นักรบพันธุ์โหด ตอน หวงจือชิน Secson 1
8.0
เขียนโดย กนกพัชร
วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.12 น.
53 ตอน
0 วิจารณ์
43.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 00.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ตอนที่ 39 ความจริงจากโลงแก้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมืองหลวงประเทศฟรอนร์เทียร์ เวลา 21.00 น.
อาชินและอาเจี๋ยปั้นจักรยานเลาะมาตามทางถนนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ ซึ่งค่ำคืนนี้ผู้คนไม่ค่อยเดินเพ่นพ่านมากนัก เป็นเรื่องดีที่จะทำให้ไม่มีใครเห็นเขาทั้งสองคน เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นอาชินกับอาเจี๋ยแอบลักลอบ เข้าไปห้องศิลปะที่เขาปักใจเชื่อว่ามีทางลับออกจากบ้านหลังนี้ได้ โดยที่ไม่มีใครเห็นซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ห้องนี้ซ่อนเส้นทางลับในการออกจากบ้าน ซึ่งมันต้องใช้รหัสในการเปิด โชคดีที่อุปกรณ์แท็ปเล็ตกับโปรแกรมไมคอนที่อัพเกรดมา อย่างดีสามารถแฮกผ่านเข้าไปได้ซึ่งทางที่ทั้งสองใช้นั้น ได้นำทางมายังสวนสาธรณะแห่งหนึ่งที่ดันไกลจากวิหารนกฟินิกซ์ แต่โชคดีที่พวกเขาเอาจักรยานที่พับได้มาด้วย
อาเจี๋ยที่ปั้นจักรยานอยู่ข้างหลังของอาชินนั้น แปลกใจนิดๆที่อีกฝ่ายชวนเขาไปเป็นเพื่อนด้วย เด็กชายผิวเข้มยอมรับว่าเขาคิดว่าอาชินน่าจะอยากไปคนเดียว แต่หากคิดดูอีกทีการที่เขามาเป็นเพื่อนก็อาจจะช่วยอาชินบางอย่างได้ ส่วนอาชินนั้นเขาวางแท็ปเล็ตไว้ตรงหน้าจักรยาน โดยเขาสลับมองแผ่นที่บนจอกับมองทาง วันนี้เงียบมากจนเรียกได้ว่ามันไม่ใช่บรรยากาศ ของการไปค้นหาความจริงบางอย่างเลย อาชินมองเห็นเส้นทางลัดเขาจึงเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ โดยมีอาเจี๋ยนั้นตามมาติดๆ
ทางลัดดังกล่าวนั้นทำให้เด็กชายทั้งสองขับจักรยานผ่านตลาดอู๋ อาชินสังเกตว่าภายในตลาดยังมีบางร้านยังเปิดขายอยู่ เขาจำได้ว่าตลาดนี้มีบางร้านเปิดขายตอนกลางคืนด้วย ภาพตอนเขากับอาถิงมาซื้อของเล่นนั้นก็ผุดขึ้นมาเพียงครู่เดียว ก่อนมันจะหายไปเมื่ออาชินเงยหน้าเห็นรูปปั้นนกฟินิกซ์อยู่ไม่ห่างมาก เด็กชายคิดว่าหากขับไปอีกสัก 10-15 โหล น่าจะใกล้ถึงแล้ว
"นายไหวไหม" อาชินหันมาถาม
"ไหวสิ ขับมาถึงที่นี้แล้วนี้" อาเจี๋ยพูดพร้อมเอาเสื้อเช็ดเหงื่อ
เมื่อเพื่อนยืนยันว่าไหวอาชินก็ไม่รอช้าก็ตัดสินใจขับต่อ เขาต้องรีบทำเวลาเพราะแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ ใครที่บ้านรู้ว่าเขากับอาเจี๋ยหายไป เมื่อคิดดังนั้นเขาก็เร่งความเร็วทันทีซึ่งอาเจี๋ยตกใจมาก ที่อยู่ดีๆเพื่อนก็มาเร่งความเร็วขนาดนั้นจะรีบไปไหนกัน ยังไงวิหารมันก็ไม่ได้หายไปไหน อาชินขับเลี้ยวหลบเส้นทางลัดอย่างลำบากเล็กน้อย ก่อนจะได้มาอยู่หน้าวิหารนกฟินิกซ์สักทีหลังจากที่ไม่ได้เยือนมานาน ครั้งก่อนเขามาเพื่อให้ถูกเลือกแต่ครั้งนี้เขามาเพื่อมาหาคำตอบ
อาชินกับอาเจี๋ยตัดสินใจจอดจักรยานตรงพุ่มไม้เพื่อไม่ให้ใครเห็น แล้วทั้งสองก็เดินตรงไปยังวิหารนกฟินิกซ์ทันที อาชินสังเกตว่าผู้พิทักษ์ไม่ได้รักษาการข้างหน้าซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่เมื่อเท้าของเด็กชายทั้งสองกำลังใกล้ถึงประตูทางเข้านั้น สัญชาตญาณป้องกันตัวของทั้งสองก็ทำงาน โดยอาชินใช้มือทั้งสองข้างจับอะไรบางอย่างไว้ ส่วนอาเจี๋ยนั้นตอบโต้ด้วยการใช้ท่าลูกถีบที่กลางลำตัว ซึ่งคนที่โจมตีพวกเขาก็คือผู้พิทักษ์วิหารนั้นเอง อีกฝ่ายพยุงตัวอย่างรวดเร็วอาชินพึ่งเห็นว่า มือของผู้พิทักษ์ถือดาบสองคมเล่มหนึ่งไว้ เขาจึงก้มมองมือตัวเองซึ่งมันบาดมือเขา และแผลก็หายไปด้วยเช่นกันผู้พิทักษ์ทำหน้าฉงนทันที
อาชินและอาเจี๋ยต่างแสดงพลังเนตรแดงให้ผู้พิทักษ์ได้เห็น ซึ่งเมื่อเห็นว่าเด็กชายทั้งสองคือนักรบฟินิกซ์จริงๆ ผู้พิทักษ์จึงคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาคล้ายกับขอขมา เท่าที่อาชินทราบมาสำหรับเหล่าผู้พิทักษ์วิหารและนักบวช นักรบฟินิกซ์จะเสมือนเป็นนายเหนือหัวที่พวกเขาเหล่านี้จะให้ความเคารพ แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าก็ตามซึ่งอาชินจึงไม่ค่อยชิน ที่ผู้ใหญ่มาคุกเข่าใส่เขาแบบนี้
"ต้องขอภัยที่ได้กระทำล่วงเกินต่อท่านทั้งสอง" ผู้พิทักษ์คนนั้นกล่าว
"ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ท่านแค่ทำหน้าที่เท่านั้นเองผมสองคนเข้าใจครับ"
"ในยามวิกาลเช่นนี้ท่านทั้งสองมีกิจธุระอันใดกับวิหารขอรับ" ผู้พิทักษ์วิหารเอ๋ยถามขึ้น แน่นอนมาเมื่อถามมาเด็กชายก็กล้าตอบตามความจริง
"ผมต้องการค้นหาคำตอบจากที่นี้ ทุกอย่างที่เกี่ยวผมมันอยู่ที่นี้และ...ไม่ว่าจะยังไงผมยืนยันที่จะเข้าไปให้ได้ ใครขวางผมไม่ปราณีทั้งนั้น" อาชินพูดเสียงหนักหนาอย่างมากจนอาเจี๋ยและผู้พิทักษ์รับรู้ได้
"งั้นขอข้าขออาสานำทางท่านเข้าไปในวิหารเอง เพราะนักรบฟินิกซ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าวิหารเท่านั้น เชิญตามข้ามา"
ผู้พิทักษ์ลุกขึ้นและเดินนำทางอาชินกับอาเจี๋ยในการเข้าวิหาร เมื่อทั้งสองเดินมาในวิหารและเดินตรงมายังประตูห้องที่พวกเขา เคยต้องเดินเข้าไปในห้องนั้นในสมัยที่ต้องไปคัดเลือก แต่ครั้งนี้ต่างออกไปคือไม่ต้องผูกผ้าปิดตาเพราะทั้งสองมีสิทธิ์ที่จะเห็น ข้างในตัววิหารได้อย่างเต็มที่ เมื่อผ่านประตูเข้าไปข้างในแล้วเขาพบว่า มันคือรูปภาพของเหล่าทหารที่อยู่ในสงคราม อาชินเดาเองว่าน่าจะเป็นนักรบฟินิกซ์รุ่นก่อนๆ
"ที่นี้คือการรวบร่วมภาพของนักรบฟินิกซ์รุ่นก่อน ทางวิหารจะส่งช่างภาพไปเก็บภาพพวกเขามาเก็บไว้ที่นี้ เพื่อให้นักรบรุ่นหลังรําลึกถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเขาขอรับ" ผู้พิทักษ์อธิบาย
"ที่เก็บร่างไร้วิญญาณของนักรบฟินิกซ์อยู่ที่ไหน พาผมไปได้ไหม" อาชินหันมาถาม เพราะเขาเห็นภาพของหวงอี้เต๋อกับหวงอี้ถิงในชุดทหารพรานกำลังนั่งกินข้าวบนกองหญ้าอยู่ นั้นทำให้เขาไม่สนใจความงดงามของภายในวิหารนกฟินิกซ์ ซึ่งตรงข้ามกับอาเจี๋ยที่เมื่อได้เห็นความงดงามของวิหาร ที่ประดับด้วยทองคำสีเปลวเพลิงและภาพวาดเกี่ยวกับนกฟินิกซ์ และจุดเริ่มต้นของลูกแก้วทั้ง 13 ลูก แน่นอนว่าอาเจี๋ยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงอยากเป็นกันนัก
"หากท่านประสงค์จะไปที่นั้นก็ตามข้ามาเถิด"
และผู้พิทักษ์ก็พาเดินเลาะมาทางซ้ายมือของห้อง เขาดันยกรูปปั้นตัวหนึ่งที่เอ่นนอนพิงกับเสาขึ้น อาชินกับอาเจี๋ยพบว่ารูปปั้นดังกล่าวมันบังลิฟท์เอาไว้ และวิธีเข้าก็ใช้รหัสในการสแกนนิ้วมือเช่นเคย จนบางทีอาชินอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างต้องใช้สแกนนิ้วมือกันหมดเลยเหรอ ที่สำคัญในตอนที่เดินเข้ามานั้นมีการผลัดสลับเวรเฝ้า ทุกซอกทุกมุมของวิหารทำให้เชื่อว่าระบบรักษาความปลอดภัย เข้มงวดมากจริงๆ
"อะไรกันยังไม่ถึง 12 นาทีเปลี่ยนเวรกันแล้วเหรอ" อาเจี๋ยทักขึ้นก่อนเข้าไปในลิฟท์
"เป็นเรื่องปกติขอรับพวกข้าเหล่าผู้พิทักษ์ต้องอารักขา วิหารแห่งนี้จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ขอรับ" ผู้พิทักษ์ตอบ
เมื่อเข้ามาในลิฟท์แล้วอาชินสังเกตเห็นว่าไม่มีปุ่มกดเลขชั้น มีแต่แบบเหมือนใช้รหัสพาสเวิร์ดแทนการกดปุ่มหมายเลข แถมยังเป็นอักขระโบราณที่เขานั้นไม่เข้าใจอีกด้วย แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจนอกจากสถานที่เขาจะไป ลิฟท์ส่งเสียงดังกริ๊งเดียวแล้วจอดเงียบก่อนที่ประตูจะเปิดออก ทั้งสามเลือกที่จะไม่คุยกันเพราะอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า มันคือโลงศพแก้วจำนวนมหาศาลที่ลายตาไปหมด อาเจี๋ยหันไปมองบนเพดานเขาเห็นกล้องวงจรปิด และยังมีผู้พิทักษ์ถือปืนไรเฟิ้ลอยู่ข้างบน ส่วนข้างล่างก็มีผู้พิทักษ์เดินตรวจตรา แต่เมื่อเห็นอาชินกับอาเจี๋ยก็ทำความเคารพกันหมด
"คำตอบที่นายตามหาคือที่นี้เหรอ" อาเจี๋ยหันมาถาม
"ใช่" อาชินตอบ
ระหว่างที่อาชินหันมองไปรอบๆเพื่อค้นหาอะไรอยู่นั้น เขาเห็นแสงสีขาวโปร่งใสรูปร่างเหมือนคนกำลังยืนมองเขาอยู่ เมื่ออาชินสบตากับแสงนั้นมันก็หันหลังเดินไป ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้อาชินเดินตามมันไป อาชินไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่ดีๆก็เดินตามแสงโปร่งใสทันที ทำเอาอาเจี๋ยที่ยืนข้างๆถึงกับงุนงงในท่าทีของเพื่อน ซึ่งอาเจี๋ยทำหน้าประมาณว่า "หัดรอกูหน่อย" ส่วนอาชินที่เดินตามแสงนั้นอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย โดยเขาพยายามที่จะตามให้ทันมากที่สุดแต่ก็ไม่ทันแสงนั้นเสียที
และแสงโปร่งใสของมาหยุดยืนที่หน้าโลงแก้วของใครบางคน เมื่ออาชินเดินเร็วมาหาแสงนั้นมันก็สลายหายไป อาชินมองหาว่าแสงนั้นมันหายไปไหน แต่เด็กชายหันมาซ้ายมือก็สะดุดกับโลงแก้วโลงหนึ่ง อาชินก้มมองดูป้ายชื่อเขียนไว้ชัดเจนว่า "หวงอี้เต๋อ" และอาชินก็็ได้พบกับคำตอบบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนี้เขาจำได้ว่าพันเอกแม็กนุสเคยบอกว่า นักรบฟินิกซ์มีโทรจิตเชื่อมกันแม้ว่าจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว จนกว่าพวกเขาจะไปเกิดใหม่โทรจิตถึงจะถูกตัดขาด และการที่ร่างของหวงอี้เต๋อยังอยู่ นั้นแปลว่าจิตของอีกฝ่ายยังไม่ได้ไปเกิดใหม่
"เฮ้ อาชินทำอะไรของนายนะ ฉัน....ตามไม่ทัน" อาเจี๋ยที่พึ่งวิ่งมาถึงก็สะดุดกับท่าทีของอาชินที่จ้องมองโลงแก้ว เมื่อเขาหันไปมองก็ตาโตเล็กน้อยเพราะนี้คือร่างของพ่ออาชิน ที่อาชินไม่เคยรู้เรื่องราวของชายคนนี้เลย ตอนนี้อาเจี๋ยเข้าใจแล้วว่าเพื่อนเขามาที่นี้ทำไม
อาชินไม่สนใจใครทั้งนั้นเขารวบร่วมสมาธิกำหนดลมหายใจเข้า-ออก และเอามือไปสัมผัสกับตัวโลงแก้วเมื่อมือของเขา สัมผัสเข้ากับผิวโลงแก้วก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดูดเขาเข้าไป อาชินเห็นภาพทุกอย่างรายล้อมเขาเต็มไปหมด เขาคิดว่านี้นะจะเป็นความทรงจำของหวงอี้เต๋อ ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กที่เขากับพี่ชายและน้องชายเล่นกัน ในวันที่ถูกเลือกเป็นนักรบฟินิกซ์และได้เห็นความบาดหมางของหวงอี้เต๋อกับหวงอี้หลง
ภาพงานศพของน้องชายที่เสียชีวิตในสงคราม อาชินเข้าใจแล้วว่าทำไมหม่าญวนถึงได้รักและห่วงอาถิง เพราะมันทำให้นึกถึงลูกชายคนเล็กที่เสียไป แต่อีกภาพที่อาชินต้องอึ้งยิ่งกว่าคือในค่ำคืนหนึ่งของการลาดตระเวน สรภูมิรบนั้นอาชินจำได้ว่านั้นคือสงครามที่กองทัพฟรอนร์เทียร์รบกับกองทัพดีม่อนปีศาจที่นำทัพโดย " แกสตอง " หวงอี้เต๋อสู้เคียงข้างหวงอี้หลงผู้เป็นพี่ชายซึ่งทั้งสองพี่น้องฆ่าดีม่อนไปได้หลายตัวเพื่อให้เพื่อนในหมวดล่าถอย
ไม่มีเสียงของพี่ชายตอบกลับมาแต่มันก็ไม่มีเวลาไปดู เพราะยังติดผันกับพวกดีม่อนร่างกระดูกถือดาบ แต่เมื่อจัดการมันได้สักพักหวงอี้เต๋อกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเสียบที่ข้างหลัง หวงอี้เต๋อหันกลับไปมองคนที่แทงเขาคือหวงอี้หลงพี่ชายแท้ๆของตนเอง หวงอี้หลงยังแทงเข้าที่ท้องซ้ำครั้งที่สอง ชายหนุ่มก้มมองดูมีดซึ่งมันลงอาคมไว้แปลว่านี้คือมีดที่อีกฝ่ายจะเอาไว้ใช้ฆ่าเขา สีหน้าของพี่ชายแสดงถึงความสะใจถึงที่สุดก่อนจะดึงมีดออกมา แล้วร่างของหวงอี้เต๋อก็ร่วงไปนอนกับพื้นโคลน ส่วนหวงอี้หลงก็เก็บมีดแล้วเดินจากไป
อาชินสะดุ้งเหมือนกับดึงสติบางอย่างกลับมาได้แล้ว สีหน้าของเขาทั้งตกใจและจุกในอกเขาหันมามองร่างของชายที่เขาพึ่งจะรู้ ว่านี้คือพ่อผู้ให้กำเนิดซึ่งหวงฉี่ชุ่นกับหม่าญวนปิดบังมาตลอด การตายของพ่อเขาไม่ใช่ในสนามรบแต่เป็นฝีมือของเลือดเนื้อเดียวกัน เด็กชายกำมือทั้งสองข้างแน่นมาก ไฟแห่งโทสะได้ลุกโชนในใจของอาชินอีกครั้งซึ่งอาเจี๋ยก็สัมผัสถึงได้ เขารับรู้ผ่านโทรจิตได้ว่าเพื่อนเขากำลังโกรธ อาเจี๋ยอดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนเขาเห็นอะไรมา
"อาเจี๋ย....ช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันจะกลับบ้านมีเรื่องต้องเคลียร์"
++++++++++++++++++++++
อาชินและอาเจี๋ยปั้นจักรยานเลาะมาตามทางถนนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ ซึ่งค่ำคืนนี้ผู้คนไม่ค่อยเดินเพ่นพ่านมากนัก เป็นเรื่องดีที่จะทำให้ไม่มีใครเห็นเขาทั้งสองคน เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นอาชินกับอาเจี๋ยแอบลักลอบ เข้าไปห้องศิลปะที่เขาปักใจเชื่อว่ามีทางลับออกจากบ้านหลังนี้ได้ โดยที่ไม่มีใครเห็นซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ห้องนี้ซ่อนเส้นทางลับในการออกจากบ้าน ซึ่งมันต้องใช้รหัสในการเปิด โชคดีที่อุปกรณ์แท็ปเล็ตกับโปรแกรมไมคอนที่อัพเกรดมา อย่างดีสามารถแฮกผ่านเข้าไปได้ซึ่งทางที่ทั้งสองใช้นั้น ได้นำทางมายังสวนสาธรณะแห่งหนึ่งที่ดันไกลจากวิหารนกฟินิกซ์ แต่โชคดีที่พวกเขาเอาจักรยานที่พับได้มาด้วย
อาเจี๋ยที่ปั้นจักรยานอยู่ข้างหลังของอาชินนั้น แปลกใจนิดๆที่อีกฝ่ายชวนเขาไปเป็นเพื่อนด้วย เด็กชายผิวเข้มยอมรับว่าเขาคิดว่าอาชินน่าจะอยากไปคนเดียว แต่หากคิดดูอีกทีการที่เขามาเป็นเพื่อนก็อาจจะช่วยอาชินบางอย่างได้ ส่วนอาชินนั้นเขาวางแท็ปเล็ตไว้ตรงหน้าจักรยาน โดยเขาสลับมองแผ่นที่บนจอกับมองทาง วันนี้เงียบมากจนเรียกได้ว่ามันไม่ใช่บรรยากาศ ของการไปค้นหาความจริงบางอย่างเลย อาชินมองเห็นเส้นทางลัดเขาจึงเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ โดยมีอาเจี๋ยนั้นตามมาติดๆ
ทางลัดดังกล่าวนั้นทำให้เด็กชายทั้งสองขับจักรยานผ่านตลาดอู๋ อาชินสังเกตว่าภายในตลาดยังมีบางร้านยังเปิดขายอยู่ เขาจำได้ว่าตลาดนี้มีบางร้านเปิดขายตอนกลางคืนด้วย ภาพตอนเขากับอาถิงมาซื้อของเล่นนั้นก็ผุดขึ้นมาเพียงครู่เดียว ก่อนมันจะหายไปเมื่ออาชินเงยหน้าเห็นรูปปั้นนกฟินิกซ์อยู่ไม่ห่างมาก เด็กชายคิดว่าหากขับไปอีกสัก 10-15 โหล น่าจะใกล้ถึงแล้ว
"นายไหวไหม" อาชินหันมาถาม
"ไหวสิ ขับมาถึงที่นี้แล้วนี้" อาเจี๋ยพูดพร้อมเอาเสื้อเช็ดเหงื่อ
เมื่อเพื่อนยืนยันว่าไหวอาชินก็ไม่รอช้าก็ตัดสินใจขับต่อ เขาต้องรีบทำเวลาเพราะแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ ใครที่บ้านรู้ว่าเขากับอาเจี๋ยหายไป เมื่อคิดดังนั้นเขาก็เร่งความเร็วทันทีซึ่งอาเจี๋ยตกใจมาก ที่อยู่ดีๆเพื่อนก็มาเร่งความเร็วขนาดนั้นจะรีบไปไหนกัน ยังไงวิหารมันก็ไม่ได้หายไปไหน อาชินขับเลี้ยวหลบเส้นทางลัดอย่างลำบากเล็กน้อย ก่อนจะได้มาอยู่หน้าวิหารนกฟินิกซ์สักทีหลังจากที่ไม่ได้เยือนมานาน ครั้งก่อนเขามาเพื่อให้ถูกเลือกแต่ครั้งนี้เขามาเพื่อมาหาคำตอบ
อาชินกับอาเจี๋ยตัดสินใจจอดจักรยานตรงพุ่มไม้เพื่อไม่ให้ใครเห็น แล้วทั้งสองก็เดินตรงไปยังวิหารนกฟินิกซ์ทันที อาชินสังเกตว่าผู้พิทักษ์ไม่ได้รักษาการข้างหน้าซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่เมื่อเท้าของเด็กชายทั้งสองกำลังใกล้ถึงประตูทางเข้านั้น สัญชาตญาณป้องกันตัวของทั้งสองก็ทำงาน โดยอาชินใช้มือทั้งสองข้างจับอะไรบางอย่างไว้ ส่วนอาเจี๋ยนั้นตอบโต้ด้วยการใช้ท่าลูกถีบที่กลางลำตัว ซึ่งคนที่โจมตีพวกเขาก็คือผู้พิทักษ์วิหารนั้นเอง อีกฝ่ายพยุงตัวอย่างรวดเร็วอาชินพึ่งเห็นว่า มือของผู้พิทักษ์ถือดาบสองคมเล่มหนึ่งไว้ เขาจึงก้มมองมือตัวเองซึ่งมันบาดมือเขา และแผลก็หายไปด้วยเช่นกันผู้พิทักษ์ทำหน้าฉงนทันที
อาชินและอาเจี๋ยต่างแสดงพลังเนตรแดงให้ผู้พิทักษ์ได้เห็น ซึ่งเมื่อเห็นว่าเด็กชายทั้งสองคือนักรบฟินิกซ์จริงๆ ผู้พิทักษ์จึงคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาคล้ายกับขอขมา เท่าที่อาชินทราบมาสำหรับเหล่าผู้พิทักษ์วิหารและนักบวช นักรบฟินิกซ์จะเสมือนเป็นนายเหนือหัวที่พวกเขาเหล่านี้จะให้ความเคารพ แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าก็ตามซึ่งอาชินจึงไม่ค่อยชิน ที่ผู้ใหญ่มาคุกเข่าใส่เขาแบบนี้
"ต้องขอภัยที่ได้กระทำล่วงเกินต่อท่านทั้งสอง" ผู้พิทักษ์คนนั้นกล่าว
"ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ท่านแค่ทำหน้าที่เท่านั้นเองผมสองคนเข้าใจครับ"
"ในยามวิกาลเช่นนี้ท่านทั้งสองมีกิจธุระอันใดกับวิหารขอรับ" ผู้พิทักษ์วิหารเอ๋ยถามขึ้น แน่นอนมาเมื่อถามมาเด็กชายก็กล้าตอบตามความจริง
"ผมต้องการค้นหาคำตอบจากที่นี้ ทุกอย่างที่เกี่ยวผมมันอยู่ที่นี้และ...ไม่ว่าจะยังไงผมยืนยันที่จะเข้าไปให้ได้ ใครขวางผมไม่ปราณีทั้งนั้น" อาชินพูดเสียงหนักหนาอย่างมากจนอาเจี๋ยและผู้พิทักษ์รับรู้ได้
"งั้นขอข้าขออาสานำทางท่านเข้าไปในวิหารเอง เพราะนักรบฟินิกซ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าวิหารเท่านั้น เชิญตามข้ามา"
ผู้พิทักษ์ลุกขึ้นและเดินนำทางอาชินกับอาเจี๋ยในการเข้าวิหาร เมื่อทั้งสองเดินมาในวิหารและเดินตรงมายังประตูห้องที่พวกเขา เคยต้องเดินเข้าไปในห้องนั้นในสมัยที่ต้องไปคัดเลือก แต่ครั้งนี้ต่างออกไปคือไม่ต้องผูกผ้าปิดตาเพราะทั้งสองมีสิทธิ์ที่จะเห็น ข้างในตัววิหารได้อย่างเต็มที่ เมื่อผ่านประตูเข้าไปข้างในแล้วเขาพบว่า มันคือรูปภาพของเหล่าทหารที่อยู่ในสงคราม อาชินเดาเองว่าน่าจะเป็นนักรบฟินิกซ์รุ่นก่อนๆ
"ที่นี้คือการรวบร่วมภาพของนักรบฟินิกซ์รุ่นก่อน ทางวิหารจะส่งช่างภาพไปเก็บภาพพวกเขามาเก็บไว้ที่นี้ เพื่อให้นักรบรุ่นหลังรําลึกถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเขาขอรับ" ผู้พิทักษ์อธิบาย
"ที่เก็บร่างไร้วิญญาณของนักรบฟินิกซ์อยู่ที่ไหน พาผมไปได้ไหม" อาชินหันมาถาม เพราะเขาเห็นภาพของหวงอี้เต๋อกับหวงอี้ถิงในชุดทหารพรานกำลังนั่งกินข้าวบนกองหญ้าอยู่ นั้นทำให้เขาไม่สนใจความงดงามของภายในวิหารนกฟินิกซ์ ซึ่งตรงข้ามกับอาเจี๋ยที่เมื่อได้เห็นความงดงามของวิหาร ที่ประดับด้วยทองคำสีเปลวเพลิงและภาพวาดเกี่ยวกับนกฟินิกซ์ และจุดเริ่มต้นของลูกแก้วทั้ง 13 ลูก แน่นอนว่าอาเจี๋ยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงอยากเป็นกันนัก
"หากท่านประสงค์จะไปที่นั้นก็ตามข้ามาเถิด"
และผู้พิทักษ์ก็พาเดินเลาะมาทางซ้ายมือของห้อง เขาดันยกรูปปั้นตัวหนึ่งที่เอ่นนอนพิงกับเสาขึ้น อาชินกับอาเจี๋ยพบว่ารูปปั้นดังกล่าวมันบังลิฟท์เอาไว้ และวิธีเข้าก็ใช้รหัสในการสแกนนิ้วมือเช่นเคย จนบางทีอาชินอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างต้องใช้สแกนนิ้วมือกันหมดเลยเหรอ ที่สำคัญในตอนที่เดินเข้ามานั้นมีการผลัดสลับเวรเฝ้า ทุกซอกทุกมุมของวิหารทำให้เชื่อว่าระบบรักษาความปลอดภัย เข้มงวดมากจริงๆ
"อะไรกันยังไม่ถึง 12 นาทีเปลี่ยนเวรกันแล้วเหรอ" อาเจี๋ยทักขึ้นก่อนเข้าไปในลิฟท์
"เป็นเรื่องปกติขอรับพวกข้าเหล่าผู้พิทักษ์ต้องอารักขา วิหารแห่งนี้จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ขอรับ" ผู้พิทักษ์ตอบ
เมื่อเข้ามาในลิฟท์แล้วอาชินสังเกตเห็นว่าไม่มีปุ่มกดเลขชั้น มีแต่แบบเหมือนใช้รหัสพาสเวิร์ดแทนการกดปุ่มหมายเลข แถมยังเป็นอักขระโบราณที่เขานั้นไม่เข้าใจอีกด้วย แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจนอกจากสถานที่เขาจะไป ลิฟท์ส่งเสียงดังกริ๊งเดียวแล้วจอดเงียบก่อนที่ประตูจะเปิดออก ทั้งสามเลือกที่จะไม่คุยกันเพราะอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า มันคือโลงศพแก้วจำนวนมหาศาลที่ลายตาไปหมด อาเจี๋ยหันไปมองบนเพดานเขาเห็นกล้องวงจรปิด และยังมีผู้พิทักษ์ถือปืนไรเฟิ้ลอยู่ข้างบน ส่วนข้างล่างก็มีผู้พิทักษ์เดินตรวจตรา แต่เมื่อเห็นอาชินกับอาเจี๋ยก็ทำความเคารพกันหมด
"คำตอบที่นายตามหาคือที่นี้เหรอ" อาเจี๋ยหันมาถาม
"ใช่" อาชินตอบ
ระหว่างที่อาชินหันมองไปรอบๆเพื่อค้นหาอะไรอยู่นั้น เขาเห็นแสงสีขาวโปร่งใสรูปร่างเหมือนคนกำลังยืนมองเขาอยู่ เมื่ออาชินสบตากับแสงนั้นมันก็หันหลังเดินไป ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้อาชินเดินตามมันไป อาชินไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่ดีๆก็เดินตามแสงโปร่งใสทันที ทำเอาอาเจี๋ยที่ยืนข้างๆถึงกับงุนงงในท่าทีของเพื่อน ซึ่งอาเจี๋ยทำหน้าประมาณว่า "หัดรอกูหน่อย" ส่วนอาชินที่เดินตามแสงนั้นอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย โดยเขาพยายามที่จะตามให้ทันมากที่สุดแต่ก็ไม่ทันแสงนั้นเสียที
และแสงโปร่งใสของมาหยุดยืนที่หน้าโลงแก้วของใครบางคน เมื่ออาชินเดินเร็วมาหาแสงนั้นมันก็สลายหายไป อาชินมองหาว่าแสงนั้นมันหายไปไหน แต่เด็กชายหันมาซ้ายมือก็สะดุดกับโลงแก้วโลงหนึ่ง อาชินก้มมองดูป้ายชื่อเขียนไว้ชัดเจนว่า "หวงอี้เต๋อ" และอาชินก็็ได้พบกับคำตอบบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนี้เขาจำได้ว่าพันเอกแม็กนุสเคยบอกว่า นักรบฟินิกซ์มีโทรจิตเชื่อมกันแม้ว่าจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว จนกว่าพวกเขาจะไปเกิดใหม่โทรจิตถึงจะถูกตัดขาด และการที่ร่างของหวงอี้เต๋อยังอยู่ นั้นแปลว่าจิตของอีกฝ่ายยังไม่ได้ไปเกิดใหม่
"เฮ้ อาชินทำอะไรของนายนะ ฉัน....ตามไม่ทัน" อาเจี๋ยที่พึ่งวิ่งมาถึงก็สะดุดกับท่าทีของอาชินที่จ้องมองโลงแก้ว เมื่อเขาหันไปมองก็ตาโตเล็กน้อยเพราะนี้คือร่างของพ่ออาชิน ที่อาชินไม่เคยรู้เรื่องราวของชายคนนี้เลย ตอนนี้อาเจี๋ยเข้าใจแล้วว่าเพื่อนเขามาที่นี้ทำไม
อาชินไม่สนใจใครทั้งนั้นเขารวบร่วมสมาธิกำหนดลมหายใจเข้า-ออก และเอามือไปสัมผัสกับตัวโลงแก้วเมื่อมือของเขา สัมผัสเข้ากับผิวโลงแก้วก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดูดเขาเข้าไป อาชินเห็นภาพทุกอย่างรายล้อมเขาเต็มไปหมด เขาคิดว่านี้นะจะเป็นความทรงจำของหวงอี้เต๋อ ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กที่เขากับพี่ชายและน้องชายเล่นกัน ในวันที่ถูกเลือกเป็นนักรบฟินิกซ์และได้เห็นความบาดหมางของหวงอี้เต๋อกับหวงอี้หลง
ภาพงานศพของน้องชายที่เสียชีวิตในสงคราม อาชินเข้าใจแล้วว่าทำไมหม่าญวนถึงได้รักและห่วงอาถิง เพราะมันทำให้นึกถึงลูกชายคนเล็กที่เสียไป แต่อีกภาพที่อาชินต้องอึ้งยิ่งกว่าคือในค่ำคืนหนึ่งของการลาดตระเวน สรภูมิรบนั้นอาชินจำได้ว่านั้นคือสงครามที่กองทัพฟรอนร์เทียร์รบกับกองทัพดีม่อนปีศาจที่นำทัพโดย " แกสตอง " หวงอี้เต๋อสู้เคียงข้างหวงอี้หลงผู้เป็นพี่ชายซึ่งทั้งสองพี่น้องฆ่าดีม่อนไปได้หลายตัวเพื่อให้เพื่อนในหมวดล่าถอย
ไม่มีเสียงของพี่ชายตอบกลับมาแต่มันก็ไม่มีเวลาไปดู เพราะยังติดผันกับพวกดีม่อนร่างกระดูกถือดาบ แต่เมื่อจัดการมันได้สักพักหวงอี้เต๋อกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเสียบที่ข้างหลัง หวงอี้เต๋อหันกลับไปมองคนที่แทงเขาคือหวงอี้หลงพี่ชายแท้ๆของตนเอง หวงอี้หลงยังแทงเข้าที่ท้องซ้ำครั้งที่สอง ชายหนุ่มก้มมองดูมีดซึ่งมันลงอาคมไว้แปลว่านี้คือมีดที่อีกฝ่ายจะเอาไว้ใช้ฆ่าเขา สีหน้าของพี่ชายแสดงถึงความสะใจถึงที่สุดก่อนจะดึงมีดออกมา แล้วร่างของหวงอี้เต๋อก็ร่วงไปนอนกับพื้นโคลน ส่วนหวงอี้หลงก็เก็บมีดแล้วเดินจากไป
อาชินสะดุ้งเหมือนกับดึงสติบางอย่างกลับมาได้แล้ว สีหน้าของเขาทั้งตกใจและจุกในอกเขาหันมามองร่างของชายที่เขาพึ่งจะรู้ ว่านี้คือพ่อผู้ให้กำเนิดซึ่งหวงฉี่ชุ่นกับหม่าญวนปิดบังมาตลอด การตายของพ่อเขาไม่ใช่ในสนามรบแต่เป็นฝีมือของเลือดเนื้อเดียวกัน เด็กชายกำมือทั้งสองข้างแน่นมาก ไฟแห่งโทสะได้ลุกโชนในใจของอาชินอีกครั้งซึ่งอาเจี๋ยก็สัมผัสถึงได้ เขารับรู้ผ่านโทรจิตได้ว่าเพื่อนเขากำลังโกรธ อาเจี๋ยอดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนเขาเห็นอะไรมา
"อาเจี๋ย....ช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันจะกลับบ้านมีเรื่องต้องเคลียร์"
++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ