นักรบพันธุ์โหด ตอน ณัชฐานันท์
-
58) ตอนที่ 58 ความทรงจำที่แสนเจ็บปวด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบ้านจ่าสิบเอกสายลม เวลา 08.00 น. (เมื่อ 30 ปี ก่อน)
"ภา ภา ภา คุณเห็นหมวกผมไหม" จ่าสิบเอกสายลมตะโกนถาม สุภารักษ์ภรรยาของเขาที่เพิ่งจะทำอาหารเช้าเสร็จพอดี
"คุณวางลืมไว้บนโชฟาค่ะ" สุภารักษ์ตอบ
จ่าสิบเอกสายลมที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วรีบลงมาข้างล่าง เพื่อมาเอาหมวกเบเล่สีดำที่วางอยู่บนโชฟาจริงๆ ชายหนุ่มรีบคว้ามาใส่ทันทีก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่ภรรยากำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ สุภารักษ์ส่งยิ้มหวานให้กับสามีที่พึ่งแต่งตัวเสร็จแต่เธอก็ยังมาช่วยจัดทรงเทคไทให้ตรงเพราะมันเบี้ยวเล็กน้อย ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมยิ้มให้กันอย่างเคอะเขินราวกับคู่รักหนุ่มสาว ทั้งที่จริงแล้วจ่าสิบเอกสายลมและสุภารักษ์นั้นแต่งงานอยู่กันมาจน จิณณาวัฒน์ ลูกชายของพวกเขาอายุเข้า 8 ขวบและวันนี้คือวันเกิดของลูกชาย
"วันนี้คุณจะกลับมากี่โมงค่ะ" สุภารักษ์ถามขึ้น
"ผมทำธุระครึ่งวันนะเพื่อให้ทันมาวันเกิดลูกเรา" จ่าสิบเอกสายลมตอบพร้อมตักข้าวเข้าปาก
"ถ้างั้นฉันคงต้องรีบไปซื้อเค้กแล้วละค่ะ จะได้ทันตอนที่เจ้าตัวแสบของคุณกลับมา"
สุภารักษ์เตรียมกระเป๋าถือแล้วเดินออกจากบ้านปล่อยให้จ่าสิบเอกสายลมนั่งกินข้าวคนเดียว เมื่อเขากินอาหารเสร็จก็มองดูเวลาก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าถือแล้วทำการปิดล็อคประตูบ้าน แล้วเดินมาที่รถรุ่นนิสสัน เอ็กซ์เทรลคันสีเงินที่จอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นจ่าสิบเอกสายลมก็ทำการขับมันออกมา เพื่อจะรีบไปส่งเอกสารให้กับเจ้านายของเขาและให้ทันเวลาที่จิณณาวัฒน์จะได้กลับมาจากค่าย ระหว่างที่เขาขับรถนั้นภาพสมัยตอนที่จิณณาวัฒน์อายุครบ 6 ขวบ แล้วต้องไปให้ลูกแก้วฟินิกซ์คัดเลือกนั้นเขายอมรับว่าลุ้นอย่างมาก แต่มันก็กลายเป็นว่าลูกแก้วทั้ง 13 ไม่เลือกลูกชายเขาเลย
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะหากลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ถูกเลือกขึ้นมาจริงๆภรรยาของเขาก็คงเหงาและคิดถึงมากๆ เพราะกว่าจะได้กลับมาบ้านมันค่อนข้างยุ่งยาก หากเทียบกับเด็กธรรมดาๆโดยร่วมแล้วจ่าสิบเอกสายลมก็ไม่ได้คาดหวังว่า ลูกชายจะต้องเป็นนักรบฟินิกซ์เหมือนอย่างที่เพื่อนในราชการคาดหวัง เขาขอแค่ให้จิณณาวัฒน์เป็นคนดีก็พอเท่านี้เขากับสุภารักษ์ก็ภาคภูมิใจแล้ว เมื่อเขาขับมาถึงสถานที่ทำงานของตน ซึ่งมันเป็นศูนย์เก็บรวบร่วมเอกสารต่างๆและหน้าที่ของจ่าสิบเอกสายลมคือส่งเอกสารมาที่นี้
"อาว วันนี้มาทำงานเหรอนึกว่าหยุดงานเสียอีก" เสียงทักทายดังขึ้นจากข้างหลังของจ่าสิบเอกสายลมที่เพิ่งลงจากรถมา เขาหันหลังไปพบทหารอีกคนซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับเขาแต่ต่างกันตรงยศสูงกว่า ชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่เพราะมีกล้ามเป็นมัดๆซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ผิวแทนปานกลางผมสีดำดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
"ไงเพื่อน...โอ้ไม่สิต้องเรียกว่า ร้อยเอกสตีเว่นส์ ใช่ไหม" จ่าสิบเอกสายลมพูดเชิงหยอกล้อ แต่อีกฝ่ายไม่ถือสา
"หุบปากของนายไปเลย.... ทำไมนายไม่มาเข้าหน่วยงานฉันว่ะเพื่อน รับรองเลยว่านายจะเลื่อนยศเหมือนฉันแน่นอน" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดชักชวน และจ่าสิบเอกสายลมก้มมองตราเสือดำที่ติดหน้าอกของร้อยเอกสตีเว่นส์
"ไม่ดีกว่าฉันว่าแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว" จ่าสิบเอกสายลมปฏิเสธอย่างสุภาพ
"ใช่สิก็นายมีเมียแล้วนี่หว่า" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดแซวเพื่อนแบบแกล้งทำเป็นอิจฉา
"ก็รีบหาเมียแล้วแต่งงานสักทีสิพวก ฉันอยากเห็นว่าลูกนายออกมาจะฉลาดกว่านายป้าว" ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันก่อนจะพากันเดินเข้าไปในสถานราชการทหาร
หอเก็บเอกสารนี้ตัวอาคารไม่ได้ไฮเทคมากหากเทียบกับตึกอื่น เพราะในอดีตมันเคยเป็นปราสาทที่ใช้ทำสงครามกับอันเดธเผ่าโบราณอายุของหออาคารก็ราวๆ หมื่นกว่าปีเห็นจะได้ดังนั้นการเข้า-ออกจึงจำเป็นต้องพกบัตรในการแสดงตัว ถ้าเทียบกับที่อื่นที่ใช้สแกนใบหน้าเพื่อเช็คฐานข้อมูลได้ ซึ่งเมื่อผ่านการตรวจบัตรแล้วเขากับร้อยเอกสตีเว่นส์นั้น ก็พากันเดินลงมาที่ห้องใต้ดินแล้วเดินตรงมาที่มีเจ้าหน้าที่เสมียนสองคนกำลังนั่งบนโต๊ะ เพื่อเช็คเอกสารงานของพวกเขา
ทันทีที่เดินมาถึงจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์ไม่พูดจา นอกจากแสดงบัตรและยืนกระเป๋าเอกสารให้ แต่สตีเว่นส์นั้นยืนกระดาษบางอย่างให้กับเสมียนอีกคน ซึ่งจ่าสิบเอกสายลมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เขาก็ไม่สนใจ เมื่อเสมียนรับกระเป๋าเอกสารแล้วเขาก็ตั้งใจจะยืนรอเพื่อน และร้อยเอกสตีเว่นส์ก็ได้รับซองเอกสารสีน้ำตาลเข้มออกมา ชายหนุ่มขอเลือกที่จะไม่ถามว่ามันคืออะไร
"วันเกิดลูกนายฉันไปด้วยได้ไหม ช่วงนี้ฉันว่างพอดี" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสองพากันเดินขึ้นมา
"นายมาวันเกิดลูกฉันโดยไม่มีอะไรให้เขาเลยนี่นะ....ไม่สตีเว่นส์นายต้องมีของแลกเปลี่ยน ฉันไม่ยอมให้นายมากินของฟรีบ้านฉันเด็ดขาด" จ่าสิบเอกสายลมพูดขึ้น
"งั้นไปเป็นเพื่อนฉันเลือกของขวัญให้ลูกนายละกัน"
ระหว่างที่ทั้งสองนั้นเดินมาได้ครึ่งทางของอาคารก็พบกับทหารคอมมาโด เดินตรงเข้ามาหาเขาทั้งสองด้วยท่าท่างที่ลนลานอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมจำหน้าได้ว่านี่คือ ร้อยโทอัครเดช เพื่อนสมัยที่เขายังเป็นยุวชนทหารด้วยกัน แต่เมื่ออายุ 13 ร้อยโทอัครเดชไปเข้าสอบคัดเลือกเป็นทหารคอมมาโด นานๆครั้งจะเจอกันทีดังนั้นการที่เพื่อนคนนี้โผล่มาทำเอาจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์แปลกใจมาก
"ไอ้Xลม กูโทรหามึงหลายรอบทำไมไม่รับสายว่ะ" ร้อยโทอัครเดชพูดตำหนิพร้อมกับเหนื่อยหอบ กลิ่นเหงื่อโชยมาแต่ไกลเลย
"โทษทีมึงพอดีโทรศัพท์กูเสีย มีอะไรรึเปล่า" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้น สายตาและสีหน้าของร้อยโทอัครเดชที่แสดงออกมานั้น ทำให้ชายหนุ่มชักเริ่มไม่อยากจะรู้ชะแล้วสิ
"ลมมึงทำใจดีๆนะกับสิ่งที่กูจะบอกมึง...."
+++++++++++++++++++++++++
โรงพยาบาลทหาร เวลา 09.13 น.
จ่าสิบเอกสายลมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้ามาในตัวอาคาร เพื่อไปยังแผนกฉุกเฉินซึ่งร้อยเอกสวีเว่นส์กับร้อยโทอัครเดชก็วิ่งตามมาติดๆ ซึ่งเมื่อมาที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉินนั้นชายหนุ่มพบ ทหารหนุ่มอีกนายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งคงเป็นลูกน้องของร้อยโทอัครเดช เพราะอีกฝ่ายทำความเคารพเพื่อนของเขา ตอนนี้จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเขาสนแค่อย่างเดียวขอเพียงให้สุภารักษ์ปลอดภัยเท่านั้น
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ร้อยโทอัครเดชได้มาบอกกับจ่าสิบเอกสายลมว่า ทางหน่วยเขาได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันระหว่างสองแก๊งอันธพาล ทางร้อยโทอัครเดชจึงรีบนำทีมมาปราบปรามแต่พวกนั้นไหวตัวทัน พากันหลบหนีหายเข้าไปในกลีบเมฆและเมื่อทีมของตนมาถึงก็พบแต่พลเรือนที่โดนลูกหลงนอนเกลื้อนเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือสุภารักษ์ภรรยาของจ่าสิบเอกสายลมซึ่งเธอนอนบาดเจ็บที่หน้าร้านขายเค้ก โดยเธอนั้นถูกยิงที่ช่วงท้องร้อยโทอัครเดชจึงรีบพาไปส่งโรงพยาบาลทันที และพยายามติดต่อหาจ่าสิบเอกสายลมแต่โทรไม่ติด
"เมียฉันเข้าไปนานหรือยัง" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้นอย่างกังวล
"ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าแล้วครับ" ทหารคอมมาโดตอบ
"แก๊งไหนยิงกันว่ะ" ร้อยเอกสตีเว่นส์หันมาถามเพื่อน ซึ่งร้อยโทอัครเดชก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
"ตอบยากว่ะเพื่อน แก๊งแต่ละแก๊งแม่งก็ไม่กินเส้นกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันมั่วซั่วไปหมดฉันก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน"
ร้อยเอกสวีเว่นส์ได้แต่ภาวนาขอให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องผ่าตัดปลอดภัย เพื่อที่จะได้อยู่ดูลูกชายเป่าเค้กวันเกิดครบอายุ 8 ปี ของเธอกับสามี ให้ตายเถอะทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย ! 13 นาทีต่อมาประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับหมอผู้ที่มีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ นั้นยิ่งทำให้จ่าสิบเอกสายลมใจคอไม่ดีมากขึ้น แต่เขาก็อยากมองโลกในแง่ดีว่ามันไม่มีอะไร ตอนนี้มือไม้มันสั่นไปหมดจนตัวชายหนุ่มควบคุมไม่อยู่
"ใครเป็นญาติของผู้หญิงคนนี้ครับ" หมอตั้งคำถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ
"ผมครับ เธอเป็นภรรยาผมครับหมอ ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับหมอ" จ่าสิบเอกสายลมถามด้วยเสียงที่สั่นเครือเกินกว่าที่จะควบคุมได้ แม้ร้อยเอกสตีเว่นส์จะไม่เคยแต่งงานเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนตอนนี้ดี
"หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ตอนนี้ภรรยาของคุณเสียชีวิตแล้วครับ" สิ้นคำของหมอนั้นจ่าสิบเอกสายลมแทบทรุดลงกับพื้นทันที ไม่จริง มันไม่ใช่ความจริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้ วันนี้มันควรเป็นวันที่ครอบครัวของเขามีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ น้ำตาของลูกชายก็ไหลอาบแก้มอย่างไม่อายออกมา
"เธอตายได้ยังไงครับ" ร้อยโทอัครเดชถามหมอเพื่อนำไปเขียนรายงานในคดีที่เขารับผิดชอบ แม้ว่าต้องข่มอารมณ์ไว้
"แม้ว่าจะไม่โดนจุดสำคัญก็จริงแต่เพราะเธอเสียเลือดมากเกินไป และมีบางส่วนไปคลั่งอยู่ข้างในส่งผลให้อวัยวะล้มเหลวทั้งหมด หมอพยายามยื้อชีวิตคนไข้สุดความสามารถแล้วครับ" หมอตอบ
จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สองเพื่อนรักเลือกที่จะเดินตามเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ด้านฝั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาก็พบเตียงที่มีผ้าคลุมตัวไว้ และเมื่อเขาค่อยๆเปิดผ้าออกมาเผยให้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ ชายหนุ่มยกร่างอันผอมบางของสุภารักษ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งนั้น ร้อยเอกสตีเว่นส์และร้อยโทอัครเดชสะเทือนใจไม่แพ้กัน สักพักไม่นานนักก็มีเสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นซึ่งนั้นคือ จิณณาวัฒน์นั้นเอง
"แม่ครับแม่ครับ ตื่นสิครับ...พ่อครับทำไมแม่ไม่ตื่นครับ วันนี้วันเกิดผมนะแม่ต้องตื่นเดียวนี้เลยถ้าแม่ไม่ตื่น แล้วใครจะปักเทียนให้ผมละ แม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ" เด็กชายพูดพร้อมเขย่าร่างของสุภารักษ์ผู้เป็นแม่
ไม่นานนักทหารคอมมาโดนายหนึ่งเดินมาพร้อมกับถือถุงบางอย่าง และมอบให้กับร้อยโทอัครเดชแล้วเดินจากไปซึ่งเมื่อทหารหนุ่มสำรวจดูพบว่ามันเป็นเค้กวันเกิด แม้ว่าเนื้อเค้กจะเละไปหน่อยแต่ตัวหนังสือบนเค้กเขาอ่านออก มันเป็นชื่อของจิณณาวัฒน์แน่นอนโดยมันเขียนว่า "สุขสันวันเกิดครบ 8 ปี ลูกชายสุดที่รัก" ร้อยโทอัครเดชเดินมาหาเด็กชายที่หัวใจแหลกสลายไม่ต่างจากพ่อเท่าไหร่ จากนั้นจึงยื่นกล่องเค้กวันเกิดให้กับอีกฝ่าย
"บอย... นี่คือเค้กวันเกิดของหนูนะ แม่รักหนูมากนะครับ" ร้อยโทอัครเดชพูดปลอบ ที่สำหรับร้อยเอกสตีเว่นส์รู้สึกว่าน่าจะปลอบดีกว่านี้ ส่วนจิณณาวัฒน์ที่ได้รับกล่องเค้กวันเกิดมา เขากลับไม่รู้สึกดีขึ้นแต่แย่ลงแย่จนอยากลืม ลืมไปว่าวันนี้คือวันอะไรและเด็กชายตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาเขวี้ยงกล่องเค้กลงกับพื้นเต็มแรงจนกล่องแตก และเค้กก็แตกกระจายทั่วพื้น
"ผมไม่ต้องการเค้ก ผมต้องการแม่ผมคืน เอาแม่ผมคืนมานะ" จิณณาวัฒน์ร้องตะโกนพร้อมวิ่งเข้าไปกอดร่างของแม่ เป็นภาพสะทือนใจที่สุดสำหรับสองทหารหนุ่มอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมคว้าตัวลูกชายของเขามากอดเอาไว้ ตอนนี้คงเหลือเพียงแค่เขากับลูกเท่านั้นเพราะภรรยาได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ และมันได้เปลี่ยนจากวันแห่งความสุขกลายเป็นวันแห่งการสูญเสีย พร้อมกับรอยแผลของสองพ่อลูกไปตลอดกาล
+++++++++++++++++++++++++++++
"ภา ภา ภา คุณเห็นหมวกผมไหม" จ่าสิบเอกสายลมตะโกนถาม สุภารักษ์ภรรยาของเขาที่เพิ่งจะทำอาหารเช้าเสร็จพอดี
"คุณวางลืมไว้บนโชฟาค่ะ" สุภารักษ์ตอบ
จ่าสิบเอกสายลมที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วรีบลงมาข้างล่าง เพื่อมาเอาหมวกเบเล่สีดำที่วางอยู่บนโชฟาจริงๆ ชายหนุ่มรีบคว้ามาใส่ทันทีก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่ภรรยากำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ สุภารักษ์ส่งยิ้มหวานให้กับสามีที่พึ่งแต่งตัวเสร็จแต่เธอก็ยังมาช่วยจัดทรงเทคไทให้ตรงเพราะมันเบี้ยวเล็กน้อย ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมยิ้มให้กันอย่างเคอะเขินราวกับคู่รักหนุ่มสาว ทั้งที่จริงแล้วจ่าสิบเอกสายลมและสุภารักษ์นั้นแต่งงานอยู่กันมาจน จิณณาวัฒน์ ลูกชายของพวกเขาอายุเข้า 8 ขวบและวันนี้คือวันเกิดของลูกชาย
"วันนี้คุณจะกลับมากี่โมงค่ะ" สุภารักษ์ถามขึ้น
"ผมทำธุระครึ่งวันนะเพื่อให้ทันมาวันเกิดลูกเรา" จ่าสิบเอกสายลมตอบพร้อมตักข้าวเข้าปาก
"ถ้างั้นฉันคงต้องรีบไปซื้อเค้กแล้วละค่ะ จะได้ทันตอนที่เจ้าตัวแสบของคุณกลับมา"
สุภารักษ์เตรียมกระเป๋าถือแล้วเดินออกจากบ้านปล่อยให้จ่าสิบเอกสายลมนั่งกินข้าวคนเดียว เมื่อเขากินอาหารเสร็จก็มองดูเวลาก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าถือแล้วทำการปิดล็อคประตูบ้าน แล้วเดินมาที่รถรุ่นนิสสัน เอ็กซ์เทรลคันสีเงินที่จอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นจ่าสิบเอกสายลมก็ทำการขับมันออกมา เพื่อจะรีบไปส่งเอกสารให้กับเจ้านายของเขาและให้ทันเวลาที่จิณณาวัฒน์จะได้กลับมาจากค่าย ระหว่างที่เขาขับรถนั้นภาพสมัยตอนที่จิณณาวัฒน์อายุครบ 6 ขวบ แล้วต้องไปให้ลูกแก้วฟินิกซ์คัดเลือกนั้นเขายอมรับว่าลุ้นอย่างมาก แต่มันก็กลายเป็นว่าลูกแก้วทั้ง 13 ไม่เลือกลูกชายเขาเลย
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะหากลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ถูกเลือกขึ้นมาจริงๆภรรยาของเขาก็คงเหงาและคิดถึงมากๆ เพราะกว่าจะได้กลับมาบ้านมันค่อนข้างยุ่งยาก หากเทียบกับเด็กธรรมดาๆโดยร่วมแล้วจ่าสิบเอกสายลมก็ไม่ได้คาดหวังว่า ลูกชายจะต้องเป็นนักรบฟินิกซ์เหมือนอย่างที่เพื่อนในราชการคาดหวัง เขาขอแค่ให้จิณณาวัฒน์เป็นคนดีก็พอเท่านี้เขากับสุภารักษ์ก็ภาคภูมิใจแล้ว เมื่อเขาขับมาถึงสถานที่ทำงานของตน ซึ่งมันเป็นศูนย์เก็บรวบร่วมเอกสารต่างๆและหน้าที่ของจ่าสิบเอกสายลมคือส่งเอกสารมาที่นี้
"อาว วันนี้มาทำงานเหรอนึกว่าหยุดงานเสียอีก" เสียงทักทายดังขึ้นจากข้างหลังของจ่าสิบเอกสายลมที่เพิ่งลงจากรถมา เขาหันหลังไปพบทหารอีกคนซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับเขาแต่ต่างกันตรงยศสูงกว่า ชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่เพราะมีกล้ามเป็นมัดๆซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ผิวแทนปานกลางผมสีดำดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
"ไงเพื่อน...โอ้ไม่สิต้องเรียกว่า ร้อยเอกสตีเว่นส์ ใช่ไหม" จ่าสิบเอกสายลมพูดเชิงหยอกล้อ แต่อีกฝ่ายไม่ถือสา
"หุบปากของนายไปเลย.... ทำไมนายไม่มาเข้าหน่วยงานฉันว่ะเพื่อน รับรองเลยว่านายจะเลื่อนยศเหมือนฉันแน่นอน" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดชักชวน และจ่าสิบเอกสายลมก้มมองตราเสือดำที่ติดหน้าอกของร้อยเอกสตีเว่นส์
"ไม่ดีกว่าฉันว่าแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว" จ่าสิบเอกสายลมปฏิเสธอย่างสุภาพ
"ใช่สิก็นายมีเมียแล้วนี่หว่า" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดแซวเพื่อนแบบแกล้งทำเป็นอิจฉา
"ก็รีบหาเมียแล้วแต่งงานสักทีสิพวก ฉันอยากเห็นว่าลูกนายออกมาจะฉลาดกว่านายป้าว" ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันก่อนจะพากันเดินเข้าไปในสถานราชการทหาร
หอเก็บเอกสารนี้ตัวอาคารไม่ได้ไฮเทคมากหากเทียบกับตึกอื่น เพราะในอดีตมันเคยเป็นปราสาทที่ใช้ทำสงครามกับอันเดธเผ่าโบราณอายุของหออาคารก็ราวๆ หมื่นกว่าปีเห็นจะได้ดังนั้นการเข้า-ออกจึงจำเป็นต้องพกบัตรในการแสดงตัว ถ้าเทียบกับที่อื่นที่ใช้สแกนใบหน้าเพื่อเช็คฐานข้อมูลได้ ซึ่งเมื่อผ่านการตรวจบัตรแล้วเขากับร้อยเอกสตีเว่นส์นั้น ก็พากันเดินลงมาที่ห้องใต้ดินแล้วเดินตรงมาที่มีเจ้าหน้าที่เสมียนสองคนกำลังนั่งบนโต๊ะ เพื่อเช็คเอกสารงานของพวกเขา
ทันทีที่เดินมาถึงจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์ไม่พูดจา นอกจากแสดงบัตรและยืนกระเป๋าเอกสารให้ แต่สตีเว่นส์นั้นยืนกระดาษบางอย่างให้กับเสมียนอีกคน ซึ่งจ่าสิบเอกสายลมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เขาก็ไม่สนใจ เมื่อเสมียนรับกระเป๋าเอกสารแล้วเขาก็ตั้งใจจะยืนรอเพื่อน และร้อยเอกสตีเว่นส์ก็ได้รับซองเอกสารสีน้ำตาลเข้มออกมา ชายหนุ่มขอเลือกที่จะไม่ถามว่ามันคืออะไร
"วันเกิดลูกนายฉันไปด้วยได้ไหม ช่วงนี้ฉันว่างพอดี" ร้อยเอกสตีเว่นส์พูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสองพากันเดินขึ้นมา
"นายมาวันเกิดลูกฉันโดยไม่มีอะไรให้เขาเลยนี่นะ....ไม่สตีเว่นส์นายต้องมีของแลกเปลี่ยน ฉันไม่ยอมให้นายมากินของฟรีบ้านฉันเด็ดขาด" จ่าสิบเอกสายลมพูดขึ้น
"งั้นไปเป็นเพื่อนฉันเลือกของขวัญให้ลูกนายละกัน"
ระหว่างที่ทั้งสองนั้นเดินมาได้ครึ่งทางของอาคารก็พบกับทหารคอมมาโด เดินตรงเข้ามาหาเขาทั้งสองด้วยท่าท่างที่ลนลานอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมจำหน้าได้ว่านี่คือ ร้อยโทอัครเดช เพื่อนสมัยที่เขายังเป็นยุวชนทหารด้วยกัน แต่เมื่ออายุ 13 ร้อยโทอัครเดชไปเข้าสอบคัดเลือกเป็นทหารคอมมาโด นานๆครั้งจะเจอกันทีดังนั้นการที่เพื่อนคนนี้โผล่มาทำเอาจ่าสิบเอกสายลมและร้อยเอกสตีเว่นส์แปลกใจมาก
"ไอ้Xลม กูโทรหามึงหลายรอบทำไมไม่รับสายว่ะ" ร้อยโทอัครเดชพูดตำหนิพร้อมกับเหนื่อยหอบ กลิ่นเหงื่อโชยมาแต่ไกลเลย
"โทษทีมึงพอดีโทรศัพท์กูเสีย มีอะไรรึเปล่า" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้น สายตาและสีหน้าของร้อยโทอัครเดชที่แสดงออกมานั้น ทำให้ชายหนุ่มชักเริ่มไม่อยากจะรู้ชะแล้วสิ
"ลมมึงทำใจดีๆนะกับสิ่งที่กูจะบอกมึง...."
+++++++++++++++++++++++++
โรงพยาบาลทหาร เวลา 09.13 น.
จ่าสิบเอกสายลมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้ามาในตัวอาคาร เพื่อไปยังแผนกฉุกเฉินซึ่งร้อยเอกสวีเว่นส์กับร้อยโทอัครเดชก็วิ่งตามมาติดๆ ซึ่งเมื่อมาที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉินนั้นชายหนุ่มพบ ทหารหนุ่มอีกนายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งคงเป็นลูกน้องของร้อยโทอัครเดช เพราะอีกฝ่ายทำความเคารพเพื่อนของเขา ตอนนี้จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเขาสนแค่อย่างเดียวขอเพียงให้สุภารักษ์ปลอดภัยเท่านั้น
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ร้อยโทอัครเดชได้มาบอกกับจ่าสิบเอกสายลมว่า ทางหน่วยเขาได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันระหว่างสองแก๊งอันธพาล ทางร้อยโทอัครเดชจึงรีบนำทีมมาปราบปรามแต่พวกนั้นไหวตัวทัน พากันหลบหนีหายเข้าไปในกลีบเมฆและเมื่อทีมของตนมาถึงก็พบแต่พลเรือนที่โดนลูกหลงนอนเกลื้อนเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือสุภารักษ์ภรรยาของจ่าสิบเอกสายลมซึ่งเธอนอนบาดเจ็บที่หน้าร้านขายเค้ก โดยเธอนั้นถูกยิงที่ช่วงท้องร้อยโทอัครเดชจึงรีบพาไปส่งโรงพยาบาลทันที และพยายามติดต่อหาจ่าสิบเอกสายลมแต่โทรไม่ติด
"เมียฉันเข้าไปนานหรือยัง" จ่าสิบเอกสายลมถามขึ้นอย่างกังวล
"ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าแล้วครับ" ทหารคอมมาโดตอบ
"แก๊งไหนยิงกันว่ะ" ร้อยเอกสตีเว่นส์หันมาถามเพื่อน ซึ่งร้อยโทอัครเดชก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
"ตอบยากว่ะเพื่อน แก๊งแต่ละแก๊งแม่งก็ไม่กินเส้นกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันมั่วซั่วไปหมดฉันก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน"
ร้อยเอกสวีเว่นส์ได้แต่ภาวนาขอให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องผ่าตัดปลอดภัย เพื่อที่จะได้อยู่ดูลูกชายเป่าเค้กวันเกิดครบอายุ 8 ปี ของเธอกับสามี ให้ตายเถอะทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย ! 13 นาทีต่อมาประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับหมอผู้ที่มีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ นั้นยิ่งทำให้จ่าสิบเอกสายลมใจคอไม่ดีมากขึ้น แต่เขาก็อยากมองโลกในแง่ดีว่ามันไม่มีอะไร ตอนนี้มือไม้มันสั่นไปหมดจนตัวชายหนุ่มควบคุมไม่อยู่
"ใครเป็นญาติของผู้หญิงคนนี้ครับ" หมอตั้งคำถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ
"ผมครับ เธอเป็นภรรยาผมครับหมอ ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับหมอ" จ่าสิบเอกสายลมถามด้วยเสียงที่สั่นเครือเกินกว่าที่จะควบคุมได้ แม้ร้อยเอกสตีเว่นส์จะไม่เคยแต่งงานเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนตอนนี้ดี
"หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ตอนนี้ภรรยาของคุณเสียชีวิตแล้วครับ" สิ้นคำของหมอนั้นจ่าสิบเอกสายลมแทบทรุดลงกับพื้นทันที ไม่จริง มันไม่ใช่ความจริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้ วันนี้มันควรเป็นวันที่ครอบครัวของเขามีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ น้ำตาของลูกชายก็ไหลอาบแก้มอย่างไม่อายออกมา
"เธอตายได้ยังไงครับ" ร้อยโทอัครเดชถามหมอเพื่อนำไปเขียนรายงานในคดีที่เขารับผิดชอบ แม้ว่าต้องข่มอารมณ์ไว้
"แม้ว่าจะไม่โดนจุดสำคัญก็จริงแต่เพราะเธอเสียเลือดมากเกินไป และมีบางส่วนไปคลั่งอยู่ข้างในส่งผลให้อวัยวะล้มเหลวทั้งหมด หมอพยายามยื้อชีวิตคนไข้สุดความสามารถแล้วครับ" หมอตอบ
จ่าสิบเอกสายลมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สองเพื่อนรักเลือกที่จะเดินตามเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ด้านฝั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาก็พบเตียงที่มีผ้าคลุมตัวไว้ และเมื่อเขาค่อยๆเปิดผ้าออกมาเผยให้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ ชายหนุ่มยกร่างอันผอมบางของสุภารักษ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งนั้น ร้อยเอกสตีเว่นส์และร้อยโทอัครเดชสะเทือนใจไม่แพ้กัน สักพักไม่นานนักก็มีเสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นซึ่งนั้นคือ จิณณาวัฒน์นั้นเอง
"แม่ครับแม่ครับ ตื่นสิครับ...พ่อครับทำไมแม่ไม่ตื่นครับ วันนี้วันเกิดผมนะแม่ต้องตื่นเดียวนี้เลยถ้าแม่ไม่ตื่น แล้วใครจะปักเทียนให้ผมละ แม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ" เด็กชายพูดพร้อมเขย่าร่างของสุภารักษ์ผู้เป็นแม่
ไม่นานนักทหารคอมมาโดนายหนึ่งเดินมาพร้อมกับถือถุงบางอย่าง และมอบให้กับร้อยโทอัครเดชแล้วเดินจากไปซึ่งเมื่อทหารหนุ่มสำรวจดูพบว่ามันเป็นเค้กวันเกิด แม้ว่าเนื้อเค้กจะเละไปหน่อยแต่ตัวหนังสือบนเค้กเขาอ่านออก มันเป็นชื่อของจิณณาวัฒน์แน่นอนโดยมันเขียนว่า "สุขสันวันเกิดครบ 8 ปี ลูกชายสุดที่รัก" ร้อยโทอัครเดชเดินมาหาเด็กชายที่หัวใจแหลกสลายไม่ต่างจากพ่อเท่าไหร่ จากนั้นจึงยื่นกล่องเค้กวันเกิดให้กับอีกฝ่าย
"บอย... นี่คือเค้กวันเกิดของหนูนะ แม่รักหนูมากนะครับ" ร้อยโทอัครเดชพูดปลอบ ที่สำหรับร้อยเอกสตีเว่นส์รู้สึกว่าน่าจะปลอบดีกว่านี้ ส่วนจิณณาวัฒน์ที่ได้รับกล่องเค้กวันเกิดมา เขากลับไม่รู้สึกดีขึ้นแต่แย่ลงแย่จนอยากลืม ลืมไปว่าวันนี้คือวันอะไรและเด็กชายตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาเขวี้ยงกล่องเค้กลงกับพื้นเต็มแรงจนกล่องแตก และเค้กก็แตกกระจายทั่วพื้น
"ผมไม่ต้องการเค้ก ผมต้องการแม่ผมคืน เอาแม่ผมคืนมานะ" จิณณาวัฒน์ร้องตะโกนพร้อมวิ่งเข้าไปกอดร่างของแม่ เป็นภาพสะทือนใจที่สุดสำหรับสองทหารหนุ่มอย่างมาก จ่าสิบเอกสายลมคว้าตัวลูกชายของเขามากอดเอาไว้ ตอนนี้คงเหลือเพียงแค่เขากับลูกเท่านั้นเพราะภรรยาได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ และมันได้เปลี่ยนจากวันแห่งความสุขกลายเป็นวันแห่งการสูญเสีย พร้อมกับรอยแผลของสองพ่อลูกไปตลอดกาล
+++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ