รักนี้ฉบับ(ไม่)ลับ (secret of my heart)

-

เขียนโดย สีหมอก

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.57 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,388 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) แรกเจอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดส่องมายังหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เสียงของนกน้อยต่างประสานกันต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใสราวกับบอกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงว่า...ได้เวลาตื่นแล้ว

          หญิงสาวบนเตียงนอนนุ่มๆ ตื่นขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนจะลุกจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว เมื่ออยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทาพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีซีดที่พร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว ร่างสมส่วนของหญิงสาวจึงก้าวเดินลงบันไดมายังห้องครัวพร้อมกับสมุดกองใหญ่ในอ้อมแขน

          "เช้านี้มีอะไรกินคะแม่" เธอเอ่ยถามหญิงวัยหกสิบห้าปีที่กำลังง่วนกับการทำกับข้าวอยู่หน้าเตา

          "มีข้าวผัดหมู แม่เพิ่งทำเสร็จจะกินเลยไหม" คนสูงวัยหันมาตอบลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

          "กินเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย" ว่าแล้วรมิดาก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวประจำ

          "วันนี้วันเสาร์ทำไมยังต้องไปโรงเรียนอีกล่ะ" เปรมจิตมองลูกสาวอย่างสงสัยทั้งที่ปกติลูกของเธอมักจะออกไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านข้างๆ ไม่ก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่า

          'รมิดา รุ้งมณี' หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปี เจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสองชั้นเรียวคม ขนตายาว เส้นผมหนาตรงสีน้ำตาลเข้มที่ถูกรวบตึงเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ ผิวของเธอนั้นไม่จัดว่าขาว แต่ก็ไม่ถึงกับดำซะทีเดียว เธอเป็นครูสอนวิชาชีววิทยาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในเชียงใหม่

          แม่ของเธอชื่อเปรมจิต แม่แต่งงานกับพ่อแล้วมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจอยู่สองคน คือเธอกับพี่ชาย เธอห่างกับพี่ชายเกือบสิบห้าปี แต่ก็อย่างว่าแหละเวลาคนเราไม่เท่ากัน พี่ชายของเธอเสียเพราะเป็นมะเร็งตอนนั้นเธออายุได้แค่สิบสี่ปี พออายุได้สิบเจ็ดปีพ่อก็ทิ้งเธอกับแม่ไปอีกคนด้วยโรคไต เธอจึงมีแม่เพียงคนเดียวที่คอยเป็นกำลังใจให้ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่หญิงสูงวัยตรงหน้าเธอยังคงดูสวยสง่าเหมือนเดิมไม่ต่างจากสิบปีที่แล้วมากนัก

          "ก็วันนี้น้ำนัดกับพี่พลไว้ว่าจะไปช่วยทาสีรั้วที่วัดค่ะ" เธอยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่เธอและพี่พลจะพานักเรียนชั้นมอหกห้องหนึ่งไปทำความดีให้กับสังคม

          "งั้นก็รีบๆ กินซะ เดี๋ยวพี่พลจะรอนาน" น้ำเสียงเข้มของผู้เป็นแม่พร้อมกับจานข้าวผัดที่วางตรงหน้าบอกได้เป็นอย่างดีว่า 'อย่าช้านะ' เปรียบเหมือนการเร่งเธอให้รีบๆ กินแล้วรีบๆ ไปชัดๆ เธอส่ายหน้ากับนิสัยของแม่เธอจริงๆ ที่พร้อมจะผลักลูกสาวคนเดียวตกกระป๋องทุกทีถ้ามีพี่พลมาเกี่ยวข้อง อ๋อ...แล้วพี่พลคนนี้เป็นใครน่ะเหรอ เขาคือครูสอนฟิสิกส์หัวใจหวานแหววที่เธอนับถือเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ น่ะซิ

          รมิดามองหน้าที่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาก่อนจะประชดกลับด้วยเสียงหมั่นไส้ "เจ้าค่ะ ใครจะกล้าให้ลูกสาวนอกไส้ของแม่รอนานล่ะคะ"

คำประชดของลูกสาวนั้นทำให้ผู้เป็นแม่อมยิ้มแล้วส่ายหน้ากับความไม่รู้จักโตของลูกคนนี้สักที ไม่ใช่ว่าเธอเห็นคนอื่นดีกว่าลูกหรอกนะ เพราะถึงอย่างไรเสียรมิดาก็เป็นลูกที่เธอภูมิใจ

          "แม่คะข้างบ้านเรามีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้วเหรอคะ น้ำเห็นมีรถจอดอยู่"

          "อืม..คงจะอย่างนั้นนะ แม่เห็นมีคนงานย้ายของเข้าบ้านตั้งแต่วันพฤหัสเย็นแล้ว"

          "บ้านเขาสวยดีนะคะแม่ เจ้าของบ้านคงจะรวยน่าดู"

          "จะไม่ให้รวยได้ไง เห็นป้าแก้วแกบอกว่าเจ้าของบ้านเป็นหมอ"

          "หมอเหรอคะ หล่อไหมแม่" รมิดาถามอย่างสนอกสนใจ เพราะถ้าหากมีหมออยู่ข้างบ้านจริง เธอจะได้อุ่นใจฝากให้เขาช่วยดูแลแม่ของเธอได้ด้วย อีกอย่างเธอคงจะได้กินของอร่อยๆ จากแม่และป้าๆ ที่ชอบทำขนมแจกกันบ่อยขึ้น

          "ไม่รู้เหมือนกันซิแม่ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย วันนี้แม่ก็ตั้งใจจะทำกล้วยบวชชีไปฝากอยู่เหมือนกัน" ว้าว! วันนี้เย็นมีกล้วยบวชชีด้วย เป็นอย่างที่คาดไม่ผิดคงต้องขอบคุณบ้านข้างๆ ซินะที่ทำให้เธอได้กินของอร่อยๆ

          "ถ้าหมอหล่อก็อย่าลืมบอกน้ำด้วยนะ น้ำจะได้รีบไปทำความรู้จักไว้" แค่คิดรมิดาก็อยากจะเจอหน้าเจ้าของบ้านจริงๆ จะได้ผูกมิตรกันไว้ เผื่อจะได้ของกินเป็นของกำนันเล็กๆ น้อยๆ

          "ดูพูดเข้าเป็นสาวเป็นนาง เดี๋ยวมีใครมาได้ยินคงคิดว่าแกอยากมีผัวจนตัวสั่นหรอก" เปรมจิตที่รู้ทันความคิดของลูกสาวจึงพูดแขวะลูกสาวด้วยความหมั่นไส้

          "โห..แรงอ่ะ แล้วถ้าน้ำบอกว่าอยากมีผัวเป็นหมออ่ะ แม่จะว่ายังไง"

          โป๊ก!

          "หมอเขาคงจะเอาแกหรอกนะ แล้วถ้าเกิดเขามีลูกมีเมียแล้ว ไม่ก็เป็นอย่างพลแกจะเอาไหมล่ะ"

          "แม่มันเจ็บนะตีมาได้! นี่หัวลูกแม่นะ ถ้าน้ำชอบซะอย่างใครก็ฉุดไม่อยู่หรอกต่อให้ลูกแปดเมียสามก็ตามเถอะ หรือถ้าเป็นแบบพี่พลจริงๆ น้ำก็จะเชียร์ให้สองคนนี้รักกันไปเลย" หญิงสาวสัพยอกคนเป็นแม่กลับด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างสนุกสนาน

          ทำเอาผู้เป็นแม่ต้องระบายลมหายใจทิ้งกับจินตนาการของลูกสาว เพราะเธอรู้ว่ารมิดาไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อลูกเธอมีโลกส่วนตัวสูงเกินกว่าจะยอมทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับตัวเอง แต่ถ้าเรื่องแกล้งคนก็ไม่แน่เหมือนกัน

          "แกนี่พูดมากจริงรีบๆ กินเดี๋ยวพี่พลจะรอนาน"

          เชื่อเขาเลย..แม่ฉันอะไรก็พี่พล จนเธอเคยนึกอยากจะเกิดเป็นผู้ชายแล้วไปตามจีบเขามาเป็นลูกสะใภ้แม่ซะเลย เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินเข้ามาในบ้านทำให้บทสนทนาของสองแม่ลูกต้องหยุดชะงักลง

          "เออ..สวัสดีครับ" เสียงทุ้มของผู้มาใหม่เอ่ยทัก ด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย

          รมิดามองชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ที่กำลังเดินเข้ามาในครัว เขาอยู่ในเสื้อชุดสูทเหมือนพวกนักธุรกิจ ส่วนสูงราวๆ ร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ด้วยท่าทางคุณชายและบุคลิกที่ภูมิฐานนั้นทำให้เธอคิดว่าเขาคงจะเป็นคนมีชาติตระกูลดี เพราะผิวพรรณของเขาขาวผ่องอย่างกับว่าไม่เคยตากแดดตากลมหรือแม้แต่จะทำงานกลางแจ้ง อีกทั้งใบหน้าเรียวยาวคมเข้มที่ออกแนวสไตล์ลูกครึ่งนั้นยิ่งทำให้เขาดูดีมากเกินกว่าจะเป็นพวกขายประกัน "คุณเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันทำไม"

          หญิงสูงวัยดุลูกสาวทางสายตาที่เสียมารยาทกับแขก ก่อนจะทักทายหนุ่มปริศนารูปงามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร "สวัสดีค่ะ คุณมาในบ้านป้ามีอะไรให้ป้าช่วยรึป่าวคะ"

          "ผมชื่ออนาวินเป็นเจ้าของบ้านข้างๆ น่ะครับ ผมเห็นว่าประตูบ้านเปิดอยู่ก็เลยถือวิสาสะเดินเข้ามา ต้องขอโทษด้วยนะครับ"

          ทันทีที่สิ้นคำแนะนำตัว รมิดาต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจก่อนจะส่งรอยยิ้มเจื่อนให้กับเพื่อนบ้านคนใหม่ แม้ว่าเธออยากจะรู้จักเขาจริงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้ เพราะมีความเป็นไปสูงว่าชายหนุ่มรับรู้ถึงบทสนทนาของเธอเมื่อสักครู่นี้ แค่คิดเธอก็อยากจะมุดหน้าลงจานข้าวจริงๆ 'ไม่น่าเลย' พูดเล่นจนได้เรื่องแล้วไง ความฝันที่จะได้ของกินอร่อยๆ ดับวูบไปในพริบตา

          "อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะพ่อหนุ่ม มาๆ เข้ามานั่งตรงนี้ก่อน" เมื่อผู้เป็นแม่ตั้งสติได้ก่อนลูกสาว จึงเชื้อเชิญแขกมานั่งที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ แม่ก็ช่างเข้าใจคิดนะให้ลูกได้เห็นความหล่อของคนที่เธออยากจะจับมาเป็นสามีแบบใกล้ๆ

          "พอดีว่าผมเพิ่งกลับจากไร่ส้มของคุณลุง ผมเลยแบ่งส้มมาให้ลองทานดูน่ะครับ"

          "ขอบใจนะจ๊ะที่นึกถึงกัน ป้าชื่อเปรมจิตค่ะ...เรียกป้าจิตก็ได้ ส่วนนี่ก็ลูกสาวป้าชื่อน้ำตาล"

          "ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ" รมิดาถึงกับต้องกลั้นยิ้มฝืนๆ อย่างช่วยไม่ได้ เพราะจากที่เห็นอ่านสายตาของชายตรงหน้า เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงเพียงแต่เป็นการกล่าวตามมารยาทเท่านั้น

          ยังไม่ทันเริ่มรู้จักกัน สายตาเขาก็บอกว่าไม่ได้จากคุยกับเธอซะแล้ว...

          "ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณอนาวิน" รมิดาตอบกลับตามมารยาทเช่นเดียวกันแม้จะรู้ได้ว่าชายหนุ่มไม่ค่อยปลื้มเธอสักเท่าไหร่

          "ครับ แต่คุณป้ากับคุณเรียกผมว่าวินก็ได้ครับ" แม้น้ำเสียงและท่าทางของเขาจะดูเป็นปกติ แต่แววตาคู่นั้นฉายแววไม่สบอารมณ์ที่ต้องเจอเธอ ก็แน่แหละเป็นเธอคงไม่อยากเข้าใกล้คนที่จะจับตัวเองมาเป็นผัว..เห้ย..สามีหรอกนะ

          เมื่อรมิดาพอเข้าใจว่าทำไมอนาวินมีปฎิกิริยาแบบนี้จึงไม่อยากจะโกรธที่เห็นท่าทีไม่ชอบใจของเขา แต่เชื่อซิว่าถ้าหากเธอเป็นผู้หญิงสวยเหมือนนางแบบตามนิตยสารหรือเป็นสาวหวานน่าทะนุถนอม เขาคงรู้สึกดีกว่านี้เยอะเลย

          "จ๊ะ ว่าแต่วินเป็นหมอใช่ไหม" เปรมจิตเริ่มเปิดบทสนทนากับเพื่อนบ้านใหม่เพราะทราบมาว่าเขาเป็นหมอ

          "ใช่ครับ...ผมเป็นหมอกุมารเวชศาสตร์เพิ่งย้ายมาเป็นหมอประจำโรงพยาบาลเอกชนที่นี่น่ะครับ"

          รมิดาเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าคนที่ดูขรึมๆ อย่างเขาเป็นคนรักเด็ก

          "แล้วหมอวินกินข้าวเช้ายังคะ กินพร้อมกันไหมล่ะ ป้าทำข้าวผัดหมูไว้เยอะเลย"

          "ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปที่โรงพยาบาลแล้วครับ"

คำตอบของเขาทำรมิดาอดคิดไม่ได้ว่าที่เขาปฎิเสธรวดเร็วนั้นสาเหตุมาจากรูปร่างหน้าตาที่ไม่ชวนมองของเธอเอง

          "ไม่ต้องเกรงใจหรอกหมอวิน ถือว่าบ้านใกล้เรือนเคียงกัน น้ำตักข้าวผัดให้หมอด้วย" รมิดาเบะปากเล็กน้อยกับคำสั่ง ก่อนจะลุกไปจัดการตามความต้องการของแม่ เดาได้เลยว่าลักษณะนี้มีคนจะมาแย่งกระป๋องของเธอเพิ่มอีกคนแล้ว เมื่อเธอวางข้าวผัดตรงหน้าชายหนุ่มแล้ว จึงกลับมานั่งทานข้าวของตัวเองอย่างเงียบๆ โดยทำทีเป็นไม่สนใจชายหนุ่มตรงหน้า

          "ว่าแต่หมอวินอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ"

          "ปีนี้ก็จะสามสิบสองแล้วครับ"

          "อายุมากกว่ายายน้ำห้าปี ว่าแต่หมอแต่งงานหรือยังล่ะ"

          "ยังไม่ได้แต่งครับ แต่ผมตั้งใจว่าจะขอเวลาดูใจกับแฟนอีกสักระยะหนึ่ง จากนั้นก็คงจะขอเธอแต่งงานน่ะครับ"

          เสียงหัวเราะนิดๆ ของรมิดา ทำให้ใบหน้าของคุณหมอหันมามองอย่างสงสัยว่าเรื่องที่เขาพูดมันน่าตลกตรงไหนไม่ทราบ ทว่าหญิงสาวไม่ใส่ใจกับคำถามทางสายตาของเขา เธอหยักไหล่พร้อมรอยยิ้มซื่อๆ เป็นคำตอบแทน

แกร๊ง!

          เปรมจิตแกล้งปล่อยช้อนตกพื้นดึงความสนใจ เพราะสองหนุ่มสาวทำเหมือนจะก่อสงครามบนโต๊ะอาหาร

          "หนุ่มสาวสมัยนี้ก็แปลกนะ คนที่มีพร้อมทุกอย่างก็ไม่ยอมแต่งงานสักที ส่วนคนที่ยังไม่พร้อมก็รีบแต่งงานเหลือเกิน ป้าล่ะกลุ้มใจเหลือเกินอย่างยายน้ำน่ะก็ไม่ยอมคบใครสักทีไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีแฟนเหมือนคนอื่นหรือเปล่า"

          เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่แขวะลูกสาวพร้อมกับก้มเก็บช้อนใต้โต๊ะ อนาวินถึงกับเผลอขยับยิ้มเล็กน้อย สงสัยไม่อยากมีแฟนแต่คงอยากจะมีสามีเลยซินะ

          ให้ตายเถอะ...รอยยิ้มเขาชวนให้เธอหงุดหงิดชะมัดเลย "แม่คะ...ถ้าน้ำหาใครดีเท่าพ่อไม่ได้ น้ำจะขอเป็นโสดดีกว่าค่ะ"

          "น้ำไปก่อนนะแม่...เดี๋ยวพี่พลรอนาน น้ำขี้เกียจฟังลูกรักแม่บ่น" ว่าแล้วรมิดาก็หอมแก้มผู้เป็นแม่ ก่อนจะพยักหน้าบอกลาให้กับหมอเด็กที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสิบนาที จากนั้นจึงเดินไปหอบสมุดการบ้านกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก โดยทิ้งให้ชายหนุ่มข้างบ้านนั่งทานข้าวกับหญิงวัยชราต่อไป

          "งั้นก็ขับรถดีๆ นะลูก" เสียงตะโกนไล่ตามหลังลูกสาวไปด้วยความเป็นห่วง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา