สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  19.75K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 2-1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน โคมไฟสีขาวและผ้าไว้ทุกข์ก็แขวนอยู่ที่หน้าเสาบ้านตระกูลฮวง ชายคนหนึ่งที่สวมชุดไหมสีทองงดงาม ไม่ว่าท่วงท่าใดก็เผยกลิ่นอายสูงส่งล้อมรอบ หว่างคิ้วมีความเป็นผู้ดีซ่อนอยู่ ริมฝีปากสีแดงอ่อนๆ เชิดขึ้นเป็นมุมที่น่าดู แต่วินาทีถัดมาก็มีเสียงไอดังขึ้น แรงสั่นสะเทือนบริเวณช่องท้องยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาซีดเซียวมากขึ้น ชายคนที่มีร่างผอมเล็กนั้นที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดากลับเงยหน้ามองท้องฟ้าถอดถอนใจพูดขึ้น “อากาศร้อนของฤดูใบไม้ร่วงทำเอาเวียนหัวเสียจริง”

“นายท่านเข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนเถอะ” หู่พั่วที่ติดตามอยู่ประคองเขา

“อากาศร้อนจริงๆ” เขาออกแรงสะบัดพัดอ่อนๆ ใบหน้าที่ขาวซีดปะทะกับลมอ่อนๆ ถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง

หู่พั่วประคองชายคนนี้อย่างเคารพเดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง นั่นก็คือบ้านตระกูลฮวงที่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้นไม่นาน

“หู่พั่ว เดินทางมาครั้งนี้ต้องทำอะไรหรือ?” ชายคนนี้เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ความรู้สึกที่เหนียวเหนอะทำเอาเขาไม่สบายเนื้อสบายตัว

“แสดงความเสียใจ” หู่พั่วตอบอย่างใจเย็น

ชายคนนี้ส่งเสียงทุ้มต่ำ แล้วตบหน้าผากตัวเองด้วยท่าทางเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วพูดอย่างเศร้าใจเหมือนสตรีร่ำไห้เช่นนั้นว่า

“ใช่แล้ว ข้านึกจุดประสงค์ที่เดินทางครั้งนี้ได้แล้ว เพราะหัวหน้าสำนักราชทัณฑ์ได้ยินว่า บุตรชายของขุนนางตระกูลฮวงแห่งเมืองหนานหยางเสียชีวิต รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงให้คนว่างงานเช่นข้ามาสืบดู” เขารวบพัดแล้วเคาะที่ฝ่ามือเบาๆ

“ตามข่าวที่นายท่านได้รับเป็นเช่นนั้น”

“แต่ตระกูลฮวงนั่นไม่ได้มีผลงานอะไรต่อราชสำนักเลย ทำไมหัวหน้าสำนักราชทัณฑ์จะต้องให้ความสำคัญขนาดนี้ อีกทั้งยังส่งคนที่เดินไม่กี่ก้าวก็จะไปเยี่ยมยมบาลอย่างข้ามาด้วย?” เขาไม่เข้าใจ หยุดเดินแล้วหันไปถามหู่พั่ว

ใบหน้าที่ซื่อตรงของหู่พั่วพูดโดยไร้สีหน้าว่า “เรียนนายท่าน เป็นหัวหน้าสำนักราชทัณฑ์ที่สงสัยว่านี่ไม่ใช่การฆ่าปล้นชิงธรรมดา ตามรูปแบบการตายที่ผิดปกติของผู้ตายในที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ลับสำนักราชทัณฑ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนได้แจ้งว่าองค์ชายหกอยู่ในเมืองนี้ เมื่อเชื่อมโยงกันจึงคิดได้ว่าสาเหตุของเรื่องนี้ก็มาจากองค์ชายหก” พอเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงร้องที่เพิ่งเข้าใจขึ้นมา

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว องค์ชายอย่างข้าที่มีร่างกายอ่อนแอแบบนี้ ไม่ใช่แค่ไม่สามารถรักษาตัวดีๆ แถมยังต้องเสียงแรงเสียเวลามาที่นี่ ก็เพราะ ‘ฐานะ’ ต้องทับเทียนกันถึงได้มา แต่หัวหน้าสำนักราชทัณฑ์ก็โง่เสียจริงๆ ข้าก็แค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มียศตำแหน่งใดกลับต้องมาทำงานนี้ ช่างทรมานคนเสียจริง”

ได้ยินเขาพูดเหน็บแนม หู่พั่วไม่ได้พูดต่อเพียงแค่ปล่อยให้เขาพูดอย่างนี้อย่างนั้น แทนที่จะส่งขุนนางยศเล็ก กลับไม่สู้ส่งคนที่มีฐานะเป็นองค์ชายด้วยกันยังจะมีโอกาสสืบเรื่องได้เสียมากกว่า

เซ่าเจินเมื่อเจอกับความเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอนของเซ่าเหยียน จะมากจะน้อยก็เดาได้ว่าเป็นคำสั่งของวังหลวง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องการแย่งชิงเก้าอี้ตำแหน่งฮ่องเต้ จึงอยู่ที่สำนักราชทัณฑ์หาตำแหน่งที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องระหว่างพี่น้ององค์ชายเลย ในเมื่อเขาไม่สนับสนุนฝ่ายใด วางตัวเป็นกลาง แต่กลับเพราะ ‘องค์ชายหก’ คนหนึ่งในตอนนี้ เขาถึงกับต้องเดินทางมาไกลถึงที่นี่ บอกตามตรงในใจเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่เหมือนกัน

ไม่ว่าอย่างไรยังไม่สนเรื่องนี้วังหลวงจะเข้ามายุ่งเกี่ยวต่อหน้าหรือไม่ เขาก็ยังคงต้องไปบอกวังหลวงไว้ก่อน เพื่อป้องกันคนอื่นเข้าใจตัวเองผิดแล้วจะแย่เอา

เขาเงยหน้ามองฟ้า แสงแดดเจิดจ้าของเมืองหนานหยางนี้ช่างไม่เหมาะกับร่างกายที่อ่อนแอของเขาเหลือเกิน

“ไม่รู้ว่าเขายังอยู่ในเมืองหรือไม่?” ละสายตาแล้วมองไปที่หู่พั่ว ก็เห็นเขากางร่มอยู่เหนือศีรษะของเขา

“ข้าน้อยจะหาข่าวรอบๆ ให้ทราบขอรับ”

“ไม่ต้อง ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องด่วนที่ต้องไปตามหาเขา ช่างมันว่าจะเป็นคนร้ายตัวจริงหรือไม่” พอนึกถึงท่าทางหน้าตายของเขาก็ยิ่งทำเอาหมดอารมณ์

“จะใช่หรือไม่ใช่ องค์ชายก็ต้องมีคำตอบให้กับหัวหน้าราชทัณฑ์”

พอได้ยินแบบนี้ มุมปากของเซ่าเจินกระตุก หู่พั่วนี่ช่างเลือกจุดสำคัญให้เขาอยากจะลืมยังยาก “แต่เสียดายวัดกันระหว่างหัวหน้าราชทัณฑ์กับวังหลวงแล้ว ก็ต้องให้หน้าวังหลวงไม่ใช่หรือ”

“ไปกันเถอะ ขืนไม่ทำท่าให้ดีๆ ไปจุดธูปเคารพศพ แล้วจะโดนเจ้าหน้าที่ลับของหัวหน้าราชทัณฑ์รายงานอีก เขาจะต้องบ่นข้าไปอีกหลายวันแน่” พลางโบกพัด เพียงนึกถึงใบหน้าที่บ่นตนเองไม่หยุดก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังทั่วทั้งบ้านตระกูลฮวง เขามองไปที่โคมไฟสีขาวและผ้าขาวไว้ทุกข์ บรรยากาศเศร้าโศกที่ปะทะหน้ามาไม่ได้ส่งผลต่อเขา อารมณ์ของเขากลับสงบนิ่งกว่าปกติและเดินเข้าไปที่ห้องโถง หรืออาจจะบอกว่าบรรยากาศสีเทาแบบนี้กลับเข้ากับท่าทางป่วยอยู่ของเขาเป็นอย่างดี

คนตาย ใครไม่เคยเจอบ้าง

เวลาเดียวกันกับที่เซ่าเจินเดินเข้าไปในบ้านตระกูลฮวง เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็เดินผ่านถนนที่อยู่ข้างๆ คนคนนั้นกลับเป็นเซ่าเหยียนที่เซ่าเจินพูดถึง เขาไม่แม้จะเงยหน้ามองบ้านตระกูลฮวง เพียงแค่เดินตามคนสองคนเหมือนคิดอะไรอยู่มาที่ร้านขายเพชรพลอย แล้วก็เดินกลับไปที่ตลาดอีกครั้ง

ผ่านไปไม่นานเสวี่ยหรั่นและเป่าฉือก็นำปิ่นปักผมที่ตันโหรวอีสั่งไว้จากร้านขายเพชรพลอยเตรียมจะกลับบ้าน ขณะที่เดินผ่านตลาดอยู่นั้นสายตาก็มองไปที่ต้นไม้แก่ๆ อย่างไม่รู้ตัว คนคนนั้นไม่รู้ว่ายังอยู่หรือไม่

“ไม่รู้ว่าเขายังอยู่หรือไม่?” นางบ่นกับตัวเอง

“ใครอยู่ไม่อยู่?” เป่าฉือเดินไปข้างหน้านางถามขึ้น

“ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง”

“ผู้ชายหรือ?” เป่าฉือเลิกคิ้ว “ตามหาเขาทำไมกัน?”

“ไม่มีอะไร ก็แค่สนใจเขานิดหน่อย...”

เป่าฉือเห็นนางอ้ำอึ้ง นางที่ท่าทางซนอยู่แล้วก็หัวเราะพูดว่า “พี่เสวี่ยหรั่นชอบเขาเข้าให้แล้ว?”

เสวี่ยหรั่นที่อ่านความหมายนางออกก็เคาะที่หน้าผากนางเบาๆ แล้วพูดด้วยท่าทางยิ้มเจื่อนๆ ว่า “อายุข้าก็เป็นแม่นางแก่ๆ แล้วยังจะพูดว่าชอบไม่ชอบอะไรนั่นอีก มีแต่อายุอย่างเจ้าถึงจะเหมาะ”

เป่าฉือยิ้มตาหยี “ไปกันเถอะ แนะนำให้ข้าได้รู้จักบ้าง”

เสวี่ยหรั่นทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่พานางไป นางทั้งสองเดินไปยิ้มไปและหยุดห่างจากต้นไม้แก่ๆ ระยะหนึ่ง เห็นเขายังคงนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้แก่ๆ ทำเอานางโล่งใจขึ้นมากลัวว่าจะไม่เห็นเขา เพราะยุ่งอยู่กับในงานบ้านหลายวันจึงไม่ได้ออกมาจากบ้าน ถึงจะไม่เคยได้พูดกับเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียวแต่เหมือนนางก็ได้ค่อยๆ ตั้งความหวังกับช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะยื่นหมั่นโถวให้เขาเสียแล้ว

“ตรงไหน? ตรงไหน?” เป่าฉือดึงนางแล้วเอ๋ยปากถาม

เสวี่ยหรั่นชี้นิ้วไปข้างหน้า “ตรงนั้น คนที่นั่งหลับตาใต้ต้นไม้นั่น”

เป่าฉือหรี่ตามองซ้ายขวา เพ่งมองอยู่พักหนึ่ง “คนคนนี้รู้สึกว่าช่างเย็นชานัก พี่เสวี่ยหรั่นคงไม่ใช่ทำดีแล้วโดนเมินหรอกกระมัง”

เห็นนางมองออกในทันที เสวี่ยหรั่นยิ้มแห้งๆ ด้วยความเขินอาย “ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าเจ้าโง่นัก ทั้งๆ ที่ฉลาดแบบนี้”

คำพูดที่ไม่ได้เถียงกลับทำเอาเป่าฉือหัวเราะขึ้นมา “เพราะข้าน่ะมองคนแม่นไง”

“จ้า จ้า ตอนนี้คนก็เห็นแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” พูดจบก็ดึงมือนางแล้วเตรียมจะไป

“รอเดี๋ยวก่อนสิ อย่ารีบกลับไปขนาดนั้น เดินเล่นอีกหน่อยเถอะ” ลืมไปว่านางไม่ได้ยิน หันไปก็เดินไปอีกทางเสียแล้ว

คนหนึ่งเดินไปทิศตะวันตกอีกคนเดินไปทิศตะวันออก ฝีเท้าแยกออกจากกัน รอจนเสวี่ยหรั่นหันมามองก็เห็นเป่าฉือถูกขนมดอกกุ้ยฮวาที่อยู่ฝั่งนั้นดึงดูดไป นางหัวเราะแล้วเดินไปตามเป่าฉือกลับ ทว่าไม่ได้สังเกตข้างๆมีวัตถุรูปร่างใหญ่โตวิ่งฮ้อเข้ามา กระทั่งนางรู้สึกตัวถึงท่าไม่ดีเห็นม้าที่บ้าคลั่งตัวหนึ่งไม่รู้โดนอะไรกระตุ้นกำลังวิ่งบนถนนอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของม้าที่อยู่ข้างหลังไล่ตามพลางตะโกนว่า “หลบไป หลบไปสิ!”

เจ้าของม้าร้องตะโกนด้วยความตกใจ นางรีบเข้าไปผลักเป่าฉือออกโดยไม่ต้องคิด ทว่าตัวเองกลับหลบไม่พ้น นางที่มัวแต่ตกใจจึงได้แต่ถอยหลังด้วยความเร่งรีบ สองเท้าของม้าที่เสียการควบคุมก็กดไปที่ร่างนางทันที นางที่ล้มอยู่กับพื้นร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

ความเร็วที่ม้าวิ่งมาต่อให้ไม่ทำให้อวัยวะภายในบาดเจ็บ แต่กระดูกก็น่าจะถูกเหยียบแตก นางทนความเจ็บปวดฝืนลุกขึ้นด้วยท่าทางโซซัดโซเซ ทว่านางแค่แค่ใช้มือเพียงข้างเดียวยันตัวเองขึ้นก็ยังไม่มีแรงเลย ดูเหมือนว่ากระดูกมือจะแตกเสียแล้ว

“พี่เสวี่ยหรั่น! พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม!” เป่าฉือคุกเข่าตรวจดูนางอย่างตกใจ เห็นนางกัดฟันทนเจ็บจนเหงื่อไหลซึมออกมา “ทำอย่างไร? ทำอย่างไร?” นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี น้ำตาก็จะไหลออกมาเสียแล้ว

มองเป่าฉือท่าทางร้อนรนอย่างฝืนตัวเอง นางทำเป็นนิ่งเฉยพูดว่า “เป่าฉือ เจ้าเอาปิ่นปักผมกลับไปก่อน ไปสายนายหญิงน้อยจะโมโหเอา ข้าไปหาหมอคนเดียวได้”

“ข้าจะทิ้งพี่ได้อย่างไร! ตอนนี้แค่พี่จะลุกขึ้นเองยังทำไม่ได้ ยังจะไปหาหมอเองได้อย่างไร”

“ไม่เป็นไร...เจ้าฟังข้า เอาปิ่นปักผมกลับไปก่อน” ฉีกยิ้มอ่อนแรงเพื่อให้นางสบายใจขึ้น ทว่ากลับยิ่งทำให้เป่าฉือไม่วางใจขึ้นอีก

จู่ๆ ก็มีชายที่สวมชุดสีน้ำเงินยาวประณีตเดินมาย่อตัวข้างหน้าของทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้น ให้ข้าพานางไปหาหมอเถอะ”

เป่าฉือไม่คิดอะไรมาก คว้าที่แขนของเขาด้วยความดีใจพูดว่า “เจ้าจะพาพี่เสวี่ยหรั่นไปหาหมอจริงๆ หรือ?”

โม่ฉิงหลิงตบมือเป่าฉือเบาๆ แล้วพูดว่า “คืนนี้นางก็น่าจะกลับไปได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”

ได้ยินดังนั้น เป่าฉือรีบคว้าถุงใส่เงินของตัวเองวางไว้บนมือของเขาแล้วบอกว่า “ที่ถนนด้านหลังนั้นมีโรงหมออยู่ที่หนึ่ง เงินพวกนี้ให้คุณชายถือเอาไว้ ถ้าไม่พอข้าจะยืมเงินคนในบ้านมาให้เจ้า คนในเมืองนี้ล้วนรู้จักตระกูลตัน เจ้าสามารถถามคนไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าพวกข้าจะไม่ยอมจ่าย”

โม่ฉิงหลิงมองถุงเล็กๆ นี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี บอกตามตรง...เบามาก คงไม่ได้มีเงินมากมายเท่าไหร่มั้ง

เสวี่ยหรั่นเห็นคนไม่รู้จักตรงหน้า ถึงแม้ว่าจะดูเป็นคนดีแต่ก็ยากจะมั่นใจได้ว่าจะไม่แอบคิดเรื่องชั่ว

เป่าฉือเห็นนางขมวดคิ้วอยากจะพูดอะไร จึงรีบชิงพูดก่อนว่า “พี่เสวี่ยหรั่น คุณชายใจดีคนนี้จะพาพี่ไปหาหมอ พี่วางใจเถอะ หลังจากข้ากลับไปที่บ้านแล้วจะรีบออกมาหาพี่”

นางส่ายหน้าพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่ต้องหรอก...ถ้าข้าไม่เป็นไรแล้วก็จะกลับไปเอง”

“ไม่ว่าอย่างไรแค่มีเวลาว่างข้าก็จะออกมา ข้าจะฟังพี่กลับไปตอนนี้ แต่พี่เสวี่ยหรั่นก็ต้องไปหาหมอกับคุณชายคนนี้ด้วยล่ะ!”

“ข้าจะส่งนางกลับไปอย่างปลอดภัย แม่นางน้อยวางใจแล้วกลับไปรอข่าวได้เลยไม่ต้องตั้งใจออกมาอีก” โม่ฉิงหลิงเห็นทั้งสองคนเถียงกันไม่หยุด จึงแย่งพูดรับปาก

เป่าฉือเห็นท่าทางของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เอาพี่เสวี่ยหรั่นให้คนแปลกหน้าอย่างเขาดูแลแน่นอนว่าไม่สมควร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ทำตามที่ตกลงไว้

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอฝากคุณชายด้วย” สิ้นเสียง นางก็ลุกขึ้นรีบวิ่งกลับไปที่บ้านตระกูลตัน กลัวจะไปช้าเสียจริงๆ

โม่ฉิงหลิงเห็นแม่นางน้อยวิ่งไปไกล ก็ฉวยโอกาสที่แม่นางที่บาดเจ็บอยู่คนนี้ยังไม่เคลื่อนสายตามาที่ตัวเขา ก็แอบจี้จุดชีพจรบนตัวนางโดยไม่บอกกล่าว

เสวี่ยหรั่นตกใจ ยังไม่ทันได้มองเขาก็จมอยู่ในห้วงความมืดเสียแล้ว

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา