สลักใจจอมทัพ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่ 2-3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเซ่าเหยียนที่ตอนแรกหัวฟูยุ่งเหยิงท่าทางสกปรกหลังจากที่อาบน้ำแล้วก็มาที่ห้องนอนที่วางเสวี่ยหรั่นอยู่ พอผลักประตูเข้ามาก็เห็นโม่ฉิงหลิงกำลังประคองนางขึ้นมา
โม่ฉิงหลิงได้ยินเสียงผลักประตูก็เหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับต้องตั้งใจดูอีกครั้ง
น่าตกใจ!
ฝุ่นดำบนใบหน้านั้นถูกชะล้างออกแล้วสวมชุดสีดำ สองคิ้วที่ตั้งเป็นระเบียบไม่มีท่าทางเถื่อนดิบ กลับมีความกลมกลืน ส่วนสองตาที่เรียวยาวดั่งบ่อหมึกแต่ไม่ทนงตน ริมฝีปากที่ดูจะเย็นชาก็เย็นชาสุดขั้วจริงๆ หน้าตาแบบนี้บอกได้ว่าทั้งหล่อและดูดี มีความเป็นผู้ดี
ไม่ได้สนใจการจ้องมองของเขาแค่มองความเคลื่อนไหวในมือของเขา เหมือนกำลังจะสวมผ้าคลุมให้นางอีกชั้นหนึ่งแต่ไม่ได้ทำต่อ
“จะมองอีกนานแค่ไหน?”
เสียงที่เย็นชานี้เหมือนดั่งฟ้าผ่า โม่ฉิงหลิงรีบตั้งสติ กระแอมพูดขึ้นว่า “มาได้จังหวะพอดี ตอนนี้ยกขึ้นมาพูดก็ไม่มีอะไร แค่ไม่รู้ว่าองค์ชายเจิ้นอยากรู้หรือไม่”
กลับเห็นเขามองตัวเองด้วยแววตาคมกริบ ความกดดันที่ไม่มีคำพูดทำเอาโม่ฉิงหลิงไม่กล้าทำตัวมีความลับ รีบพูดว่า “แม่นางคนนี้เป็นโรคหูหนวก ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ”
ได้ยินแบบนี้เซ่าเหยียนยังคงทำหน้าเรียบเฉย ทำเอาโม่ฉิงหลิงยอมรับในท่าทางขององค์ชาย สมแล้วที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา ได้ยินแบบนี้ก็ยังไม่มีผลต่ออารมณ์
ขณะที่กำลังจะเชิญเขาพาคนกลับไปที่บ้านตระกูลตันอยู่นั้น กลับได้ยินเขาอ้าปากพูดว่า “รักษาหายหรือไม่?”
โม่ฉิงหลิงไม่กล้าเหม่ออีก ย้อนนึกถึงสภาพตอนที่ดูอาการให้นางเมื่อครู่ “รักษายากหน่อย เพราะยังไงก็เกิดขึ้นทีหลัง และผ่านมานานมากแล้ว ส่วนจะเป็นสาเหตุอะไรก็ยังบอกไม่ได้”
และเขาก็ตอบหึเบาๆ ไม่ใส่ใจมากกับปัญหาที่จะรักษาหายหรือไม่ ต่อให้รักษาไม่หายก็ไม่ใช่สาเหตุที่เขาจะเอาคนคนนี้หรือไม่
“เมื่อสักครู่ข้าได้คลายจุดให้นาง แต่เพราะอาการบาดเจ็บของกระดูกทำให้นางมีไข้สูง ได้รับยาเรียบร้อยจึงหลับไปชั่วคราว องค์ชายเจิ้นไม่ต้องกลัวว่าจู่ๆ นางจะตื่นขึ้นมาหรอก”
“ไข้จะลดเมื่อไหร่?” เห็นผ้าคลุมใส่ไว้เรียบร้อย เขาก็อุ้มขึ้นอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กดไปที่แผลของนาง
ท่าทางปฏิบัติที่ระวังแบบนี้ทำเอาโม่ฉิงหลิงรู้สึกไม่น่าเชื่อ แล้วก็เหม่อมองอีกครั้ง
เห็นไม่มีการตอบ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเขาก็หันศีรษะมาอีกครั้งแล้วพูดว่า “ไข้จะลดเมื่อไหร่?”
“อ่า...ประ ประมาณสามชั่วยาม อย่าให้นางถูกลมก็ไม่มีปัญหา ใช่แล้ว!” จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วพูดต่อว่า “คาเชวี่ยและเฟิ่งอี้ยังให้ข้าฝากมาบอกท่านว่าในเมืองเห็นคนของเมืองเหลียงหยาง ถามว่าต้องการสืบหรือไม่ นอกจากนั้นข้ายังเห็นผู้ติดตามส่วนตัวขององค์ชายสี่บนถนน ท่าทางเหมือนจะสืบเรื่องอยู่อย่างนั้น” พูดจบ ก็เห็นเงาร่างได้หายไปตรงหน้าโดยไม่มีคำตอบใดๆ
“เอาเถอะ ยังไงคำพูดและจดหมายข้าก็ส่งให้ถึงมือแล้ว เรื่องที่เหลือก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว” เดินมาที่ข้างประตู ก็อดชื่นชมไม่ได้ว่า “จะว่าไปความหล่อขององค์ชายนี้แม้แต่ข้าเองยังตะลึง หล่อเสียจริงๆ !”
“เขาไม่ใช่แค่หล่อ แม้แต่ในกระดูกก็ยังหล่อจนน่าตกใจ” โม่เหยียนที่ตามมาดูไม่เห็นพวกเขา กลับเห็นเจ้าคนที่สมองมีปัญหาคนหนึ่ง
“บอกได้ว่าเป็นของที่สุดยอดมาก” โม่ฉิงหลิงพูดต่อแถมยังยกนิ้งโป้งขึ้นอีก
“ไม่อย่างนั้นลองถามเขาดูว่าจะเก็บเจ้าเข้าวังเลยไหม” เบ้ปากใส่แล้วเดินจากไป
“ไอ้หยา ท่าทีแบบนี้ช่างไม่ให้เกียรติกันจริงๆ เลย”
โม่ฉิงหลิงตามขึ้นไปชวนทะเลาะ ไม่ทันไรก็ไม่ใส่ใจเซ่าเหยียนที่ไม่รู้ไปไหนแล้ว
เวลานี้ เซ่าเหยียนที่อุ้มเสวี่ยหรั่นเดินอยู่บนหลังคากลัวนางจะถูกลม จึงอุ้มนางแนบชิดกับตัว การก้าวเดินไม่มีการกระแทก สงบนิ่งราวกับไม่ได้วิ่งอยู่บนหลังคา
ประมาณชั่วยามหนึ่ง ย่อตัวกระโดดครั้งหนึ่งกระโดดลงมาอีกทีเบาๆ บนคานบ้านตระกูลตัน ระหว่างทางไม่เห็นเขาหอบหายใจ ถึงขั้นหายใจอย่างสงบนิ่ง ก้มหน้ามองคนที่อยู่ในอ้อมกอดยังคงหลับสนิท
“เจ้ามีจิตใจดีงาม หายนะใหญ่จะมาถึงตระกูลตันเจ้าจะรับมืออย่างไร?” เขาถาม แต่กลับยิ่งเหมือนถามตัวเองว่าจะจัดการนางที่อยู่ในบ้านตระกูลตันอย่างไร
เขาอุ้มนางแน่นแล้วกระโดดลงจากคาน เหมือนกับเดินเล่นอยู่ในบ้านตัวเองไม่มีความรีบร้อนใดๆ หลบเส้นทางที่จะเจอคนทีละเส้นทาง ไม่ทันไรก็เลี้ยวเข้าห้องพักคนใช้ จู่ๆ คนที่หลับอยู่ในอ้อมกอดก็ส่งเสียงเบาๆ เขาชะงักฝีเท้าก้มหน้าดูอย่างละเอียด คิ้วบางๆ นั่นขมวดเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวซีดเริ่มอมชมพูขึ้นมา ปากสีแดงอ่อนๆ ขยับเล็กน้อย
เขายืนนิ่งไม่ขยับจนนางคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมแล้วจึงเดินต่อไปที่ห้องพักคนใช้ เห็นภายในห้องยังไม่จุดเทียนจึงมองซ้ายมองขวาแล้วผลักประตูเข้าไป ในห้องมีแค่เตียงนอนที่เรียบง่ายสองหลังและโต๊ะไม้เล็กๆ บนโต๊ะยังมีเชิงเทียนที่ใกล้จะหมดแล้ววางอยู่ รอบๆ กำแพงก็มีรอยร้าวมากมาย
หลังจากกวาดตามองผ่านๆ จึงวางนางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา แล้วดึงผ้าห่มคลุมจนถึงคอ จากนั้นเดินไปที่อ่างคว้าผ้าขึ้นมา น้ำในอ่างเย็นหมดแล้ว แต่เขายังบิดให้แห้งและวางไว้บนหน้าผากของนาง
คนที่หลับอยู่รู้สึกถึงความเย็นจึงขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย สองตาที่พล่ามัวมองไม่ชัดว่าบุคคลย้อนแสงจันทร์เป็นใคร ทำได้เพียงยื่นมือไปจับมือเขาด้วยสัญชาตญาณ
มือที่เย็นเหมือนกับผ้าแข็งทื่อทันที
เซ่าเหยียนเห็นตัวเองถูกนางคว้าไว้ จึงหยุดการเคลื่อนไหว
ตั้งแต่ที่เขาอายุสิบสองก็ไม่มีใครกล้าแตะตัวเขาโดยที่เขายังไม่อนุญาต ถึงขั้นไม่มีใครกล้าทำแบบนั้น เพราะคนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขาแล้วแตะตัวเขาหากไม่มือขาดก็คือหัวขาด ถึงกับเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือร่างไร้ชีวิต ทว่าเขาถึงกับยอมให้นางแตะตัว
“เจ้า...เป็นใคร?” นางถามด้วยสติที่ยังเลือนลาง สองตาที่ลืมแค่ครึ่งหนึ่งหนักอึ้งเรื่อยๆ
“เซ่าเหยียน” ขณะที่ตอบนางก็หลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา เพียงแต่มือที่ผอมแห้งและหยาบกร้านยังอยู่บนมือเขา
เขามองใบหน้าที่หลับใหลของนางเหมือนคิดอะไรอยู่ กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจากที่ไกลๆ จึงเก็บมือแล้วหันหลังจากไป
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาตามมาด้วยเสียงประหลาดใจที่ดังขึ้น “หืม? ทำไมประตูห้องถึงเปิดอยู่?”
สีหน้าของเป่าฉือปรากฏความสงสัย พอเดินเข้ามาดูในห้อง ก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น “พี่เสวี่ยหรั่น!” และรีบเดินเข้ามาดู เห็นแก้มทั้งสองแดงก่ำ ใช้มือแตะจึงรู้สึกได้ถึงความร้อน
“ทำไมถึงร้อนแบบนี้?” นางตรวจดูอย่างร้อนรน ก็เห็นมือที่ไม่อยู่ในผ้าห่มมีกระดาษแผ่นหนึ่ง
พอนางเปิดออก ก็ยังงงอยู่ “เขียนอะไรคดเคี้ยวไปหมด ตัวหนังสือที่ข้ารู้จักก็มีไม่เยอะ จะทำอย่างไรดี”
จึงลุกขึ้นเดินไปมาข้างเตียงอย่างร้อนรน สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนหนึ่งที่สามารถอ่านกระดาษแผ่นนี้ได้ จึงวิ่งออกไปหาเชือกช่วยชีวิตนี้
และหลังจากนี้ที่เสวี่ยหรั่นได้เจอเซ่าเหยียนอีกก็เป็นเวลาหลายวันหลังจากนี้แล้ว...
--------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ