เปลี่ยนบรรยากาศจากชายสี่หมี่เกี๊ยวข้างทางมาเป็นอาหารญี่ปุ่นรสเลิศแบบนี้ อาจทำให้เทพิมพ์สดชื่นขึ้นได้บ้าง หวังว่านะ
แต่เม็ดทรายอาจต้องผิดหวัง หญิงสาวคงคิดไม่ถึงว่าความหวังดีของตัวเองจะเป็นการขยายต่อมเศร้าหมองของเทพิมพ์ให้ยิ่งกินพื้นที่เป็นวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เป็นเรื่องบังเอิญที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ เป็นร้านเดียวกับที่ธรธัญญ์เคยพาเทพิมพ์มาก่อน แต่เป็นการมาเพื่อนั่งมองแฟนเก่ามากกว่าตั้งใจพาแฟนใหม่มารับประทานอาหาร นั่นยิ่งตอกย้ำความจริงว่าไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน เวนิสายืนหนึ่งในหัวใจของธรธัญญ์ไม่เคยเปลี่ยน ในอนาคตก็เช่นกัน
“จริงๆตั้งใจจะชวนมาหลายครั้งแล้ว ที่นี่อาหารอร่อยดี แต่ไม่มีโอกาส พิมพ์ ทำไมเงียบๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ พอดีมองเชฟปั้นซูชิเพลินไปหน่อย พี่พลมาทานที่นี่บ่อยเหรอคะ”
คำถามแบบเดียวกันถูกถามขึ้นอีกครั้งในรอบวันจากคนละคน ทำให้เทพิมพ์ฉุกคิดว่าเธอคงเผลอแสดงความทุกข์ในใจออกมาทางสีหน้าหน้าจนคนรอบข้างจับสังเกตได้ใช่ไหม ไม่อยากเป็นตัวต้นเหตุทำให้บรรยากาศรอบตัวพลอยหม่นหมอง เทพิมพ์จึงสูดลมหายใจเข้าให้ลึก ใช้รอยยิ้มสดใสฉาบกั้นความรู้สึกให้อยู่แค่ในอก แล้วให้ความสนใจกับเชฟวัยกลางคนชาวญี่ปุ่นที่กำลังแร่ปลาแซลมอนเป็นแผ่นบางๆ ก่อนเอ่ยถามหลังเห็นเชฟท่านนั้นเงยหน้าขึ้นถามบางอย่างเกี่ยวกับอาหารที่กำลังปรุงกับพลธวัช
“สองสามครั้ง เห็นโต๊ะอื่นมากันเป็นคู่แล้วอิจฉา พี่เลยต้องมานั่งหลบคนเดียวในห้องไพรเวท”
“อย่าหาว่าทรายเผือกเลยนะคะ แต่ทรายสงสัยว่าพี่พลไม่มีแฟนจริงๆเหรอคะ”
“โสดสนิทเลยล่ะ เดี๋ยวเถอะ มองแบบนี้เดี๋ยวพี่ไม่เซ็นใบรับรองฝึกงานให้หรอก”
“พี่พลจะใจร้ายกับน้องทรายไม่ได้นะคะ พี่พลหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีแฟน ทรายก็ต้องไขว้เขวนิดนึงสิ”
เม็ดทรายรีบเอนตัวหนีกำปั้นที่พลธวัชแกล้งชูขึ้นขู่ พลางแก้ตัว ไม่ได้มีเจตนาเหยียดรสนิยม แต่ได้ยินพวกพนักงานสาวๆเม้าท์ให้ฟังว่าผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงน่ะไม่เคยวอกแวกหรือมีข่าวคราวเรื่องผู้หญิงให้ได้ยินเลย ขนาดพนักงานต้อนรับหน้าตาสะสวยเพียรมาอ่อยเช้า กลางวัน เย็น พลธวัชก็ยังทำเฉยไม่ตอบรับไมตรี ชายหนุ่มจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจโปรดไม้ป่าเดียวกันมากกว่าชะนีมีนม หล่อระดับไปแคสเป็นดาราได้สบายๆขนาดนี้ แต่ไม่มีเรื่องผู้หญิงพัวพัน มันน่าสงสัยน้อยที่ไหน
“พิมพ์ล่ะ คิดหรือเปล่าว่าพี่เป็นเกย์”
“ไม่หรอกค่ะ พิมพ์ไม่คิดเลอะเทอะเหมือนยายคนนี้”
“พี่ยืนยันว่าพี่ชอบผู้หญิง” …ตรงหน้าพี่คนนี้
ขอเพียงได้รับความเชื่อใจจากเทพิมพ์ คนทั้งโลกจะคิดอย่างไรพลธวัชหาได้สนใจ และเมื่อได้รับคำยืนยันจากเรียวปากบางๆดูจิ้มลิ้ม พลธวัชก็ยิ้มออก และตั้งใจว่าจะได้พูดประโยคหลังให้เทพิมพ์ฟังในวันนี้
“พี่พลชอบผู้หญิงแบบไหนคะ สวยทะลุจักรวาลอย่างทรายนี่พอจะมีลุ้นบ้างไหม”
เมื่อความสงสัยคลี่คลาย แล้วพลธวัชก็หาได้โกรธเคืองที่ถูกเข้าใจผิด เม็ดทรายจึงแกล้งถามพลางยืดตัว แอ่นอก เชิดหน้าขึ้นอวดโชว์ความงามประเภทสวยแสบให้พลธวัชประเมิน ท่าทางนั้นกวนประสาทมากกว่าจะจริงจัง เรียกเสียงหัวเราะจากคนถูกถามกับเพื่อนสาวจนบรรยากาศที่เคยหม่นๆสดใสขึ้นทันตา
“ถ้าพูดน้อยลงอีกนิด ลดความแสบสันลงสักครึ่งก็พอเข้าเค้า”
“โห ยากเกินไปค่ะ แสดงว่าพี่พลชอบผู้หญิงเรียบร้อย พิมพ์ไง แม่ชีเทพิมพ์ ใช่สเป็กพี่พลไหม”
“ก็...ประมาณนี้แหละ”
เม็ดทรายแกล้งถามเล่น แต่พลธวัชตอบจริง ใจจริงอยากโพล่งออกไปตรงๆว่าคนเดียวที่เขาชอบคือเทพิมพ์ด้วยซ้ำ แต่จังหวะมันยังไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน ทว่าคำตอบนั้นก็ถือว่าช่วยกรุยทางไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้พอสมควร ชายหนุ่มทอดมองใบหน้าน่ารักที่ถูกเพื่อนจอมแสบประคองด้วยสองมือประกอบการพิจารณาแล้วยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเทพิมพ์อย่างมีความหมาย เขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าชอบผู้หญิงเรียบร้อย ไม่ทราบด้วยว่าตัวเองชอบผู้หญิงแบบไหนเพราะยังไม่เคยนึกชอบใครจริงจัง จนได้มาเจอเทพิมพ์ วินาทีแรกที่เห็น สัญชาตญาณมันบอกเองว่าชอบคนนี้ และตั้งแต่วันนั้นจนถึงวินาทีนี้ ความรู้สึกก็ยังคงเดิม
“กราบนมัสการพระคุณเจ้าล่วงหน้าค่ะ ถ้าคบกับพิมพ์ รับรองว่าไม่นานพี่พลบรรลุเป็นพระอรหันต์แน่”
“แกล้งพิมพ์อีกแล้วนะ นี่แน่ะ พิมพ์จะแย่งไข่หวานกินคนเดียวให้หมดเลย”
ไม่แซวแค่ปาก แต่เม็ดทรายยังพนมมือขึ้นไหว้พลธวัชพลางเอี้ยวตัวหลบหยิกงามๆจากแม่ชีหน้าหวานพัลวัล ทำเอาแม่ชีจำเป็นทำปากคว่ำใส่เพื่อนที่ชอบล้อเลียนเรื่องความนุ่มนิ่มของเธอให้อายอยู่เรื่อย ไม่รู้จะเอาคืนอย่างไรกับเพื่อนจอมแสบขี้แกล้ง พอดีกับเชฟชาวญี่ปุ่นวางจานซูชิหน้าไข่หวานบนโต๊ะ เทพิมพ์จึงรีบเอื้อมไปคว้ามาไว้ที่ตัวก่อนที่มือของเม็ดทรายจะหยิบทัน เพราะรู้ดีว่านี่คือของโปรดของเพื่อน แกล้งมาแกล้งกลับ ไม่โกง
“พี่พลดูสิคะ แม่ชีแกล้งทราย”
“พี่ช่วยไม่ได้หรอก ไม่ใช่กิจของสงฆ์นี่”
“โห พี่พลอ่ะ”
คนขี้แกล้งพอถูกรุมแกล้งจนไปไม่ถูกบ้างก็ทำหน้าเง้า กลายเป็นภาพเฮฮาที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะใสๆจากเทพิมพ์กลับคืนมาได้ แต่ดูเหมือนคนที่มีความสุขมากกว่าใครน่าจะเป็นพลธวัช เรียวปากสีเข้มฉีกยิ้มเต็มความกว้าง สุขใจเหลือเกินที่เห็นเทพิมพ์กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนครั้งแรกที่เจอ เห็นสองสาวแกล้งแย่งจานอาหารจากเชฟกันไปมา ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพความซุกซนของทั้งสองไว้แบล็กเมล์ ทว่าเทพิมพ์กับเม็ดทรายกลับนกรู้ จังหวะที่ปลายนิ้วของเจ้ามือจะกดถ่าย สองสาวที่กำลังเถียงกันง๊องแง๊งๆกลับกอดคอพร้อมใจกันหันหน้ายิ้มหวานสู้กล้อง เป็นความน่ารักปนซุกซนที่ทำเอาพลธวัชขำพรืดจนเสียมาดหนุ่มสุขุม ภาพนั้นแปลกตาจนสองสาวก็หยุดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน ตากล้องถ่ายเก็บไว้อีกหลายภาพก่อนส่งสัญญาณให้สองแสบหันไปรับประทานอาหารที่เชฟจัดไว้จนโต๊ะเกือบไม่มีที่วางนั่นได้แล้ว ก่อนที่พลธวัชจะฉีกยิ้มกว้างจนเสียอาการอีกครั้งหลังเทพิมพ์คีบซูชิใส่มาในจานของตัวเอง
“ใช่ข้อความจากพิมพ์หรือเปล่า”
ในขณะที่เทพิมพ์กำลังผ่อนคลายกับการรับประทานอาหารญี่ปุ่นร่วมกับเม็ดทรายและพลธวัช ทว่าธรธัญญ์กลับต้องทนนั่งเบื่อหน่ายอยู่ในห้องประชุมที่รู้สึกว่าวันนี้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนพูดมากเหลือเกิน เวลาผ่านมาสามชั่วโมงซึ่งนานราวสามปีแสงแต่ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอ ธรธัญญ์นั่งถอนหายใจทิ้งเป็นรอบที่ร้อยหลังก้มมองโทรศัพท์ที่วางไว้บนตักแล้วไม่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของเทพิมพ์โทร.เข้ามาสักที จะกดโทร.หาเองก็ไม่ได้เพราะก่อนหน้าเป็นคนตั้งกฎไว้เองว่าห้ามผู้ร่วมประชุมใช้โทรศัพท์ทุกกรณี ไม่รู้ว่าลืมหรือป่านนี้พากันตะลอนๆกับเม็ดทรายยังไม่ถึงบ้าน พอดีกับเห็นจงจิตต์แอบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อมานั่งอ่านข้อความ ธรธัญญ์จึงเอียงตัวกระซิบถามให้ได้ยินกันสองคน ไม่โทร.หาเขาแต่อย่างน้อยบอกผ่านจงจิตต์มาให้สบายใจก็ยังดี
“ไม่ใช่ค่ะ”
ไหล่กว้างลู่ลงกับคำตอบ ความผิดหวังส่งผ่านมากับเสียงถอนหายใจ ดังจนผู้ร่วมประชุมที่กำลังเสนอโครงการชะงัก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา ทุกคนหุบปากเงียบพลางลอบมองมาที่ท่านประธานใหญ่เป็นตาเดียว ความเงียบงันปลุกธรธัญญ์ให้รู้ตัว ชายหนุ่มพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ถือหุ้นรายนั้นกล่าวต่อไป สองหูฟัง ทว่าสมองกลับขบคิดไปอีกเรื่อง
‘จบเรื่องซะที’
กว่าจะผ่านช่วงเวลาที่น่าเบื่อชั่วกัปชั่วกัลป์นั้นมาได้เล่นเอาธรธัญญ์ขยับตัวไปไม่รู้กี่รอบ ทันทีที่ผู้ร่วมประชุมคนสุดท้ายกล่าวจบ ธรธัญญ์ก็กล่าวปิดการประชุมทันที สีหน้าแววตาของท่านประธานขรึมเครียดจนไม่มีใครกล้าสู้หน้า ผู้ถือหุ้นรีบคว้าสัมภาระเตรียมพร้อมแล้วรีบกล่าวลาออกไปจากห้องเพื่อความปลอดภัยของตัวเองให้เร็วที่สุด เมื่อเหลือเพียงตัวเองกับเลขาฯคู่ใจ มือใหญ่ก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมโทร.ออกอย่างที่ใจอยากทำมาตั้งแต่สิบนาทีแรกของการประชุม ทว่าจงจิตต์กลับแตะมือมาที่แขน ชายหนุ่มช้อนดวงตาขึ้นมอง แววตาแบบนี้ ชักหวั่นใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากล
“มีอะไรหรือเปล่าคุณจง” ถามแล้วก็กลั้นหายใจรอฟังคำตอบ
“หนูพิมพ์ค่ะ”
“หนูพิมพ์ทำไม!”
ขนาดเตรียมตัวมาแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆก็ยังรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ต้องพูดออกไป นอกจากธรธัญญ์ที่นั่งฟังประชุมไม่เป็นสุข จงจิตต์ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องใช้สมาธิเรียบเรียงเตรียมคำพูดสำหรับข่าวใหญ่ที่ได้รับรายงานจากผู้หวังดี ไม่ทราบหรอกว่าฝ่ายนั้นทราบข่าวมาได้อย่างไร แต่รับรองว่าแม่นยำและเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็น และรู้ดีด้วยว่าหลังจากบอกไปแล้ว ธรธัญญ์จะต้องอาละวาดโรงแรมพังแน่เมื่อทราบเรื่อง เพราะแค่ได้ยินว่ามีชื่อของเทพิมพ์ไปเกี่ยวข้อง รังสีอำมหิตยังแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วห้องประชุมในเสี้ยววินาที เอาเป็นว่าใครทำอะไรก็จงรับผลกรรมของตัวเองไปก็แล้วกัน
...........................................................................................................
เซย์ฮัลโหลกันโหน่ยยยยยย......
แวะมาบอกว่าไม่ได้หายไปไหนนะคะ ที่เงียบไปคือช่วงจิตตกรุนแรงเกี่ยวกับโควิด-19 จากสถานการณ์ที่มีแต่จำนวนเพิ่มขึ้นและใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆทำให้หวาดระแวงไปหมด สารภาพพร้อมยื่นไม้เรียวให้ตีได้เลยค่ะ เพราะไม่ได้นิยายเลยสักตัว พยายามแล้วแต่เขียนไม่ออกจริงๆ
แต่ตอนนี้คนในบ้านตื่นตัวและเชื่อฟังภัคมากขึ้นแล้ว เลยค่อยสบายใจ ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น พอได้มีอารมณ์กลับมาเขียนคุณธัญญ์ต่อแล้วค่ะ แต่ยังมาแบบสามวันดีสี่วันไข้ก่อนนะคะ ดูเหมือนสนิมจะเกาะแน่นเชียว
มาช้าแต่สัญญาว่ามาแน่นอนค่ะ
ปล.อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ มันรุนแรงและน่ากลัวมาก แต่เราต้องรอดไปด้วยกัน
ร๊ากกกกกกกกกกกกกกก...กกกก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา