นักรบพันธุ์โหด ตอน ณัชฐานันท์

-

เขียนโดย กนกพัชร

วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.18 น.

  88 ตอน
  62 วิจารณ์
  77.00K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

58) ตอนที่ 58 ความทรงจำที่แสนเจ็บปวด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บ้านจ่าสิบเอกสายลม เวลา 08.00 น. (เมื่อ 30 ปี ก่อน)

   "ภา ภา ภา คุณเห็นหมวกผมไหม" จ่าสิบเอกสายลมตะโกนถาม สุภารักษ์ภรรยาของเขาที่เพิ่งจะทำอาหารเช้าเสร็จพอดี

   "คุณวางลืมไว้บนโชฟาค่ะ" สุภารักษ์ตอบ

   จ่าสิบเอกสายลมที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วรีบลงมาข้างล่าง เพื่อมาเอาหมวกเบเล่สีดำที่วางอยู่บนโชฟาจริงๆ ชายหนุ่มรีบคว้ามาใส่ทันทีก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่ภรรยากำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ สุภารักษ์ส่งยิ้มหวานให้กับสามีที่พึ่งแต่งตัวเสร็จแต่เธอก็ยังมาช่วยจัดทรงเทคไทให้ตรงเพราะมันเบี้ยวเล็กน้อย ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมยิ้มให้กันอย่างเคอะเขินราวกับคู่รักหนุ่มสาว ทั้งที่จริงแล้วจ่าสิบเอกสายลมและสุภารักษ์นั้นแต่งงานอยู่กันมาจน จิณณาวัฒน์ ลูกชายของพวกเขาอายุเข้า 8 ขวบและวันนี้คือวันเกิดของลูกชาย     

   "วันนี้คุณจะกลับมากี่โมงค่ะ" สุภารักษ์ถามขึ้น

   "ผมทำธุระครึ่งวันนะเพื่อให้ทันมาวันเกิดลูกเรา" จ่าสิบเอกสายลมตอบพร้อมตักข้าวเข้าปาก

   "ถ้างั้นฉันคงต้องรีบไปซื้อเค้กแล้วละค่ะ จะได้ทันตอนที่เจ้าตัวแสบของคุณกลับมา"

   สุภารักษ์เตรียมกระเป๋าถือแล้วเดินออกจากบ้านปล่อยให้จ่าสิบเอกสายลมนั่งกินข้าวคนเดียว เมื่อเขากินอาหารเสร็จก็มองดูเวลาก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าถือแล้วทำการปิดล็อคประตูบ้าน แล้วเดินมาที่รถรุ่นนิสสัน เอ็กซ์เทรลคันสีเงินที่จอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นจ่าสิบเอกสายลมก็ทำการขับมันออกมา เพื่อจะรีบไปส่งเอกสารให้กับเจ้านายของเขาและให้ทันเวลาที่จิณณาวัฒน์จะได้กลับมาจากค่าย ระหว่างที่เขาขับรถนั้นภาพสมัยตอนที่จิณณาวัฒน์อายุครบ 6 ขวบ แล้วต้องไปให้ลูกแก้วฟินิกซ์คัดเลือกนั้นเขายอมรับว่าลุ้นอย่างมาก แต่มันก็กลายเป็นว่าลูกแก้วทั้ง 13 ไม่เลือกลูกชายเขาเลย

   แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะหากลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ถูกเลือกขึ้นมาจริงๆภรรยาของเขาก็คงเหงาและคิดถึงมากๆ เพราะกว่าจะได้กลับมาบ้านมันค่อนข้างยุ่งยาก หากเทียบกับเด็กธรรมดาๆโดยร่วมแล้วจ่าสิบเอกสายลมก็ไม่ได้คาดหวังว่า ลูกชายจะต้องเป็นนักรบฟินิกซ์เหมือนอย่างที่เพื่อนในราชการคาดหวัง เขาขอแค่ให้จิณณาวัฒน์เป็นคนดีก็พอเท่านี้เขากับสุภารักษ์ก็ภาคภูมิใจแล้ว เมื่อเขาขับมาถึงสถานที่ทำงานของตน ซึ่งมันเป็นศูนย์เก็บรวบร่วมเอกสารต่างๆและหน้าที่ของจ่าสิบเอกสายลมคือส่งเอกสารมาที่นี้

   "อาว วันนี้มาทำงานเหรอนึกว่าหยุดงานเสียอีก" เสียงทักทายดังขึ้นจากข้างหลังของจ่าสิบเอกสายลมที่เพิ่งลงจากรถมา เขาหันหลังไปพบทหารอีกคนซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับเขาแต่ต่างกันตรงยศสูงกว่า ชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่เพราะมีกล้ามเป็นมัดๆซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ผิวแทนปานกลางผมสีดำดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

   "ไงเพื่อน...โอ้ไม่สิต้องเรียกว่า ร้อยเอกสตีเว่นส์ ใช่ไหม" จ่าสิบเอกสายลมพูดเชิงหยอกล้อ แต่อีกฝ่ายไม่ถือสา

   "หุบปากของนายไปเลย.... ทำไมนายไม่มาเข้าหน่วยงานฉันว่ะเพื่อน รับรองเลยว่านายจะเลื่อนยศเหมือนฉันแน่นอน" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดชักชวน และจ่าสิบเอกสายลมก้มมองตราเสือดำที่ติดหน้าอกของร้อยเอกสตีเว่นส์

   "ไม่ดีกว่าฉันว่าแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว" จ่าสิบเอกสายลมปฏิเสธอย่างสุภาพ

   "ใช่สิก็นายมีเมียแล้วนี่หว่า" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดแซวเพื่อนแบบแกล้งทำเป็นอิจฉา

   "ก็รีบหาเมียแล้วแต่งงานสักทีสิพวก ฉันอยากเห็นว่าลูกนายออกมาจะฉลาดกว่านายป้าว" ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันก่อนจะพากันเดินเข้าไปในสถานราชการทหาร

   หอเก็บเอกสารนี้ตัวอาคารไม่ได้ไฮเทคมากหากเทียบกับตึกอื่น เพราะในอดีตมันเคยเป็นปราสาทที่ใช้ทำสงครามกับอันเดธเผ่าโบราณอายุของหออาคารก็ราวๆ หมื่นกว่าปีเห็นจะได้ดังนั้นการเข้า-ออกจึงจำเป็นต้องพกบัตรในการแสดงตัว ถ้าเทียบกับที่อื่นที่ใช้สแกนใบหน้าเพื่อเช็คฐานข้อมูลได้ ซึ่งเมื่อผ่านการตรวจบัตรแล้วเขากับร้อยเอกสตีเว่นส์นั้น ก็พากันเดินลงมาที่ห้องใต้ดินแล้วเดินตรงมาที่มีเจ้าหน้าที่เสมียนสองคนกำลังนั่งบนโต๊ะ เพื่อเช็คเอกสารงานของพวกเขา

    ทันทีที่เดินมาถึงจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์ไม่พูดจา นอกจากแสดงบัตรและยืนกระเป๋าเอกสารให้ แต่สตีเว่นส์นั้นยืนกระดาษบางอย่างให้กับเสมียนอีกคน ซึ่งจ่าสิบเอกสายลมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เขาก็ไม่สนใจ เมื่อเสมียนรับกระเป๋าเอกสารแล้วเขาก็ตั้งใจจะยืนรอเพื่อน และร้อยเอกสตีเว่นส์ก็ได้รับซองเอกสารสีน้ำตาลเข้มออกมา ชายหนุ่มขอเลือกที่จะไม่ถามว่ามันคืออะไร

    "วันเกิดลูกนายฉันไปด้วยได้ไหม ช่วงนี้ฉันว่างพอดี" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสองพากันเดินขึ้นมา

    "นายมาวันเกิดลูกฉันโดยไม่มีอะไรให้เขาเลยนี่นะ....ไม่สตีเว่นส์นายต้องมีของแลกเปลี่ยน ฉันไม่ยอมให้นายมากินของฟรีบ้านฉันเด็ดขาด" จ่าสิบเอกสายลมพูดขึ้น

    "งั้นไปเป็นเพื่อนฉันเลือกของขวัญให้ลูกนายละกัน"

    ระหว่างที่ทั้งสองนั้นเดินมาได้ครึ่งทางของอาคารก็พบกับทหารคอมมาโด เดินตรงเข้ามาหาเขาทั้งสองด้วยท่าท่างที่ลนลานอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมจำหน้าได้ว่านี่คือ ร้อยโทอัครเดช เพื่อนสมัยที่เขายังเป็นยุวชนทหารด้วยกัน แต่เมื่ออายุ 13 ร้อยโทอัครเดชไปเข้าสอบคัดเลือกเป็นทหารคอมมาโด นานๆครั้งจะเจอกันทีดังนั้นการที่เพื่อนคนนี้โผล่มาทำเอาจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์แปลกใจมาก

    "ไอ้Xลม กูโทรหามึงหลายรอบทำไมไม่รับสายว่ะ" ร้อยโทอัครเดชพูดตำหนิพร้อมกับเหนื่อยหอบ กลิ่นเหงื่อโชยมาแต่ไกลเลย

    "โทษทีมึงพอดีโทรศัพท์กูเสีย มีอะไรรึเปล่า" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้น สายตาและสีหน้าของร้อยโทอัครเดชที่แสดงออกมานั้น ทำให้ชายหนุ่มชักเริ่มไม่อยากจะรู้ชะแล้วสิ

    "ลมมึงทำใจดีๆนะกับสิ่งที่กูจะบอกมึง...."                      

                                           

 

                                                           +++++++++++++++++++++++++

 

 

 

โรงพยาบาลทหาร เวลา 09.13 น.

จ่าสิบเอกสายลมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้ามาในตัวอาคาร เพื่อไปยังแผนกฉุกเฉินซึ่งร้อยเอกสวีเว่นส์กับร้อยโทอัครเดชก็วิ่งตามมาติดๆ ซึ่งเมื่อมาที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉินนั้นชายหนุ่มพบ ทหารหนุ่มอีกนายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งคงเป็นลูกน้องของร้อยโทอัครเดช เพราะอีกฝ่ายทำความเคารพเพื่อนของเขา ตอนนี้จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเขาสนแค่อย่างเดียวขอเพียงให้สุภารักษ์ปลอดภัยเท่านั้น

    เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ร้อยโทอัครเดชได้มาบอกกับจ่าสิบเอกสายลมว่า ทางหน่วยเขาได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันระหว่างสองแก๊งอันธพาล ทางร้อยโทอัครเดชจึงรีบนำทีมมาปราบปรามแต่พวกนั้นไหวตัวทัน พากันหลบหนีหายเข้าไปในกลีบเมฆและเมื่อทีมของตนมาถึงก็พบแต่พลเรือนที่โดนลูกหลงนอนเกลื้อนเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือสุภารักษ์ภรรยาของจ่าสิบเอกสายลมซึ่งเธอนอนบาดเจ็บที่หน้าร้านขายเค้ก โดยเธอนั้นถูกยิงที่ช่วงท้องร้อยโทอัครเดชจึงรีบพาไปส่งโรงพยาบาลทันที และพยายามติดต่อหาจ่าสิบเอกสายลมแต่โทรไม่ติด

    "เมียฉันเข้าไปนานหรือยัง" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้นอย่างกังวล

    "ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าแล้วครับ" ทหารคอมมาโดตอบ

    "แก๊งไหนยิงกันว่ะ" ร้อยเอกสตีเว่นส์หันมาถามเพื่อน ซึ่งร้อยโทอัครเดชก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี

    "ตอบยากว่ะเพื่อน แก๊งแต่ละแก๊งแม่งก็ไม่กินเส้นกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันมั่วซั่วไปหมดฉันก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน"

    ร้อยเอกสวีเว่นส์ได้แต่ภาวนาขอให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องผ่าตัดปลอดภัย เพื่อที่จะได้อยู่ดูลูกชายเป่าเค้กวันเกิดครบอายุ 8 ปี ของเธอกับสามี ให้ตายเถอะทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย ! 13 นาทีต่อมาประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับหมอผู้ที่มีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ นั้นยิ่งทำให้จ่าสิบเอกสายลมใจคอไม่ดีมากขึ้น แต่เขาก็อยากมองโลกในแง่ดีว่ามันไม่มีอะไร ตอนนี้มือไม้มันสั่นไปหมดจนตัวชายหนุ่มควบคุมไม่อยู่

    "ใครเป็นญาติของผู้หญิงคนนี้ครับ" หมอตั้งคำถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ

    "ผมครับ เธอเป็นภรรยาผมครับหมอ ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับหมอ" จ่าสิบเอกสายลมถามด้วยเสียงที่สั่นเครือเกินกว่าที่จะควบคุมได้ แม้ร้อยเอกสตีเว่นส์จะไม่เคยแต่งงานเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนตอนนี้ดี

    "หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ตอนนี้ภรรยาของคุณเสียชีวิตแล้วครับ" สิ้นคำของหมอนั้นจ่าสิบเอกสายลมแทบทรุดลงกับพื้นทันที ไม่จริง มันไม่ใช่ความจริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้ วันนี้มันควรเป็นวันที่ครอบครัวของเขามีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ น้ำตาของลูกชายก็ไหลอาบแก้มอย่างไม่อายออกมา

    "เธอตายได้ยังไงครับ" ร้อยโทอัครเดชถามหมอเพื่อนำไปเขียนรายงานในคดีที่เขารับผิดชอบ แม้ว่าต้องข่มอารมณ์ไว้

    "แม้ว่าจะไม่โดนจุดสำคัญก็จริงแต่เพราะเธอเสียเลือดมากเกินไป และมีบางส่วนไปคลั่งอยู่ข้างในส่งผลให้อวัยวะล้มเหลวทั้งหมด หมอพยายามยื้อชีวิตคนไข้สุดความสามารถแล้วครับ" หมอตอบ

    จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สองเพื่อนรักเลือกที่จะเดินตามเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ด้านฝั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาก็พบเตียงที่มีผ้าคลุมตัวไว้ และเมื่อเขาค่อยๆเปิดผ้าออกมาเผยให้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ ชายหนุ่มยกร่างอันผอมบางของสุภารักษ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งนั้น ร้อยเอกสตีเว่นส์และร้อยโทอัครเดชสะเทือนใจไม่แพ้กัน สักพักไม่นานนักก็มีเสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นซึ่งนั้นคือ จิณณาวัฒน์นั้นเอง

    "แม่ครับแม่ครับ ตื่นสิครับ...พ่อครับทำไมแม่ไม่ตื่นครับ วันนี้วันเกิดผมนะแม่ต้องตื่นเดียวนี้เลยถ้าแม่ไม่ตื่น แล้วใครจะปักเทียนให้ผมละ แม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ" เด็กชายพูดพร้อมเขย่าร่างของสุภารักษ์ผู้เป็นแม่                          

    ไม่นานนักทหารคอมมาโดนายหนึ่งเดินมาพร้อมกับถือถุงบางอย่าง และมอบให้กับร้อยโทอัครเดชแล้วเดินจากไปซึ่งเมื่อทหารหนุ่มสำรวจดูพบว่ามันเป็นเค้กวันเกิด แม้ว่าเนื้อเค้กจะเละไปหน่อยแต่ตัวหนังสือบนเค้กเขาอ่านออก มันเป็นชื่อของจิณณาวัฒน์แน่นอนโดยมันเขียนว่า "สุขสันวันเกิดครบ 8 ปี ลูกชายสุดที่รัก" ร้อยโทอัครเดชเดินมาหาเด็กชายที่หัวใจแหลกสลายไม่ต่างจากพ่อเท่าไหร่ จากนั้นจึงยื่นกล่องเค้กวันเกิดให้กับอีกฝ่าย

    "บอย... นี่คือเค้กวันเกิดของหนูนะ แม่รักหนูมากนะครับ" ร้อยโทอัครเดชพูดปลอบ ที่สำหรับร้อยเอกสตีเว่นส์รู้สึกว่าน่าจะปลอบดีกว่านี้ ส่วนจิณณาวัฒน์ที่ได้รับกล่องเค้กวันเกิดมา เขากลับไม่รู้สึกดีขึ้นแต่แย่ลงแย่จนอยากลืม ลืมไปว่าวันนี้คือวันอะไรและเด็กชายตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาเขวี้ยงกล่องเค้กลงกับพื้นเต็มแรงจนกล่องแตก และเค้กก็แตกกระจายทั่วพื้น

    "ผมไม่ต้องการเค้ก ผมต้องการแม่ผมคืน เอาแม่ผมคืนมานะ" จิณณาวัฒน์ร้องตะโกนพร้อมวิ่งเข้าไปกอดร่างของแม่ เป็นภาพสะทือนใจที่สุดสำหรับสองทหารหนุ่มอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมคว้าตัวลูกชายของเขามากอดเอาไว้ ตอนนี้คงเหลือเพียงแค่เขากับลูกเท่านั้นเพราะภรรยาได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ และมันได้เปลี่ยนจากวันแห่งความสุขกลายเป็นวันแห่งการสูญเสีย พร้อมกับรอยแผลของสองพ่อลูกไปตลอดกาล

                                      

                                                         

                                               

                                                   +++++++++++++++++++++++++++++                  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา