นักรบพันธุ์โหด ตอน ณัชฐานันท์

-

เขียนโดย กนกพัชร

วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.18 น.

  88 ตอน
  62 วิจารณ์
  77.00K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

59) ตอนที่ 59 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บ้านจ่าสิบเอกสายลม เวลา 09.10 น. (14 ปี ต่อมา)

จ่าสิบเอกสายลมกำลังกระหน่ำชกกระสอบทรายอย่างบ้าคลั่ง จนกระสอบทราบนั้นแทบจะยุบลึกเข้าไปทุกทีตามแรงหมัด ใจของชายชาติทหารที่อายุปาเข้าไป 50 กว่า ไม่อาจสงบใจได้เลยนับแต่สุภารักษ์ภรรยาของเขาตายจากไป นี่ก็ผ่านมา 14 ปี แล้วความเศร้ามันก็ไม่จางหายไปและหลังจากวันนั้นมา เขากับลูกชายที่เหลือเพียงสองคนก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดกันอีกเลย แต่วันกลายเป็นวันไว้อาลัยให้กับสุภารักษ์แทน

   แต่สิ่งที่มันทำให้เขาโกรธแค้นชะยิ่งกว่าความเศร้าเสียใจคือ หลังวันที่สุภารักษณ์เสียชีวิตไปนั้นร้อยโทอัครเดชทำการสืบสวนเองทั้งหมดและพบคนที่ลงมือสังหารภรรยาของจ่าสิบเอกสายลม เพราะกล้องวงจรปิดฉายให้เห็นใบหน้าของคนที่ลงมือได้ชัดเจน และใบหน้าของมือปืนนั้นกลับเป็นคนที่เขาดันคุ้นเคยดี แฟรงกี้ คาวาซอส ลูกชายเพียงคนเดียวของ อดัม คาวาซอส เจ้าของท่าเรือขนส่งสินค้าซึ่งอดีตนายอนันต์พ่อของจ่าสิบเอกสายลมเคยทำงานในสมัยยังเด็ก และยังเป็นที่ที่จบชีวิตพ่อของเขาด้วย

    จ่าสิบเอกสายลมรู้จักแฟรงกี้อย่างดีเพราะสมัยเด็ก แฟรงกี้มักชอบยกพวกเด็กเกเรมารุมรังแกเด็กลูกกคนงานของพ่อตัวเองเป็นประจำ ล่าสุดที่เขาได้ข่าวคือเจ้าแฟรงกี้คนนี้ยิ่งโตยิ่งก่อปัญหาไว้มากมาย ให้พ่อสุดร่ำรวยนั้นตามมาเช็ดก้นแก้ปัญหาด้วยเงินเสมอ เขาคิดมาตลอดว่าตนอุตส่าห์ย้ายออกมาจากที่นั้นแล้ว คงจะไม่ต้องพบเจอไอ้คนประเภทนี้อีกแต่คิดผิดมหันต์ เมื่อร้อยโทอัครเดชเปิดเผยข้อมูลว่าแฟรงกี้ผงาดขึ้นจากการที่มันลงมือฆ่าหัวหน้าแก๊งแมงป๋องคนก่อน แล้วขึ้นมากุมบังเหียนแทนพร้อมกับขยายกิจการผิดกฎหมายแทบทุกอย่าง

    แต่ประเด็นหลักที่จ่าสิบเอกสายลมโฟกัสจริงๆ คือแฟรงกี้นั้นจงใจที่จะยิงใส่สุภารักษ์ราวกับมันรู้ว่าเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แม้ว่าจะมีหลักฐานครบทุกอย่างทั้งใบหน้าและลายนิ้วมือแต่ กลับกลายเป็นว่านอกจากไม่สามารถจับกุมทั้งแก๊งได้ ร้อยโทอัครเดชเพื่อนรักของเขาถูกสังหารขณะปฏิวัติหน้าที่ด้วย ซึ่งเขาเชื่อว่าเพื่อนของเขาถูกสั่งเก็บแต่มันก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ และแล้วคดีนี้ก็หายเงียบไปเพราะไม่มีใครกล้ารับทำต่อ นั้นย่อมแปลว่าสุภารักษ์และร้อยโทอัครเดชตายเปล่า

    หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์กับกระสอบทรายแล้ว เขาก็เดินมาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มบริเวณนั้นเต็มไปด้วยกล่องขวดเหล้า และขวดเปล่าอีก 10-20 ขวดวางไม่เป็นที่กระจัดกระจายไปทั่ว แต่จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรนอกจากต้องการที่จะดื่ม ดื่ม ดื่มอย่างเดียวเท่านั้น สักพักเขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาหาซึ่งนั้นทำให้เขาคว้าปืนพกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเล็งไปที่ตรงทางเสียงเพื่อเป่ากบาลผู้บุกรุกแต่ความคิดก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคย

    "พ่อจะยิงผมจริงๆเหรอ" เสียงของจิณณาวัฒน์ร้องทักขึ้น ทำให้จ่าสิบเอกสายลมลดปืนลง

    "เอ็งมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงเลยนี่ ข้าก็นึกว่ามีคนบุกบ้าน"

    เรือเอกจิณณาวัฒน์หันซ้ายและหันขวามองไปรอบๆบ้าน ชายหนุ่มจำได้ว่ามันเคยดูดีกว่านี้แต่เขาเข้าใจดีว่าพ่อของตนนั้น ยังทำใจเรื่องการตายของแม่ไม่ได้ และเจ็บแค้นต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากลงกับขวดเหล้า ใช่ มันเป็นภาพติดตาเขาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เขาอายุ 21 ปีแล้ว จ่าสิบเอกสายลมก็ไม่ยอมเลิกดื่มเหล้าย้อมใจสักที ที่สำคัญพ่อขาดงานราชการหลายครั้งแต่โชคดีตรงที่ เพื่อนเก่าอย่างร้อยเอกสตีเว่นส์ที่ตอนนี้ได้เลื่อนยศเป็นพันเอก แอบลงในเอกสารว่าพ่อป่วยเรื้อรังซึ่งมันก็ช่วยได้มากเลยทีเดียว

    ผลกระทบจากการที่จ่าสิบเอกสายลมตัดขาดกับโลกภายนอกนั้น เขาในฐานะลูกรับไปเต็มๆไม่ว่าจะเป็นงานจบหลักสูตรบรรจุเข้ากองรบพิเศษกองทัพเรือ งานแต่งงานระหว่างเขากับร้อยตรีหญิงชลธิชา และล่าสุดวันที่ภรรยาของเขาคลอดลูกจ่าสิบเอกสายลมก็ไม่เคยออกนอกบ้านมามีส่วนร่วมในชีวิตครอบครัวของเขาเลย และปัจจุบันนี้ตัวเล็กของเขาอายุ 5 ขวบเข้าไปแล้วแทบไม่เคยเห็นหน้าปู่สักทีไอ้จะพามาเรือเอกจิณณาวัฒน์ก็ไม่อยากให้พ่อของเขา เป็นไอ้ขี้เมาในสายตาของลูกน้อยเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงกับพ่อดี     

    "พ่อ จำผู้พันสตีเว่นส์เพื่อนพ่อได้ไหมเขาพยายามติดต่อพ่อ เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วยอยากให้พ่อติดต่อกลับ" เรือเอกจิณณาวัฒน์กล่าวพร้อมหยิบขวดเหล้าที่จ่าสิบเอกสายลมกินหมดใส่ถุงขยะ

    "ข้าไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น" จ่าสิบเอกสายลมพูดอย่างไม่มีสติ ซึ่งเรือเอกจิณณาวัฒน์ทนไม่ไหวจึงได้ทำสิ่งที่เขาน่าจะทำตั้งนานแล้วคือ แย่งขวดเหล้าออกจากมือของพ่อแล้วจับมันยัดใส่ถุงขยะ นั้นทำให้จ่าสิบเอกสายลมไม่พอใจอย่างมาก

    "พ่อเลิกทำแบบนี้สักทีได้ไหมนี่มันผ่านมา 14 ปี แล้วนะพ่อควรปล่อยวางได้แล้ว" สิ้นคำพูดของเรือเอกจิณณาวัฒน์ จ่าสิบเอกสายลมพุ่งตัวเข้ามาล็อคคอลูกชายตัวเองทันที แววตาของเขาที่มองหน้าอีกฝ่ายไม่ใช่สายตาของพ่อที่มองลูกเลย นี่แค้นจนหน้ามืดตามัวเลยรึ

    "ปล่อยวาง ! เอ็งรู้ไหมว่าคำๆนี้นี่แหละที่ทำให้แม่เอ็งต้องตายฟรี บอกให้ทำใจบ้างละ ปลงบ้างละ ปลงบ้านพ่Xงสิ ข้าจะไม่ยอมปล่อยจนกว่าเมียข้า..."

    "ได้รับความเป็นธรรม พ่อบอกผมเป็นสิบๆรอบแล้วแต่รู้อะไรไหม เท่าที่ผมเห็นมาพ่อไม่ได้ต่อสู้เพื่อเรียกความยุติธรรมจากแม่ นอกจากกินเหล้้าไปวันๆตลอดมา 14 ปี... ผมถามอะไรพ่อหน่อยวันที่ผมได้บรรจุในหน่วยรบพิเศษกองทัพเรือวันไหน" คำถามนี้จ่าสิบเอกสายลมสะดุดไปพักใหญ่ก่อนจะก้มมองที่ตรายศเรือเอกที่ปกเสื้อลูกชาย นั้นทำให้เขาสร่างเมาทันที

    "แล้วอย่าว่าแต่วันนั้นเลยขนาดวันแต่งงานของผมพ่อก็ไม่ใส่ใจ พ่อรู้ไหมผมอยากให้พ่อเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวมากกว่าแต่พ่อก็ไม่ทำ วันที่ภรรยาผมคลอดหลานของพ่อ จำได้ไหมว่าคลอดที่ไหนวันไหนกี่โมง" เรือเอกจิณณาวัฒน์ใส่ไม่ยั้งจนจ่าสิบเอกสายลมผละถอยออกจากลูกชาย ด้วยสีหน้าที่งุนงงไปไม่ถูกกับเหตุการณ์เมื่อครู่

    "ข้ามีหลานแล้วเหรอ" คำถามนี้ทำให้เรือเอกจิณณาวัฒน์ไม่รู้จะบรรยายใดๆได้อีก

    "ใช่ และตอนนี้ลูกสาวผมอายุได้ 5 ขวบแล้วรู้ไว้ด้วย... สิ่งที่ผมอยากบอกพ่อคือวันที่แม่ตายไม่ได้มีแค่พ่อคนเดียวที่เสียใจ ผมก็เสียใจและเจ็บใจไม่ต่างจากพ่อที่แม่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วคนที่ลงมือก็ลอยนวลจนตอนนี้แต่อย่างน้อยๆผมก็เลือกเดินหน้าไปต่อเพื่อให้วิญญาณของแม่ไม่ทุกข์ใจ ดังนั้นพ่อควรเลิกกินเหล้าแล้วช่วยหันมาสนใจสิ่งที่พ่อยังมีอยู่บ้าง ผมขอพ่อแค่นี้"

    เรือเอกจิณณาวัฒน์ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือพักหนึ่ง แล้วสบตากับจ่าสิบเอกสายลมอีกครั้งด้วยสายตาที่เขาหวังมาตลอดว่า อยากให้ผู้ชายตรงหน้ากลับมาเป็นพ่อคนเดิม และมาทำหน้าที่เป็นปู่เสียทีเพราะตอนนี้จ่าสิบเอกสายลมไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว เรือเอกจิณณาวัฒน์คว้ารูปถ่ายของลูกสาวออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินหันหลังกลับออกไปปล่อยให้จ่าสิบเอกสายลมนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

                              

                                           ++++++++++++++++++++++++         

                

สุสานทหารผ่านศึก เวลา 07.11 น.

จ่าสิบเอกสายลมในชุดทหารเต็มยศยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำตกมาไม่หยุด เขาไม่สนใจว่าตนเองจะเปียกปอนแค่ไหนนอกจากโลงศพไม้สักสองโลงตรงหน้าเขา ซึ่งมันเป็นโลงศพของเรือเอกจิณณาวัฒน์และร้อยตรีหญิงชลธิชาลูกสะใภ้ที่เขาไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักอีกแล้ว ไม่นานนักทหารเรือ 4 นายนำธงชาติฟรอนร์เทียร์รูปสรรพวุธมาคลุมโลงทั้งสอง และตามมาด้วยเสียงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อสรรพเสริญทหารผู้กล้า

    สักพักก็มีใครบางคนกางร่มบังฝนให้กับจ่าสิบเอกสายลม ซึ่งเมื่อเขาหันมามองก็คือพันเอกสตีเว่นส์เพื่อนเก่าของเขานั้นเอง นานมากแล้วสำหรับเขาที่ไม่ได้พบเพื่อนคนนี้เลยนับแต่งานศพของสุภารักษ์และร้อยโทอัครเดช พันโทสตีเว่นส์ตบไหล่จ่าสิบเอกสายลมเบาๆ ทหารหนุ่มยศใหญ่ก็เสียใจไม่แพ้กันเพราะเขาก็เคยเห็นหน้าค่าตาของเรือเอกจิณณาวัฒน์ ตั้งแต่ยังเป็นยุวชนทหารไปจนถึงวันที่ตนต้องมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวแทนพ่อที่มัวแต่เหล้าหัวราน้ำ แต่สิ่งที่เขาสนใจคือจ่าสิบเอกสายลมจะทำยังไงต่อจากนี้

    ทางฝั่งของจ่าสิบเอกสายลมนั้นเขาไม่พูดจาอะไรนอกจากคว้ารูปถ่ายออกมา เป็นรูปเด็กหญิงในชุดยุวชนทหารถือปืนของเล่นอยู่ ใช่ ! เขาไม่ได้อยู่ตามลำพังและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เขาล้มเหลวในฐานะพ่อมาแล้วแต่เขาจะไม่ล้มเหลวในฐานะปู่แน่นอน ไม่นานโลงศพของเรือเอกจิณณาวัฒน์และร้อยตรีหญิงชลธิชา ก็ถูกเหล่าทหารช่วยกันยกขึ้นเพื่อนำมาวางใส่ในหลุมฝังใหญ่ เพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันในฐานะสามี-ภรรยา แต่ก่อนที่จะทำการฝังนั้นจ่าสิบเอกสายลมเดินมาที่คลุมสำหรับลูกชาย ก่อนจะคว้ามีดออกมากรีดมือตนเอง

    เลือดนั้นไหลลงไปบนโลงศพของลูกชายที่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อดูลูกหลานเติบใหญ่แต่กลับไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว จ่าสิบเอกสายลมขอสาบานต่อหน้าหลุมของทั้งสองว่า เขาจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทั้งคู่ร่วมทั้งภรรยาของเขา และเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายใดๆกับหลานสาวแน่นอน นี่คือคำสาบานของชายชาติทหาร ! เมื่อทำการสาบานแล้วเขาเดินกลับหลังหันไป แล้วปล่อยให้คนงานช่วยกันกลบดินฝัง

    "หลานฉันอยู่ไหน" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้น

    "อยู่บนรถฉัน ตามมาสิฉันจะพานายไปพบเธอ" พันเอกสตีเว่นส์กล่าวพร้อมกับเดินนำทางเพื่อนของเขาไปที่รถคันสีส้ม ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากงานศพมากนัก จ่าสิบเอกสายลมเห็นเด็กน้อยนั่งอยู่บนรถซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตานักมวยอยู่ พันเอกตรีเว่นส์เปิดประตูรถข้างนั้นและทักทายกับเด็กน้อย

    "ไงเจ้าหนูดูสิ ลุงพาใครมา" พันเอกสตีเว่นส์กล่าวพร้อมเปิดทางให้จ่าสิบเอกสายลมมาพบเด็กน้อย ทันทีที่ได้สบตากันดวงตาของเด็กตรงหน้าช่างเหมือนดวงตาของสุภารักษ์เหลือเกิน แต่หน้าตานั้นเหมือนพ่อกับแม่ผสมกันอยู่ จ่าสิบเอกสายลมลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ

    "คุณปู่ครับ" เด็กน้อยกล่าวทักทายแต่น้ำตาก็ไหลอาบแก้มจ่าสิบเอกสายลมอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้หลั่งมานานนับ 10 ปี เขาเข้าโผกอดหลานสาวเอาไว้

    "ใช่แล้วนี่ปู่เองกลับบ้านกันนะ ปู่จะเป็นคนดูแลหลานเอง" จ่าสิบเอกสายลมพูดพร้อมพยายามข่มอารมณ์ไว้

    "ทำไมปู่ตัวเปียกอย่างนี้ละครับ" จ่าสิบเอกสายลมยิ้มแห้งๆให้กับหลานสาว

    "ปู่ลืมร่มไว้ที่บ้านนะ"

                                         

                                        ++++++++++++++++++++++++++++                        

บ้านจ่าสิบเอกสายลม เวลา 09.10 น. (14 ปี ต่อมา)

จ่าสิบเอกสายลมกำลังกระหน่ำชกกระสอบทรายอย่างบ้าคลั่ง จนกระสอบทราบนั้นแทบจะยุบลึกเข้าไปทุกทีตามแรงหมัด ใจของชายชาติทหารที่อายุปาเข้าไป 50 กว่า ไม่อาจสงบใจได้เลยนับแต่สุภารักษ์ภรรยาของเขาตายจากไป นี่ก็ผ่านมา 14 ปี แล้วความเศร้ามันก็ไม่จางหายไปและหลังจากวันนั้นมา เขากับลูกชายที่เหลือเพียงสองคนก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดกันอีกเลย แต่วันกลายเป็นวันไว้อาลัยให้กับสุภารักษ์แทน

   แต่สิ่งที่มันทำให้เขาโกรธแค้นชะยิ่งกว่าความเศร้าเสียใจคือ หลังวันที่สุภารักษณ์เสียชีวิตไปนั้นร้อยโทอัครเดชทำการสืบสวนเองทั้งหมดและพบคนที่ลงมือสังหารภรรยาของจ่าสิบเอกสายลม เพราะกล้องวงจรปิดฉายให้เห็นใบหน้าของคนที่ลงมือได้ชัดเจน และใบหน้าของมือปืนนั้นกลับเป็นคนที่เขาดันคุ้นเคยดี แฟรงกี้ คาวาซอส ลูกชายเพียงคนเดียวของ อดัม คาวาซอส เจ้าของท่าเรือขนส่งสินค้าซึ่งอดีตนายอนันต์พ่อของจ่าสิบเอกสายลมเคยทำงานในสมัยยังเด็ก และยังเป็นที่ที่จบชีวิตพ่อของเขาด้วย

    จ่าสิบเอกสายลมรู้จักแฟรงกี้อย่างดีเพราะสมัยเด็ก แฟรงกี้มักชอบยกพวกเด็กเกเรมารุมรังแกเด็กลูกกคนงานของพ่อตัวเองเป็นประจำ ล่าสุดที่เขาได้ข่าวคือเจ้าแฟรงกี้คนนี้ยิ่งโตยิ่งก่อปัญหาไว้มากมาย ให้พ่อสุดร่ำรวยนั้นตามมาเช็ดก้นแก้ปัญหาด้วยเงินเสมอ เขาคิดมาตลอดว่าตนอุตส่าห์ย้ายออกมาจากที่นั้นแล้ว คงจะไม่ต้องพบเจอไอ้คนประเภทนี้อีกแต่คิดผิดมหันต์ เมื่อร้อยโทอัครเดชเปิดเผยข้อมูลว่าแฟรงกี้ผงาดขึ้นจากการที่มันลงมือฆ่าหัวหน้าแก๊งแมงป๋องคนก่อน แล้วขึ้นมากุมบังเหียนแทนพร้อมกับขยายกิจการผิดกฎหมายแทบทุกอย่าง

    แต่ประเด็นหลักที่จ่าสิบเอกสายลมโฟกัสจริงๆ คือแฟรงกี้นั้นจงใจที่จะยิงใส่สุภารักษ์ราวกับมันรู้ว่าเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แม้ว่าจะมีหลักฐานครบทุกอย่างทั้งใบหน้าและลายนิ้วมือแต่ กลับกลายเป็นว่านอกจากไม่สามารถจับกุมทั้งแก๊งได้ ร้อยโทอัครเดชเพื่อนรักของเขาถูกสังหารขณะปฏิวัติหน้าที่ด้วย ซึ่งเขาเชื่อว่าเพื่อนของเขาถูกสั่งเก็บแต่มันก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ และแล้วคดีนี้ก็หายเงียบไปเพราะไม่มีใครกล้ารับทำต่อ นั้นย่อมแปลว่าสุภารักษ์และร้อยโทอัครเดชตายเปล่า

    หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์กับกระสอบทรายแล้ว เขาก็เดินมาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มบริเวณนั้นเต็มไปด้วยกล่องขวดเหล้า และขวดเปล่าอีก 10-20 ขวดวางไม่เป็นที่กระจัดกระจายไปทั่ว แต่จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรนอกจากต้องการที่จะดื่ม ดื่ม ดื่มอย่างเดียวเท่านั้น สักพักเขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาหาซึ่งนั้นทำให้เขาคว้าปืนพกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเล็งไปที่ตรงทางเสียงเพื่อเป่ากบาลผู้บุกรุกแต่ความคิดก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคย

    "พ่อจะยิงผมจริงๆเหรอ" เสียงของจิณณาวัฒน์ร้องทักขึ้น ทำให้จ่าสิบเอกสายลมลดปืนลง

    "เอ็งมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงเลยนี่ ข้าก็นึกว่ามีคนบุกบ้าน"

    เรือเอกจิณณาวัฒน์หันซ้ายและหันขวามองไปรอบๆบ้าน ชายหนุ่มจำได้ว่ามันเคยดูดีกว่านี้แต่เขาเข้าใจดีว่าพ่อของตนนั้น ยังทำใจเรื่องการตายของแม่ไม่ได้ และเจ็บแค้นต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากลงกับขวดเหล้า ใช่ มันเป็นภาพติดตาเขาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เขาอายุ 21 ปีแล้ว จ่าสิบเอกสายลมก็ไม่ยอมเลิกดื่มเหล้าย้อมใจสักที ที่สำคัญพ่อขาดงานราชการหลายครั้งแต่โชคดีตรงที่ เพื่อนเก่าอย่างร้อยเอกสตีเว่นส์ที่ตอนนี้ได้เลื่อนยศเป็นพันเอก แอบลงในเอกสารว่าพ่อป่วยเรื้อรังซึ่งมันก็ช่วยได้มากเลยทีเดียว

    ผลกระทบจากการที่จ่าสิบเอกสายลมตัดขาดกับโลกภายนอกนั้น เขาในฐานะลูกรับไปเต็มๆไม่ว่าจะเป็นงานจบหลักสูตรบรรจุเข้ากองรบพิเศษกองทัพเรือ งานแต่งงานระหว่างเขากับร้อยตรีหญิงชลธิชา และล่าสุดวันที่ภรรยาของเขาคลอดลูกจ่าสิบเอกสายลมก็ไม่เคยออกนอกบ้านมามีส่วนร่วมในชีวิตครอบครัวของเขาเลย และปัจจุบันนี้ตัวเล็กของเขาอายุ 5 ขวบเข้าไปแล้วแทบไม่เคยเห็นหน้าปู่สักทีไอ้จะพามาเรือเอกจิณณาวัฒน์ก็ไม่อยากให้พ่อของเขา เป็นไอ้ขี้เมาในสายตาของลูกน้อยเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงกับพ่อดี     

    "พ่อ จำผู้พันสตีเว่นส์เพื่อนพ่อได้ไหมเขาพยายามติดต่อพ่อ เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วยอยากให้พ่อติดต่อกลับ" เรือเอกจิณณาวัฒน์กล่าวพร้อมหยิบขวดเหล้าที่จ่าสิบเอกสายลมกินหมดใส่ถุงขยะ

    "ข้าไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น" จ่าสิบเอกสายลมพูดอย่างไม่มีสติ ซึ่งเรือเอกจิณณาวัฒน์ทนไม่ไหวจึงได้ทำสิ่งที่เขาน่าจะทำตั้งนานแล้วคือ แย่งขวดเหล้าออกจากมือของพ่อแล้วจับมันยัดใส่ถุงขยะ นั้นทำให้จ่าสิบเอกสายลมไม่พอใจอย่างมาก

    "พ่อเลิกทำแบบนี้สักทีได้ไหมนี่มันผ่านมา 14 ปี แล้วนะพ่อควรปล่อยวางได้แล้ว" สิ้นคำพูดของเรือเอกจิณณาวัฒน์ จ่าสิบเอกสายลมพุ่งตัวเข้ามาล็อคคอลูกชายตัวเองทันที แววตาของเขาที่มองหน้าอีกฝ่ายไม่ใช่สายตาของพ่อที่มองลูกเลย นี่แค้นจนหน้ามืดตามัวเลยรึ

    "ปล่อยวาง ! เอ็งรู้ไหมว่าคำๆนี้นี่แหละที่ทำให้แม่เอ็งต้องตายฟรี บอกให้ทำใจบ้างละ ปลงบ้างละ ปลงบ้านพ่Xงสิ ข้าจะไม่ยอมปล่อยจนกว่าเมียข้า..."

    "ได้รับความเป็นธรรม พ่อบอกผมเป็นสิบๆรอบแล้วแต่รู้อะไรไหม เท่าที่ผมเห็นมาพ่อไม่ได้ต่อสู้เพื่อเรียกความยุติธรรมจากแม่ นอกจากกินเหล้้าไปวันๆตลอดมา 14 ปี... ผมถามอะไรพ่อหน่อยวันที่ผมได้บรรจุในหน่วยรบพิเศษกองทัพเรือวันไหน" คำถามนี้จ่าสิบเอกสายลมสะดุดไปพักใหญ่ก่อนจะก้มมองที่ตรายศเรือเอกที่ปกเสื้อลูกชาย นั้นทำให้เขาสร่างเมาทันที

    "แล้วอย่าว่าแต่วันนั้นเลยขนาดวันแต่งงานของผมพ่อก็ไม่ใส่ใจ พ่อรู้ไหมผมอยากให้พ่อเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวมากกว่าแต่พ่อก็ไม่ทำ วันที่ภรรยาผมคลอดหลานของพ่อ จำได้ไหมว่าคลอดที่ไหนวันไหนกี่โมง" เรือเอกจิณณาวัฒน์ใส่ไม่ยั้งจนจ่าสิบเอกสายลมผละถอยออกจากลูกชาย ด้วยสีหน้าที่งุนงงไปไม่ถูกกับเหตุการณ์เมื่อครู่

    "ข้ามีหลานแล้วเหรอ" คำถามนี้ทำให้เรือเอกจิณณาวัฒน์ไม่รู้จะบรรยายใดๆได้อีก

    "ใช่ และตอนนี้ลูกสาวผมอายุได้ 5 ขวบแล้วรู้ไว้ด้วย... สิ่งที่ผมอยากบอกพ่อคือวันที่แม่ตายไม่ได้มีแค่พ่อคนเดียวที่เสียใจ ผมก็เสียใจและเจ็บใจไม่ต่างจากพ่อที่แม่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วคนที่ลงมือก็ลอยนวลจนตอนนี้แต่อย่างน้อยๆผมก็เลือกเดินหน้าไปต่อเพื่อให้วิญญาณของแม่ไม่ทุกข์ใจ ดังนั้นพ่อควรเลิกกินเหล้าแล้วช่วยหันมาสนใจสิ่งที่พ่อยังมีอยู่บ้าง ผมขอพ่อแค่นี้"

    เรือเอกจิณณาวัฒน์ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือพักหนึ่ง แล้วสบตากับจ่าสิบเอกสายลมอีกครั้งด้วยสายตาที่เขาหวังมาตลอดว่า อยากให้ผู้ชายตรงหน้ากลับมาเป็นพ่อคนเดิม และมาทำหน้าที่เป็นปู่เสียทีเพราะตอนนี้จ่าสิบเอกสายลมไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว เรือเอกจิณณาวัฒน์คว้ารูปถ่ายของลูกสาวออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินหันหลังกลับออกไปปล่อยให้จ่าสิบเอกสายลมนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

                              

                                           ++++++++++++++++++++++++         

                

สุสานทหารผ่านศึก เวลา 07.11 น.

จ่าสิบเอกสายลมในชุดทหารเต็มยศยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำตกมาไม่หยุด เขาไม่สนใจว่าตนเองจะเปียกปอนแค่ไหนนอกจากโลงศพไม้สักสองโลงตรงหน้าเขา ซึ่งมันเป็นโลงศพของเรือเอกจิณณาวัฒน์และร้อยตรีหญิงชลธิชาลูกสะใภ้ที่เขาไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักอีกแล้ว ไม่นานนักทหารเรือ 4 นายนำธงชาติฟรอนร์เทียร์รูปสรรพวุธมาคลุมโลงทั้งสอง และตามมาด้วยเสียงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อสรรพเสริญทหารผู้กล้า

    สักพักก็มีใครบางคนกางร่มบังฝนให้กับจ่าสิบเอกสายลม ซึ่งเมื่อเขาหันมามองก็คือพันเอกสตีเว่นส์เพื่อนเก่าของเขานั้นเอง นานมากแล้วสำหรับเขาที่ไม่ได้พบเพื่อนคนนี้เลยนับแต่งานศพของสุภารักษ์และร้อยโทอัครเดช พันโทสตีเว่นส์ตบไหล่จ่าสิบเอกสายลมเบาๆ ทหารหนุ่มยศใหญ่ก็เสียใจไม่แพ้กันเพราะเขาก็เคยเห็นหน้าค่าตาของเรือเอกจิณณาวัฒน์ ตั้งแต่ยังเป็นยุวชนทหารไปจนถึงวันที่ตนต้องมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวแทนพ่อที่มัวแต่เหล้าหัวราน้ำ แต่สิ่งที่เขาสนใจคือจ่าสิบเอกสายลมจะทำยังไงต่อจากนี้

    ทางฝั่งของจ่าสิบเอกสายลมนั้นเขาไม่พูดจาอะไรนอกจากคว้ารูปถ่ายออกมา เป็นรูปเด็กหญิงในชุดยุวชนทหารถือปืนของเล่นอยู่ ใช่ ! เขาไม่ได้อยู่ตามลำพังและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เขาล้มเหลวในฐานะพ่อมาแล้วแต่เขาจะไม่ล้มเหลวในฐานะปู่แน่นอน ไม่นานโลงศพของเรือเอกจิณณาวัฒน์และร้อยตรีหญิงชลธิชา ก็ถูกเหล่าทหารช่วยกันยกขึ้นเพื่อนำมาวางใส่ในหลุมฝังใหญ่ เพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันในฐานะสามี-ภรรยา แต่ก่อนที่จะทำการฝังนั้นจ่าสิบเอกสายลมเดินมาที่คลุมสำหรับลูกชาย ก่อนจะคว้ามีดออกมากรีดมือตนเอง

    เลือดนั้นไหลลงไปบนโลงศพของลูกชายที่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อดูลูกหลานเติบใหญ่แต่กลับไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว จ่าสิบเอกสายลมขอสาบานต่อหน้าหลุมของทั้งสองว่า เขาจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทั้งคู่ร่วมทั้งภรรยาของเขา และเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายใดๆกับหลานสาวแน่นอน นี่คือคำสาบานของชายชาติทหาร ! เมื่อทำการสาบานแล้วเขาเดินกลับหลังหันไป แล้วปล่อยให้คนงานช่วยกันกลบดินฝัง

    "หลานฉันอยู่ไหน" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้น

    "อยู่บนรถฉัน ตามมาสิฉันจะพานายไปพบเธอ" พันเอกสตีเว่นส์กล่าวพร้อมกับเดินนำทางเพื่อนของเขาไปที่รถคันสีส้ม ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากงานศพมากนัก จ่าสิบเอกสายลมเห็นเด็กน้อยนั่งอยู่บนรถซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตานักมวยอยู่ พันเอกตรีเว่นส์เปิดประตูรถข้างนั้นและทักทายกับเด็กน้อย

    "ไงเจ้าหนูดูสิ ลุงพาใครมา" พันเอกสตีเว่นส์กล่าวพร้อมเปิดทางให้จ่าสิบเอกสายลมมาพบเด็กน้อย ทันทีที่ได้สบตากันดวงตาของเด็กตรงหน้าช่างเหมือนดวงตาของสุภารักษ์เหลือเกิน แต่หน้าตานั้นเหมือนพ่อกับแม่ผสมกันอยู่ จ่าสิบเอกสายลมลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ

    "คุณปู่ครับ" เด็กน้อยกล่าวทักทายแต่น้ำตาก็ไหลอาบแก้มจ่าสิบเอกสายลมอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้หลั่งมานานนับ 10 ปี เขาเข้าโผกอดหลานสาวเอาไว้

    "ใช่แล้วนี่ปู่เองกลับบ้านกันนะ ปู่จะเป็นคนดูแลหลานเอง" จ่าสิบเอกสายลมพูดพร้อมพยายามข่มอารมณ์ไว้

    "ทำไมปู่ตัวเปียกอย่างนี้ละครับ" จ่าสิบเอกสายลมยิ้มแห้งๆให้กับหลานสาว

    "ปู่ลืมร่มไว้ที่บ้านนะ"

                                         

                                       

 

 

 

                                               ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++                        

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา