นักรบพันธุ์โหด ตอน หวงจือชิน Secson 1
8.0
เขียนโดย กนกพัชร
วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.12 น.
53 ตอน
0 วิจารณ์
43.58K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 00.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 9 แดเนียล ฟอร์ด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความศูนย์ฝึกยุวชนทหาร เวลา 10.05 น.
ในสนามฝึกของศูนย์ฝึกนั้นค่อนข้างกว้างและรับบรรจุยุวชนทหารจำนวนกว่า 3,000 นายโดยจำนวนที่ว่านี้คือเฉพาะยุวชนทหารรุ่น 4-6 ขวบ เท่านั้นและการฝึกภาคสนามนั้นจะมีกำแพงกั้นแบ่งตามรุ่นเพื่อไม่ให้ปะปนกัน ในการฝึกภาคสนามนั้นก็จะยังไม่มีการฝึกวิชาต่อสู้ในแขนงที่ได้เลือกไปแต่จะให้เหล่ายุวชนทหารรุ่นใหม่ได้ฝึกพื้นฐานของการเป็นทหารทั้งหมด ก่อนที่จะฝึกใช้อาวุธพื้นฐานของกองทัพอีกทีซึ่งอาชินกับอาถิงนั้นทั้งสองได้สังกัดกองร้อย 015 หมวด 6 หมู่ 8 อาชินกำลังฝึกในการจัดแถวและท่วงท่าต่างๆเช่น ตามระเบียบพัก หันซ้ายหันขวา หรือกลับหลังหันเป็นต้นและยังมีการเดินสวนสนามซึ่งเวลาที่พวกเขาต้องเดินสวนกันนั้นยากลำบากเพราะยังเดินชนกันเองอยู่แต่ที่แปลกคือมีหลายคนจงใจชนอาถิงแบบแรงๆ ซึ่งผลมาจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนอาถิงได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบโต้แต่ตรงข้ามกับเขาที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่งกับเขาเท่าไหร่
"หมวด 6 ทั้งหมดมาหาข้าพเจ้า" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพูดเสียงดังพร้อมกับเป่านกหวีดดังขึ้น ทำให้อาชินกับยุวชนทหารคนอื่นๆพากันวิ่งตะลุมบอนมาทางครูฝึกทันที อาชินมั่วแต่พยายามวิ่งมาให้ทันจนลืมอาถิงไปครู่หนึ่งพวกเขาต่างรีบจัดแถวโดยเรียงเตี้ยไปสูงซึ่งหลังจากที่พวกเขาจัดแถวเรียบร้อยและเด็กชายพึ่งรู้ตัวว่าญาติลูกพี่ลูกน้องไม่ได้อยู่กับตน จึงหันซ้ายหันขวาก็พบว่าอาถิงอยู่ข้างหน้าเขาถัดไปอีก 2 คน
"ทั้งหมด นิ่ง!" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่ง
เหล่ายุวชนทหารนิ่งเงียบกันทันทีซึ่งมันสร้างความพอใจให้กับครูฝึกอย่างเขามาก แต่เพื่อให้แน่ใจครูฝึกหนุ่มจึงทำการเดินสำรวจแถวของยุวชนทหารที่กำลังยืนนิ่งให้มากที่สุด หนึ่งในนั้นคืออาชินและเขาเชื่อว่าอาถิงเองก็คงพยายามนิ่งเหมือนกันเพราะเหตุการณ์ที่โดนจากร้อยตรีโทมัสทำให้อาถิงนั้นจำฝังใจไปยาวนาน ส่วนทางจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิที่พอสำรวจแล้วพบว่ายุวชนทหารจัดแถวนิ่งตามที่เขาสอนแล้ว เขาจึงเดินไปประจำจุดเดิมเพื่อให้เด็กๆมองเห็นเขา
"พวกนายทำได้ดีมากไม่แตกแถว ไม่ขยุกขยิกแต่อย่าเหลิงมากนักนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น" เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ
อาชินได้ยินเสียงดังจากด้านข้างซึ่งเขาแอบหันไปมองซึ่งนั้นคือ หมวด 23 ของกองร้อย 015 ที่ตอนนี้ได้ปล่อยแถวกันแล้วซึ่งเหล่าเด็กๆพากันยืดเส้นยืดสายกัน ที่สำคัญเด็กชายยังเห็นแดเนียล แรคคลิฟฟ์เจ้าปัญหาอยู่ในนั้นด้วยกำลังเมาท์กับเพื่อนในกลุ่มอย่างสนุกปากซึ่งอาชินยอมรับว่าแดเนียลผูกมิตรกับทุกคนได้รวดเร็ว แต่คงไม่ใช่กับเขาแน่นอนไม่นานนักเฟรมที่อยู่ข้างหลังสะกิดเขาให้อยู่นิ่งๆเพราะจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิกำลังมองดูเขาอยู่อาชินจึงรีบนิ่งทันที
"ฉันจะให้พวกนายพักเอาแรงสัก 15 นาที เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดนี้ฉันต้องเห็นพวกนายเข้าแถวเป็นระเบียบไม่งั้นจะมีชะตากรรมแบบนั้นหมวดนั้น" พูดจบจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิก็ชี้ไปทางซ้ายมือ
อาชินและเพื่อนๆในหมวดก็หันไปมองตามก็เห็นหมวด 50 กำลังนอนราบกับพื้นโดยมีครูฝึกและทหารพี่เลี้ยงคอยดูกำกับไม่ให้ยุวชนทหารเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาดเห็นภาพนั้นทำให้อาชินกับอาถิงอดนึกถึงบรรยายกาศตอนที่ พวกเขาโดนร้อยตรีโทมัสสั่งหมอบได้และคงไม่อยากจะโดนแบบนั้นเพื่อนในหมวดก็คงคิดแบบนั้น ภาพที่จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเห็นก็อยากจะขบขำในท่าทีของเหล่ายุวชนทหารที่เขากำลังสอนแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะเขาคือครูฝึก แต่มันก็อดนึกถึงสมัยเขาฝึกแบบนี้ไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองนั้นก็หวาดกลัวต่อครูฝึกไม่แพ้กัน
"ทั้งหมด...เลิกแถว" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่งพร้อมกับเป่านกหวีดที่คล้องคอ
อาชินกับเพื่อนๆในหมวดยื่นเท้าไปข้างหน้าและกระทืบลงพื้นก่อนจะสลายตัว เฟรมกับอาถิงเดินมาหาเขาโดยอัตโนมัติซึ่งทั้งสามพากันไปกินน้ำดื่มที่เหล่าครูฝึกเตรียมเอาไว้ ระหว่างที่เขากำลังดื่มน้ำอยู่นั้นก็ไปสะดุดกับยุวชนทหารของหมวด 19 ที่พึ่งจะปล่อยแถวหลังพวกเขาไม่นาน เขาเห็นหวังเสี่ยวหู่อยู่ในนั้นกำลังอยู่กับกลุ่มเพื่อนอยู่แต่ที่อาชินสนใจไม่ใช่กลุ่มหวังเสี่ยวหู่ แต่เป็นเด็กชายผิวขาวผมทองดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้า แม้จะอายุแค่ 4 ขวบแต่กลับมีท่าทีสง่างามแตกต่างกับเด็กทั่วไปทำให้อาชินสงสัยที่มาที่ไปของอีกฝ่ายมาก
"คนที่นายมองอยู่นะมีชื่อว่า "แดเนียล ฟอร์ด" เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลหลักเลยนะ" เฟรมที่อยู่ข้างๆเฉลยให้กับเขา ในใจของอาชินบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจะรู้ใจเขาไปถึงไหนกัน แต่สักพักอาชินก็พึ่งจะเห็นว่าแรคคลิฟฟ์ก็มองไปทางแดเนียล ฟอร์ดแบบไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนกับที่ทำกับเขาแต่มันต่างตรงที่แรคคลิฟฟ์มองแบบหมั่นไส้ ตรงข้ามกับเด็กชายที่อีกฝ่ายมองเขาเป็นศัตรูและพร้อมจะห้ำหั่นกับเขาได้ทุกเมื่อ
"ทำไมเขาถึงเป็นทายาทแค่คนเดียวละ" อาถิงถามด้วยความสงสัย
"ก็เพราะว่าภรรยาของ "คอร์แม็ก ฟอร์ด" ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนะมีบุตรยากนะสิกว่าจะมีได้เห็นว่าใช้เวลาเป็นปีเป็นชาติ” เฟรมตอบ
"แล้วทำไมถึงได้ให้กำเนิดทายาทคนนี้ได้ละ” อาชินถาม เฟรมยักไหล่
"ไม่รู้เหมือนกันเห็นพี่ชายฉันเมาท์มาว่าสามีภรรยาตระกูลฟอร์ด แต่งงานกันมา 20 กว่าปียังไม่มีบุตรสักทีจนกระทั่ง..."
เฟรมหยุดพูดไปทันทีซึ่งอาชินกับอาถิงก็งุนงงว่าทำไมถึงหยุดพูด จนกระทั่งเมื่อทั้งสองหันกลับไปจึงกระจ่างเพราะคนที่ทั้งสามนินทานั้นกำลังเดินมาทางพวกเขา และท่าทางจะยังไม่รู้ตัวว่าโดนนินทาอยู่ซึ่งแน่นอนว่าเฟรมรีบพาเพื่อนของตนออกไปจากตรงนั้นทันทีเพื่อสะดวกในการพูดคุย โดยทั้งสามเดินออกห่างจากซุ้มกินน้ำมาอยู่บริเวณใกล้ๆกับที่ร่วมพลหมวดของพวกเขาเอง เมื่อเฟรมเห็นว่าปลอดภัยแล้วเขาจึงเล่าเรื่องต่อ
"ฉันไม่รู้ว่าเรื่องที่พี่ชายเล่ามันจริงไหมแต่ใครๆต่างก็พูดกันว่าแดเนียล ฟอร์ดไม่ใช่ลูกแท้ๆของ "เลดี้แชริตี้" กับคอร์แม็ก" เฟรมกระซิบเบาๆแทน แต่อาชินกับอาถิงก็พากันตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยินมา
"ลูกบุญธรรมเหรอ" อาถิงตั้งข้อสันนิฐาน
"มากกว่านั้นอีกพี่ชายฉันเล่าว่าเป็นลูกนอกสมรสของคอร์แม็กกับ "เลดี้ซูซาน" และที่พีคกว่านั้นคือเป็นน้องสาวแท้ๆของเลดี้แชริตี้ต่างหาก"
"เดียวนะพวกเขาให้เธออุ้มบุญเหรอ" อาถิงพูดเบาๆเพราะกลัวใครจะได้ยินเหมือนกับเฟรม
ในประเทศฟรอนร์เทียร์ที่มีทหารมีฝีมือและสร้างชื่อไว้มากมายก็ค่อนข้างมาก ที่สำคัญมีตระกูลนักรบดังหลายตระกูลในกองทัพแน่นอนที่ตามมาคือมักจะมีเรื่องอื้อฉาวภายในเสมอ ยกตัวอย่างเช่นการเข่นฆ่าภายในตระกูลหยางเมื่อ 90 ปี แต่ถ้าจะมีมากกว่านั้นคือการหาทายาทสืบทอดตระกูลมากกว่า ถ้าเป็นตระกูลดังๆหน่อยโดยเฉพาะพวกนักรบจะเน้นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงและพวกเขาจะยอมทำทุกวิถีทางในการหาทายาทเพื่อให้ตระกูลคงอยู่ต่อไป บางตระกูลก็เลือกรับเด็กกำพร้ามาอุปการะเพื่อเป็นทายาทแต่ส่วนใหญ่แล้วอยากใช้วิธีอุ้มบุญมากกว่าอย่างเช่นยุคที่ จอมทัพเซโนฟีเลียส เวกเตอร์ ได้ให้ หวงโหย่งจิ้ง แห่งตระกูลหวงลำดับที่ 4 อุ้มบุญทายาทให้และการที่เธอให้กำเนิดบุตรชายนั้นก็ยังเป็นส่วนช่วยเสริมอำนาจให้กับตระกูลของเธอ ทำให้อีกหลายๆตระกูลไม่พอใจโดยเฉพาะตระกูลหลักของตระกูลหวง ดังนั้นอาชินจะไม่แปลกใจหากคอร์แม็ก ฟอร์ดจะเลือกวิธีอุ้มบุญโดยใช้น้องสะใภ้ตัวเองแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าตัวเด็กชายรู้สึกไม่โอเคกับคำว่า "อุ้มบุญ"
"ฉันก็อยากคิดแบบนั้นนะอี้ถิงแต่..ตอนงานเลี้ยงอ่ะฉันได้เจอหน้าเลดี้แชริตี้ด้วย เอาตรงๆนะฉันไม่อยากเข้าใกล้เธออ่ะ" เฟรมพูด อาชินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"ทำไมละเลดี้แชริตี้เป็นพวกเกลียดเด็กเหรอ" อาชินถาม เฟรมส่ายหน้า
"ก็ไม่เชิงอ่ะคือแบบว่าเท่าที่ฉันเจอเลดี้แชริตี้ครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าเขามองทุกอย่างเป็นสิ่งของ" เฟรมตอบ
"สิ่งของงั้นเหรอ ยังไงอ่ะ" อาถิงถาม
เสียงนกหวีดดังขึ้นจากข้างหลังของเด็กทั้งสามคนซึ่งมันเป็นสัญญาณว่า เวลาคุยของพวกเขาหมดแล้วยุวชนทหารหมวด 6 ต่างรีบวิ่งกรูมาจัดแถวหน้าครูฝึกทันที จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิยืนรอยุวชนทหารที่พยายามตั้งแถวให้เรียบร้อยและรวดเร็ว เฟรมยืนอยู่ข้างๆอาชินในขณะที่อาถิงที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยไปอยู่แถวหน้า ทหารพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกก็เดินตรวจตราว่ายืนตรงแถวกันไหม
"ทั้งหมดนิ่ง" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่งเสียงดัง
ความเงียบเข้าปกคลุมหมวด 6 ทันทีที่จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิสั่งให้นิ่งพวกเขาไม่ยอมขยับร่างกายยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหินซึ่งมันก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ดีเมื่อครูฝึกจับจ้องมาที่ยุวชนทหารคนหนึ่ง ซึ่งยืนข้างอาถิงทำเอาเขาแทบหยุดลมหายใจเพราะยังมีความหลังฝังใจเรื่องที่เขาโดนจากร้อยตรีโทมัสอยู่ จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเดินตรงมาที่แถวของอาถิงซึ่งตอนนี้ใจของเด็กชายมันแป้วหล่นลงไปที่ตาตุ่มแล้วแต่บุคคลที่น่าจะใจแป้วมากกว่าอาถิง ควรจะเป็นยุวชนทหารที่ยืนข้างๆเขามากกว่าผิวขาวผมดำดวงตาสีดำค่อนข้างจะเตี้ยกว่าอาถิงเล็กน้อยแต่ไล่เลี่ยกันเขายืนแข็งทื่อเมื่อครูฝึกจับจ้องเขา
"มือนะไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเอ๋ยเสียงเรียบ
ไม่พูดเปล่าเขามาจับเปลี่ยนท่าทางของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งอาถิงก็ได้เห็นว่าท่ายืนตรงมันไม่จำต้องตรงทั้งหมดแต่ให้แขนง้อเล็กน้อยเท่านั้น และไม่นานนักยุวชนทหารนายอื่นก็เริ่มทำตามแบบอาถิงร่วมไปถึงอาชินด้วย ทำให้จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพอใจอย่างมากที่เด็กๆ เรียนรู้เร็วกว่าที่เขาคิดเมื่อทุกคนรู้ท่าตรงที่ถูกต้องแล้วจึงยืนนิ่งต่อ โดยที่ครูฝึกไม่ต้องสั่งช้ำดังนั้นจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิจึงเดินไปยังจุดเดิมของเขา
"พวกนายเรียนรู้กันไวมาก ทำดีแล้วให้ทำดีแบบนี้ต่อไป" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกปากชื่อชม
คำชมของครูฝึกทำให้เด็กๆหัวใจชื่นบานตามๆกัน เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักจะโดนต่อว่ากับทำโทษมากกว่า แต่พวกเขาไม่ประมาท ไม่นานนักก็มีทหารนายหนึ่งเดินมากระซิบข้างหูจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิ สักพักก่อนจะเดินลงไปหาครูฝึกหมวดอื่นๆยุวชนทหารพากันมองกันไปมองกันมาว่ามันเกิดอะไร แต่เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดเป่าดังขึ้นเพื่อที่จะให้เด็กอยู่ในความสงบ อาชินรู้สึกคันที่ขาแต่ต้องพยายามอดกลั่นเอาไว้เพราะกลัวจะช้ำรอยเหมือนอาถิง
"พวกนายไปร่วมพลของกองร้อย 015 เดียวนี้" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพูดพร้อมเป่านกหวีดให้สัญญาณ
ยุวชนทหารหมวด 6 ก็รีบพากันวิ่งแตกกระจาย อาชิน เฟรม และอาถิงวิ่งตามติดๆเพื่อไม่ให้พวกเขาหลงกันในใจกลางสนามฝึกของกองร้อย 015 จะมีเวทีขนาดปานกลางซึ่งมีทหารยศผู้พันยืนรออยู่ เป็นชายร่างสูงผมสีทองผสมบลอนด์และมีท่าทางที่ดุดันน่าเกรงขามแม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูเหมือนคนอายุพึ่ง 30 ก็ตามแต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็เคารพยำเกรงเขาในฐานะผู้บังคับบัญชา เขากำลังจับจ้องยุวชนทหารที่กำลังมาร่วมพลกันและจัดแถวอย่างเป็นระเบียบโดยมีครูฝึกกับทหารพี่เลี้ยงคอยดูไม่ให้แตกแถว มีบางหมวดแม้จะต่อแถวเรียบร้อยแล้วก็ยังคุยเล่นกันตามประสาเด็กซึ่งผู้บังคับบัญชาคนนี้เห็นว่า กองร้อย 015 ครบแล้วจึงใช้พลังเปล่งเสียงออกมาทันที
"ทั้งหมดเงียบ" ผู้บังคับบัญชาเปล่งเสียงสุดพลังเหมือนเสือคำราม
ยุวชนทหารกองร้อย 015 นิ่งสงบทันทีที่ได้ยินเสียงพร้อมกับสายลมกระแทกกับใบหน้าเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เด็กๆขวัญผวาไม่ใช่น้อยกับเสียงคำรามของทหารยศผู้พันนายนี้ อาชินเองก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างมันสั่นไม่หยุดเขารู้ตัวว่าเสียงคำรามเมื่อกี้มันทำให้เด็กชายกลัวมากมันเทียบไม่ได้กับตอนที่หวงฉี่ชุ่นปู่ของเขาเสียงดังเลย สิ่งที่เจอตอนนี้หวงฉี่ชุ่นดูกลายเป็นคุณปู่แสนใจดีไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่ากองร้อย 015 ทั้งหมดเงียบกันหมดโดยไม่มีใครพูดคุยต่างยืนตรงกันหมด เขาจึงหันไปคว้าไมโครโฟนมาเพื่อใช้พูดคุยกับยุวชนทหารของเขา ที่น่าอึ้งกว่านั้นคือก่อนหน้านี้เขาเปล่งเสียงโดยไม่ได้ใช้ไมโครโฟน
"สวัสดีเหล่ายุวชนทหารกองร้อย 015 ทุกนายฉันชื่อ พันเอกแบรดลีย์ บัคคาริน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน" ทหารยศผู้พันกล่าวแนะนำตนเอง น้ำเสียงเขายังคงความเป็นโทนเดิมคือดุดันและหนักแน่นเพื่อเป็นการบอกนัยๆว่า "ไม่ได้มาเล่นๆ"
"หลายคนอาจรู้หรือไม่รู้ฉันก็จะบอก ฉันคือผู้บังคับบัญชากองร้อยที่พวกนายต้องอยู่ไปอีก 3 ปี" พันเอกแบรดลีย์มองยุวชนทหารในสังกัดของตนอย่างไม่วางสายตา ทำเอาหลายคนหายใจไม่ทั่วท้องเลยโดยเฉพาะกับอาถิงที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบบรรยายกาศของแรงกดดันมากขนาดนี้
"หน้าที่ของพวกนายมันไม่ยากนั้นคือตั้งใจฝึกและเชื่อฟังคำสั่งของครูฝึกอย่างเคร่งครัด เช่นกันหน้าที่ของฉันคือดูแลพวกนายให้ดีที่สุดเพื่อเป็นสุดยอดทหารในอนาคตแทนพวกฉัน"
อาชินรู้สึกเหมือนได้ยินเหม็นๆบางอย่างลอยเข้ามาประทะกับรูจมูกของเขา แม้จะกลิ่นไม่แรงแต่มันก็รบกวนจิตใจของเด็กชายเหมือนกัน เขาก็อยากมองหาต้นตอแต่ก็ทำไม่ได้อย่าว่าแต่มองหาเลยแค่จะเอามือปิดยังไม่ได้เลย เพราะกลัวจะถูกทำโทษจากครูฝึกและสิ่งที่อาชินหวั่นก็ดันเป็นจริงเมื่อจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิครูฝึกของเขาเดินมา แต่เมื่อจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิมายืนใกล้อาชินเขาก็ทำหน้าแบบเดียวกับเด็กชายนั้นคือได้กลิ่นอะไรบางอย่างตุๆ ซึ่งไม่นานนักก็พบสาเหตุนั้นคือยุวชนทหารข้างๆอาชินนั้นความจริงคือฉี่รดเต็มกางเกงตัวเองใจหนึ่งก็อยากหัวเราะแต่ จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเลือกจะเก็บเพื่อรักษาหน้ายุวชนทหารนายนั้นคงเพราะเสียงคำรามของพันเอกแบรดลีย์ทำให้เด็กตกใจและกลัวจนเผลอปล่อยออกมา
"อดทนหน่อยนะเดียวก็ปล่อยแถว" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิกระซิบข้างหูของอาชิน ซึ่งเด็กก็อยากทำแบบนั้นแต่กลิ่นมันช่างอำมหิตกับเขาเหลือเกิน ของเหลวที่อยู่ในกระเพาะเขาทำท่าว่าอยากจะออกมาทักทายคนรอบข้างชะด้วย พันเอกแบรดลีย์ก้มมองดูนาฬิกาตัวเองก่อนที่จะหันไปพยักหน้าให้ทหารที่อยู่ข้างหลังลงเวที
"ที่ฉันเรียกร่วมพลครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกนายดึงศักยภาพของตัวเองออกมา ฉันจึงเเตรียมสิ่งนี้ไว้"
ไม่นานนักเวทีก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสนามคล้ายๆเหมือนสังเวียนต่อสู้ทันที โดยมันปรากฎเสาสี่มุมขึ้นและปล่อยพลังงานคล้ายๆกับเชือกสนาม อาชินมองเห็นสนามประลองก็พอจะนึกออกแล้วว่าผู้พันแบรดลีย์คิดจะทำไร เด็กคนอื่นพากันตกตะลึงกับเวทีที่เปลี่ยนเป็นสนามประลองและยังปรากฎอัฒจันทร์ขึ้นโดยรอบ คราวๆน่าจะบรรจุคนนั่งครบทั้งกองร้อย 015 ได้พอดี
"พวกนายทุกคนขึ้นไปบนอัฒจันทร์ให้หมด" พันเอกแบรดลีย์ออกคำสั่ง
ยุวชนทหารทุกนายก็ถูกครูฝึกและทหารพี่เลี้ยงต้อนขึ้นอัฒจันทร์ซึ่งอาชิน เฟรม และอาถิงนั้นได้นั่งติดกันในแถวที่ห้าทำให้มองเห็นชัดว่าแถวล่างมากกว่าเล็กน้อย สนามประลองขยายตัวกว้างขึ้นจนดูไม่ออกว่ามันเคยถูกใช้เป็นเวทีในการร่วมพลเลย อาชินรู้สึกได้ว่าพอเขานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมองไปที่สนามแล้วรู้สึกพันเอกแบรดลีย์กลายเป็นมนุษย์จิ๋วไปเลย เด็กชายจึงลองเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งแล้วทำท่าเหมือนคล้ายๆจะคีบตัวพันเอกแบรดลีย์ที่ตัวเล็กในสายตาเขา ดูเหมือนความคิดของอาชินนั้นพันเอกแบรดลีย์รับรู้ได้จึงส่งสายตามาทางอาชินตรงๆซึ่งมีเพียงเด็กชายเท่านั้นที่รับรู้ เขาตั้งท่าต่อสู้โดยอัตโนมัติทันทีทำให้เฟรมกับอาถิงนั้นตกใจแต่คนที่แปลกใจกว่าคือตัวของพันเอกแบรดลีย์เอง
"เฮ้ พวก นายเป็นอะไรรึเปล่า" เฟรมถามด้วยความเป็นห่วง
"นั้นสิ นายทำแบบนั้นทำไม" อาถิงเสริมด้วยอีกคน
"ฉันรู้สึก.... ไม่มีอะไรหรอกพวก" อาชินเหงื่อแตกมากเป็นพิเศษตัวเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เกิดจากการฝึกภาคสนามแน่นอน วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ถึงรังสีอันตรายที่พันเอกแบรดลีย์แผ่มาที่เขา เด็กชายรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจแผ่ใส่เขาแน่นอนตอนนี้อาชินรู้แล้วว่าไม่ควรหยอกล่อทหารผู้ใหญ่จริงๆ
พันเอกแบรดลีย์ยังไม่ละสายตาจากยุวชนทหารที่เขาเพิ่งจะแผ่จิตสังหารใส่เมื่อกี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะที่เขาดูแลและกำกับฝึกอบรมยุวชนทหารวัยนี้มานาน หายากมากเด็กที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้เพราะที่เห็นคือจะกลัวหัวหดกันหมดซึ่งไม่นานนักรอยยิ้มก็บังเกิดที่ใบหน้าของพันเอกหนุ่มขึ้นมา เขาคาดเดาไว้อยู่ว่าในกองร้อยที่เขาต้องดูแลนั้นมียอดทหารในอนาคตหลายร้อยนายที่พร้อมจะแสดงศักยภาพแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็จะเริ่มงานที่คิดเอาไว้เลย
"เผื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาฉันจะสุ่มเลือกหนึ่งในพวกนายมาประลองกัน เพื่อดึงศักยภาพทั้งหมดออกมา" ไม่นานนักก็มีทหารนายหนึ่งนำแทปเล็ตมามอบให้กับพันเอกแบรดลีย์
"รายชื่อของพวกนายในกองร้อย 015 อยู่ในนี้เพราะฉะนั้นถ้าฉันเลือกชื่อของใครก็ตาม มันจะไปปรากฏบนหน้าจอโฮโลแกรมที่อยู่ข้างหลัง และชื่อที่อยู่หน้าจอต้องออกมาประลองกัน...ไม่มีข้อยกเว้น"
ยุวชนทหารทั้งกองร้อย 015 พากันหายใจไม่ทั่วท้องกันหมด แม้ว่าพวกเขาจะฝึกกันมาหลายเดือนก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือที่จะลงสังเวียน จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเองสังเกตเห็นความวิตกของยุวชนทหารก็พอจะเข้าใจ แต่การจะรู้ศักยภาพของเด็กๆได้ก็ต้อองให้ลงสังเวียนเท่านั้น อาชินไม่ค่อยกังวลตัวเองเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นอาถิงคงน่าเป็นห่วงมากๆ ยิ่งถ้าเจอขาโหดหน่อยไม่น่าจะรอดและใจคอของเหล่ายุวชนทหารทั้งกองร้อยก็เริ่มไม่นิ่ง เมื่อเห็นพันเอกก้มมองแทปเล็ตในมือเพื่อสุ่มชื่อคนที่จะมาลงสังเวียนนี้
"นายคิดว่าใครจะได้คู่แรก" เฟรมหันมาถามอาชิน
"ไม่รู้เหมือนกันแต่อย่าให้เป็นฉันดีกว่า" อาชินตอบแบบตรงๆ
"แฮะๆ นายคิดเหมือนกับฉันเลย" เฟรมพูดพร้อมเกาหัวแก้เขิน
พันเอกแบรดลีย์ทำสีหน้าเหมือนกับว่าเขาได้รายชื่อคู่ลงสังเวียนคู่แรกแล้ว เด็กๆทั้งชายและหญิงพากันหายใจไม่ทั่วท้องเพราะตื่นเต้นปนกับกลัวนิดๆ แต่ละคนก็ไม่อยากโดนเป็นคู่แรกกันทั้งนั้นอาจเกิดจากความประหม่า แล้วจอโฮโลแกรมก็ปรากฏรูปของยุวชนทหารคู่แรกซึ่งเป็นยุวชนทหารชายกับยุวชนทหารหญิง และยังปรากฎชื่อของบุุคคลทั้งสองด้วยโดยฝ่ายชายนั้นมีชื่อว่า ลีเซลอตเต ฟริทซ์ คาร์ล อาเดอเนาเออร์ เป็นเด็กชายผมสีบลอนด์ทองดวงตาสีฟ้าอ่อนผิวขาว ส่วนฝ่ายหญิงนั้นชื่อได้ปรากฎออกมาคือ จินตหรา จันพิลา ผมสีน้ำตาลเหมือนช็อกโกแลตดวงตาสีดำผิวสีแทนน้ำผึ้ง ซึ่งหลังจากที่ภาพของทั้งสองโผล่ขึ้นมาในหน้าจอ ยุวชนทหารคนอื่นก็พากันมองหาว่าอยู่ตรงไหน
++++++++++++++++++++++++++++++++
ในสนามฝึกของศูนย์ฝึกนั้นค่อนข้างกว้างและรับบรรจุยุวชนทหารจำนวนกว่า 3,000 นายโดยจำนวนที่ว่านี้คือเฉพาะยุวชนทหารรุ่น 4-6 ขวบ เท่านั้นและการฝึกภาคสนามนั้นจะมีกำแพงกั้นแบ่งตามรุ่นเพื่อไม่ให้ปะปนกัน ในการฝึกภาคสนามนั้นก็จะยังไม่มีการฝึกวิชาต่อสู้ในแขนงที่ได้เลือกไปแต่จะให้เหล่ายุวชนทหารรุ่นใหม่ได้ฝึกพื้นฐานของการเป็นทหารทั้งหมด ก่อนที่จะฝึกใช้อาวุธพื้นฐานของกองทัพอีกทีซึ่งอาชินกับอาถิงนั้นทั้งสองได้สังกัดกองร้อย 015 หมวด 6 หมู่ 8 อาชินกำลังฝึกในการจัดแถวและท่วงท่าต่างๆเช่น ตามระเบียบพัก หันซ้ายหันขวา หรือกลับหลังหันเป็นต้นและยังมีการเดินสวนสนามซึ่งเวลาที่พวกเขาต้องเดินสวนกันนั้นยากลำบากเพราะยังเดินชนกันเองอยู่แต่ที่แปลกคือมีหลายคนจงใจชนอาถิงแบบแรงๆ ซึ่งผลมาจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนอาถิงได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบโต้แต่ตรงข้ามกับเขาที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่งกับเขาเท่าไหร่
"หมวด 6 ทั้งหมดมาหาข้าพเจ้า" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพูดเสียงดังพร้อมกับเป่านกหวีดดังขึ้น ทำให้อาชินกับยุวชนทหารคนอื่นๆพากันวิ่งตะลุมบอนมาทางครูฝึกทันที อาชินมั่วแต่พยายามวิ่งมาให้ทันจนลืมอาถิงไปครู่หนึ่งพวกเขาต่างรีบจัดแถวโดยเรียงเตี้ยไปสูงซึ่งหลังจากที่พวกเขาจัดแถวเรียบร้อยและเด็กชายพึ่งรู้ตัวว่าญาติลูกพี่ลูกน้องไม่ได้อยู่กับตน จึงหันซ้ายหันขวาก็พบว่าอาถิงอยู่ข้างหน้าเขาถัดไปอีก 2 คน
"ทั้งหมด นิ่ง!" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่ง
เหล่ายุวชนทหารนิ่งเงียบกันทันทีซึ่งมันสร้างความพอใจให้กับครูฝึกอย่างเขามาก แต่เพื่อให้แน่ใจครูฝึกหนุ่มจึงทำการเดินสำรวจแถวของยุวชนทหารที่กำลังยืนนิ่งให้มากที่สุด หนึ่งในนั้นคืออาชินและเขาเชื่อว่าอาถิงเองก็คงพยายามนิ่งเหมือนกันเพราะเหตุการณ์ที่โดนจากร้อยตรีโทมัสทำให้อาถิงนั้นจำฝังใจไปยาวนาน ส่วนทางจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิที่พอสำรวจแล้วพบว่ายุวชนทหารจัดแถวนิ่งตามที่เขาสอนแล้ว เขาจึงเดินไปประจำจุดเดิมเพื่อให้เด็กๆมองเห็นเขา
"พวกนายทำได้ดีมากไม่แตกแถว ไม่ขยุกขยิกแต่อย่าเหลิงมากนักนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น" เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ
อาชินได้ยินเสียงดังจากด้านข้างซึ่งเขาแอบหันไปมองซึ่งนั้นคือ หมวด 23 ของกองร้อย 015 ที่ตอนนี้ได้ปล่อยแถวกันแล้วซึ่งเหล่าเด็กๆพากันยืดเส้นยืดสายกัน ที่สำคัญเด็กชายยังเห็นแดเนียล แรคคลิฟฟ์เจ้าปัญหาอยู่ในนั้นด้วยกำลังเมาท์กับเพื่อนในกลุ่มอย่างสนุกปากซึ่งอาชินยอมรับว่าแดเนียลผูกมิตรกับทุกคนได้รวดเร็ว แต่คงไม่ใช่กับเขาแน่นอนไม่นานนักเฟรมที่อยู่ข้างหลังสะกิดเขาให้อยู่นิ่งๆเพราะจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิกำลังมองดูเขาอยู่อาชินจึงรีบนิ่งทันที
"ฉันจะให้พวกนายพักเอาแรงสัก 15 นาที เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดนี้ฉันต้องเห็นพวกนายเข้าแถวเป็นระเบียบไม่งั้นจะมีชะตากรรมแบบนั้นหมวดนั้น" พูดจบจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิก็ชี้ไปทางซ้ายมือ
อาชินและเพื่อนๆในหมวดก็หันไปมองตามก็เห็นหมวด 50 กำลังนอนราบกับพื้นโดยมีครูฝึกและทหารพี่เลี้ยงคอยดูกำกับไม่ให้ยุวชนทหารเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาดเห็นภาพนั้นทำให้อาชินกับอาถิงอดนึกถึงบรรยายกาศตอนที่ พวกเขาโดนร้อยตรีโทมัสสั่งหมอบได้และคงไม่อยากจะโดนแบบนั้นเพื่อนในหมวดก็คงคิดแบบนั้น ภาพที่จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเห็นก็อยากจะขบขำในท่าทีของเหล่ายุวชนทหารที่เขากำลังสอนแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะเขาคือครูฝึก แต่มันก็อดนึกถึงสมัยเขาฝึกแบบนี้ไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองนั้นก็หวาดกลัวต่อครูฝึกไม่แพ้กัน
"ทั้งหมด...เลิกแถว" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่งพร้อมกับเป่านกหวีดที่คล้องคอ
อาชินกับเพื่อนๆในหมวดยื่นเท้าไปข้างหน้าและกระทืบลงพื้นก่อนจะสลายตัว เฟรมกับอาถิงเดินมาหาเขาโดยอัตโนมัติซึ่งทั้งสามพากันไปกินน้ำดื่มที่เหล่าครูฝึกเตรียมเอาไว้ ระหว่างที่เขากำลังดื่มน้ำอยู่นั้นก็ไปสะดุดกับยุวชนทหารของหมวด 19 ที่พึ่งจะปล่อยแถวหลังพวกเขาไม่นาน เขาเห็นหวังเสี่ยวหู่อยู่ในนั้นกำลังอยู่กับกลุ่มเพื่อนอยู่แต่ที่อาชินสนใจไม่ใช่กลุ่มหวังเสี่ยวหู่ แต่เป็นเด็กชายผิวขาวผมทองดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้า แม้จะอายุแค่ 4 ขวบแต่กลับมีท่าทีสง่างามแตกต่างกับเด็กทั่วไปทำให้อาชินสงสัยที่มาที่ไปของอีกฝ่ายมาก
"คนที่นายมองอยู่นะมีชื่อว่า "แดเนียล ฟอร์ด" เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลหลักเลยนะ" เฟรมที่อยู่ข้างๆเฉลยให้กับเขา ในใจของอาชินบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจะรู้ใจเขาไปถึงไหนกัน แต่สักพักอาชินก็พึ่งจะเห็นว่าแรคคลิฟฟ์ก็มองไปทางแดเนียล ฟอร์ดแบบไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนกับที่ทำกับเขาแต่มันต่างตรงที่แรคคลิฟฟ์มองแบบหมั่นไส้ ตรงข้ามกับเด็กชายที่อีกฝ่ายมองเขาเป็นศัตรูและพร้อมจะห้ำหั่นกับเขาได้ทุกเมื่อ
"ทำไมเขาถึงเป็นทายาทแค่คนเดียวละ" อาถิงถามด้วยความสงสัย
"ก็เพราะว่าภรรยาของ "คอร์แม็ก ฟอร์ด" ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนะมีบุตรยากนะสิกว่าจะมีได้เห็นว่าใช้เวลาเป็นปีเป็นชาติ” เฟรมตอบ
"แล้วทำไมถึงได้ให้กำเนิดทายาทคนนี้ได้ละ” อาชินถาม เฟรมยักไหล่
"ไม่รู้เหมือนกันเห็นพี่ชายฉันเมาท์มาว่าสามีภรรยาตระกูลฟอร์ด แต่งงานกันมา 20 กว่าปียังไม่มีบุตรสักทีจนกระทั่ง..."
เฟรมหยุดพูดไปทันทีซึ่งอาชินกับอาถิงก็งุนงงว่าทำไมถึงหยุดพูด จนกระทั่งเมื่อทั้งสองหันกลับไปจึงกระจ่างเพราะคนที่ทั้งสามนินทานั้นกำลังเดินมาทางพวกเขา และท่าทางจะยังไม่รู้ตัวว่าโดนนินทาอยู่ซึ่งแน่นอนว่าเฟรมรีบพาเพื่อนของตนออกไปจากตรงนั้นทันทีเพื่อสะดวกในการพูดคุย โดยทั้งสามเดินออกห่างจากซุ้มกินน้ำมาอยู่บริเวณใกล้ๆกับที่ร่วมพลหมวดของพวกเขาเอง เมื่อเฟรมเห็นว่าปลอดภัยแล้วเขาจึงเล่าเรื่องต่อ
"ฉันไม่รู้ว่าเรื่องที่พี่ชายเล่ามันจริงไหมแต่ใครๆต่างก็พูดกันว่าแดเนียล ฟอร์ดไม่ใช่ลูกแท้ๆของ "เลดี้แชริตี้" กับคอร์แม็ก" เฟรมกระซิบเบาๆแทน แต่อาชินกับอาถิงก็พากันตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยินมา
"ลูกบุญธรรมเหรอ" อาถิงตั้งข้อสันนิฐาน
"มากกว่านั้นอีกพี่ชายฉันเล่าว่าเป็นลูกนอกสมรสของคอร์แม็กกับ "เลดี้ซูซาน" และที่พีคกว่านั้นคือเป็นน้องสาวแท้ๆของเลดี้แชริตี้ต่างหาก"
"เดียวนะพวกเขาให้เธออุ้มบุญเหรอ" อาถิงพูดเบาๆเพราะกลัวใครจะได้ยินเหมือนกับเฟรม
ในประเทศฟรอนร์เทียร์ที่มีทหารมีฝีมือและสร้างชื่อไว้มากมายก็ค่อนข้างมาก ที่สำคัญมีตระกูลนักรบดังหลายตระกูลในกองทัพแน่นอนที่ตามมาคือมักจะมีเรื่องอื้อฉาวภายในเสมอ ยกตัวอย่างเช่นการเข่นฆ่าภายในตระกูลหยางเมื่อ 90 ปี แต่ถ้าจะมีมากกว่านั้นคือการหาทายาทสืบทอดตระกูลมากกว่า ถ้าเป็นตระกูลดังๆหน่อยโดยเฉพาะพวกนักรบจะเน้นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงและพวกเขาจะยอมทำทุกวิถีทางในการหาทายาทเพื่อให้ตระกูลคงอยู่ต่อไป บางตระกูลก็เลือกรับเด็กกำพร้ามาอุปการะเพื่อเป็นทายาทแต่ส่วนใหญ่แล้วอยากใช้วิธีอุ้มบุญมากกว่าอย่างเช่นยุคที่ จอมทัพเซโนฟีเลียส เวกเตอร์ ได้ให้ หวงโหย่งจิ้ง แห่งตระกูลหวงลำดับที่ 4 อุ้มบุญทายาทให้และการที่เธอให้กำเนิดบุตรชายนั้นก็ยังเป็นส่วนช่วยเสริมอำนาจให้กับตระกูลของเธอ ทำให้อีกหลายๆตระกูลไม่พอใจโดยเฉพาะตระกูลหลักของตระกูลหวง ดังนั้นอาชินจะไม่แปลกใจหากคอร์แม็ก ฟอร์ดจะเลือกวิธีอุ้มบุญโดยใช้น้องสะใภ้ตัวเองแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าตัวเด็กชายรู้สึกไม่โอเคกับคำว่า "อุ้มบุญ"
"ฉันก็อยากคิดแบบนั้นนะอี้ถิงแต่..ตอนงานเลี้ยงอ่ะฉันได้เจอหน้าเลดี้แชริตี้ด้วย เอาตรงๆนะฉันไม่อยากเข้าใกล้เธออ่ะ" เฟรมพูด อาชินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"ทำไมละเลดี้แชริตี้เป็นพวกเกลียดเด็กเหรอ" อาชินถาม เฟรมส่ายหน้า
"ก็ไม่เชิงอ่ะคือแบบว่าเท่าที่ฉันเจอเลดี้แชริตี้ครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าเขามองทุกอย่างเป็นสิ่งของ" เฟรมตอบ
"สิ่งของงั้นเหรอ ยังไงอ่ะ" อาถิงถาม
เสียงนกหวีดดังขึ้นจากข้างหลังของเด็กทั้งสามคนซึ่งมันเป็นสัญญาณว่า เวลาคุยของพวกเขาหมดแล้วยุวชนทหารหมวด 6 ต่างรีบวิ่งกรูมาจัดแถวหน้าครูฝึกทันที จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิยืนรอยุวชนทหารที่พยายามตั้งแถวให้เรียบร้อยและรวดเร็ว เฟรมยืนอยู่ข้างๆอาชินในขณะที่อาถิงที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยไปอยู่แถวหน้า ทหารพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกก็เดินตรวจตราว่ายืนตรงแถวกันไหม
"ทั้งหมดนิ่ง" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกคำสั่งเสียงดัง
ความเงียบเข้าปกคลุมหมวด 6 ทันทีที่จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิสั่งให้นิ่งพวกเขาไม่ยอมขยับร่างกายยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหินซึ่งมันก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ดีเมื่อครูฝึกจับจ้องมาที่ยุวชนทหารคนหนึ่ง ซึ่งยืนข้างอาถิงทำเอาเขาแทบหยุดลมหายใจเพราะยังมีความหลังฝังใจเรื่องที่เขาโดนจากร้อยตรีโทมัสอยู่ จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเดินตรงมาที่แถวของอาถิงซึ่งตอนนี้ใจของเด็กชายมันแป้วหล่นลงไปที่ตาตุ่มแล้วแต่บุคคลที่น่าจะใจแป้วมากกว่าอาถิง ควรจะเป็นยุวชนทหารที่ยืนข้างๆเขามากกว่าผิวขาวผมดำดวงตาสีดำค่อนข้างจะเตี้ยกว่าอาถิงเล็กน้อยแต่ไล่เลี่ยกันเขายืนแข็งทื่อเมื่อครูฝึกจับจ้องเขา
"มือนะไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเอ๋ยเสียงเรียบ
ไม่พูดเปล่าเขามาจับเปลี่ยนท่าทางของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งอาถิงก็ได้เห็นว่าท่ายืนตรงมันไม่จำต้องตรงทั้งหมดแต่ให้แขนง้อเล็กน้อยเท่านั้น และไม่นานนักยุวชนทหารนายอื่นก็เริ่มทำตามแบบอาถิงร่วมไปถึงอาชินด้วย ทำให้จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพอใจอย่างมากที่เด็กๆ เรียนรู้เร็วกว่าที่เขาคิดเมื่อทุกคนรู้ท่าตรงที่ถูกต้องแล้วจึงยืนนิ่งต่อ โดยที่ครูฝึกไม่ต้องสั่งช้ำดังนั้นจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิจึงเดินไปยังจุดเดิมของเขา
"พวกนายเรียนรู้กันไวมาก ทำดีแล้วให้ทำดีแบบนี้ต่อไป" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิออกปากชื่อชม
คำชมของครูฝึกทำให้เด็กๆหัวใจชื่นบานตามๆกัน เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักจะโดนต่อว่ากับทำโทษมากกว่า แต่พวกเขาไม่ประมาท ไม่นานนักก็มีทหารนายหนึ่งเดินมากระซิบข้างหูจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิ สักพักก่อนจะเดินลงไปหาครูฝึกหมวดอื่นๆยุวชนทหารพากันมองกันไปมองกันมาว่ามันเกิดอะไร แต่เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดเป่าดังขึ้นเพื่อที่จะให้เด็กอยู่ในความสงบ อาชินรู้สึกคันที่ขาแต่ต้องพยายามอดกลั่นเอาไว้เพราะกลัวจะช้ำรอยเหมือนอาถิง
"พวกนายไปร่วมพลของกองร้อย 015 เดียวนี้" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิพูดพร้อมเป่านกหวีดให้สัญญาณ
ยุวชนทหารหมวด 6 ก็รีบพากันวิ่งแตกกระจาย อาชิน เฟรม และอาถิงวิ่งตามติดๆเพื่อไม่ให้พวกเขาหลงกันในใจกลางสนามฝึกของกองร้อย 015 จะมีเวทีขนาดปานกลางซึ่งมีทหารยศผู้พันยืนรออยู่ เป็นชายร่างสูงผมสีทองผสมบลอนด์และมีท่าทางที่ดุดันน่าเกรงขามแม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูเหมือนคนอายุพึ่ง 30 ก็ตามแต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็เคารพยำเกรงเขาในฐานะผู้บังคับบัญชา เขากำลังจับจ้องยุวชนทหารที่กำลังมาร่วมพลกันและจัดแถวอย่างเป็นระเบียบโดยมีครูฝึกกับทหารพี่เลี้ยงคอยดูไม่ให้แตกแถว มีบางหมวดแม้จะต่อแถวเรียบร้อยแล้วก็ยังคุยเล่นกันตามประสาเด็กซึ่งผู้บังคับบัญชาคนนี้เห็นว่า กองร้อย 015 ครบแล้วจึงใช้พลังเปล่งเสียงออกมาทันที
"ทั้งหมดเงียบ" ผู้บังคับบัญชาเปล่งเสียงสุดพลังเหมือนเสือคำราม
ยุวชนทหารกองร้อย 015 นิ่งสงบทันทีที่ได้ยินเสียงพร้อมกับสายลมกระแทกกับใบหน้าเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เด็กๆขวัญผวาไม่ใช่น้อยกับเสียงคำรามของทหารยศผู้พันนายนี้ อาชินเองก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างมันสั่นไม่หยุดเขารู้ตัวว่าเสียงคำรามเมื่อกี้มันทำให้เด็กชายกลัวมากมันเทียบไม่ได้กับตอนที่หวงฉี่ชุ่นปู่ของเขาเสียงดังเลย สิ่งที่เจอตอนนี้หวงฉี่ชุ่นดูกลายเป็นคุณปู่แสนใจดีไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่ากองร้อย 015 ทั้งหมดเงียบกันหมดโดยไม่มีใครพูดคุยต่างยืนตรงกันหมด เขาจึงหันไปคว้าไมโครโฟนมาเพื่อใช้พูดคุยกับยุวชนทหารของเขา ที่น่าอึ้งกว่านั้นคือก่อนหน้านี้เขาเปล่งเสียงโดยไม่ได้ใช้ไมโครโฟน
"สวัสดีเหล่ายุวชนทหารกองร้อย 015 ทุกนายฉันชื่อ พันเอกแบรดลีย์ บัคคาริน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน" ทหารยศผู้พันกล่าวแนะนำตนเอง น้ำเสียงเขายังคงความเป็นโทนเดิมคือดุดันและหนักแน่นเพื่อเป็นการบอกนัยๆว่า "ไม่ได้มาเล่นๆ"
"หลายคนอาจรู้หรือไม่รู้ฉันก็จะบอก ฉันคือผู้บังคับบัญชากองร้อยที่พวกนายต้องอยู่ไปอีก 3 ปี" พันเอกแบรดลีย์มองยุวชนทหารในสังกัดของตนอย่างไม่วางสายตา ทำเอาหลายคนหายใจไม่ทั่วท้องเลยโดยเฉพาะกับอาถิงที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบบรรยายกาศของแรงกดดันมากขนาดนี้
"หน้าที่ของพวกนายมันไม่ยากนั้นคือตั้งใจฝึกและเชื่อฟังคำสั่งของครูฝึกอย่างเคร่งครัด เช่นกันหน้าที่ของฉันคือดูแลพวกนายให้ดีที่สุดเพื่อเป็นสุดยอดทหารในอนาคตแทนพวกฉัน"
อาชินรู้สึกเหมือนได้ยินเหม็นๆบางอย่างลอยเข้ามาประทะกับรูจมูกของเขา แม้จะกลิ่นไม่แรงแต่มันก็รบกวนจิตใจของเด็กชายเหมือนกัน เขาก็อยากมองหาต้นตอแต่ก็ทำไม่ได้อย่าว่าแต่มองหาเลยแค่จะเอามือปิดยังไม่ได้เลย เพราะกลัวจะถูกทำโทษจากครูฝึกและสิ่งที่อาชินหวั่นก็ดันเป็นจริงเมื่อจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิครูฝึกของเขาเดินมา แต่เมื่อจ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิมายืนใกล้อาชินเขาก็ทำหน้าแบบเดียวกับเด็กชายนั้นคือได้กลิ่นอะไรบางอย่างตุๆ ซึ่งไม่นานนักก็พบสาเหตุนั้นคือยุวชนทหารข้างๆอาชินนั้นความจริงคือฉี่รดเต็มกางเกงตัวเองใจหนึ่งก็อยากหัวเราะแต่ จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเลือกจะเก็บเพื่อรักษาหน้ายุวชนทหารนายนั้นคงเพราะเสียงคำรามของพันเอกแบรดลีย์ทำให้เด็กตกใจและกลัวจนเผลอปล่อยออกมา
"อดทนหน่อยนะเดียวก็ปล่อยแถว" จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิกระซิบข้างหูของอาชิน ซึ่งเด็กก็อยากทำแบบนั้นแต่กลิ่นมันช่างอำมหิตกับเขาเหลือเกิน ของเหลวที่อยู่ในกระเพาะเขาทำท่าว่าอยากจะออกมาทักทายคนรอบข้างชะด้วย พันเอกแบรดลีย์ก้มมองดูนาฬิกาตัวเองก่อนที่จะหันไปพยักหน้าให้ทหารที่อยู่ข้างหลังลงเวที
"ที่ฉันเรียกร่วมพลครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกนายดึงศักยภาพของตัวเองออกมา ฉันจึงเเตรียมสิ่งนี้ไว้"
ไม่นานนักเวทีก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสนามคล้ายๆเหมือนสังเวียนต่อสู้ทันที โดยมันปรากฎเสาสี่มุมขึ้นและปล่อยพลังงานคล้ายๆกับเชือกสนาม อาชินมองเห็นสนามประลองก็พอจะนึกออกแล้วว่าผู้พันแบรดลีย์คิดจะทำไร เด็กคนอื่นพากันตกตะลึงกับเวทีที่เปลี่ยนเป็นสนามประลองและยังปรากฎอัฒจันทร์ขึ้นโดยรอบ คราวๆน่าจะบรรจุคนนั่งครบทั้งกองร้อย 015 ได้พอดี
"พวกนายทุกคนขึ้นไปบนอัฒจันทร์ให้หมด" พันเอกแบรดลีย์ออกคำสั่ง
ยุวชนทหารทุกนายก็ถูกครูฝึกและทหารพี่เลี้ยงต้อนขึ้นอัฒจันทร์ซึ่งอาชิน เฟรม และอาถิงนั้นได้นั่งติดกันในแถวที่ห้าทำให้มองเห็นชัดว่าแถวล่างมากกว่าเล็กน้อย สนามประลองขยายตัวกว้างขึ้นจนดูไม่ออกว่ามันเคยถูกใช้เป็นเวทีในการร่วมพลเลย อาชินรู้สึกได้ว่าพอเขานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมองไปที่สนามแล้วรู้สึกพันเอกแบรดลีย์กลายเป็นมนุษย์จิ๋วไปเลย เด็กชายจึงลองเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งแล้วทำท่าเหมือนคล้ายๆจะคีบตัวพันเอกแบรดลีย์ที่ตัวเล็กในสายตาเขา ดูเหมือนความคิดของอาชินนั้นพันเอกแบรดลีย์รับรู้ได้จึงส่งสายตามาทางอาชินตรงๆซึ่งมีเพียงเด็กชายเท่านั้นที่รับรู้ เขาตั้งท่าต่อสู้โดยอัตโนมัติทันทีทำให้เฟรมกับอาถิงนั้นตกใจแต่คนที่แปลกใจกว่าคือตัวของพันเอกแบรดลีย์เอง
"เฮ้ พวก นายเป็นอะไรรึเปล่า" เฟรมถามด้วยความเป็นห่วง
"นั้นสิ นายทำแบบนั้นทำไม" อาถิงเสริมด้วยอีกคน
"ฉันรู้สึก.... ไม่มีอะไรหรอกพวก" อาชินเหงื่อแตกมากเป็นพิเศษตัวเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เกิดจากการฝึกภาคสนามแน่นอน วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ถึงรังสีอันตรายที่พันเอกแบรดลีย์แผ่มาที่เขา เด็กชายรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจแผ่ใส่เขาแน่นอนตอนนี้อาชินรู้แล้วว่าไม่ควรหยอกล่อทหารผู้ใหญ่จริงๆ
พันเอกแบรดลีย์ยังไม่ละสายตาจากยุวชนทหารที่เขาเพิ่งจะแผ่จิตสังหารใส่เมื่อกี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะที่เขาดูแลและกำกับฝึกอบรมยุวชนทหารวัยนี้มานาน หายากมากเด็กที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้เพราะที่เห็นคือจะกลัวหัวหดกันหมดซึ่งไม่นานนักรอยยิ้มก็บังเกิดที่ใบหน้าของพันเอกหนุ่มขึ้นมา เขาคาดเดาไว้อยู่ว่าในกองร้อยที่เขาต้องดูแลนั้นมียอดทหารในอนาคตหลายร้อยนายที่พร้อมจะแสดงศักยภาพแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็จะเริ่มงานที่คิดเอาไว้เลย
"เผื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาฉันจะสุ่มเลือกหนึ่งในพวกนายมาประลองกัน เพื่อดึงศักยภาพทั้งหมดออกมา" ไม่นานนักก็มีทหารนายหนึ่งนำแทปเล็ตมามอบให้กับพันเอกแบรดลีย์
"รายชื่อของพวกนายในกองร้อย 015 อยู่ในนี้เพราะฉะนั้นถ้าฉันเลือกชื่อของใครก็ตาม มันจะไปปรากฏบนหน้าจอโฮโลแกรมที่อยู่ข้างหลัง และชื่อที่อยู่หน้าจอต้องออกมาประลองกัน...ไม่มีข้อยกเว้น"
ยุวชนทหารทั้งกองร้อย 015 พากันหายใจไม่ทั่วท้องกันหมด แม้ว่าพวกเขาจะฝึกกันมาหลายเดือนก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือที่จะลงสังเวียน จ่าสิบเอกณัฎฐวุฒิเองสังเกตเห็นความวิตกของยุวชนทหารก็พอจะเข้าใจ แต่การจะรู้ศักยภาพของเด็กๆได้ก็ต้อองให้ลงสังเวียนเท่านั้น อาชินไม่ค่อยกังวลตัวเองเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นอาถิงคงน่าเป็นห่วงมากๆ ยิ่งถ้าเจอขาโหดหน่อยไม่น่าจะรอดและใจคอของเหล่ายุวชนทหารทั้งกองร้อยก็เริ่มไม่นิ่ง เมื่อเห็นพันเอกก้มมองแทปเล็ตในมือเพื่อสุ่มชื่อคนที่จะมาลงสังเวียนนี้
"นายคิดว่าใครจะได้คู่แรก" เฟรมหันมาถามอาชิน
"ไม่รู้เหมือนกันแต่อย่าให้เป็นฉันดีกว่า" อาชินตอบแบบตรงๆ
"แฮะๆ นายคิดเหมือนกับฉันเลย" เฟรมพูดพร้อมเกาหัวแก้เขิน
พันเอกแบรดลีย์ทำสีหน้าเหมือนกับว่าเขาได้รายชื่อคู่ลงสังเวียนคู่แรกแล้ว เด็กๆทั้งชายและหญิงพากันหายใจไม่ทั่วท้องเพราะตื่นเต้นปนกับกลัวนิดๆ แต่ละคนก็ไม่อยากโดนเป็นคู่แรกกันทั้งนั้นอาจเกิดจากความประหม่า แล้วจอโฮโลแกรมก็ปรากฏรูปของยุวชนทหารคู่แรกซึ่งเป็นยุวชนทหารชายกับยุวชนทหารหญิง และยังปรากฎชื่อของบุุคคลทั้งสองด้วยโดยฝ่ายชายนั้นมีชื่อว่า ลีเซลอตเต ฟริทซ์ คาร์ล อาเดอเนาเออร์ เป็นเด็กชายผมสีบลอนด์ทองดวงตาสีฟ้าอ่อนผิวขาว ส่วนฝ่ายหญิงนั้นชื่อได้ปรากฎออกมาคือ จินตหรา จันพิลา ผมสีน้ำตาลเหมือนช็อกโกแลตดวงตาสีดำผิวสีแทนน้ำผึ้ง ซึ่งหลังจากที่ภาพของทั้งสองโผล่ขึ้นมาในหน้าจอ ยุวชนทหารคนอื่นก็พากันมองหาว่าอยู่ตรงไหน
++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ