รักนี้ฉบับ(ไม่)ลับ (secret of my heart)
-
เขียนโดย สีหมอก
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.57 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
4,285 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) แรกเจอ 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“น้ำตาล มานานยัง”
เสียงคนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินลงจากตึกเรียนมาต้องชะงัก ก่อนจะหันไปยกมือไหว้หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเจ็ดปีที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเก่าๆ
“สวัสดีค่ะพี่พล น้ำมาได้สักพักแล้วค่ะ นี่ก็เพิ่งเอาสมุดการบ้านของนักเรียนไปเก็บที่โต๊ะมา”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยื่นอุปกรณ์ทาสีกำแพงวัดให้เธอช่วยถือ
พลวัตร เป็นครูสอนฟิสิกส์ที่เธอเคยเรียนพิเศษด้วยสมัยเรียนอยู่ม.ปลาย ครั้งแรกที่เจอกันเธอเองแอบปลื้มเขาอยู่ไม่น้อย เพราะรูปร่างหน้าตาที่หล่อเข้มกับความมีน้ำใจของเขา ทำให้เขาเป็นเหมือนผู้ชายในฝันที่ใครๆ ต่างพากันชื่นชม
แต่ความปลาบปลื้มได้จางหายไปเมื่อวันหนึ่งเธอกับเพื่อนสนิทที่ชื่อจอมขวัญไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า บังเอิญไปเจอเขากำลังเดินกระหนุงกระหนิงอยู่กับแฟน เขาจึงขอร้องให้พวกเธอช่วยปิดความลับนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้เนื่องจากกลัวว่าครอบครัวจะรับไม่ได้ เหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เราสนิทกัน ตอนนี้ทั้งเธอและเขาก็เป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งนี้ด้วยกัน
“พี่ว่าทุกคนน่าจะมากันพร้อมแล้วเรารีบไปที่รถกันเถอะ”
“ค่ะ แล้ววันนี้แม่พี่พลทำอะไรให้กินอ่ะ”
“น่าจะเป็นแกงเขียวหวานไก่…พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่ออกมาก่อนน่ะ”
“อ้าว…พี่พลไม่ได้เอากับข้าวมาด้วยเหรอ”
“จริงซิ! พี่ก็ลืมบอกเธอไปว่าวันนี้ไอ้ภูมันจะไปกับเราด้วย พี่เลยใช้ให้มันเป็นคนเอาของกินตามมาทีหลัง”
ไอ้ภู ที่พลวัตรหมายถึงคงเป็นภูธเนศน้องชายวัยสามสิบปี ที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย จีบคนนั้นทีคนนี้ที ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าจนทำให้คนครอบครัวหนักใจและอดเป็นห่วงไม่ได้กับพฤติกรรมความเจ้าชู้
เป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยที่ภูธเนศจะไปด้วย เท่าที่เธอรู้เขาไม่ค่อยกินเส้นกับพี่ชายตัวเองสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเขาสองคนเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันและมักทะเลาะเรื่องไร้สาระกันเป็นประจำ
“พี่ภูน่ะเหรอ พูดจริงดิ!”
“ก็จริงน่ะซิ เห็นมันบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ ฉันก็เลยชวนมันมาเป็นกรรมกรซะเลย”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอเดาว่าวันนี้ภูธเนศคงจะโดนพี่ชายตัวเองแกล้งใช้ให้ทำงานหนักไม่น้อย
“ก็ดีค่ะ น้ำจะได้ไม่ต้องโชว์แมนเป็นผู้หญิงถึก”
“อย่างหล่อนไม่ต้องโชว์ก็รู้ว่าถึกย่ะ”
รมิดาย่นหน้าทันทีกับความถึกที่พลวัตรมอบให้ ก่อนจะทำท่าสะบัดผมใส่เขา “เชอะ! ตุ๊ดยักษ์”
“พล” เสียงเรียกที่ดังขึ้นเปรียบเสมือนระฆังพักยก ทำให้เธอกับพลวัตรต้องหันไปมองที่มาของต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือชายหนุ่มที่ยืนพิงอยู่ข้างรถกระบะสีดำและเป็นคนเดียวกับที่ถูกพูดถึงเมื่อสักครู่นี้
“นั่นไง! ตายยากจริง แล้วชาตินี้มันจะไม่คิดเรียกพี่นำหน้าชื่อฉันอีกแล้วใช่ไหม” พลวัตรบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินไปหาน้องชายตัวเอง ทำเอาคนที่เดินมาด้วยกันหัวเราะเสียงดังกับอาการขี้บ่นที่แก้ไม่หายของชายหนุ่ม
“ภูแกแน่ใจนะว่าจะใส่ชุดนี้ทาสี” เสียงจิกกัดของพลวัตรดังขึ้นทันทีที่เดินเข้าไปใกล้
ภูธเนศเลิกคิ้วสงสัย ก่อนก้มสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง... พลวัตรกลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายในความโง่ของน้องชายที่แกล้งไม่เข้าใจความหมาย “แกไม่กลัวชุดนี้มันเลอะเหรอไง”
ภูธเนศไหวไหล่เป็นคำตอบ ราวกลับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรหากชุดนี้จะเปื้อนหรือเลอะเทอะแค่ไหนก็ตาม
“แล้วแต่แกเหอะ” พลวัตรสวนกลับด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้คนที่มีปากแต่ไม่ยอมใช้
“สวัสดีค่ะพี่ภู” รมิดายกมือไหว้ชายหนุ่มร่างโปร่งที่สวมชุดเสื้อยืดขาวกับกางเกงผ้าชิโน่สีเบจ รองเท้าผ้าใบสีขาว เรียกได้ว่าเขาแต่งตัวที่ดูดีมากทีเดียว ไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปทาสีกำแพงวัดจริงๆ นั่นแหละ
“สวัสดีครับ” ภูธเนศตอบรับคำทักทาย ก่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใครแล้วรู้จักเขาได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะถามเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง
“ชื่อน้ำตาลค่ะ เราเคยเจอกันแล้วสองถึงสามครั้งที่บ้านของพี่” เมื่อดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะจำเธอไม่ได้ หญิงสาวจึงแนะนำตัวเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของเธอกับเขา ถ้าคิดในแง่ดีอาจเป็นเพราะเขาเจอเธอแค่ไม่กี่ครั้งและแต่ละครั้งก็ไม่เคยคุยกันจริงๆ จัง มันก็คงไม่แปลกอะไรถ้าหากเขาจะจำเธอไม่ได้
ภูธเนศพยักหน้ารับรู้ “โทษทีที่จำน้องไม่ได้..พอดีพี่ความจำไม่ค่อยดีน่ะ”
ทว่า..ความรู้สึกลึกๆ ข้างในมันกำลังร้องบอกว่าเธอไม่สวยและไม่น่าจดจำต่างหาก หากเวลานี้คนที่ยืนอยู่ไม่ใช่เธอแต่เป็นจอมขวัญ ชายตรงหน้าคงจะจำได้ดีและไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวซ้ำๆ หลายรอบแบบเธอ คำแก้ตัวของชายหนุ่มทำเอารมิดาไปไม่ถูกเหมือนกันนอกจากพยักหน้าเข้าใจและยิ้มให้
“แกจำน้ำตาลไม่ได้จริงเหรอ?” พลวัตรถามย้ำอีกครั้ง
“อืม..” ภูธเนศตอบรับอย่างเนือยๆ ก่อนจะเหลือบมองและส่งยิ้มน้อยให้รมิดา
พลวัตรหรี่ตามองน้องชายอย่างจับผิด เพราะถึงอย่างไรเขาไม่เชื่อว่าคนที่เรียนจบนิติศาสตร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจะมีความจำไม่ดีอย่างเจ้าตัวบอก ในเมื่อก่อนหน้านี้ยังถามถึงรมิดาอยู่เลย
“นี่ก็สายมากแล้ว เรารีบเดินทางกันดีกว่านะคะ” รมิดาเอ่ยทำลายความเงียบ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจการกระทำของพลวัตรมากนักที่เขาพยายามจับผิดน้องชายไม่เลิกว่าทำไมถึงจำเธอไม่ได้
สำหรับเธอมันเป็นเรื่องปกติหากใครจะจำเธอไม่ได้ เพราะตั้งแต่เด็กเธอก็มักจะเป็นคนที่ถูกมองข้ามมาตลอดไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัว... เพราะหน้าตาที่ไม่ดีเหมือนคนอื่นในครอบครัว ญาติๆ ส่วนใหญ่ก็มักเอ็นดูพี่ชายของเธอมากกว่า ส่วนเธอเรียกได้ว่าเป็นเหมือนอากาศธาตุเลยทีเดียว....
แต่ช่างเถอะ เธอควรทำใจให้ชินกับความสวยน้อยของเธอมากกว่าการตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บใจเล่น
“ฉันจะเชื่อว่าแกเลือกจำเฉพาะคนสวย” พลวัตรแขวะน้องชาย เมื่อเห็นว่าภูธเนศยังคงนิ่งและแสดงท่าทีทำเป็นไม่รู้จักรมิดาต่อ ‘งั้นวันนี้แกก็อย่าหวังมายุ่งกับสาวน้อยของเขาแล้วกัน’ เขาคิดก่อนจะดึงรมิดามาใกล้ตัวแล้วพาเดินไปหากลุ่มนักเรียน
เสียงคนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินลงจากตึกเรียนมาต้องชะงัก ก่อนจะหันไปยกมือไหว้หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเจ็ดปีที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเก่าๆ
“สวัสดีค่ะพี่พล น้ำมาได้สักพักแล้วค่ะ นี่ก็เพิ่งเอาสมุดการบ้านของนักเรียนไปเก็บที่โต๊ะมา”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยื่นอุปกรณ์ทาสีกำแพงวัดให้เธอช่วยถือ
พลวัตร เป็นครูสอนฟิสิกส์ที่เธอเคยเรียนพิเศษด้วยสมัยเรียนอยู่ม.ปลาย ครั้งแรกที่เจอกันเธอเองแอบปลื้มเขาอยู่ไม่น้อย เพราะรูปร่างหน้าตาที่หล่อเข้มกับความมีน้ำใจของเขา ทำให้เขาเป็นเหมือนผู้ชายในฝันที่ใครๆ ต่างพากันชื่นชม
แต่ความปลาบปลื้มได้จางหายไปเมื่อวันหนึ่งเธอกับเพื่อนสนิทที่ชื่อจอมขวัญไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า บังเอิญไปเจอเขากำลังเดินกระหนุงกระหนิงอยู่กับแฟน เขาจึงขอร้องให้พวกเธอช่วยปิดความลับนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้เนื่องจากกลัวว่าครอบครัวจะรับไม่ได้ เหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เราสนิทกัน ตอนนี้ทั้งเธอและเขาก็เป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งนี้ด้วยกัน
“พี่ว่าทุกคนน่าจะมากันพร้อมแล้วเรารีบไปที่รถกันเถอะ”
“ค่ะ แล้ววันนี้แม่พี่พลทำอะไรให้กินอ่ะ”
“น่าจะเป็นแกงเขียวหวานไก่…พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่ออกมาก่อนน่ะ”
“อ้าว…พี่พลไม่ได้เอากับข้าวมาด้วยเหรอ”
“จริงซิ! พี่ก็ลืมบอกเธอไปว่าวันนี้ไอ้ภูมันจะไปกับเราด้วย พี่เลยใช้ให้มันเป็นคนเอาของกินตามมาทีหลัง”
ไอ้ภู ที่พลวัตรหมายถึงคงเป็นภูธเนศน้องชายวัยสามสิบปี ที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย จีบคนนั้นทีคนนี้ที ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าจนทำให้คนครอบครัวหนักใจและอดเป็นห่วงไม่ได้กับพฤติกรรมความเจ้าชู้
เป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยที่ภูธเนศจะไปด้วย เท่าที่เธอรู้เขาไม่ค่อยกินเส้นกับพี่ชายตัวเองสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเขาสองคนเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันและมักทะเลาะเรื่องไร้สาระกันเป็นประจำ
“พี่ภูน่ะเหรอ พูดจริงดิ!”
“ก็จริงน่ะซิ เห็นมันบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ ฉันก็เลยชวนมันมาเป็นกรรมกรซะเลย”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอเดาว่าวันนี้ภูธเนศคงจะโดนพี่ชายตัวเองแกล้งใช้ให้ทำงานหนักไม่น้อย
“ก็ดีค่ะ น้ำจะได้ไม่ต้องโชว์แมนเป็นผู้หญิงถึก”
“อย่างหล่อนไม่ต้องโชว์ก็รู้ว่าถึกย่ะ”
รมิดาย่นหน้าทันทีกับความถึกที่พลวัตรมอบให้ ก่อนจะทำท่าสะบัดผมใส่เขา “เชอะ! ตุ๊ดยักษ์”
“พล” เสียงเรียกที่ดังขึ้นเปรียบเสมือนระฆังพักยก ทำให้เธอกับพลวัตรต้องหันไปมองที่มาของต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือชายหนุ่มที่ยืนพิงอยู่ข้างรถกระบะสีดำและเป็นคนเดียวกับที่ถูกพูดถึงเมื่อสักครู่นี้
“นั่นไง! ตายยากจริง แล้วชาตินี้มันจะไม่คิดเรียกพี่นำหน้าชื่อฉันอีกแล้วใช่ไหม” พลวัตรบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินไปหาน้องชายตัวเอง ทำเอาคนที่เดินมาด้วยกันหัวเราะเสียงดังกับอาการขี้บ่นที่แก้ไม่หายของชายหนุ่ม
“ภูแกแน่ใจนะว่าจะใส่ชุดนี้ทาสี” เสียงจิกกัดของพลวัตรดังขึ้นทันทีที่เดินเข้าไปใกล้
ภูธเนศเลิกคิ้วสงสัย ก่อนก้มสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง... พลวัตรกลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายในความโง่ของน้องชายที่แกล้งไม่เข้าใจความหมาย “แกไม่กลัวชุดนี้มันเลอะเหรอไง”
ภูธเนศไหวไหล่เป็นคำตอบ ราวกลับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรหากชุดนี้จะเปื้อนหรือเลอะเทอะแค่ไหนก็ตาม
“แล้วแต่แกเหอะ” พลวัตรสวนกลับด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้คนที่มีปากแต่ไม่ยอมใช้
“สวัสดีค่ะพี่ภู” รมิดายกมือไหว้ชายหนุ่มร่างโปร่งที่สวมชุดเสื้อยืดขาวกับกางเกงผ้าชิโน่สีเบจ รองเท้าผ้าใบสีขาว เรียกได้ว่าเขาแต่งตัวที่ดูดีมากทีเดียว ไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปทาสีกำแพงวัดจริงๆ นั่นแหละ
“สวัสดีครับ” ภูธเนศตอบรับคำทักทาย ก่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใครแล้วรู้จักเขาได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะถามเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง
“ชื่อน้ำตาลค่ะ เราเคยเจอกันแล้วสองถึงสามครั้งที่บ้านของพี่” เมื่อดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะจำเธอไม่ได้ หญิงสาวจึงแนะนำตัวเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของเธอกับเขา ถ้าคิดในแง่ดีอาจเป็นเพราะเขาเจอเธอแค่ไม่กี่ครั้งและแต่ละครั้งก็ไม่เคยคุยกันจริงๆ จัง มันก็คงไม่แปลกอะไรถ้าหากเขาจะจำเธอไม่ได้
ภูธเนศพยักหน้ารับรู้ “โทษทีที่จำน้องไม่ได้..พอดีพี่ความจำไม่ค่อยดีน่ะ”
ทว่า..ความรู้สึกลึกๆ ข้างในมันกำลังร้องบอกว่าเธอไม่สวยและไม่น่าจดจำต่างหาก หากเวลานี้คนที่ยืนอยู่ไม่ใช่เธอแต่เป็นจอมขวัญ ชายตรงหน้าคงจะจำได้ดีและไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวซ้ำๆ หลายรอบแบบเธอ คำแก้ตัวของชายหนุ่มทำเอารมิดาไปไม่ถูกเหมือนกันนอกจากพยักหน้าเข้าใจและยิ้มให้
“แกจำน้ำตาลไม่ได้จริงเหรอ?” พลวัตรถามย้ำอีกครั้ง
“อืม..” ภูธเนศตอบรับอย่างเนือยๆ ก่อนจะเหลือบมองและส่งยิ้มน้อยให้รมิดา
พลวัตรหรี่ตามองน้องชายอย่างจับผิด เพราะถึงอย่างไรเขาไม่เชื่อว่าคนที่เรียนจบนิติศาสตร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจะมีความจำไม่ดีอย่างเจ้าตัวบอก ในเมื่อก่อนหน้านี้ยังถามถึงรมิดาอยู่เลย
“นี่ก็สายมากแล้ว เรารีบเดินทางกันดีกว่านะคะ” รมิดาเอ่ยทำลายความเงียบ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจการกระทำของพลวัตรมากนักที่เขาพยายามจับผิดน้องชายไม่เลิกว่าทำไมถึงจำเธอไม่ได้
สำหรับเธอมันเป็นเรื่องปกติหากใครจะจำเธอไม่ได้ เพราะตั้งแต่เด็กเธอก็มักจะเป็นคนที่ถูกมองข้ามมาตลอดไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัว... เพราะหน้าตาที่ไม่ดีเหมือนคนอื่นในครอบครัว ญาติๆ ส่วนใหญ่ก็มักเอ็นดูพี่ชายของเธอมากกว่า ส่วนเธอเรียกได้ว่าเป็นเหมือนอากาศธาตุเลยทีเดียว....
แต่ช่างเถอะ เธอควรทำใจให้ชินกับความสวยน้อยของเธอมากกว่าการตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บใจเล่น
“ฉันจะเชื่อว่าแกเลือกจำเฉพาะคนสวย” พลวัตรแขวะน้องชาย เมื่อเห็นว่าภูธเนศยังคงนิ่งและแสดงท่าทีทำเป็นไม่รู้จักรมิดาต่อ ‘งั้นวันนี้แกก็อย่าหวังมายุ่งกับสาวน้อยของเขาแล้วกัน’ เขาคิดก่อนจะดึงรมิดามาใกล้ตัวแล้วพาเดินไปหากลุ่มนักเรียน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ