สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  20.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 2-2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เห็นนางหมดสติไป โม่ฉิงหลิงก็ต่อข้อแขนซ้ายของนางที่บิดไปแล้วเหลือแค่ไม่ทะลุออกมาเท่านั้น จากนั้นก็ของอุ้มนางขึ้นมา แล้วพูดใส่คนที่มุงดูว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปกันเถอะ”

เห็นผู้คนที่อยู่รอบๆ สลายไป เขาคิดว่าก่อนที่จะไปโรงหมอไปทักทายองค์ชายหกก่อนน่าจะดีกว่า เพราะอย่างไรก็ถูกสองคนนั้นวานให้ส่งจดหมายด้วย

เขาอุ้มเสวี่ยหรั่นมาที่ต้นไม้แก่ แล้วมองชายคนที่ใบหน้าสกปรกแต่แววตาเป็นประกายคมกริบคนนั้น “สวัสดีองค์ชายเจิ้น ทำไมถึงอารมณ์ดีมาขดตัวเลี้ยงยุงอยู่ที่นี่เล่า องค์ชายสี่เซ่าเจินยังมีองค์ชายสิบสองเซ่าจี้ต่างตามหาท่าน องค์ชายเจิ้นจะไม่ฉวยโอกาสนี้ไปจากเมืองหนานหยางหรือ?”

เมื่อเจอกับการเยาะเย้ยของโม่ฉิงหลิง เซ่าเหยียนลุกขึ้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ร่างที่ยืนอยู่ในตลาดที่มีคนพลุกพล่านยิ่งไม่มีความเข้ากันเลย เขาเอาสองมือไขว้หลัง ใบหน้ายังคงมีกลิ่นอายที่เย็นชา เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยปลิวไปตามลม ดวงตาเข้มยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกหายใจไม่สะดวก

ดวงตาที่เรียวยาวจ้องมองผู้หญิงที่เขาอุ้มอยู่ แม้จะสลบอยู่แต่รอยย่นที่หว่างคิ้วยังคงขมวดแน่น เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บที่แขนนั้นรุนแรงขนาดไหน

โม่ฉิงหลิงสังเกตเห็นสายตาของเขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขารู้จักกับองค์ชายคนนี้ก็ไม่เคยเห็นใครสามารถอยู่ในสายตาของเขาเกินห้าวินาที แต่ตอนนี้เขากลับจ้องมองแม่นางคนนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าแม่นางคนนี้เก่งกาจมาจากไหนเชียว?

“องค์ชายเจิ้นรู้จักนางหรือ?”

ยังคงไม่ตอบ หลังเก็บสายตากลับมาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป โม่ฉิงหลิงเพิ่งคิดจะอ้าปากก็เห็นเขาเคลื่อนไหวดั่งภูตผีในฝูงชน พริ้วไหวจนความเป็นไปได้ที่จะชนไหล่กับคนอื่นก็แทบจะไม่มี เพียงพริบตาเดียวก็เห็นเขาเดินไปที่มุมหนึ่ง โม่ฉิงหลิงมองดูอย่างเหม่อลอยพลางคิดในใจว่า ‘ช่างเก่งอะไรอย่างนี้...’

“ออกมา” ริมฝีปากอ้าเล็กน้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่มีอารมณ์ใดๆ

คำพูดที่เย็นชาจบลงก็มีร่างของคนผู้หนึ่งเดินออกจากมุมหนึ่งตรงหน้าเขา ผู้ที่มาสวมชุดสีเทา มุมปากเผยอเป็นรอยยิ้ม “องค์ชายเจิ้น มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้หลายวันแบบนี้ ไม่กินไม่ดื่มอย่างกับว่าจะฝึกวิชาเซียนอย่างนั้น องค์ชายเจิ้นต้องรักตัวเองให้มากๆ ถึงจะถูกนะขอรับ”

สมแล้วที่เป็นคนตระกูลโม่ อ้าปากมาประโยคแรกก็เหน็บแนมคนอื่น โดยเฉพาะกับเขา

เขาไม่ได้สนใจ หันหลังแล้วเดินไป โม่เหยียนเองก็ชินกับท่าทางที่ไม่ชอบพูดของเขา ใครให้นิสัยขององค์ชายเป็นแบบนี้ จะให้เขาพูดประโยคหนึ่งยังยากยิ่งกว่าพระอาทิตย์ขึ้นตะวันตกอีก

ไม่ทันไรโม่ฉิงหลิงก็เห็นเขาเดินกลับมา ด้านหลังกลับมีคนคนหนึ่งตามมาด้วย ทำเอาเขาประหลาดใจ “ตาเฒ่า?” ช่างไม่เสียเวลาจริงๆ มาไม่เสียแรงเปล่าเลย “ท่านหลบทำไม แอบดูงั้นหรือ”

โม่เหยียนเห็นหลานตัวเองแซวเช่นนี้ ทนไม่ไหวเดินเข้าไปแล้วตบหัวเขาทีหนึ่ง“เจ้าเด็กบ้า ดูถูกลุงของเจ้าเช่นนี้มีความสุขมากนักหรือ”

แม้จะเป็นคนตระกูลโม่เหมือนกัน คำพูดเหน็บแนมคนบ้านเดียวกันประโยคแรกก็ไม่เบาเลย

“ตาเฒ่านี่รังแกคนเสียจริง เห็นข้าไม่มีมือป้องกันก็ตบเสียเต็มแรง” โม่ฉิงหลิงทำท่าเจ็บ

ไม่สนใจว่าเขาจะเจ็บหรือไม่ กลับมองเสวี่ยหรั่นแล้วตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนว่า “รีบพานางไปที่โรงหมอสิ อาการนี้หนักเอาการอยู่นะ”

โม่ฉิงหลิงได้ยินน้ำเสียงของเขาจึงย้อนถามว่า “ทำไม ท่านก็รู้จักแม่นางคนนี้ด้วยหรือ”

“รู้จักกันที่ถนนคนจน” เขามองเสวี่ยหรั่นที่สลบไปและมีสีหน้าขาวซีด “แม่นางคนนี้จิตใจดี มักจะเอาหมั่นโถวไปแจกเหล่าเด็กกำพร้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของโม่เหยียน แววตาที่เย็นชานั้นก็เสมองคนที่โม่ฉิงหลิงอุ้มอยู่

 “แต่ที่เจ้าพูด ‘ก็’ หมายความว่าอะไร ใครๆ ก็รู้จักนางด้วยหรือ”

โม่ฉิงหลิงใช้ปลายคางชี้คนที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นทันที โม่เหยียนมองตาม ทำเอาเขาตกใจไม่น้อย กลับเป็นองค์ชายเจิ้นที่รู้จัก?

การจ้องกันของลูกตาทั้งสี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดดัน กลับเป็นดวงตาของเขาที่มีประกายวาบเล็กน้อยทำเอาตระกูลโม่ทั้งสองคนกลืนน้ำลาย กลัวว่าคำถามที่ถามไปอย่างไม่ตั้งใจจะทำเอาเขาไม่พอใจและอาจจะต้องมาตั้งป้ายหลุมศพที่เมืองหนานหยางนี้เอาได้

คนตระกูลโม่ต่างส่งสายตากันดูว่าใครจะอ้าปากถามก่อน การส่งสายตาไปมาแบบนี้ยังไม่ทันได้ถามก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้น “โม่ฉิงหลิง รักษานางให้หายอย่าส่งไปที่โรงหมอ”

ทันใดนั้นทั้งโม่เหยียนและเขาต่างตกใจ ตาเบิกกว้าง ปากก็อ้าอย่างน่าเกลียดด้วยความตกใจ

พวกเขาไม่ได้ยินผิดใช่ไปไหม คนที่ฆ่าคนโดยที่ไม่ต้องกะพริบตา มองการทรมานคนเป็นจุดสูงสุดของวิชาอย่างองค์ชายเจิ้นที่หกจะช่วยคน!

ไม่ได้รับการตอบรับแต่จ้องด้วยแววตาเย็นเยียบ ทั้งสองคนถึงได้ปิดปากและเก็บสายตากลับมา

โม่ฉิงหลิงพูดอย่างจริงจังว่า “องค์ องค์ชายเจิ้นพูดแบบนี้แล้ว งั้นก็ไปที่พักของข้าเพื่อรักษาแม่นางคนนี้เถอะ ไปกันเลย” เขาอุ้มคนแล้วก็เดินไป

โม่เหยียนเดินตามหลังไปโดยที่ไม่ต้องคิด ทว่าชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า “ขอเชิญองค์ชายเจิ้นตามมาด้วยเถอะ อย่าหายไปจากข้างหลังของพวกข้าอย่างไร้ร่องรอยอีกเลย”

เขาจ้องมองเซ่าเหยียนตาไม่กะพริบ กระทั่งเขายอมเดิมตามโม่ฉิงหลิงที่เดินไปไกลแล้ว อย่างน้อยองค์ชายของเขาก็ยอมตามมาโม่เหยียนเดินตามหลังห่างออกไปสามก้าวเป็นระยะที่ละเอียดอ่อนจนยากจะอธิบายจริงๆ

เดินออกจากตลาด โม่ฉิงหลิงพาพวกเขาอ้อมไปอยู่หลายซอยจนมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง

“เจ้าอยู่ที่นี่?” เขาสงสัย “บ้านหลังนี้ดูไปแล้วทั้งเก่าและวังเวง”

“แม้จะเก่า แต่ก็อยู่สบาย” เขาพูดพลางผลักประตู ให้พวกเขาเข้าไปข้างใน

โม่เหยียนมองดูรอบๆ เกิดความประหลาดใจขึ้นมา แม้การตกแต่งจะไม่ถึงกับเป็นหรูหรา แต่ก็สะอาดเรียบร้อย ทั้งยังมีแจกันดอกไม้กับภาพแขวนอีกด้วย

“บ้านหลังนี้เจ้าไปหามาจากที่ใด? ดูไม่ออกว่าเก่าจนไม่มีคนอาศัย” แม้แต่เก้าอี้ไม้สักก็ยังมี แอบมีความหรูหราอยู่ในตัว

“ยืมมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็บอกข้าว่าแม้จะเล็กแต่ก็ครบครัน ดังนั้นข้าจึงไม่คิดอะไรมากแล้วเข้ามาพัก ที่นี่ก่อนหน้านี้มีคนพักอยู่หรือไม่ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่อย่างน้อยตอนที่ข้ามาถึงก็เหมือนจะมีคนเก็บกวาดให้แล้ว” โม่ฉิงหลิงแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา

“เพื่อนที่ให้เจ้ายืมช่างใจดีเสียจริง เจ้ามีเพื่อนอยู่ทุกที่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

โม่ฉิงหลิงยักไหล่ “นี่ไม่สำคัญ ตาเฒ่า เจ้าหยิบจดหมายจากในเสื้อข้าก่อน นั่นเป็นขององค์ชายเจิ้น”

“ขององค์ชายเจิ้น?” โม่เหยียนขมวดคิ้วมองคนที่อย่างกับเครื่องปั้นดินเผาคนนั้น แล้วคลำเข้าไปในเสื้อของโม่ฉิงหลิงอยู่พักใหญ่ ทำเอาเขาจั๊กจี้แต่ก็หลบไม่ได้ “คลำอะไรกัน คลำได้ไม่มีฝีมือเอาเสียเลย!”

“ก็มีเจ้าที่มีฝีมือการคลำ ย่อตัวหน่อยสิ ข้าไม่ได้สูงอย่างเจ้านะ”

“ได้ได้ได้ จะย่อตัวลงให้ท่านคลำให้พอเลย”  พูดไปก็พลางอุ้มเสวี่ยหรั่นย่อตัวลงจริงๆ “รีบๆ หน่อย แม่นางคนนี้หนักนัก”

“พูดอะไรป่าเถื่อนอย่างนั้น กล้าว่าแม่นางคนนี้หนัก” กรอกตาขาวใส่ ก็คลำเจอจดหมายพอดี

ก้มหน้ามองดูคนที่ลงชื่อกลับเป็นองค์ชายสิบสอง เขาพูดออกมาอย่างตกใจว่า “องค์ชายสิบสอง...”

พอเงยหน้ามาอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าโม่ฉิงหลิงไปไหนเสียแล้ว เหลือแต่เงาของมุมเสื้อผ้ากับเสียง “พวกเจ้าก็คิดเสียว่าเป็นเหมือนบ้านตัวเองแล้วกัน ข้าจะพานางเข้าห้องนอนจัดการบาดแผลก่อน”

ทันใดนั้นก็เหลือแต่เขากับเซ่าเหยียน บรรยากาศดิ่งลงจนหายใจไม่สะดวก เขาเกาหน้าแล้วถือจดหมายเดินเข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งเจ้าบ้าน

“องค์ชายเจิ้น จดหมายของท่าน หายากจริงนักที่องค์ชายสิบสองจะคิดถึงเขียนจดหมายให้ท่าน” กลับเห็นเขาเหลือบมองตัวเอง ไม่มองจดหมายนั่นเลย

เขาจึงได้แต่หาเรื่องทำ รินชาให้เขาแล้วหาเรื่องมาคุยต่อ “องค์ชายเจิ้นครั้งนี้เป็นท่านอ๋องที่ส่งมาทำงานหรือ?” เขายังคงไม่ตอบ เครื่องปั้นดินเผาก็คือเครื่องปั้นดินเผา ไม่มีสีหน้า ไม่มีรอยยิ้มไม่มีแววตาแถมชอบทำตัวแข็งทื่อ

“ก็ได้ องค์ชายเจิ้นไม่อยากพูดข้าก็จะไม่ถาม” พูดถึงการวางมาดผู้เฒ่าโม่ก็วางเก่งเหมือนกัน ถือชาไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง พูดออกมาตรงๆ ว่า “งั้นก็พูดตามตรงเลยแล้วกัน ที่เจอกันที่นี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ องค์ชายเจิ้นก็น่าจะทราบว่าข้ามักจะชอบออกมาเดินเรื่อยเปื่อยคนเดียว ดูๆ ประชาชนกันบ้าง ดังนั้นเรื่องที่องค์ชายเจิ้นทำอะไรที่นี่ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว และก็ไม่ปากมากไปแจ้งให้ท่านอ๋องทราบ เมื่อสักครู่ที่หลบไม่เผยตัวแค่กลัวจะมีเรื่องกับองค์ชายเจิ้นเท่านั้น”

พูดมาถึงขนาดนี้แล้วเขายังคงไม่ไว้หน้าอีก ไม่พูดก็คือไม่พูด

โม่เหยียนมองใบหน้าที่แต่เดิมสะอาดหล่อเหลาแต่กลับถูกฝุ่นควันปิดไปกว่าครึ่ง แล้วอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ อย่างไรเสียหน้าตาขององค์ชายเจิ้นในบรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ถือว่าโดดเด่น แต่ความน่ากลัวที่ตามมาก็ทำเอาตกใจไม่แพ้กัน หากว่าเขาเกิดในชนชั้นล่างๆ คงจะถูกมองว่าเป็นอัปมงคลอย่างแน่นอน แต่ความน่ากลัวนี้ดันมีท่านอ๋องที่ชื่นชอบ ยังบอกว่าสามารถกดสิ่งต่างๆ ที่เป็นอัปมงคลเอาไว้ได้ ดังนั้นตอนที่เขาอายุสิบห้าก็ได้รับพระราชทานคำว่าเจิ้นให้เขา เพื่อสื่อถึงความน่ากลัวของเขาที่สามารถฆ่าสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย เมื่ออายุถึงยี่สิบก็จะสามารถปกป้องแผ่นดินได้

“ฮวงเซ่าเหรินต้องสงสัยเกี่ยวโยงการแอบเอาอาวุธแคว้นเหลียวหยางเข้ามา ไม่รู้จุดประสงค์ ใจคิดไม่ซื่อ”

คนที่นิ่งเงียบอยู่นานจู่ๆ ก็อ้าปาก โม่เหยียนที่เหม่อไปชั่วขณะทำท่าตกใจ ว่าแล้วคนที่ท่าทางแปลกๆ แถมยังไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่นี่จะน่ากลัวที่สุด

“ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิด” ในขณะที่พูดนั้น แววตากลับมองเขาอย่างมีความหมายบางอย่าง

โม่เหยียนเห็นท่า สีหน้าเครียดกว่าเมื่อสักครู่ขึ้นอีก “สีหน้าขององค์ชายเจิ้นนี้ เหมือนจะมั่นใจแล้วว่ามีพี่น้องขององค์ชายเจิ้นเข้ามายุ่งเกี่ยว?”

“จะยุ่งเกี่ยวหรือไม่ให้วังหลวงเป็นผู้ตัดสินใจเอง ข้าก็แค่จัดการคนที่กล้าทำเรื่องนี้เท่านั้น” พูดพลางหยิบจดหมายแล้วออกจากห้องโถง

โม่เหยียนตามไป ทั้งยังคิดอยู่ในใจ ในเมื่อองค์ชายเจิ้นรู้ตัวตนของตัวการหลักและผู้สมรู้ร่วมคิด งั้นคาดว่าหลังจากนี้ความเคลื่อนไหวของเขาต้องชัดเจนขึ้น ต้องป้องกันตัวเองที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็น เพราะอย่างไรตัวเองก็เป็นแค่คนที่ผ่านมาเพื่อดูความเคลื่อนไหวของประชาชนแล้วรายงานให้กับท่านอ๋อง ไม่คิดจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อย่างไม่รู้ตัว

เมื่อฮวงเซ่าเหรินที่เป็นตัวการหลักจู่ๆ มาตายเช่นนี้ ต่อให้ผู้เฒ่าฮวงที่เป็นถึงขุนนางคิดจะปกปิดไม่รายงานราชทัณฑ์ก็เป็นไปไม่ได้ ราชสำนักเพื่อหลีบเลี่ยงเรื่องต่างๆ ที่ปกปิดไม่ยอมรายงาน ดังนั้นราชทัณฑ์จึงมีเจ้าหน้าที่ลับหลายคนเข้าแทรกซึมในหมู่ประชาชนเพื่อตรวจสอบทุกๆ ที่ของเมือง

แต่เรื่องที่องค์ชายเจิ้นจะทำแม้ราชทัณฑ์ก็ไม่กล้าเข้ายุ่งมากจนเกินไป แต่เรื่องนี้ขยายไปถึงระหว่างตระกูลขององค์ชาย คิดอย่างไรเสีย เขาอยู่ที่นี่มีแต่จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง รีบๆ ออกจากเมืองนี้ไปจะดีที่สุด

หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ท้องฟ้าเริ่มมืด โม่ฉิงหลิงเช็ดมือกับผ้าแล้วเดินจากทางเดินมาที่ห้องโถง กลับถูกเปลวไฟเล็กๆ ใต้ต้นไม้หน้าบ้านดึงดูดสายตา พอมองดูดีๆ กลับเป็น...

“องค์ชายเจิ้น?” เขาเอามือเท้าเอวแล้วเดินมา พร้อมสังเกตเห็นโม่เหยียนแกว่งกาน้ำชาพิงอยู่ที่เก้าอี้มองเซ่าเหยียน

เขาจึงเกิดความอยากรู้ขึ้นมา “ทำไมเขาถึงเข้ากับดินได้ดีแบบนี้นะ มีเก้าอี้ดีๆ ก็ไม่นั่งกลับชอบอยู่กับดินกับต้นไม้”

“ก็ไม่ใช่หรือ เขาเป็นเครื่องปั้นดินเผาก็ต้องเข้ากันได้ดีกับดินสิ” เขาเบ้ปากทำท่าไม่รู้จะว่าอย่างไร

“เขาเผาอะไรอยู่?”

“จดหมายขององค์ชายสิบสอง” พอนึกถึงตอนที่เขาเดินออกมา องค์ชายท่านนี้แค่เก็บหินเล็กๆ ดีดใส่จดหมาย ก็มีเปลวไฟเกิดขึ้นทันที ทำเอาเขาประหลาดใจอดชื่นชมไม่ได้ว่าเขาไปได้วิชาแบบนี้จากที่ไหน ช่างเก่งเสียจริงๆ

“องค์ชายเจิ้นนี้ช่างเก่งเสียเหลือเกิน” โม่ฉิงหลิงตบมือด้วยความชื่นชม “ไม่สนว่าข้างในจะเขียนเรื่องใหญ่อะไร ถึงกับเผาไปตรงๆ เลย”

“กลับไปที่วังเจ้าถึงจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเก่ง” สำหรับโม่ฉิงหลิงที่ไม่เคยอยู่ในวังมาก่อน ไม่มีโอกาสได้เห็นบรรยากาศที่ทุกคนคลั่งไคล้แบบนั้น

“พอได้แล้ว ไม่ต้องมาทำสีหน้าหดหู่แบบนั้น เจ้ายอมทำงานในวังเป็นชะตาของเจ้า ตอนนี้เจ้าดูพัฒนาการของเขาก็พอแล้ว”

“เขายังมีอะไรที่น่าพัฒนาอีก ชะตาของเขา...” เพิ่งพูดไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง โม่เหยียนก็มองดูหลานตัวเองอย่างเหม่อลอย “ทีนี้จะทำอย่างไรดี”

“อะไรดีไม่ดี เขาก็ฆ่าๆ คน ฝังๆ คนแบบนี้ไปตลอดชีวิตไง นี่ไม่ใช่ชะตาที่เจ้าได้ทำนายเอาไว้หรือ” เขาทำเสียงหึเบาๆ รู้สึกว่าเขาแกล้งแสดงจนเกินไปแล้ว

“ข้า ข้าก็เคยดูลายมือให้กับแม่นางเสวี่ยหรั่น”

คำพูดนี้น่าจะหมายถึงแม่นางที่ถูกม้าเหยียบคนนั้นกระมัง เขาถามขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า “งั้นเป็นดีหรือร้าย?”

โม่เหยียนกลับอ้าปาก โม่ฉิงหลิงมองท่าทางแบบนี้ของเขาก็เข้าใจทันที “โดยมากจะเป็นดีครึ่งร้ายครึ่ง จะดีก็ไม่ดีใช่ไหม” โม่เหยียนพยักหน้า เขาพูดต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คงจะเตือนให้แม่นางผู้นั้นระมัดระวังแล้วใช่ไหม”

“แต่ก็ยังเจออยู่ดี” โม่เหยียนถอนหายใจ เคลื่อนสายตาไปที่เซ่าเหยียน “ชะตาชีวิตของพวกเขาสองคนเจอกัน ไม่น่าจะมีเรื่องดีนัก”

“ในเมื่อพูดไปพูดมาก็มีคำว่าครึ่งอยู่ งั้นแน่นอนว่าเรื่องร้ายไปเรื่องดีก็ต้องมา ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ ชะตาฟ้าลิขิตฝืนอย่างไรก็ไม่ได้ ก็มีแต่เป็นไปตามนั้น”

“พูดง่ายนัก”

โม่ฉิงหลิงยักไหล่ และก็ไม่อยากปลอบให้เขาปล่อยวางอะไรแล้ว จึงตะโกนกับเซ่าเหยียนว่า “องค์ชายเจิ้น อาการบาดเจ็บของแม่นางคนนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว กระดูกไม่ได้แตกแต่ก็เคลื่อนไปคาดว่ามีรอยร้าวอยู่บ้าง ข้าได้ใช้ยาโปกและยึดไว้แล้ว หนีไม่พ้นต้องรักษาตัวกันอย่างน้อยสิบกว่าวัน ข้าได้เขียนใบสั่งยายัดไว้ในมือนาง ไปจัดยาตามเวลาก็พอใช้ได้  ข้าจะไปส่งนางกลับก่อนล่ะ”

ได้ยินดังนั้น โม่เหยียนที่ยังทำท่าลังเลก็พูดออกมาว่า “อย่างไรเสียตอนนี้คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นเจ้าส่ง...”

“ข้าจะส่งนางกลับไป” คำตอบที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาทำเอาคนตระกูลโม่ทั้งสองคนทำตาโต จ้องมองเซ่าเหยียนที่ไม่รู้เข้ามาใกล้พวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างตกตะลึง

“งั้น...ส่งนางกลับไปก็ระวังด้วย...” ตอนแรกคำพูดนี้จะพูดให้โม่ฉิงหลิงฟัง แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าหูเซ่าเหยียนหรือไม่

“งั้นท่านอาบน้ำก่อนจะดีกว่าไหม องค์ชายเจิ้น”

โม่ฉิงหลิงที่พูดอะไรไม่ควรพูดทำเอาโม่เหยียนเกือบหลังเคล็ด กำลังจะอ้าปากห้ามให้เขาพอก่อน แต่กลับเห็นชายคนที่นิ่งเงียบคนนั้นหันมามองโม่ฉิงหลิง โม่เหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่กล้าส่งเสียง

“อาบไหม?”

นึกไม่ถึงว่าเขากลับพยักหน้าเห็นด้วย

“ได้ ข้าจะไปต้มน้ำ ในตู้มีเสื้อผ้าสะอาดที่ยังไม่เคยใส่ องค์ชายเจิ้นคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” พูดไปพลางนำเขาเดินออกจากห้องโถง

พัฒนาการที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนี้ทำเอาโม่เหยียนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นาน จึงได้แต่อ้าปากมองตากัน

องค์ชายเจิ้นเปลี่ยนนิสัยไปแล้วหรือเปล่า? ทำไมวันนี้เป็นคนดีอยู่ตลอดเลย

--------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา