เพียงพริบตา
-
2) บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ฝน (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ฝน (2)
เมื่อออกจากทางเดินในป่า ท้องฟ้าก็เปิดกว้าง ฝนเย็นเยียบยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าสีหม่นไม่ขาดสาย ครั้นก้าวเดินพลางคิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วก็เจอกับป้ายบอกทาง แผ่นป้ายที่ถูกตัดเป็นรูปนิ้วมือชี้ไปยังทิศของหมู่บ้านอาสัทสึกิ
อิซาจิออกมายังพื้นที่โล่ง เดินบนทางเดินแคบๆ เชื่อมต่อจากบนภูเขาไปยังหมู่บ้าน แปลงนารูปร่างบิดเบี้ยวเชื่อมติดกัน มีบ้านสร้างหยาบๆ เหมือนเอาวัสดุมาประกอบเข้าด้วยกันอยู่ประมาณยี่สิบหลัง
หากเป็นเวลาปกติ รวงข้าวในนาจะพลิ้วไหวเป็นลูกคลื่น พืชออกผลจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในไร่แกว่งไปมาตามสายลม แต่ตอนนี้ไม่มีภาพแบบนั้นเลย มีแต่พื้นรกร้างกับสระน้ำซึ่งเต็มไปด้วยวัชพืช หากกินเมล็ดพันธุ์ข้าวจนหมด การเกษตรปีถัดไปจะต้องจบสิ้นแน่ สภาพอากาศผิดเพี้ยนมาห้าปีแล้ว อิซาจิเข้าไปในหมู่บ้านพลางเป็นกังวลว่าหมู่บ้านนี้จะถึงกาลอวสานไปเสียแล้วหรือไม่
เขาพยายามลบกลิ่นอายตัวเอง มองรอบข้างอย่างระวัดระวัง แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีมนุษย์อยู่เลย มีแต่กลิ่นของความตายลอยไปทั่ว
อิซาจิเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน
“นี่รังหนูหรือเปล่า?”
อิซาจิเอียงหูฟัง แต่กลับได้ยินเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคาฟาง เขาจึงดึงประตูไม้สุดแรง
ประตูไม้เสียดสีกับเม็ดทราย กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาพร้อมกับลมเย็นๆ จะต้องมีซากศพอยู่ข้างในบ้านสองหรือสามศพแน่นอน ครอบครัวนี้ก็ล่มสลายลงแล้วเช่นกัน
ตอนที่หันไปมองบ้านข้างๆ เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง น่าจะเป็นกลิ่นอายของคน มีคนกำลังจ้องมองท่าทีของอิซาจิอย่างสงสัยจากช่องว่างตรงกำแพงดิน
เขาเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้คนคนนั้นตกใจกลัว
“โฮ่ ไม่ใช่หนูรึ ดูท่าจะยังมีคนที่เป็นคนอยู่นะ โล่งใจจริง ข้ามีเรื่องอยากจะถามเสียหน่อย”
ผู้ที่เปิดประตูไม้ออกมาอย่างหวาดๆ เป็นเด็กที่คล้ายแมลงสาบ เด็กผู้ชายอายุราวห้าหรือหกขวบแขนขาลีบเล็ก มีเพียงแค่ท้องที่โป่งพองออกมาผิดปกติ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ามีขี้ดิน ฝุ่นผง น้ำลายและขี้มูกแข็งติด ย้อมเสื้อผ้าที่เหมือนเปลือกผีเสื้อกลางคืนจนเป็นด่างดวง
แมลงสาบตัวนั้นส่งกลิ่นเหม็นเงยหน้ามองอิซาจิด้วยตาอันปูดโปนเหมือนจะกระเด็นออกมา
“เจ้าหนู อยู่คนเดียวรึ?”
เจ้าแมลงสาบใช้ปลายลิ้นเลียน้ำมูกย้อยแล้วเอียงคอที่เหมือนจะหักได้
อิซาจิโล่งใจที่ยังสื่อสารด้วยคำพูดได้ เนื่องจากมีคนมากมายที่เสียสติไปภายใต้สภาพน่าสลดใจเช่นนี้
“บ้านโคสึเกะซังอยู่หลังไหนรึ? เขาน่าจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ หรือน่าจะพูดว่าเคยอาศัยอยู่จะดีกว่ากระมัง”
เจ้าแมลงสาบจ้องมองอิซาจิด้วยใบหน้างุนงง อิซาจิจึงเปลี่ยนวิธีถาม
“บ้านของเด็กผู้หญิงที่โตกว่าเจ้าเล็กน้อย ชื่อโคมาโนะน่ะ รู้จักไหม?”
เจ้าแมลงสาบชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
※※※※
เมฆหนาขึ้น รอบข้างมืดลงเหมือนตอนตะวันตกดิน จู่ๆ ฝนก็ตกแรงขึ้นทั้งที่ตอนนี้ยังคงเป็นเวลาก่อนบ่ายสอง
ในบ้านมีกลิ่นอายของคน เมื่อเปิดประตูไม้ก็เห็นขาสีขาวอยู่บนพื้นบ้านเลือนรางในความมืด อิซาจิมองไล่ตามขาสีขาวขึ้นไปก็พบใบหน้าด้านข้างของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงยกพื้นหน้าประตูหันใบหน้าอันว่างเปล่ามาทางเขา แก้มสีซีดของเธอซูบตอบราวกับถูกเฉือนหายไป ดวงตาโต แม้จะยังมีชีวิต แต่มองไม่เห็นประกายตาที่สมกับความเป็นเด็กอยู่ในนั้นเลย การที่ผมถูกรวบเอาไว้เรียบร้อยนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ข้างๆ เธอมีหีบไม้สาน งอบ และเสื้อฟางกันฝนวางอยู่ ที่มือนั้นมีปลอกข้อมือ เธอเตรียมตัวออกเดินทางไว้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้าคือโคมาโนะรึ? ขอโทษที่มาสาย โคสึเกะซังอยู่ไหม?”
ประตูเลื่อนของห้องด้านในเปิดออกเสียงดัง ผู้หญิงรูปร่างผอมจนน่าแปลกใจว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรคลานออกมา ผู้หญิงคนนั้นหายใจหอบพลางพูดออกมาอย่างทรมาน
“ข้าคือนุอิ ภรรยาของโคสึเกะค่ะ คิดว่าท่านน่าจะรู้แล้ว สภาพก็อย่างที่เห็น...”
“ตอนนี้จะที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่มีชีวิตอยู่รอดได้ก็เก่งมากแล้ว ...โคสึเกะซังล่ะอยู่ไหม?”
“โคสึเกะหายตัวไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้วค่ะ”
“...แต่จากที่เห็น ข้าว่าเจ้าไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”
“ค่ะ เด็กคนนี้เตรียมตัวออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว ท่านจงรีบพาตัวไปเถิด”
เหมือนเธอจะให้เด็กผู้หญิงคนนี้กินอะไรเข้าไปเพื่อให้มีแรงก่อนออกเดินทางแล้ว แต่เวลาแบบนี้ เขาไม่คิดว่าหมู่บ้านนี้จะมีวิธีเอาชีวิตรอดได้เลย
อิซาจิเอาสัญญาที่ห่อด้วยกระดาษไขออกมาจากในย่ามแล้วถาม
“กินอะไรเข้าไปแล้วรึ?”
“ไม่ได้กินของที่จะบอกคนอื่นได้หรอก”
นุอิพูดขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
“หมู่บ้านนี้คนหายไปเยอะเลยนะ มีคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“มีหลายคนที่ยังไม่ตาย แต่ครึ่งหนึ่งตายไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว คนที่ยังอยู่ก็กลายเป็นปีศาจ กินทุกอย่างที่กินได้เพื่อเอาชีวิตรอด บางคนก็ออกจากหมู่บ้านไปในขณะที่ยังมีแรง มีแต่คนที่ไม่มีกำลังออกจากหมู่บ้านเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ค่ะ”
“เจ้าเองก็ออกจากหมู่บ้านไปจะดีกว่า ออกจากที่นี่ไปทางตะวันตก ถ้าโชคดีอาจจะไปถึงกระท่อมฉุกเฉิน ข้าไม่รับประกันนะ แต่อยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้แค่รอความตายเท่านั้น”
“ถ้าออกไปได้ข้าก็ไปแล้ว แต่มีลูกด้วยข้าจึงทำแบบนั้นไม่ได้”
“คนที่อยู่ในบ้าน ยกเว้นเด็กคนนี้แล้วมีเจ้าคนเดียวอย่างนั้นรึ?”
“ในห้องตรงนั้นมีน้องชายของเด็กคนนี้นอนอยู่อีกคน แต่เดินไม่ไหวแล้วล่ะ”
“ข้ามีของที่จะต้องให้ มาทำธุระให้เสร็จกันเถอะ” ว่าพลางยื่นสัญญาใบนั้นให้นุอิ
ใบสัญญาว่าจ้างเป็นจดหมายที่มีขนาดยาวกว่าหนึ่งชาคุ [1] เล็กน้อย กว้างสามชาคุ บันทึกข้อความไว้ว่า
‘วันที่สิบสามเดือนแปด ชื่อ โคมาโนะ อายุเก้าปี บ้านเกิดมณฑลโอขุ เมืองทามุระ อาสัทสึกิ เงินค่าตัวแปดเรียวสองบุ [2] สัญญาสิ้นสุดเดือนแปดเมื่ออายุปีที่ยี่สิบแปด...
หนึ่ง หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับชีวิตหรือร่างกายภายในเวลาที่กำหนด จะไม่คัดค้านและไม่รับค่าชดเชย หากเป็นความผิดพลาดของตัวเองจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย
สอง จะมีการเปลี่ยนงาน หรือไถ่ตัว
สาม ค่าใช้จ่ายหากได้รับบาดเจ็บ เป็นโรค หรือเสียชีวิต จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หากไม่สามารถรับผิดชอบได้ ผู้รับผิดชอบจะตกเป็นญาติมิตรแทน
สี่ ค่าใช้จ่ายในการตามหาตัวหรือหลบหนี หรือเงินกู้ ครอบครัวจะเป็นผู้รับผิดชอบ...’
และยังมีอื่นๆ ต่ออีก
เนื่องจากการค้ามนุษย์ถูกห้ามด้วยกฎหมายโอซาดาเมะงาคิ [3] ฉากหน้าจึงเป็นการจ้างงาน เป็นสัญญาจ้างงานแบบมีอายุ ซึ่งมีเนื้อหาสัญญาว่าจะใช้แรงงานในช่วงเวลาหนึ่งแลกกับการกู้ยืมเงิน
เมื่อนุอิรับมาก็ต้องงุนงงกับตัวหนังสือ
อิซาจิมองโคมาโนะ โคมาโนะกำลังมองตัวทากที่คลานอยู่ในความมืดตรงมุมของพื้นบ้านด้วยสายตาเหม่อลอย
‘ตัวทากจะมีพ่อแม่หรือพี่น้องไหม? และมันจะไปไหน?’ โคมาโนะกัดฟัน แม้กระทั่งน้ำตาก็ไม่มีไหลออกมา นิ่งเงียบราวกับตุ๊กตาไม้ ดูราวกับกำลังเห็นภาพซ้อนทับกับตนเองที่มองไม่เห็นอนาคต
“เจ้าหิวไหม? จากนี้ไปจะต้องเดินจนค่ำมืด จะล้มลงไปกลางทางไม่ได้นะ”
โคมาโนะยังคงจ้องมองตัวทากที่อยู่ตรงมุมพื้นบ้านด้วยสีหน้าเฉยเมย
“นี่เนื้อกวางตากแห้ง กินเสีย กินให้มีแรงขึ้นมาหน่อย”
เมื่ออิซาจิยื่นเนื้อให้ โคมาโนะก็หันมาด้วยใบหน้าที่มีความรู้สึกเป็นครั้งแรก
โคมาโนะรับมาแล้วกัดเนื้อแข็งเสียงดัง
“นุอิซัง เจ้าอ่านหนังสือออกไหม? ถ้าอ่านไม่ออก จ้องใบหนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ช่วยเขียนชื่อแล้วประทับตราลงไปได้ไหม พอออกไปจากที่นี่ ใบหนี้นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”
..........................................
[1] ชาคุ เป็นหน่วยความยาว มีระยะประมาณ 30 เซนติเมตร
[2] เรียว และ บุ เป็นหน่วยเงินตราในสมัยโบราณ โดย 4 บุ เท่ากับ 1 เรียว (ประมาณ 75,000 เยน)
[3] กฎหมายโอซาดาเมะงาคิ เป็นประมวลกฎหมายพื้นฐานที่รัฐบาลบาคุฟุของโชกุนโตกุกาวะ โยชิมุเนะเขียนขึ้นในสมัยเอโดะ มี 2 ม้วน โดยม้วนแรกจะกล่าวถึงกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและอาชญากรรม 81 มาตรา ส่วนม้วนที่สองจะบันทึกพระราชบัญญัติที่มีพื้นฐานมาจากกฎหมายฉบับเก่า บังคับใช้ตั้งแต่ปีค.ศ.1738 (ยุคเอโดะ) จนถึงปีค.ศ.1871 (ยุคเมจิ) จึงถูกยกเลิกไป
เมื่อออกจากทางเดินในป่า ท้องฟ้าก็เปิดกว้าง ฝนเย็นเยียบยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าสีหม่นไม่ขาดสาย ครั้นก้าวเดินพลางคิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วก็เจอกับป้ายบอกทาง แผ่นป้ายที่ถูกตัดเป็นรูปนิ้วมือชี้ไปยังทิศของหมู่บ้านอาสัทสึกิ
อิซาจิออกมายังพื้นที่โล่ง เดินบนทางเดินแคบๆ เชื่อมต่อจากบนภูเขาไปยังหมู่บ้าน แปลงนารูปร่างบิดเบี้ยวเชื่อมติดกัน มีบ้านสร้างหยาบๆ เหมือนเอาวัสดุมาประกอบเข้าด้วยกันอยู่ประมาณยี่สิบหลัง
หากเป็นเวลาปกติ รวงข้าวในนาจะพลิ้วไหวเป็นลูกคลื่น พืชออกผลจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในไร่แกว่งไปมาตามสายลม แต่ตอนนี้ไม่มีภาพแบบนั้นเลย มีแต่พื้นรกร้างกับสระน้ำซึ่งเต็มไปด้วยวัชพืช หากกินเมล็ดพันธุ์ข้าวจนหมด การเกษตรปีถัดไปจะต้องจบสิ้นแน่ สภาพอากาศผิดเพี้ยนมาห้าปีแล้ว อิซาจิเข้าไปในหมู่บ้านพลางเป็นกังวลว่าหมู่บ้านนี้จะถึงกาลอวสานไปเสียแล้วหรือไม่
เขาพยายามลบกลิ่นอายตัวเอง มองรอบข้างอย่างระวัดระวัง แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีมนุษย์อยู่เลย มีแต่กลิ่นของความตายลอยไปทั่ว
อิซาจิเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน
“นี่รังหนูหรือเปล่า?”
อิซาจิเอียงหูฟัง แต่กลับได้ยินเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคาฟาง เขาจึงดึงประตูไม้สุดแรง
ประตูไม้เสียดสีกับเม็ดทราย กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาพร้อมกับลมเย็นๆ จะต้องมีซากศพอยู่ข้างในบ้านสองหรือสามศพแน่นอน ครอบครัวนี้ก็ล่มสลายลงแล้วเช่นกัน
ตอนที่หันไปมองบ้านข้างๆ เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง น่าจะเป็นกลิ่นอายของคน มีคนกำลังจ้องมองท่าทีของอิซาจิอย่างสงสัยจากช่องว่างตรงกำแพงดิน
เขาเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้คนคนนั้นตกใจกลัว
“โฮ่ ไม่ใช่หนูรึ ดูท่าจะยังมีคนที่เป็นคนอยู่นะ โล่งใจจริง ข้ามีเรื่องอยากจะถามเสียหน่อย”
ผู้ที่เปิดประตูไม้ออกมาอย่างหวาดๆ เป็นเด็กที่คล้ายแมลงสาบ เด็กผู้ชายอายุราวห้าหรือหกขวบแขนขาลีบเล็ก มีเพียงแค่ท้องที่โป่งพองออกมาผิดปกติ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ามีขี้ดิน ฝุ่นผง น้ำลายและขี้มูกแข็งติด ย้อมเสื้อผ้าที่เหมือนเปลือกผีเสื้อกลางคืนจนเป็นด่างดวง
แมลงสาบตัวนั้นส่งกลิ่นเหม็นเงยหน้ามองอิซาจิด้วยตาอันปูดโปนเหมือนจะกระเด็นออกมา
“เจ้าหนู อยู่คนเดียวรึ?”
เจ้าแมลงสาบใช้ปลายลิ้นเลียน้ำมูกย้อยแล้วเอียงคอที่เหมือนจะหักได้
อิซาจิโล่งใจที่ยังสื่อสารด้วยคำพูดได้ เนื่องจากมีคนมากมายที่เสียสติไปภายใต้สภาพน่าสลดใจเช่นนี้
“บ้านโคสึเกะซังอยู่หลังไหนรึ? เขาน่าจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ หรือน่าจะพูดว่าเคยอาศัยอยู่จะดีกว่ากระมัง”
เจ้าแมลงสาบจ้องมองอิซาจิด้วยใบหน้างุนงง อิซาจิจึงเปลี่ยนวิธีถาม
“บ้านของเด็กผู้หญิงที่โตกว่าเจ้าเล็กน้อย ชื่อโคมาโนะน่ะ รู้จักไหม?”
เจ้าแมลงสาบชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
※※※※
เมฆหนาขึ้น รอบข้างมืดลงเหมือนตอนตะวันตกดิน จู่ๆ ฝนก็ตกแรงขึ้นทั้งที่ตอนนี้ยังคงเป็นเวลาก่อนบ่ายสอง
ในบ้านมีกลิ่นอายของคน เมื่อเปิดประตูไม้ก็เห็นขาสีขาวอยู่บนพื้นบ้านเลือนรางในความมืด อิซาจิมองไล่ตามขาสีขาวขึ้นไปก็พบใบหน้าด้านข้างของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงยกพื้นหน้าประตูหันใบหน้าอันว่างเปล่ามาทางเขา แก้มสีซีดของเธอซูบตอบราวกับถูกเฉือนหายไป ดวงตาโต แม้จะยังมีชีวิต แต่มองไม่เห็นประกายตาที่สมกับความเป็นเด็กอยู่ในนั้นเลย การที่ผมถูกรวบเอาไว้เรียบร้อยนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ข้างๆ เธอมีหีบไม้สาน งอบ และเสื้อฟางกันฝนวางอยู่ ที่มือนั้นมีปลอกข้อมือ เธอเตรียมตัวออกเดินทางไว้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้าคือโคมาโนะรึ? ขอโทษที่มาสาย โคสึเกะซังอยู่ไหม?”
ประตูเลื่อนของห้องด้านในเปิดออกเสียงดัง ผู้หญิงรูปร่างผอมจนน่าแปลกใจว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรคลานออกมา ผู้หญิงคนนั้นหายใจหอบพลางพูดออกมาอย่างทรมาน
“ข้าคือนุอิ ภรรยาของโคสึเกะค่ะ คิดว่าท่านน่าจะรู้แล้ว สภาพก็อย่างที่เห็น...”
“ตอนนี้จะที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่มีชีวิตอยู่รอดได้ก็เก่งมากแล้ว ...โคสึเกะซังล่ะอยู่ไหม?”
“โคสึเกะหายตัวไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้วค่ะ”
“...แต่จากที่เห็น ข้าว่าเจ้าไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”
“ค่ะ เด็กคนนี้เตรียมตัวออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว ท่านจงรีบพาตัวไปเถิด”
เหมือนเธอจะให้เด็กผู้หญิงคนนี้กินอะไรเข้าไปเพื่อให้มีแรงก่อนออกเดินทางแล้ว แต่เวลาแบบนี้ เขาไม่คิดว่าหมู่บ้านนี้จะมีวิธีเอาชีวิตรอดได้เลย
อิซาจิเอาสัญญาที่ห่อด้วยกระดาษไขออกมาจากในย่ามแล้วถาม
“กินอะไรเข้าไปแล้วรึ?”
“ไม่ได้กินของที่จะบอกคนอื่นได้หรอก”
นุอิพูดขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
“หมู่บ้านนี้คนหายไปเยอะเลยนะ มีคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“มีหลายคนที่ยังไม่ตาย แต่ครึ่งหนึ่งตายไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว คนที่ยังอยู่ก็กลายเป็นปีศาจ กินทุกอย่างที่กินได้เพื่อเอาชีวิตรอด บางคนก็ออกจากหมู่บ้านไปในขณะที่ยังมีแรง มีแต่คนที่ไม่มีกำลังออกจากหมู่บ้านเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ค่ะ”
“เจ้าเองก็ออกจากหมู่บ้านไปจะดีกว่า ออกจากที่นี่ไปทางตะวันตก ถ้าโชคดีอาจจะไปถึงกระท่อมฉุกเฉิน ข้าไม่รับประกันนะ แต่อยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้แค่รอความตายเท่านั้น”
“ถ้าออกไปได้ข้าก็ไปแล้ว แต่มีลูกด้วยข้าจึงทำแบบนั้นไม่ได้”
“คนที่อยู่ในบ้าน ยกเว้นเด็กคนนี้แล้วมีเจ้าคนเดียวอย่างนั้นรึ?”
“ในห้องตรงนั้นมีน้องชายของเด็กคนนี้นอนอยู่อีกคน แต่เดินไม่ไหวแล้วล่ะ”
“ข้ามีของที่จะต้องให้ มาทำธุระให้เสร็จกันเถอะ” ว่าพลางยื่นสัญญาใบนั้นให้นุอิ
ใบสัญญาว่าจ้างเป็นจดหมายที่มีขนาดยาวกว่าหนึ่งชาคุ [1] เล็กน้อย กว้างสามชาคุ บันทึกข้อความไว้ว่า
‘วันที่สิบสามเดือนแปด ชื่อ โคมาโนะ อายุเก้าปี บ้านเกิดมณฑลโอขุ เมืองทามุระ อาสัทสึกิ เงินค่าตัวแปดเรียวสองบุ [2] สัญญาสิ้นสุดเดือนแปดเมื่ออายุปีที่ยี่สิบแปด...
หนึ่ง หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับชีวิตหรือร่างกายภายในเวลาที่กำหนด จะไม่คัดค้านและไม่รับค่าชดเชย หากเป็นความผิดพลาดของตัวเองจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย
สอง จะมีการเปลี่ยนงาน หรือไถ่ตัว
สาม ค่าใช้จ่ายหากได้รับบาดเจ็บ เป็นโรค หรือเสียชีวิต จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หากไม่สามารถรับผิดชอบได้ ผู้รับผิดชอบจะตกเป็นญาติมิตรแทน
สี่ ค่าใช้จ่ายในการตามหาตัวหรือหลบหนี หรือเงินกู้ ครอบครัวจะเป็นผู้รับผิดชอบ...’
และยังมีอื่นๆ ต่ออีก
เนื่องจากการค้ามนุษย์ถูกห้ามด้วยกฎหมายโอซาดาเมะงาคิ [3] ฉากหน้าจึงเป็นการจ้างงาน เป็นสัญญาจ้างงานแบบมีอายุ ซึ่งมีเนื้อหาสัญญาว่าจะใช้แรงงานในช่วงเวลาหนึ่งแลกกับการกู้ยืมเงิน
เมื่อนุอิรับมาก็ต้องงุนงงกับตัวหนังสือ
อิซาจิมองโคมาโนะ โคมาโนะกำลังมองตัวทากที่คลานอยู่ในความมืดตรงมุมของพื้นบ้านด้วยสายตาเหม่อลอย
‘ตัวทากจะมีพ่อแม่หรือพี่น้องไหม? และมันจะไปไหน?’ โคมาโนะกัดฟัน แม้กระทั่งน้ำตาก็ไม่มีไหลออกมา นิ่งเงียบราวกับตุ๊กตาไม้ ดูราวกับกำลังเห็นภาพซ้อนทับกับตนเองที่มองไม่เห็นอนาคต
“เจ้าหิวไหม? จากนี้ไปจะต้องเดินจนค่ำมืด จะล้มลงไปกลางทางไม่ได้นะ”
โคมาโนะยังคงจ้องมองตัวทากที่อยู่ตรงมุมพื้นบ้านด้วยสีหน้าเฉยเมย
“นี่เนื้อกวางตากแห้ง กินเสีย กินให้มีแรงขึ้นมาหน่อย”
เมื่ออิซาจิยื่นเนื้อให้ โคมาโนะก็หันมาด้วยใบหน้าที่มีความรู้สึกเป็นครั้งแรก
โคมาโนะรับมาแล้วกัดเนื้อแข็งเสียงดัง
“นุอิซัง เจ้าอ่านหนังสือออกไหม? ถ้าอ่านไม่ออก จ้องใบหนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ช่วยเขียนชื่อแล้วประทับตราลงไปได้ไหม พอออกไปจากที่นี่ ใบหนี้นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”
..........................................
[1] ชาคุ เป็นหน่วยความยาว มีระยะประมาณ 30 เซนติเมตร
[2] เรียว และ บุ เป็นหน่วยเงินตราในสมัยโบราณ โดย 4 บุ เท่ากับ 1 เรียว (ประมาณ 75,000 เยน)
[3] กฎหมายโอซาดาเมะงาคิ เป็นประมวลกฎหมายพื้นฐานที่รัฐบาลบาคุฟุของโชกุนโตกุกาวะ โยชิมุเนะเขียนขึ้นในสมัยเอโดะ มี 2 ม้วน โดยม้วนแรกจะกล่าวถึงกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและอาชญากรรม 81 มาตรา ส่วนม้วนที่สองจะบันทึกพระราชบัญญัติที่มีพื้นฐานมาจากกฎหมายฉบับเก่า บังคับใช้ตั้งแต่ปีค.ศ.1738 (ยุคเอโดะ) จนถึงปีค.ศ.1871 (ยุคเมจิ) จึงถูกยกเลิกไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ